การรอคอยการถึงของความเจ็บปวดที่แสนสุข
ความทรงจำสีจาง (ฉบับที่ 4: ความทรงจำสีฟ้า)

เข้ามาแปะตอนต่อนะคะ

อ่านเลยนะ



ฉบับที่ 4

ความทรงจำสีฟ้า

สาเหตุของความฝันของคนเรามันเกิดขึ้นเพราะเหตุใดกัน นักวิชาการหลายต่อหลายท่านลงมือศึกษาเรื่องนี้มานานแต่ไม่เคยให้ความกระจ่างชัดแก่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนเราได้ ห้วงนิทราของผมขณะนี้ปรากฏภาพรางเลือนของร่างร่างหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าร่างนั้นคือผมเองหรือใคร

การดำเนินเรื่องของความฝันครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นที่ใต้ต้นไม้ร่มกว้างต้นหนึ่ง ดวงตาของผมเป็นจอรับภาพขนาดใหญ่ที่สามารถรับภาพได้ขนาดกว้างขวาง กล้องเดินและเริ่มสะเทือนเล็กน้อย เดาว่าพื้นดินที่ตรงนั้นขรุขระเอาการ


สักครู่ร่างอีกร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ร่างบางร่างนั้นเป็นเงาสีฟ้าโปร่ง เดินรี่เข้าไปหาหวังใจอยากจะเอ่ยถ้อยถาม


แต่เมื่อก้าวเดินของผมสาวเข้าไปใกล้ร่างนั้นมากเท่าไหร่ ร่างสีฟ้าโปร่งกลับล่องลอยห่างออกไปเท่านั้น เอื้อมมือออกไปไขว่คว้า หากสัมผัสเพียงความว่างเปล่าในอากาศเท่านั้น


ผมเกลียดที่ต้องเจอกับความฝันเลื่อนลอย ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่เคยฝันเรื่องแบบนี้มาก่อน คงเป็นเพราะจดหมายจากซองสีแดงซองนั้นกระมัง มันให้ความรู้สึกไม่แน่นอนเอาเสียเลย

แต่จะว่าไปผมเองก็ไม่เคยเอาแน่เอานอนอะไรเลยสักอย่างนี่นะ ทั้งที่ตัวเองเป็นคนที่เอาจริงเอาจังกับทุกอย่าง แต่สิ่งแวดล้อมกลับเบนความสามารถนี้เสีย


บางเรื่องเท่านั้นแหละที่อยากเอาแน่กับมัน แต่โชคก็ไม่เคยเข้าข้างสักครั้ง



เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น สะดุดการเดินเรื่องของฝันอันเลื่อนลอยไว้เพียงเท่านั้น นึกขอบใจเสียงโทรศัพท์ยิ่งนัก


คว้ามือถือจากโต๊ะข้างเตียงกดรับ


“ฉันเองนะ มารับหน่อยสิ” เอ่อถ้าไม่สนิทกันจริงชาตินี้ทั้งชาติผมคงไม่มีทางตรัสรู้ได้ว่าไอ้ “ฉันเองนะ” นี่มันใคร


“แกอยู่ไหน” ผมส่งเสียงงัวเงียปนรำคาญไปตามสาย

“อยู่ที่สถานีขนส่งน่ะ มารับเร็วฉันหิวข้าว” เสียงนั้นสั่น อาจจะเป็นเพราะกระเพาะร้องดังลั่นก็เป็นได้

“เออรออยู่ตรงนั้นก่อนเดี๋ยวไป” ผมรับรู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร ก็ผมรู้จักเคยคุ้นกับเสียงกวนเกือกแบบนี้มาตั้งแต่มันยังเดินไม่ได้

มองนาฬิกาที่หัวเตียง บอกเวลาตี4 กว่าๆ

“มันจะมาทำไมกันตอนนี้วะเนี่ย” บ่นอุบกับตัวเองขณะรีบกระโจนออกจากห้องตรงดิ่งไปยังถนนใหญ่
คลื่นมนุษย์กำลังเริ่มเช้าวันนี้ด้วยความกระตือรือร้น ราวกับฝูงนกออกหากิน


กว่าจะฝ่าฝูงยวดยานซึ่งติดกันยาวเหยียดราวงูตัวใหญ่เลื้อยคลานอย่างเชื่องช้าเข้าหาเหยื่อ เมื่อมาถึงจุดหมายผมตรงดิ่งเข้าไปยังชานชลา

มองหาใครคนหนึ่งที่ยืนคอยเขาอยู่อย่างใจจดใจจ่อ กวาดสายตามองหาใครคนนั้น ผู้คนมากมายเดินปะป่ายไปทั่วบริเวณ


ทันใดผมก็สะดุดสายตาลงที่ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกอดอกยืนพิงกำแพงอยู่ใกล้เค้านท์เตอร์พนักงานขายตั๋ว สำรวจความเปลี่ยนแปลงของชายหนุ่มคนนั้น

ผอมลงไปเยอะ หัวยุ่งยิ่งกว่าเดิมอีก กางเกงยีนส์ขาดๆตัวนั้นมันไปได้มาจากไหนวะ แล้วยังเสื้อยืดพิมพ์ลาย เชฯ ตัวนั้นอีก

ก่อนจะเดินเข้าไปทักผมพยายามคิดว่าจะกล่าวทักทายหมอนั่นอย่างไร


“มาทำไมวะ” ที่ผมคิดไม่ใช่คำนี้นี่นา


“ไม่มีเงินกินเหล้า ก็เลยมาหางานทำ” เสียงยังโทนเดิมแต่แหบพร่ากว่าเดิมคงเพราะสูบบุหรี่หนัก


“ไอ้เวร” ผมด่าเข้าให้ด้วยใบหน้านิ่มๆ เอือมระอากับท่าทางอวดดีนี้นัก


“มาก็ด่ากันเลยนะ เกิดมาเป็นพี่ประสาอะไรวะ เส็งเครง” ไม่แปลกใจเลยที่เกิดมาเป็นพี่น้องกัน


“รีบไปเหอะ ขืนชักช้าเจอรถติดได้กลับที่พักกันตอนบ่ายแน่” ผมออกเดินนำหน้าน้องชายไปก่อน


“นี่เดี๋ยวก่อน แกมีบุหรี่ไหม” เจ้าชาถามขณะที่พยายามก้าวเท้าให้ทันผม คงคิดว่าผมจะรีบไปจับกระทิงที่ไหนกันวะ

“ไม่มีโว้ย!” ผมไม่ได้หันมาตอบ หากยังสาวฝีเท้าเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

“อะไรวะ อย่าบอกนะว่าแกเลิกสูบไปแล้ว เตรียมจะบวชรึไง” เจ้าน้องชายบ่นอย่างไม่สบอารมณ์

“หุบปากแล้วก็รีบตามมา” บทสนทนาจบลงแค่นั้นเมื่อเราทั้งสองก้าวขึ้นแท็กซี่


ธีรชา เป็นคนร่างล่ำสันกว่าผมผู้เป็นพี่ชาย ในขณะที่ผมสูงโปร่งและผอมกว่า นิสัยของเราจะว่าไปแล้วต้องบอกว่าใครที่ใจร้อนมากกว่ากัน

ผมใจร้อนเหมือนน้ำกำลังเดือดจากก้นหม้อ ราบเรียบแต่คมเฉียบ ต่างจากธีรชาซึ่งเป็นน้ำเดือดปุดๆที่ผิวหน้า หุนหันพันแล่นไม่ฟังเหตุผล


เราสองคนห่างหายจากกันหลังจากที่ผมเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ส่วนธีรชานั้นเข้าเรียนที่สารพัดช่าง ความเห็นของเราสองคนไม่เคยตรงกันเลยสักเรื่อง นั้นเป็นเพราะการเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน


ผมหนีออกจากบ้านตั้งแต่ประถม 6 ความโดดเดี่ยวและการเรียนรู้เพื่อเอาตัวรอดทำให้ตัวผมมีวุฒิภาวะมากกว่า ในขณะที่ธีรชาผู้ซึ่งถูกเลี้ยงดูอย่างทิ้งๆขว้างๆ จะมีนิสัยก้าวร้าว แข็งข้อ มากกว่า


ผมไม่ได้รังเกียจน้องชายตัวเอง เพียงเพราะความห่างเหินจึงทำให้ผมทำตัวไม่ถูก อย่างไรเสียธีรชาก็เป็นญาติเพียงผู้เดียวที่เหลือหลงอยู่ของผม ถ้าไม่นับผู้ชายคนนั้น


เมื่อกลับมาถึงที่ห้องพักเราไม่ได้คุยกันอีก ธีรชารีบกินข้าวและสูบบุหรี่ก่อนจะล้มตัวลงนอนเนื่องจากความเหนื่อยล้าจากการนั่งรถประจำทางมาหลายชั่วโมงไม่อำนวยให้สมองปลอดโปร่งมากพอสำหรับบทสนทนาใดๆ


ฝ่ายผมนั้นไม่สามารถข่มตาหลับลงได้อีกจึงหยิบจดหมายฉบับนั้นมานั่งอ่านทวนอีกครั้ง เกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกของตัวเองตอนนี้กันนะ

รู้สึกตื่นเต้น หายใจไม่ทั่วท้อง บางครั้งท้องไส้เกิดปวดมวนขึ้นมาเสียอย่างนั้น ราวกับกำลังรอให้บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น บางสิ่งบางอย่างที่ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้เลยในชาติภพนี้


ทิ้งร่างของตัวเองให้นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นจนถึงเวลาที่ขอบฟ้าระเรื่อสีของแสงตะวันยามเช้ามาถึง


มันเป็นวันแรกที่รู้สึกว่าท้องฟ้าในยามนี้ช่างงดงามนัก…


วันเวลาของเช้าวันนี้และเวลาของวันนี้ทั้งวันเป็นคิวของวันพฤหัสบดี วันพฤหัสบดีคือวันหยุดของผม ตอนแรกก็คิดว่าจะเลือกเอาวันเสาร์สุดสัปดาห์เป็นวันหยุดงานเหมือนกันกับมนุษย์เงินเดือนทั่วไป

แต่คิดๆไปแล้วรู้สึกว่าวันพฤหัสบดีคือวันหยุดของผมจริงๆ จะว่าไปแล้ววันพฤหัสบดีเป็นวันหนึ่งในสัปดาห์ที่น่าสงสาร เพราะมันถูกลืมเลือนจากผู้คนบนโลกนี้


ผู้คนเกลียดชังวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นการทำงานวันแรก พอถึงวันอังคารบรรยากาศยิ่งร้อนระอุ น่าชังพอๆกับคืนวันที่ผ่านมา

เมื่อวันพุธกลางสัปดาห์มาถึงทุกคนก็ใจเต้นแรงขึ้น เพราะเมื่อวันแห่งกลางสัปดาห์มาถึงย่อมเป็นสัญญาณการมาเยือนของวันสุดท้ายในการแบกภาระในวันศุกร์ ทุกคนออกจะกระดี๊กระด๊านั่งนับเวลาให้ถึงสี่โมงเร็วๆจะได้ไปปลดปล่อยระเบิดของเสียที่จ่อรูทวารอยู่นานถึงห้าวันเต็มๆ


และแล้วความสำนึกในการมีอยู่ของวันพฤหัสบดี ก็ถูกกลืนหายไปกับบทสนทนา วางแผนทำกิจกรรมในวันสุดสัปดาห์ที่จะมาถึง ผู้คนเหล่านี้ไม่มีใครสักคนที่เรียกวันพฤหัสบดีว่าวันพฤหัสบดี หากเรียกเป็น พฤหัส จึงไม่น่าแปลกใจที่วันพฤหัสบดีจะเป็นวันที่แสนจะอาภัพ


สำหรับผมวันพฤหัสบดีเป็นวันที่พิเศษ


หอบเสื้อผ้าทั้งในและนอกตะกร้าข้างตู้ไม้หลังเดิมที่ยืนตระหง่านทำหน้าที่ของมันโดยไม่ยี่หร่าต่อกองฝุ่นบนหัว กำลังเอื้อมมือไปเปิดประตูไม้หน้าห้อง บางสิ่งถูกสอดเข้ามาตรงฐานของมันที่เว้นช่องว่างระหว่างพื้นไว้ไม่ให้เกิดสัมผัสเสียดสี

เมื่อเพ่งมองแสงสีแดงตกกระทบสาดวัตถุนั้นก่อนจะสะท้อนเข้าตา โน้มตัวลงเก็บมันขึ้นมา


ซองสีแดงสด...


ปล่อยให้ตะกร้าผ้าเน่าหล่นตุ๊บลงบนพื้นแล้วเดินไปยังทิศทางที่มีระเบียงหลังห้องเป็นจุดหมาย เจ้าโมกหันมามองด้วยสายตาแห่งความสงสัยว่าจะกลับมาทำไมอีก(วะ) ก่อนจะหันไปหลับตาพริ้ม ดื่มด่ำกับแสงตะวันอุ่นต่อ



ใจเต้นยังไงไม่รู้ อาการเหมือนเด็กหนุ่มมัธยมได้รับจดหมายรักก็ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวที่อ่านจดหมายจากซองสีแดง เมื่อเปิดซอง กลิ่นกรุ่นที่แผกออกไปจากกลิ่นพฤกษาธรรมชาติก็ลอยมาแตะจมูก หรือเธอจะล้างมือด้วยสบู่ก่อนจะลงมือเขียน



คลี่กระดาษสีชมพูอ่อนให้แผ่ออก ข้างในนั้น...



29 พิจิก 05 กลางดึกสงัดและอากาศเย็น

ถึงเธอ...

จริงๆแล้วกลางดึกอันสงัดเงียบเช่นนี้เหมาะแก่การนั่งหลับและจินตนาการนัก แต่ฉันกลับหันมาจับปากกาเขียนถึงเธอ หลังจากอ่านจดหมายของเพื่อนรักจากแดนไกล ที่เพิ่งร่อนมาเทียบท่าที่หน้าบ้านในตอนบ่ายตะวันหนา ระยะทางที่เราห่างกันถูกเชื่อมต่อด้วยกระดาษเหล่านี้ ดังนั้นเราจึงไม่โดดเดี่ยว ไม่เหงา...


ฉันเมินเฉยการติดต่อสื่อสารทางกระบอกอิเล็คทรอนิคส์ ไม่ว่าจะเป็นมือถือ โทรศัพท์บ้าน หรือจดหมายคอมพิวเตอร์ หากจมตัวเองอยู่กับยุคสมัยแห่งการเริ่มต้นการติดต่อสื่อสารด้วยจดหมายกระดาษ

ฉันคลั่งเขียนราวกับเห่อการสื่อสารเช่นนี้ หลายต่อหลายคนถามว่า ไม่เหนื่อยบ้างหรือ เปลี่ยนมาเป็นโทร.หากันไม่ง่ายกว่าหรือ

ฉันตอบไปเพียงยิ้มเดียว แล้วนั่งก้มหน้าเขียนข้อความลงกระดาษต่อ นานวันเข้าพวกเขาก็ลงทุนซื้อปากกหมึกซึมมาให้พร้อมทั้งกระดาษที่เขามีไว้เขียนจดหมายกันจริงๆ น่าขำนะ


มีใครอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาชนเอาไยแมงมุมของฉันเข้าเต็มเปา เพียงแค่เสี้ยววินาที ฉันก็ตะครุบเหยื่อเคราะห์ร้ายตัวนั้นไว้ได้อย่างง่ายดาย

ฉันไม่รีรอหรือเปิดโอกาสให้เขาคนนั้นร้องขอชีวิต หากทิ่มแทงเข็มพิษตรงเข้าสู่หัวใจ

ภาพแห่งความทุรนทุรายไม่ได้ทำให้การกลืนกินร่างทั้งร่างหยุดชะงักแต่อย่างใด เมื่อกลืนกินอิ่มหนำแล้ว จึงขากคายเศษซากทิ้ง...

กว่าจะรู้ตัวฉันก็ทำร้ายคนอื่นอีกครั้ง...


แรกพบฉันส่งข้อความถึงเขาด้วยความคะนองของใจ นานวันเข้าฉันก็ตกหลุมที่ฉันขุดขึ้นมาเสียเอง ไม่น่าเชื่อใช่ไหม ว่าเขาเอาอะไรมองคนอย่างฉัน

แต่ทำความรู้จักกันได้ยังไม่ถึงครึ่งสัปดาห์ ฉันก็เป็นฝ่ายเดินออกมาจากชีวิตเขาเอง ทิ้งเขาไว้เบื้องหลังกับความงงงวยและวาบไหว เหตุผลเดียวที่ทำให้ฉันเดินออกมานั้นเพราะเงาของเธอ

ยิ่งฉันพยายามเอาใจไปผูกพันกับใครคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ มันยิ่งเหมือนกำลังตอกย้ำให้ลึกลงไปอีกว่าฉันไม่สามารถลืมเธอได้

หรือเพราะใจดวงนี้มันเป็นก้อนเนื้อส่วนหนึ่งที่แบ่งมาจากใจของเธอกันนะ ไม่น่าเชื่อว่าคนคนหนึ่งจะจมตัวเองกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เนิ่นนานถึงเพียงนี้...


วันก่อนฉันเจอพี่มล ถ้าเธอยังจำพี่สาวคนนี้ได้ พี่เขาได้เป็นคุณครูสมใจแล้วนะ พี่เขาถามถึงเธอด้วย แต่ฉันตอบไปว่าฉันไม่รู้เพราะฉันไม่รู้จริงๆ

ฉันไม่ได้ข่าวคราวเธอเลยช่วงหลังนี้ อย่างไรก็ตามคืนนี้ฉันคงเข้านอนตอนตะวันฉาบฉายขอบฟ้าด้านตะวันออก ถ้าหากเธอตื่นเช้า ฝากทักทายดวงตะวันแทนฉันด้วย

“การหายเงียบไป
ของเธอกำลังทำ
ให้ฉันคลั่ง”
เรา...

“กับหนังสือกองภูเขาที่ต้องอ่านให้จบ”



“อะแฮ่ม...!” เสียงนั้นสะดุ้งตัวผมราวกับเด็กถูกจับได้ว่ากำลังทำผิด

“อะ...อ้าวตื่นแล้วเรอะ...หลับสบายรึเปล่า” โยนคำถามแก้เขินไปที่เจ้าน้องชายที่เดินหัวฟูออกมาสมทบที่ระเบียง ร่างเปลือยเปล่าท่อนบนเผยให้เห็นกระดูกซี่โครงเมื่อธีรชายกมือขึ้นเพื่อบิดขี้เกียจ


“ก็ดี ก็ฉันไม่ได้มีใครให้อดหลับอดนอนคิดถึงนี่หว่า” ธีรชาเชื่อมสายตารู้ทันมาคาดคั้นเอาที่กระดาษจดหมายในมือผม


“จดหมายรักจากสาวแดนไกลรึไง” ปากพูดแต่สายตาเปลี่ยนไปเตร่อยู่แถวๆกระถางต้นไม้ที่ขอบระเบียงซึ่งขณะนี้กลายเป็นสวนหย่อมหลังห้องไปเสียแล้ว


“หา...อะ...อะไร ไม่ใช่สักหน่อย มันก็แค่...”

“ยังไม่มีใครหรอกยัยนั่นน่ะ” ธีรชาไม่รอให้ผมหาข้ออ้างสำเร็จ สายตาเขาทอดไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย

“หา...!” ผมเลิกลักรู้สึกว่าตัวเองปัญญาอ่อนทุกครั้งที่ถูกน้องชายรู้ทัน

“เพื่อนรุ่นเดียวกันแต่งงานมีลูกจนจะได้ลูกสะใภ้ลูกเขยอยู่รอมร่อ แต่ยัยนั่นไม่เห็นจะมีข่าวคราวเรื่องอย่างว่า” ธีรชาเหล่มองมาที่ผมซึ่งขณะนี้รู้สึกหน้าร้อนผ่าวถึงใบหู

“ฉันหมายถึงเรื่องความรัก...” คำอธิบายของเจ้าชาสร้างความอึดอัดในใจ

ใจเต้นมากกว่าที่เป็นราวกับว่ามันกำลังกระเด้งออกมากระแทกหน้าเจ้าน้องชายแสนรู้เสียเดี๋ยวนั้น อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นผิดปกติเหมือนกำลังจับไข้

หันหน้าไปเผชิญกับทะเลตึกเบื้องหน้าก่อนจะสูดลมหายใจเข้าอย่างเต็มที่เพื่อซ่อนเร้นความรู้สึก แต่ถึงอย่างนั้นทุกความเคลื่อนไหวของผมก็ยังหนีไม่พ้นสายตาเยี่ยงเหยี่ยวของธีรชาไปได้

“รู้สึกว่าจะผอมลงและก็ดูเหมือนจะตัวเล็กกว่าเดิมนะ ยังเป็นเด็กขี้โรคเหมือนตอนประถมเปี๊ยบ” ธีรชาท้าวความหลังด้วยรอยยิ้ม

“ผมยาวเหมือนไม่มีตังค์ตัดงั้นแหละ กลายเป็นยัยหนอนสวมแว่นไปเสียแล้ว เจอเมื่อวันก่อนที่จะมานี่แหละ คุยกับยัยนี่ทีไรเหมือนคุยอยู่กับวิญญาณ สยองว่ะ”

เสียงหัวเราะเบาๆเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน

“แต่ดูเศร้าๆยังไงไม่รู้นะ อาจจะเพราะเรื่องครอบครัว...”

“เรื่องครอบครัวทำไม...!” ผมหน้าซีดทั้งอายทั้งเสียฟอร์ม ที่ห้ามใจตัวเองไม่ได้ ผมอยากรับรู้ทุกความทุกข์และความสุขของเธอคนนั้น

“นึกว่าจะแน่...” สายแห่งผู้ชนะทำให้ อยากจะแทรกแผ่นดินหนีเสียเดี๋ยวนั้น

“มันเป็นข่าวลือน่ะ ว่ากันว่าพ่อยัยนั่นไปมีบ้านเล็กบ้านน้อยน่ะ แต่ฉันก็ไม่รู้รายละเอียดมากนักหรอก อึ้งไปเลยใช่ไหมล่ะ ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้น”

เสียงธีรชาเบาปลายราวตั้งใจจะกลืนคำพูดเหล่านั้นเข้าไปข้างในอีกครั้ง ก่อนจะมองออกไปข้างหน้าปล่อยให้ความเงียบส่งเสียงแทรกขึ้นมาตามวรรคว่าง

“แต่ฉันรู้ว่ายัยนั่นตัดสินใจทำอะไรบางอย่างลงไปแล้วล่ะ” ผมถอนหายใจหนึ่งเฮือก

“ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ยัยนั่นน่ะ” ธีรชายกมือขึ้นตบที่ไหล่ปลอบผมถี่ๆสองปุก่อนจะพาร่างผอมกะหร่องภายใต้หัวอันยุ่งเหยิงหายเข้าไปในห้องน้ำ

อีกนาทีต่อมาเสียงน้ำจากฝักบัวก็ดังขึ้น ผมที่ยืนตากลมอยู่ข้างนอกระเบียงนั้นยังไม่แน่ใจว่าเสียงน้ำนั้นเป็นเสียงของสายน้ำจากฝักบัวร่วงลงกระทบพื้นห้องน้ำหรือเป็นเสียงของคลื่นหนาจากท้องทะเลโถมตัวซัดเข้าหาฝั่งจากที่ไกลแสนไกล...














Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2550
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2550 15:17:25 น. 0 comments
Counter : 413 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jengkiss4
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2550
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728 
 
12 กุมภาพันธ์ 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add jengkiss4's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.