การรอคอยการถึงของความเจ็บปวดที่แสนสุข

ความทรงจำสีจาง (ฉบับที่ 3: ข้อความ)

อ่านเรื่องนี้แล้วเศร้าเพราะว่าเป็นแค่ความทรงจำเท่านั้น ตอนนี้มันจบลงจริงๆแล้ว เราไม่สามารถที่จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้แล้ว เพราะสิ่งที่เหมือนเดิมของเรานั้นคือ ความว่างเปล่านั่นเอง...


ฉบับที่ 3

ข้อความ

(อนิล)

ลายมือก็ยังคุ้นอยู่ อ่านดูก็ยังคุ้นตา
ดีใจที่ได้รู้ว่า เจ้าของลายมือคือเธอ
เนิ่นนานเหลือเกินที่เราไม่ได้พบเธอ
วันนี้ได้เจออีกครั้งแค่เพียงจดหมาย
ใจความที่เธอถามไถ่อ่านไปก็ยังตื้นตัน
เธอยังอ่อนโยนเหมือนเก่า ยังเหมือนที่เคยเป็นมา
เหตุผลมากมายที่ทำให้เราร้างลา
และขอให้คืนกลับมา และจำว่าเพื่อนที่ดีที่สุดคือเธอ
แค่รู้ว่าเธอยังห่วง แค่เท่านั้นก็รู้สึกดี
และขอให้เธอโชคดี ฝากดูแลตัวเองเช่นกัน
วันเปลี่ยนและหมุนไป แต่ใจยังเป็นเมื่อวาน
ทุกๆอย่างในทุกวัน เปลี่ยนเป็นเธอทุกลมหายใจที่เข้าออก
จากวันที่เธอไม่อยู่ก็ตัวคนเดียวเรื่อยไป
ยังคงไม่ชินเท่าไหร่ที่ใช้ชีวิตลำพัง
กับความเหงาใจก็คงต้องเรียนรู้มัน ก็คงต้องมีสักวัน
จะลงนั่งเขียนจดหมายไปขอบคุณเธอ
นานแค่ไหน ไม่ลืมเธอ
(จากวันที่เธอไม่อยู่ : พาย)


เสียงเพลงจากคลื่นสัญญาณทั่วประเทศบรรเลงจังหวะเศร้าเคล้าอากาศเหน็บหนาวของคืนวันจันทร์ ผมนั่งจมปุกอยู่กับที่ตั้งแต่กลับจากที่ทำงานจนป่านนี้ กระถางเจ้าโมกขาวกำลังเต้นรำล้อสายลมอย่างร่าเริง


เจ้าช่างไม่รู้เอาเสียเลยว่าตัวเองถูกทิ้ง...


ผมคิดพลางมองจ้องเจ้าต้นโมกอย่างเอ็นดู ก่อนจะละสายตาจากต้นพืชมาหยุดอยู่ที่ซองจดหมายสีแดงในมือ แสงเพียงน้อยนิดที่ฉาบฉายออกมาจากข้างในห้อง ทำให้ซองสีแดงสดเปลี่ยนสีเป็นสีแดงของเลือดที่เน่าเสีย


เอื้อมมือไปหยิบกรรไกรที่เตรียมไว้อยู่ก่อนแล้ว บรรจงหนีบขอบซองทางด้านซ้ายมือให้ตรงที่สุดเท่าที่จะตรงได้ แต่ผลคือขอบซองกลายเป็นฟันปลาไปเสียแล้ว เพราะผมไม่สามารถควบคุมอาการสั่นเทาของร่างกายของตัวเองได้ คงเพราะหัวใจกำลังเต้นแรง แรงจนจังหวะการเต้นของหัวใจสั่นคลอนร่างกายทั้งร่าง


วางกรรไกรลงไว้ที่เดิมเมื่อหน้าที่ของมันลุล่วง


เทซองอย่างระมัดระวัง เมื่อสิ่งที่อยู่ข้างในโผล่ออกมา ดึงมันออกมาสัมผัสอากาศภายนอก กระดาษชมพูนวลอยู่ในมืออย่างสงบก่อนที่จะถูกคลี่ออกมาอย่างอ่อนโยน กลิ่นหอมอ่อนๆลอยมาแตะที่จมูกเบาๆ มันหอมละมุนเสียจนไม่สามารถควบคุมสติ ยกมันขึ้นมาสูดดม ก่อนจะอ่านข้อความในจดหมาย




25 พิจิก 05
ถึงเธอ...


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกในรอบวันที่ฉันคิดถึงเธอ
ฉันคิดเรื่องเธอมากมายเหลือเกินระยะนี้
ดังนั้นจึงหวังใจว่าการเขียนข้อความถึงเธออาจจะช่วยคลายความคิดถึงลงได้บ้างได้
สาเหตุเพียงข้อเดียวที่ฉันเค้นมันออกมาจากหัวที่พอจะเป็น
หลักฐานให้กับการวินิจฉัยอาการกระวนกระวายใจนั้นคือ
เพียงเพราะฉันยังต้องเผชิญกับมันเพียงลำพัง
ไม่ว่าจะเป็นสถานที่เดิมๆ ผู้คนคุ้นหน้า สิ่งของชิ้นเก่าเก็บ
และความทรงจำวันวาน ฉันนี่เองที่ต้องอยู่กับมัน
พยายามหลายต่อหลายครั้งแล้วว่าจะมองในสิ่งอื่นบ้าง
แต่พอตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่คิดถึงคือเรื่องเธอ...

การเขียนข้อความถึงเธอมันเป็นเรื่องยาก
กว่าจะกลั่นกรองความรู้สึกจากข้างในออกมาเขียนเป็นข้อความ
มันใช้เวลานานโข เนื่องจากความรู้สึกของฉันที่มีต่อเธอมันยากที่จะอธิบาย
แม้แต่ฉันเองยังไม่แน่ใจกับมันเลย
ถ้าจำไม่ผิดเธอไม่โปรดปรานการเขียนมากนัก หรือแม้แต่จะอ่าน
ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังเขียนมัน หวังว่าสักวันเธอจะรับรู้...

ปัญหาก็คือฉันไม่สามารถรู้ได้ว่าเธออยู่ที่ไหนในเวลานี้
ทำอะไรอยู่ และเป็นอย่างไรบ้าง
รู้ว่าคำถามที่ถามออกไปคงไม่ได้รับการตอบกลับมา
แต่ฉันแค่อยากจะถ่ายเทความอึดอัดปนลงไปในหมึกปากกาบ้าง
ชีวิตในแต่ละวันของฉันกำลังดำเนินไปอย่างที่มันควรจะเป็น
ฉันยังเป็นคนขี้ขลาดที่ยังทำตามความต้องการของผู้อื่นอยู่เช่นเคย
ความใฝ่ฝันที่มีมันกำลังจะพังทลายลงไปแล้ว
ความฝัน...ช่วงเวลาที่ฉันเคยใช้ไปกับเธอ
ฉันไม่ได้เอ่ยปากบอกเธอออกไป เพราะคิดว่ามันไม่จำเป็น
แต่ในเมื่อเธอไม่อยู่แล้ว ฉันจึงรู้สึกว่ามันช่างสำคัญนักที่จะมีใครสักคน
แม้เป็นเพียงคนเดียวในโลก
ที่จะมารับรู้แบ่งเบาความฝันและคอยให้กำลังใจ

อย่างไรก็ตามฉันกำลังพยายาม...

ฉันไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าจะได้พบเจอกับเธออีกเมื่อไหร่
เราสองคนอยู่ห่างกันมากเกินกว่าที่ดึงกันและกันกลับมาเป็นเหมือนเดิม
ช่องว่างซึ่งกั้นสองฟากออกจากกันนั้นมันทวีระยะมากขึ้น
ดังนั้นทั้งสองฝ่ายไม่สามารถหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาถมทับมันเพื่อเชื่อมต่อกันขึ้นมาได้ใหม่
ฉันเข้าใจแต่ไม่เคยจะรับรู้ บางทีฉันก็สงสัยเหลือเกินว่า
ฉันมีความรู้สึกอย่างนั้นกับเธอจริงหรือว่ามันเป็นเพียงความรู้สึกชั่ววูบ
กอปรกับความเหงาที่ไม่มีใครมาดูแล
แม้จะลังเลว่าเธออาจจะคิดสวนทางกับฉัน
ฉันก็อยากซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่คนคนหนึ่งจะมีได้
แล้วเธอเล่า เคยรู้สึกคิดถึงฉันบ้างไหม

จะมาทวงถามเอาอะไรจนป่านนี้ ขอโทษที่ฉันบ้าไปเอง
ฉันเป็นไปเองข้างเดียว มาแสนนาน
ไม่อาจรู้ว่าเมื่อไหร่ข้อความของฉันจะส่งไปถึงเธอ
แต่ฉันเชื่อว่าสักวันฉันต้องได้เจอเธอ
และเมื่อวันนั้นมาถึงจะเป็นคนยื่นข้อความทั้งหมดนี้ให้เธอด้วยตัวเอง

“หมึกปากกาสีฟ้าคราม
ทำให้ฉันคิดถึง
ทะเล”

ฉัน...





ผมอ่านทวนอีกครั้ง อ่านอย่างพินิจพิจารณาและเมื่ออ่านจบกระดาษแผ่นนั้นก็ถูกพับตามรอยเดิมของมัน


ไม่อยากจะเข้าข้างตัวเองว่าเจ้าลายมือนี้คือใครคนหนึ่งที่ผมไม่สามารถเอาหัวใจของตัวเองคืนมาได้ ตัดสินใจเดินเข้าไปข้างในห้อง ตรงนั้น, ตู้เสื้อผ้าชั้นล่างคือลิ้นชัก เอื้อมมือไปเปิดมันออกมา สอดมือเข้าไปควานหาบางสิ่ง เมื่อหยิบออกมาได้ผมก็รีบคว้าซองสีแดงขึ้นมาเทียบกับเจ้าซองจดหมายสีฟ้าในทันที


มีบางอย่างผิดปกติ... อย่างแรกคือสีของซอง เธอคนนั้นใช้ซองสีฟ้าเสมอเมื่อนานมาแล้ว แม้หลังจากเรื่องราวครั้งนั้นจะทำให้ผมไม่ได้รับจดหมายจากเธอคนนั้นอีกเลยก็ตาม แต่ผมก็ยังเชื่อว่าเธอจะไม่ใช้ซองสีอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซองสีแดง


อย่างที่สอง ลายมือที่หน้าซองของทั้งสองฉบับนั้นแตกต่างกันลิบลับ ซองสีฟ้าลายมืออวบกว่าซองสีแดง อีกอย่างช่องไฟของซองสีฟ้าจะแคบกว่าซองสีแดง ถ้าจะให้เห็นภาพ ลายมือของซองสีแดงออกจะเป็นลายมือคิกขุ วัยรุ่น เสียมากกว่า ต่างจากซองสีฟ้าที่เขียนเหมือนคัดไทย แต่ไม่มีหัว


ประการที่สามคือ เธอคนนั้นไม่ใช้หมึกปากกาสีอื่นนอกจากสีฟ้าคราม ซึ่งซองสีแดงใช้สีน้ำเงิน อีกอย่าง กระดาษจดหมายของเธอคนนั้นไม่เคยมีสีชมพูนวล หากเป็นสีขาวนวลของกระดาษจากสมุดบันทึกที่ฉีกอย่างลวกๆ รวมทั้งสมุดเล็กเชอร์


สุดท้ายคือ การติดแสตมป์ ซองสีแดงติดตั้งตรงทำมุมฉากกับซองสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่ซองสีฟ้ากลับติดให้เอียงกระเท่เร่ประมาณ 25 องศากับซอง


วันเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปจะหล่อหลอมคนเราให้เปลี่ยนความเชื่อมั่นในบางอย่างได้อย่างนั้นเชียวหรือ หลังจากร้างปากกามาสองปี ลายมือของเธอเปลี่ยนไปแล้วหรือ แล้วใจของเธอเล่า ไม่รู้ว่าถูกกาลเวลาชะล้างเอาความทรงจำบางอย่างออกไปด้วยหรือไม่

อย่างไรก็ตามเธอไม่มีทางที่จะเขียนเรื่องราวใดมาเล่าให้ผมฟังได้อีกแล้ว เพราะเธอไม่รู้ที่อยู่ของผม หรืออาจจะรู้ แต่คนอย่างเธอไม่มีทางเขียนถึงผมอย่างแน่นอน และถึงแม้จะเขียนก็คงเป็นเพียงระบายความเรื่องราวลงในสมุดบันทึกเท่านั้น อย่างที่เธอเขียนเป็นประจำ

และมันคงจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของซอกมุมของความทรงจำเท่านั้น


น่าแปลก มันจะเป็นไปได้ยังไง รู้สึกขัดๆยังไงก็ไม่รู้


ไม่อาจรู้ว่าเมื่อไหร่ข้อความของฉันจะส่งไปถึงเธอ แต่ฉันเชื่อว่าสักวันฉันต้องได้เจอเธอ และจะยื่นข้อความทั้งหมดนี้ให้เธอด้วยตัวของฉันเอง...


เธอบอกมาเช่นนั้น แสดงว่าเธอไม่รู้ที่อยู่ของผม แต่แล้วจดหมายนี่มันหมายความว่าอะไรกัน อย่างไรก็ตาม เจ้าของจดหมายอาจจะไม่ใช่เธอคนนั้น

แต่ผมก็นึกไม่ออกว่าจะมีใครที่ผมรู้จักที่คลั่งการเขียนจดหมายอย่างรุนแรงเท่าเธอคนนั้นอีก ยิ่งยุคสมัยของการสื่อสารด้วยเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง อีกอย่างเรื่องบทสนทนาครั้งก่อนยิ่งเน้นย้ำให้ผมมั่นใจว่าเธอหมดสิ้นแล้วกับความรู้ รัก...


“จะเอายังไง พอฉันหันหลังให้เธอก็ตามหลังฉันมา ทีฉันหันหน้าหาเธอก็ห่างหายไป” เสียงหงุดหงิดของคนคุ้นเคยวิ่งผ่านตามคลื่นโทรศัพท์มายังเครื่องรับในมือผม


“ถ้าไม่มีเธอแล้วฉันจะอยู่ยังไงล่ะ ฉันจะอยู่เพื่อใคร ฝ่าฟันอุปสรรคต่างนานาเพื่อสิ่งไหนกัน” ได้ยินเสียงรัวของตัวเองที่ตอบกลับไป เพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์แท้ๆที่ทำให้ผมสามารถหลั่งคำพูดเหล่านั้นออกมาได้

“ฟังนะ เราสองคนต่างคนก็ต่างอยู่ อย่ามายุ่งกับฉันอีก”


“ก็ฉันยังรักเธอนี่นา ฉันรักเธอได้ยินไหม ไม่ว่าจะนานแค่ไหนฉันก็ไม่เคยลืมเธอเลยได้โปรด...”


“ฟังนะ ฉันไม่เหลือความรู้สึกเหล่านั้นอีกแล้ว!”


เธอวางสายไปแล้ว เหลือเพียงผมคนเดียวในนั้น ตู้โทรศัพท์สาธารณะข้างถนน สายลมหนาวยะเยือกเข้ามาถึงในนี้แม้จะมีกระจกรอบด้าน

ไม่แน่ใจ ลมหนาววูบนั้นพัดมาจากข้างนอกหรือข้างในใจของผมกันแน่ คืนนั้นผมเมาไม่รู้เรื่อง สิ่งสุดท้ายที่จำได้มีเพียงเสียงเธอคนนั้น...


แม้ว่าเราจะคบกันมาตั้งแต่มัธยมศึกษาที่ 1 แต่ผมยังไม่แน่ใจในความผูกพันของผมและเธอเลย อย่างที่เธอว่าเวลาใดที่ผมใส่ใจเธอมาก เธอจะพยายามหลีกเลี่ยงความห่วงใยของผม เช่นเดียวกันเมื่อเธอต้องการให้ความสำคัญกับผมบ้าง ตัวผมเองก็จะเดินหนี


ไม่ใช่ไม่รักเธอ แต่มันเป็นความรู้สึกของความกลัวที่เกิดขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ความกลัวนั้นมันคืออะไรกันนะ จนป่านนี้แล้ว ผมยังไม่สามารถตอบคำถามของตัวเองได้เลย...



บางครั้งผมก็คิดว่ามันอาจจะเป็นเพราะนิสัยของผมและเธอที่เหมือนกันเกินไป สิ่งนั้นผมก็มีเหมือนที่เธอมี สิ่งนี้ของผมเธอก็ไม่ต่าง เหมือนจิ๊กซอว์ที่รูปร่างเหมือนกันในทุกสัดสวนโค้งเว้า หาความต่างไม่เจอ ดังนั้นเราทั้งสองจึงไม่สามารถต่อกันติด


เราทั้งสองจึงไม่สามารถยืนชิดกันแม้แต่ยืนเคียงข้างก็ยังทำไม่ได้ ได้แต่จำใจที่จะอยู่ ณ ตำแหน่งที่ตัวเองสมควรจะอยู่ เพื่อให้ภาพจากจิ๊กซอว์ภาพนั้นเป็นรูปเป็นร่างสมบูรณ์ขึ้นมา


ความทรงจำของเรา นับวันจะเลือนรางลงไปทุกที แม้ในยามนี้จะอดคิดไม่ได้ว่าเจ้าของจดหมายในซองสีแดงนี้เป็นคนเดียวกันกับเจ้าของจดหมายสีฟ้าก็ตาม ผมไม่สามารถที่จะเค้นเอาความทรงจำเกี่ยวกับเธอขึ้นมาได้อย่างชัดเจน บางสิ่งเท่านั้นที่ผมจดจำได้


ดวงตากลมโต นัยน์ตามีแววสงบ เธอมักจะสบตาอย่างจริงจังไม่ว่าเรื่องที่กำลังคุยอยู่นั้นจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องใหญ่โตมาก

เธอจะหลบตาเมื่อมีปัญหาเท่านั้นและเพราะเช่นนั้นที่ทำให้ผมจดจำบางส่วนของเธอคนนั้นได้

เธอเป็นคนพูดน้อย จนเมื่อใช้เวลาอยู่กับเธอเขาจะรู้สึกว่าเขากำลังอยู่ในช่วงพักร้อน

ถึงอย่างนั้นตัวเองก็ไม่เคยเรียกร้องถ้อยคำใด ยอมรับว่าผมหลงใหลความเงียบของเธอเข้าให้แล้ว


เข้าห้องน้ำเพื่อชำระร่างกายที่อาบเหงื่อไคลมาทั้งวัน เพราะตื่นเต้นกับงานในหน้าที่ใหม่ทำให้ผมทำงานไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย

ผ้าเช็ดตัวพาดอยู่ที่ราวเสื้อผ้าก่อนหน้านี้ถูกคว้ามันมาห่มท่อนล่างอย่างลวกๆ เมื่อก้าวออกมาจากห้องน้ำจึงรู้สึกว่าตัวเองสูดหายใจได้อย่างเต็มปอด รู้สึกโล่งจากปลายจมูกจนถึงปลายนิ้วเท้า

การปิดบานประตูอาบน้ำอุ่นในหน้าหนาวให้ความรู้สึกราวกับว่าได้ยกเอาห้องซาวน่ามาไว้ที่ห้องอย่างนั้น คิดว่าจะพังประตูนี้ออกแล้วหาผ้าบางๆมากั้นเป็นฉากแทน คงช่วยให้มีแก่ใจอาบน้ำให้มันนานกว่านี้


“เสร็จแล้วเหรอ” ได้ยินเสียงของตัวเองกล่าวกับเธอเมื่อนานมาแล้วอย่างตกใจ

“อึ้ม” เธอไม่ได้สบตาเพราะมัวแต่ควานหาอะไรบางอย่างอยู่ในถุงพลาสติก

“ผู้หญิงเขาต้องอาบน้ำนานๆสิ ตกลงนี่อาบน้ำรึเปล่าเธอ” ผมพยายามถามอย่างระวังเพราะถ้าคำถามไม่สบอารมณ์ของเธอผมอาจชะตาขาดได้ทุกเมื่อ


“ฉันเข้าไปอาบน้ำนะไม่ได้เข้าไปซ่อมท่อประปา ไปเหอะ...” ผมยอมจำนนเพราะที่เธอพูดมันก็ถูก


นั้นคือความทรงจำสีจางที่ผมเริ่มมองเห็นขึ้นมาบ้างแล้วหลังจากนอนทั้งที่ร่างยังเปลือยอยู่


ภายในหนึ่งสัปดาห์ เราจะนัดกันเอาวันใดวันหนึ่งในสัปดาห์ให้เป็น วันแห่งอิสรภาพ นั่นคือการโดดเรียนไปทัศนศึกษานอกพื้นที่ นั่นเอง


มีอยู่ครั้งหนึ่ง มันเป็นวันจันทร์ เช้าวันจันทร์ที่ใครๆต่างพากันรีบเร่งเพื่อให้ทันเวลาเช็คชื่อเข้าเรียนหรือตอกบัตรเข้าทำงาน แต่เรากลับตื่นเอาตอนตะวันสายของวัน ด้วยอ้างว่าเป็นโรคอะไรก็ได้นอกจากโรคเอดส์และเริม รอให้พ่อกับแม่ออกไปทำงานแล้วจะเป็นเวลาของผมและเธอ เรื่องแม่นั้นไม่มีปัญหาสำหรับผมเพราะท่านไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว

ส่วนพ่อ ผมไม่รู้จักคำนี้มานานแค่ไหนแล้วนะ ผมออกจากบ้านก่อนเวลานัดประมาณหนึ่งชั่วโมง เพราะไม่แน่ใจในบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้น


และแล้วสิ่งที่กังวลก็เกิดขึ้น การไปถึงบ้านเธอก่อนหน้าเวลานัดเพื่อเตรียมข้าวของเครื่องใช้ของเธอให้เรียบร้อยก่อนจะเตรียมเสบียงอาหารและเครื่องดื่มสำรอง

เมื่อถึงเวลานัดผมกลับไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของสิ่งใดจากภายในบ้าน ได้ยินเพียงเสียงดังสนั่นลั่นบ้านของเจ้านาฬิกาปลุกจากห้องของเธอเท่านั้น

ผมตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องของเธอเพื่อดูว่าเธอเป็นอย่างไรบ้าง


เมื่อก้าวย่างเข้าไปในห้องของเธอ สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาคือห้องรกๆห้องหนึ่ง

ปิดประตูบานนั้นลงดังเดิมเพราะคิดว่ามันคงเป็นห้องเก็บของเท่านั้น แต่เมื่อหยุดคิดอีกทีเสียงนาฬิกามันดังมาจากห้องนี้นี่นา


เปิดประตูเข้าไปใหม่ มองฝ่ากองกระดาษและเศษซากกระดาษทิสชู่ อุปกรณ์วาดภาพ กลิ่นสีน้ำลอยเข้ามาปะทะจมูกของเขาจนรู้สึกเวียนหัว

ทันใดนั้นบางอย่างที่กองผ้าที่ชิดอยู่กับผนังก็เคลื่อนไหวขึ้นมา ผมเพ่งมองอย่างกังวลปนหวาด เพราะถ้ามันเป็นเจ้าหนูน้อยสักตัวล่ะก็ผมจะต้องหาทางออกจากบ้านหลังนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


แต่นั่นมันใบหน้าของมนุษย์นี่นา ....! เธอคนนั้นนั่นเอง รีบแหวกเศษกระดาษเข้าไปหาเธออย่างร้อนใจ

“นี่...เป็นอะไรน่ะ ตื่นได้แล้วถึงเวลาออกบินแล้วนะ” ผมขยับเข้าไปใกล้เธออีกก้าว

เมื่อชะโงกหน้าเข้าไปมองเธอ ใบหน้าซีดเซียวจมอยู่กับหมอนนุ่ม คิ้วของเธอ ขมวดเข้าหากันราวกับกำลังเจ็บปวด

“นี่!” ผมเอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของเธอ ก่อนจะชะงักมือกลับมาเมื่อสังเกตว่าเธอลืมตาขึ้นมา

“ฉันปวดหัวจริงๆเสียแล้ว...” คำพูดนั้นกระแทกต่อมฮาของผมอย่างจังจนไม่สามารถที่จะอดกลั้นเอาไว้ได้ จึงต้องยอมให้มันหลั่งไหลออกมาเป็นคลื่นเสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วห้อง

“เอ๊า!! แล้วจะได้ไปไหมล่ะนี่ ว้าเบื่อจริงคนที่เวรกรรมตามทันเนี่ย”

ผมว่าพลางเหลือบไปมองเธอที่กำลังนอนทำหน้างอนตุ๊บป่องอยู่ใต้ผ้าห่มนั้น ไม่มีท่าทีจะมาต่อล้อต่อเถียงกับผมอีกสักครู่ใหญ่ เธอในตอนนั้นเหมือนกับลูกแมวขี้อ้อนตัวหนึ่งเท่านั้น...


วันนั้นทั้งวันผมจึงต้องคอยดูแลเธอจนถึงเวลาที่พ่อแม่ของเธอกลับมา จึงกลับไป

นั่นเป็นวันแรกที่ผมได้เห็นแม่เสืออย่างเธอถอดเขี้ยวเล็บทำตามคำสั่งของผมทุกประการไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกินข้าวหรือกินยาตามเวลา ช่างเป็นช่วงเวลาที่หอมหวาน


อา...จำได้แล้ว ผมจำได้แล้ว ความทรงจำอันรางเลือนไม่ได้ลบเลือนออกไปจากหัวใจของผมอย่างจริงจังสักครั้ง แต่ถึงจะรู้อย่างนั้นผมก็ไม่กล้าที่เดินหน้าเข้าไปขอเธอตรงๆกับผู้ใหญ่ กลัวอะไรอยู่นะ...





 

Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2550
0 comments
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2550 13:11:06 น.
Counter : 495 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


jengkiss4
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2550
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728 
 
10 กุมภาพันธ์ 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add jengkiss4's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.