ความทรงจำสีจาง (ฉบับที่ 4: ความทรงจำสีฟ้า)
เข้ามาแปะตอนต่อนะคะ
อ่านเลยนะ
ฉบับที่ 4
ความทรงจำสีฟ้า สาเหตุของความฝันของคนเรามันเกิดขึ้นเพราะเหตุใดกัน นักวิชาการหลายต่อหลายท่านลงมือศึกษาเรื่องนี้มานานแต่ไม่เคยให้ความกระจ่างชัดแก่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนเราได้ ห้วงนิทราของผมขณะนี้ปรากฏภาพรางเลือนของร่างร่างหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าร่างนั้นคือผมเองหรือใคร
การดำเนินเรื่องของความฝันครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นที่ใต้ต้นไม้ร่มกว้างต้นหนึ่ง ดวงตาของผมเป็นจอรับภาพขนาดใหญ่ที่สามารถรับภาพได้ขนาดกว้างขวาง กล้องเดินและเริ่มสะเทือนเล็กน้อย เดาว่าพื้นดินที่ตรงนั้นขรุขระเอาการ
สักครู่ร่างอีกร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ร่างบางร่างนั้นเป็นเงาสีฟ้าโปร่ง เดินรี่เข้าไปหาหวังใจอยากจะเอ่ยถ้อยถาม
แต่เมื่อก้าวเดินของผมสาวเข้าไปใกล้ร่างนั้นมากเท่าไหร่ ร่างสีฟ้าโปร่งกลับล่องลอยห่างออกไปเท่านั้น เอื้อมมือออกไปไขว่คว้า หากสัมผัสเพียงความว่างเปล่าในอากาศเท่านั้น
ผมเกลียดที่ต้องเจอกับความฝันเลื่อนลอย ทั้งๆที่เมื่อก่อนไม่เคยฝันเรื่องแบบนี้มาก่อน คงเป็นเพราะจดหมายจากซองสีแดงซองนั้นกระมัง มันให้ความรู้สึกไม่แน่นอนเอาเสียเลย
แต่จะว่าไปผมเองก็ไม่เคยเอาแน่เอานอนอะไรเลยสักอย่างนี่นะ ทั้งที่ตัวเองเป็นคนที่เอาจริงเอาจังกับทุกอย่าง แต่สิ่งแวดล้อมกลับเบนความสามารถนี้เสีย
บางเรื่องเท่านั้นแหละที่อยากเอาแน่กับมัน แต่โชคก็ไม่เคยเข้าข้างสักครั้ง
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น สะดุดการเดินเรื่องของฝันอันเลื่อนลอยไว้เพียงเท่านั้น นึกขอบใจเสียงโทรศัพท์ยิ่งนัก
คว้ามือถือจากโต๊ะข้างเตียงกดรับ
ฉันเองนะ มารับหน่อยสิ เอ่อถ้าไม่สนิทกันจริงชาตินี้ทั้งชาติผมคงไม่มีทางตรัสรู้ได้ว่าไอ้ ฉันเองนะ นี่มันใคร
แกอยู่ไหน ผมส่งเสียงงัวเงียปนรำคาญไปตามสาย
อยู่ที่สถานีขนส่งน่ะ มารับเร็วฉันหิวข้าว เสียงนั้นสั่น อาจจะเป็นเพราะกระเพาะร้องดังลั่นก็เป็นได้
เออรออยู่ตรงนั้นก่อนเดี๋ยวไป ผมรับรู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร ก็ผมรู้จักเคยคุ้นกับเสียงกวนเกือกแบบนี้มาตั้งแต่มันยังเดินไม่ได้
มองนาฬิกาที่หัวเตียง บอกเวลาตี4 กว่าๆ
มันจะมาทำไมกันตอนนี้วะเนี่ย บ่นอุบกับตัวเองขณะรีบกระโจนออกจากห้องตรงดิ่งไปยังถนนใหญ่ คลื่นมนุษย์กำลังเริ่มเช้าวันนี้ด้วยความกระตือรือร้น ราวกับฝูงนกออกหากิน
กว่าจะฝ่าฝูงยวดยานซึ่งติดกันยาวเหยียดราวงูตัวใหญ่เลื้อยคลานอย่างเชื่องช้าเข้าหาเหยื่อ เมื่อมาถึงจุดหมายผมตรงดิ่งเข้าไปยังชานชลา
มองหาใครคนหนึ่งที่ยืนคอยเขาอยู่อย่างใจจดใจจ่อ กวาดสายตามองหาใครคนนั้น ผู้คนมากมายเดินปะป่ายไปทั่วบริเวณ
ทันใดผมก็สะดุดสายตาลงที่ชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกอดอกยืนพิงกำแพงอยู่ใกล้เค้านท์เตอร์พนักงานขายตั๋ว สำรวจความเปลี่ยนแปลงของชายหนุ่มคนนั้น
ผอมลงไปเยอะ หัวยุ่งยิ่งกว่าเดิมอีก กางเกงยีนส์ขาดๆตัวนั้นมันไปได้มาจากไหนวะ แล้วยังเสื้อยืดพิมพ์ลาย เชฯ ตัวนั้นอีก
ก่อนจะเดินเข้าไปทักผมพยายามคิดว่าจะกล่าวทักทายหมอนั่นอย่างไร
มาทำไมวะ ที่ผมคิดไม่ใช่คำนี้นี่นา
ไม่มีเงินกินเหล้า ก็เลยมาหางานทำ เสียงยังโทนเดิมแต่แหบพร่ากว่าเดิมคงเพราะสูบบุหรี่หนัก
ไอ้เวร ผมด่าเข้าให้ด้วยใบหน้านิ่มๆ เอือมระอากับท่าทางอวดดีนี้นัก
มาก็ด่ากันเลยนะ เกิดมาเป็นพี่ประสาอะไรวะ เส็งเครง ไม่แปลกใจเลยที่เกิดมาเป็นพี่น้องกัน
รีบไปเหอะ ขืนชักช้าเจอรถติดได้กลับที่พักกันตอนบ่ายแน่ ผมออกเดินนำหน้าน้องชายไปก่อน
นี่เดี๋ยวก่อน แกมีบุหรี่ไหม เจ้าชาถามขณะที่พยายามก้าวเท้าให้ทันผม คงคิดว่าผมจะรีบไปจับกระทิงที่ไหนกันวะ
ไม่มีโว้ย! ผมไม่ได้หันมาตอบ หากยังสาวฝีเท้าเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
อะไรวะ อย่าบอกนะว่าแกเลิกสูบไปแล้ว เตรียมจะบวชรึไง เจ้าน้องชายบ่นอย่างไม่สบอารมณ์ หุบปากแล้วก็รีบตามมา บทสนทนาจบลงแค่นั้นเมื่อเราทั้งสองก้าวขึ้นแท็กซี่
ธีรชา เป็นคนร่างล่ำสันกว่าผมผู้เป็นพี่ชาย ในขณะที่ผมสูงโปร่งและผอมกว่า นิสัยของเราจะว่าไปแล้วต้องบอกว่าใครที่ใจร้อนมากกว่ากัน
ผมใจร้อนเหมือนน้ำกำลังเดือดจากก้นหม้อ ราบเรียบแต่คมเฉียบ ต่างจากธีรชาซึ่งเป็นน้ำเดือดปุดๆที่ผิวหน้า หุนหันพันแล่นไม่ฟังเหตุผล
เราสองคนห่างหายจากกันหลังจากที่ผมเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ส่วนธีรชานั้นเข้าเรียนที่สารพัดช่าง ความเห็นของเราสองคนไม่เคยตรงกันเลยสักเรื่อง นั้นเป็นเพราะการเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน
ผมหนีออกจากบ้านตั้งแต่ประถม 6 ความโดดเดี่ยวและการเรียนรู้เพื่อเอาตัวรอดทำให้ตัวผมมีวุฒิภาวะมากกว่า ในขณะที่ธีรชาผู้ซึ่งถูกเลี้ยงดูอย่างทิ้งๆขว้างๆ จะมีนิสัยก้าวร้าว แข็งข้อ มากกว่า
ผมไม่ได้รังเกียจน้องชายตัวเอง เพียงเพราะความห่างเหินจึงทำให้ผมทำตัวไม่ถูก อย่างไรเสียธีรชาก็เป็นญาติเพียงผู้เดียวที่เหลือหลงอยู่ของผม ถ้าไม่นับผู้ชายคนนั้น
เมื่อกลับมาถึงที่ห้องพักเราไม่ได้คุยกันอีก ธีรชารีบกินข้าวและสูบบุหรี่ก่อนจะล้มตัวลงนอนเนื่องจากความเหนื่อยล้าจากการนั่งรถประจำทางมาหลายชั่วโมงไม่อำนวยให้สมองปลอดโปร่งมากพอสำหรับบทสนทนาใดๆ
ฝ่ายผมนั้นไม่สามารถข่มตาหลับลงได้อีกจึงหยิบจดหมายฉบับนั้นมานั่งอ่านทวนอีกครั้ง เกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกของตัวเองตอนนี้กันนะ
รู้สึกตื่นเต้น หายใจไม่ทั่วท้อง บางครั้งท้องไส้เกิดปวดมวนขึ้นมาเสียอย่างนั้น ราวกับกำลังรอให้บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น บางสิ่งบางอย่างที่ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้เลยในชาติภพนี้
ทิ้งร่างของตัวเองให้นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นจนถึงเวลาที่ขอบฟ้าระเรื่อสีของแสงตะวันยามเช้ามาถึง
มันเป็นวันแรกที่รู้สึกว่าท้องฟ้าในยามนี้ช่างงดงามนัก
วันเวลาของเช้าวันนี้และเวลาของวันนี้ทั้งวันเป็นคิวของวันพฤหัสบดี วันพฤหัสบดีคือวันหยุดของผม ตอนแรกก็คิดว่าจะเลือกเอาวันเสาร์สุดสัปดาห์เป็นวันหยุดงานเหมือนกันกับมนุษย์เงินเดือนทั่วไป
แต่คิดๆไปแล้วรู้สึกว่าวันพฤหัสบดีคือวันหยุดของผมจริงๆ จะว่าไปแล้ววันพฤหัสบดีเป็นวันหนึ่งในสัปดาห์ที่น่าสงสาร เพราะมันถูกลืมเลือนจากผู้คนบนโลกนี้
ผู้คนเกลียดชังวันจันทร์ ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นการทำงานวันแรก พอถึงวันอังคารบรรยากาศยิ่งร้อนระอุ น่าชังพอๆกับคืนวันที่ผ่านมา
เมื่อวันพุธกลางสัปดาห์มาถึงทุกคนก็ใจเต้นแรงขึ้น เพราะเมื่อวันแห่งกลางสัปดาห์มาถึงย่อมเป็นสัญญาณการมาเยือนของวันสุดท้ายในการแบกภาระในวันศุกร์ ทุกคนออกจะกระดี๊กระด๊านั่งนับเวลาให้ถึงสี่โมงเร็วๆจะได้ไปปลดปล่อยระเบิดของเสียที่จ่อรูทวารอยู่นานถึงห้าวันเต็มๆ
และแล้วความสำนึกในการมีอยู่ของวันพฤหัสบดี ก็ถูกกลืนหายไปกับบทสนทนา วางแผนทำกิจกรรมในวันสุดสัปดาห์ที่จะมาถึง ผู้คนเหล่านี้ไม่มีใครสักคนที่เรียกวันพฤหัสบดีว่าวันพฤหัสบดี หากเรียกเป็น พฤหัส จึงไม่น่าแปลกใจที่วันพฤหัสบดีจะเป็นวันที่แสนจะอาภัพ
สำหรับผมวันพฤหัสบดีเป็นวันที่พิเศษ
หอบเสื้อผ้าทั้งในและนอกตะกร้าข้างตู้ไม้หลังเดิมที่ยืนตระหง่านทำหน้าที่ของมันโดยไม่ยี่หร่าต่อกองฝุ่นบนหัว กำลังเอื้อมมือไปเปิดประตูไม้หน้าห้อง บางสิ่งถูกสอดเข้ามาตรงฐานของมันที่เว้นช่องว่างระหว่างพื้นไว้ไม่ให้เกิดสัมผัสเสียดสี
เมื่อเพ่งมองแสงสีแดงตกกระทบสาดวัตถุนั้นก่อนจะสะท้อนเข้าตา โน้มตัวลงเก็บมันขึ้นมา
ซองสีแดงสด...
ปล่อยให้ตะกร้าผ้าเน่าหล่นตุ๊บลงบนพื้นแล้วเดินไปยังทิศทางที่มีระเบียงหลังห้องเป็นจุดหมาย เจ้าโมกหันมามองด้วยสายตาแห่งความสงสัยว่าจะกลับมาทำไมอีก(วะ) ก่อนจะหันไปหลับตาพริ้ม ดื่มด่ำกับแสงตะวันอุ่นต่อ
ใจเต้นยังไงไม่รู้ อาการเหมือนเด็กหนุ่มมัธยมได้รับจดหมายรักก็ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียวที่อ่านจดหมายจากซองสีแดง เมื่อเปิดซอง กลิ่นกรุ่นที่แผกออกไปจากกลิ่นพฤกษาธรรมชาติก็ลอยมาแตะจมูก หรือเธอจะล้างมือด้วยสบู่ก่อนจะลงมือเขียน
คลี่กระดาษสีชมพูอ่อนให้แผ่ออก ข้างในนั้น...
29 พิจิก 05 กลางดึกสงัดและอากาศเย็น
ถึงเธอ...
จริงๆแล้วกลางดึกอันสงัดเงียบเช่นนี้เหมาะแก่การนั่งหลับและจินตนาการนัก แต่ฉันกลับหันมาจับปากกาเขียนถึงเธอ หลังจากอ่านจดหมายของเพื่อนรักจากแดนไกล ที่เพิ่งร่อนมาเทียบท่าที่หน้าบ้านในตอนบ่ายตะวันหนา ระยะทางที่เราห่างกันถูกเชื่อมต่อด้วยกระดาษเหล่านี้ ดังนั้นเราจึงไม่โดดเดี่ยว ไม่เหงา...
ฉันเมินเฉยการติดต่อสื่อสารทางกระบอกอิเล็คทรอนิคส์ ไม่ว่าจะเป็นมือถือ โทรศัพท์บ้าน หรือจดหมายคอมพิวเตอร์ หากจมตัวเองอยู่กับยุคสมัยแห่งการเริ่มต้นการติดต่อสื่อสารด้วยจดหมายกระดาษ
ฉันคลั่งเขียนราวกับเห่อการสื่อสารเช่นนี้ หลายต่อหลายคนถามว่า ไม่เหนื่อยบ้างหรือ เปลี่ยนมาเป็นโทร.หากันไม่ง่ายกว่าหรือ
ฉันตอบไปเพียงยิ้มเดียว แล้วนั่งก้มหน้าเขียนข้อความลงกระดาษต่อ นานวันเข้าพวกเขาก็ลงทุนซื้อปากกหมึกซึมมาให้พร้อมทั้งกระดาษที่เขามีไว้เขียนจดหมายกันจริงๆ น่าขำนะ
มีใครอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาชนเอาไยแมงมุมของฉันเข้าเต็มเปา เพียงแค่เสี้ยววินาที ฉันก็ตะครุบเหยื่อเคราะห์ร้ายตัวนั้นไว้ได้อย่างง่ายดาย
ฉันไม่รีรอหรือเปิดโอกาสให้เขาคนนั้นร้องขอชีวิต หากทิ่มแทงเข็มพิษตรงเข้าสู่หัวใจ
ภาพแห่งความทุรนทุรายไม่ได้ทำให้การกลืนกินร่างทั้งร่างหยุดชะงักแต่อย่างใด เมื่อกลืนกินอิ่มหนำแล้ว จึงขากคายเศษซากทิ้ง...
กว่าจะรู้ตัวฉันก็ทำร้ายคนอื่นอีกครั้ง...
แรกพบฉันส่งข้อความถึงเขาด้วยความคะนองของใจ นานวันเข้าฉันก็ตกหลุมที่ฉันขุดขึ้นมาเสียเอง ไม่น่าเชื่อใช่ไหม ว่าเขาเอาอะไรมองคนอย่างฉัน
แต่ทำความรู้จักกันได้ยังไม่ถึงครึ่งสัปดาห์ ฉันก็เป็นฝ่ายเดินออกมาจากชีวิตเขาเอง ทิ้งเขาไว้เบื้องหลังกับความงงงวยและวาบไหว เหตุผลเดียวที่ทำให้ฉันเดินออกมานั้นเพราะเงาของเธอ
ยิ่งฉันพยายามเอาใจไปผูกพันกับใครคนอื่นที่ไม่ใช่เธอ มันยิ่งเหมือนกำลังตอกย้ำให้ลึกลงไปอีกว่าฉันไม่สามารถลืมเธอได้
หรือเพราะใจดวงนี้มันเป็นก้อนเนื้อส่วนหนึ่งที่แบ่งมาจากใจของเธอกันนะ ไม่น่าเชื่อว่าคนคนหนึ่งจะจมตัวเองกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เนิ่นนานถึงเพียงนี้...
วันก่อนฉันเจอพี่มล ถ้าเธอยังจำพี่สาวคนนี้ได้ พี่เขาได้เป็นคุณครูสมใจแล้วนะ พี่เขาถามถึงเธอด้วย แต่ฉันตอบไปว่าฉันไม่รู้เพราะฉันไม่รู้จริงๆ
ฉันไม่ได้ข่าวคราวเธอเลยช่วงหลังนี้ อย่างไรก็ตามคืนนี้ฉันคงเข้านอนตอนตะวันฉาบฉายขอบฟ้าด้านตะวันออก ถ้าหากเธอตื่นเช้า ฝากทักทายดวงตะวันแทนฉันด้วย
การหายเงียบไป ของเธอกำลังทำ ให้ฉันคลั่ง เรา...
กับหนังสือกองภูเขาที่ต้องอ่านให้จบ
อะแฮ่ม...! เสียงนั้นสะดุ้งตัวผมราวกับเด็กถูกจับได้ว่ากำลังทำผิด
อะ...อ้าวตื่นแล้วเรอะ...หลับสบายรึเปล่า โยนคำถามแก้เขินไปที่เจ้าน้องชายที่เดินหัวฟูออกมาสมทบที่ระเบียง ร่างเปลือยเปล่าท่อนบนเผยให้เห็นกระดูกซี่โครงเมื่อธีรชายกมือขึ้นเพื่อบิดขี้เกียจ
ก็ดี ก็ฉันไม่ได้มีใครให้อดหลับอดนอนคิดถึงนี่หว่า ธีรชาเชื่อมสายตารู้ทันมาคาดคั้นเอาที่กระดาษจดหมายในมือผม
จดหมายรักจากสาวแดนไกลรึไง ปากพูดแต่สายตาเปลี่ยนไปเตร่อยู่แถวๆกระถางต้นไม้ที่ขอบระเบียงซึ่งขณะนี้กลายเป็นสวนหย่อมหลังห้องไปเสียแล้ว
หา...อะ...อะไร ไม่ใช่สักหน่อย มันก็แค่...
ยังไม่มีใครหรอกยัยนั่นน่ะ ธีรชาไม่รอให้ผมหาข้ออ้างสำเร็จ สายตาเขาทอดไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้าอย่างเลื่อนลอย
หา...! ผมเลิกลักรู้สึกว่าตัวเองปัญญาอ่อนทุกครั้งที่ถูกน้องชายรู้ทัน
เพื่อนรุ่นเดียวกันแต่งงานมีลูกจนจะได้ลูกสะใภ้ลูกเขยอยู่รอมร่อ แต่ยัยนั่นไม่เห็นจะมีข่าวคราวเรื่องอย่างว่า ธีรชาเหล่มองมาที่ผมซึ่งขณะนี้รู้สึกหน้าร้อนผ่าวถึงใบหู
ฉันหมายถึงเรื่องความรัก... คำอธิบายของเจ้าชาสร้างความอึดอัดในใจ
ใจเต้นมากกว่าที่เป็นราวกับว่ามันกำลังกระเด้งออกมากระแทกหน้าเจ้าน้องชายแสนรู้เสียเดี๋ยวนั้น อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นผิดปกติเหมือนกำลังจับไข้
หันหน้าไปเผชิญกับทะเลตึกเบื้องหน้าก่อนจะสูดลมหายใจเข้าอย่างเต็มที่เพื่อซ่อนเร้นความรู้สึก แต่ถึงอย่างนั้นทุกความเคลื่อนไหวของผมก็ยังหนีไม่พ้นสายตาเยี่ยงเหยี่ยวของธีรชาไปได้ รู้สึกว่าจะผอมลงและก็ดูเหมือนจะตัวเล็กกว่าเดิมนะ ยังเป็นเด็กขี้โรคเหมือนตอนประถมเปี๊ยบ ธีรชาท้าวความหลังด้วยรอยยิ้ม
ผมยาวเหมือนไม่มีตังค์ตัดงั้นแหละ กลายเป็นยัยหนอนสวมแว่นไปเสียแล้ว เจอเมื่อวันก่อนที่จะมานี่แหละ คุยกับยัยนี่ทีไรเหมือนคุยอยู่กับวิญญาณ สยองว่ะ
เสียงหัวเราะเบาๆเล็ดลอดออกมาให้ได้ยิน
แต่ดูเศร้าๆยังไงไม่รู้นะ อาจจะเพราะเรื่องครอบครัว...
เรื่องครอบครัวทำไม...! ผมหน้าซีดทั้งอายทั้งเสียฟอร์ม ที่ห้ามใจตัวเองไม่ได้ ผมอยากรับรู้ทุกความทุกข์และความสุขของเธอคนนั้น
นึกว่าจะแน่... สายแห่งผู้ชนะทำให้ อยากจะแทรกแผ่นดินหนีเสียเดี๋ยวนั้น
มันเป็นข่าวลือน่ะ ว่ากันว่าพ่อยัยนั่นไปมีบ้านเล็กบ้านน้อยน่ะ แต่ฉันก็ไม่รู้รายละเอียดมากนักหรอก อึ้งไปเลยใช่ไหมล่ะ ไม่น่าเชื่อว่าเรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้น
เสียงธีรชาเบาปลายราวตั้งใจจะกลืนคำพูดเหล่านั้นเข้าไปข้างในอีกครั้ง ก่อนจะมองออกไปข้างหน้าปล่อยให้ความเงียบส่งเสียงแทรกขึ้นมาตามวรรคว่าง แต่ฉันรู้ว่ายัยนั่นตัดสินใจทำอะไรบางอย่างลงไปแล้วล่ะ ผมถอนหายใจหนึ่งเฮือก ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ยัยนั่นน่ะ ธีรชายกมือขึ้นตบที่ไหล่ปลอบผมถี่ๆสองปุก่อนจะพาร่างผอมกะหร่องภายใต้หัวอันยุ่งเหยิงหายเข้าไปในห้องน้ำ
อีกนาทีต่อมาเสียงน้ำจากฝักบัวก็ดังขึ้น ผมที่ยืนตากลมอยู่ข้างนอกระเบียงนั้นยังไม่แน่ใจว่าเสียงน้ำนั้นเป็นเสียงของสายน้ำจากฝักบัวร่วงลงกระทบพื้นห้องน้ำหรือเป็นเสียงของคลื่นหนาจากท้องทะเลโถมตัวซัดเข้าหาฝั่งจากที่ไกลแสนไกล...
Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2550 |
Last Update : 12 กุมภาพันธ์ 2550 15:17:25 น. |
|
0 comments
|
Counter : 413 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|