การรอคอยการถึงของความเจ็บปวดที่แสนสุข

ความทรงจำสีจาง (ฉบับที่ 2: สิ่งใดที่สำคัญ)

ตอนที่ 2 ต่อเลยแล้วกัน อ่านซ้ำแล้วมันยังรู้สึกแปลกๆอยู่เลย เป็นไงก็ลองอ่านแล้วคอมเม้นด้วยนะจ๊ะ



ความทรงจำสีจาง

ฉบับที่ 2 สิ่งใดที่สำคัญ



ผมเป็นคนย้อนศร....นี้คือนิยามของผมที่เพื่อนร่วมงานในโรงแรมต่างร้อง อ๋อ !!! เจ้าคนย้อนศรน่ะเหรอ ป่านนี่คงนั่งคุยอยู่กับพวกต้นไม้ใบหญ้า

ผมเป็นคนจริงจังกับสิ่งที่รักที่ชอบมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้บางครั้งจะดูเหมือนว่าผมเป็นคนไม่มีหัวใจอย่างที่ใครๆบอกกล่าวว่า คนที่วันเกิดดันไปตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ด้วยแล้ว ยิ่งโดนคาดโทษเพิ่มอีกหลายกระทง

แต่นั่นเป็นเพราะสาเหตุหลายประการควบคู่กันไปด้วย อย่างที่ใครเขาว่า อย่าฟังความข้างเดียวนั่นแหละ


ผมไม่ชอบที่แม่ไม่ยอมอั้นไว้ก่อน ถึงวันที่ 15 แล้วค่อยคลอด หรือไม่ก็เบ่งผมออกมาตั้งแต่วันที่ 13 และนั่นก็เป็นเพียงข้อเสียข้อเดียวที่ผมสามารถหาเจอ

ดูเหมือนว่าทุกคนจะให้ความสำคัญกับวันแห่งความรักนี้อย่างเต็มที่ แล้วยิ่งได้รู้ว่าผมลืมตามาดูโลกในวันแห่งความรักต่างก็พากันอิจฉาตาร้อนกันทั้งนั้น

บางครั้งผมก็หงุดหงิดเกินกว่าจะห้ามตัวเองไม่ให้คิดว่า ถ้าวันเกิดมันแบ่งให้กันได้เหมือนแบ่งของกินหรือเสื้อผ้า แม้ว่าจะไม่มีใครเอ่ยปากขอ ผมก็จะเต็มอกเต็มใจยกให้เสียเดี๋ยวนั้น


แต่ในความเป็นจริงแล้ว

แต่ผมยังโชคดีที่ในโลกนี้มีอยู่คนเดียวเท่านั้นที่หลงลืม ไม่สิเธอไม่ได้หลงลืม หากไม่รับรู้การมีอยู่ของวันแห่งความรักอย่างที่คนอื่นเขาเห่อกันต่างหาก


เธอคนนั้น...เธอคนที่มีอิทธิพลต่อผมมากในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา


ห้องของผู้จัดการโรงแรมอยู่ข้างในเข้าไปอีก ทางเดินไปสู่ประตูนั้นออกจะอึมครึม สลัว เพราะมีผนังตึกทั้งสองข้างกีดกั้นแสงอาทิตย์จากภายนอกให้สาดแสงเข้ามา แม้แต่รูหรือช่องให้ลำแสงของดวงอาทิตย์เล็ดลอดเข้ามาก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้

ถึงแม้ว่าสีขาวจะถูกทาทาบลงไปบนเนื้อผนัง หากไม่ได้ช่วยให้มันสว่างขึ้นมากกว่าที่เป็น


เป็นเพราะความไม่ยั้งคิดแท้ๆที่ทำให้ตัวเองต้องมาเดินคอตกไปข้างหน้าอย่างหาหนทางไม่เจอ แต่เมื่อคิดย้อนหลัง ผมกลับไม่ได้รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป


“ในเมื่อจะเปลี่ยนอยู่แล้วทำไมไม่เอามันไปพักฟื้นที่ไหนสักแห่งแล้วก็เอาต้นใหม่มาใส่ จากนั้นพอต้นนี้มันโทรม เราก็สามารถหมุนเวียนเอาต้นที่เรานำไปพักฟื้นมาตั้งได้ใหม่ ไม่เห็นจะต้องทิ้งไปแบบนี้เลย”

ผมเห็นตัวเองยืนกรานคัดค้านกับการโละกระถางต้นไม้ที่ใช้ประดับตามโรงแรม มันเป็นวันที่ฟ้าแจ่มใสมากจนไม่คิดว่าอารมณ์ของตัวเองจะฉุนเฉียวตั้งแต่เช้าได้ถึงเพียงนี้

หรืออาจจะเป็นเพราะบทสนทนาทางโทรศัพท์เมื่อคืนก่อนกระมัง คำพูดเหล่านั้นมันยังคงวิ่งวนชนกำแพงกะโหลกอยู่เนืองๆ


“คุณเป็นใครมาเถียงนโยบายการบริหารงานของผม” นั่นแหละคนที่พนักงานทั้งโรงแรมเรียกเขาว่า “เจ้านาย”



“ผมไม่ได้หาว่าแผนบริหารของเจ้านายชุ่ยหรอกนะครับ เพียงแต่คิดว่าเราไม่น่าสิ้นเปลืองกับเรื่องแค่นี้เลย ถึงแม้ว่าต้นไม่จะหาซื้อได้ไม่ยากเราก็ไม่ควรจะซื้อพร่ำเพรื่อทั้งๆที่ของเก่าเราก็ยังใช้ได้นะครับ”


ผมยังไม่ละความพยายาม พนักงานคนอื่นๆเมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นๆก็กรูกันเข้ามาเกาะกลุ่มชะโงกหน้าชะโงกหลังติดตามสถานการณ์อยู่ห่างๆด้วยความอยากรู้อยากเห็น


“แต่ถ้าเราทำแบบนั้นเราก็ใช้ของเก่า แล้วอีกอย่างมันก็จะไม่ดึงดูดลูกค้าเพราะไม่มีสิ่งใหม่มาดึงดูด”


“ผมคิดว่าลูกค้าเราเดินเข้ามาก็ไม่ได้มีจุดหมายจะชื่นชมกับต้นไม้ดอกไม้อยู่แล้วล่ะครับ พวกเขาต้องการที่พักหลับนอนเท่านั้น

อีกอย่างสำหรับแขกที่ต้องการค้างหลายคืนเราก็มีสวนพรรณไม้เตรียมไว้ให้อยู่แล้วทางด้านหลังของตึกโน่น เราไม่จำเป็นต้องรื้อกระถางทั้งหมดไปทิ้งนี่ครับ

อีกอย่างต้นไม้หรือดอกไม้มีความเก่าใหม่ด้วยอย่างนั้นหรือครับ ถ้าเป็นถุงเท้าก็ว่าไปอย่าง ขนาดถุงเท้าไม่มีชีวิตเมื่อเก่ายังสามารถนำไปเป็นผ้าขี้ริ้วได้

แล้วกับต้นไม้ที่มีชีวิต จะไม่มีประโยชน์อะไรหลงเหลืออยู่เลยหรือครับ” ผมไม่รู้แล้วว่าตัวเองกำลังทำอะไรลง


“ยังไงก็เถอะ คุณไม่มีสิทธิ์จะมาแนะนำชี้ทางผม ชาติ แกรีบโละกระถางที่ล็อบบี้ออกให้หมดแล้วจะเอาไปทิ้งที่ไหนก็ได้ไป!”

เจ้านายตะคอกพนักงานคนหนึ่งให้รีบทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว พนักงานชายร่างผอมกระโดดออกจากที่นั่นด้วยความตื่นตระหนก กลัวตำแหน่งจะหลุดจากหัว ตรงไปยังกองกระถางที่วางระเกะระกะไว้รอการกวาดล้าง


“งั้นผมขอซื้อเจ้าต้นไม้พวกนั้นทั้งหมดเลย และผมขอลาออกตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!” จำได้ว่าตัวเองตะคอกจบก็สาวเท้าวิ่งไปยังที่ที่พนักงานที่ชื่อชาติคนนั้นกำลังยกเจ้ากระถางต้นโมกต้นสุดท้ายขึ้นรถเตรียมเอาไปกำจัด




เพราะเหตุนี้อย่างไร ผมจึงต้องมาเดินอย่างซากศพหมดอาลัยตายอยากอยู่อย่างนี้

เคาะห้องสามทีตามที่เขียนไว้ในระเบียบร้อยข้อของโรงแรม ความจริงแล้วผมไม่เคยเหลียวมองมันเสียด้วยซ้ำ แต่ที่จำข้อนี้ได้เพราะมีกระดาษระเบียบร้อยข้อแปะอยู่หน้าห้องของท่านเจ้านายนั่นเอง


“เข้ามาได้” เสียงส่อถึงพลังอำนาจของผู้นำจนทำให้ผมสะดุ้งก่อนจะเอื้อมมือไปผลักบานประตูเย็นเฉียบเข้าไปข้างใน

ข้างในนั้นชายวัยกลางคนกำลังนั่งรออยู่ ร่างท้วมรับกับผมแซมเทา มองอย่างไรก็ไม่มีเค้าของคนเจ้าระเบียบ ออกจะเบนไปทางคุณลุงผู้ใจดีเสียมากกว่า แต่ใครจะรู้ ทฤษฎีการมองคนจากโหงเฮ้งใช้ไม่ได้กับชายผู้นี้


ผมกำลังยืนเผชิญหน้าอยู่กับเจ้านายที่ตัวเองบังอาจสามหาวใส่เมื่อวานนี้เอง เจ้านายกำลังเพ่งมองมาที่ผมอย่างเอาจริงเอาจังจนผมต้องก้มต่ำมองป้ายชื่อที่โต๊ะแทน


อิสระพงษ์ ไพศาลวานิชน์


นี้คือสิ่งที่ป้ายชื่อเขียนไว้


“แฮงค์มารึไงเรา” เขาถามมาจากเก้าอี้หมุนสำหรับนักธุรกิจ จ้องหน้าผมอย่างเอาเรื่อง


“ก็นิดหน่อยน่ะครับ ก็คนมันตกงานที่ครับ ไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องดื่มนมให้ร่างกายแข็งแรงอีกต่อไป” ผมกล่าวพลางกลอกตาไปมา

ชายวัยกลางคนยังนั่งนิ่งอย่างใจเย็น ราวกำลังควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ให้กระโจนออกมาซัดปากของลูกน้องตัวดี


“นั่งลงก่อนสิ” เจ้านายกล่าว ผมสังเกตเห็นเขากัดฟันอย่างรุนแรงขณะที่พูด ผมจึงตัดสินใจตอบไปว่า


“คิดว่าไม่ต้องกระมังครับ เพราะยังไงผมก็แค่มารับใบลาออกอย่างเป็นทางการ อีกอย่างการเซ็นเช็คเงินเดือนเดือนสุดท้ายก็คงไม่หนักหนาอะไรสำหรับท่าน และคงใช้เวลาไม่นาน” ผมออกจะดื้อดึง ยโส


“งั้นก็ได้อยากยืนก็เชิญ” เรามองตากัน ต่างฝ่ายต่างเอือมระอา

“ผมว่าจะให้คุณทำหน้าที่พักฟื้นเจ้าต้นไม้พวกนั้นน่ะ”

“ว่าไงนะครับ” ไม่ใช่ผมไม่ได้ยินคำพูดของเจ้านายที่กล่าวออกมาเมื่อสักครู่นี้ หากเพราะไม่แน่ใจในสิ่งที่หูของตัวเองได้ยินต่างหาก

“อ้าวผมว่าผมพูดภาษาไทยแล้วนะ” เจ้านายยังไม่หันมาสบตาผม แต่กำลังควานหาบางสิ่งใต้โต๊ะทำงานของเขา

“แต่ว่า แต่ว่า คือ ...ผมไม่รู้ว่าจะต้องพูดว่าอะไรดี” ผมตื่นเต้นมากกับสิ่งที่ได้ยิน รู้สึกเหมือนกำลังพูดเรื่องงี่เง่า


“เอ้านี่...” เขายื่นนามบัตรของใครคนหนึ่งมาให้ตรงหน้า ผมหยิบมันขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้างที่สั่นเทาเล็กน้อย


“นี่มัน... ” ไม่อยากจะเชื่อ

“ใช่แล้ว มันเป็นร้านต้นไม้ของเพื่อนสนิทของผมน่ะ เขาทำร้านอยู่ใกล้ตึกเรานี่เองลองไปติดต่อดูล่ะ แต่ไม่ต้องกังวลนะเพราะฉันโทร.ไปบอกก่อนแล้ว”

เขาเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยสายตายิ้มแป้นราวกับผู้ชายเจ้าระเบียบเมื่อครู่ถูกคุณลุงใจดีเข้ามาสิงห์ร่างแทน
“รู้สึกว่าอยากนั่งขึ้นมาหรือยังล่ะ”

เจ้านายยิ้มมุมปาก ไม่รู้ว่ามีคนบอกเขาหรือเปล่าว่าวิธีการยิ้มแบบนี้มันทำให้เขาดูเท่ แต่สำหรับผม มันก็เท่นะ แต่ความเท่นั้นออกจะพิลึกหน่อยสำหรับชายคนนี้


“เอ่อ...แล้วเรื่องเมื่อวานนี้ล่ะครับ เอ่อคือผมพ่นใส่ท่านขนาดนั้นทำไมไม่โกรธผม แต่กลับหางานให้ผมอีกล่ะครับ”

ผมวางก้นลงบนเก้าอี้นุ่มตรงข้ามกับเจ้านายของตัวเองอย่างเลื่อนลอยคล้ายยังเรียกสติสตังกลับมาไม่ได้


“ความจริงฉันก็โกรธนายอยู่เหมือนกันแหละ” เขาเปลี่ยนสรรพนาม

“แต่พอกลับบ้านก็เก็บไปคิดเสียมากมายน่ะ “ เขาเริ่มเล่าอย่างเนิบ

“ฉันเรียนเกษตรพืชไร่มาเหมือนกันนะ แต่การเรียนด้วยความพอใจของตัวเองสำหรับฉันมันไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย ก็เลยจบลงด้วยการมาทำธุรกิจโรงแรมต่อจากพ่อน่ะ คงเพราะไม่มีความกล้าหาญมากพอ”

เขาลุกจากเก้าอี้หันหลังให้ผม หันหน้าเผชิญกับกระจกใส เหม่อมองออกไปข้างนอกนั้นอย่างเลื่อนลอย


รู้สึกว่าเจ้านายของผมไม่ได้ยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว หากกำลังล่องลอยกลับไปยังห้วงอดีต


“ก่อนนั้นฉันรักต้นไม้ใบไม้เหมือนนายนี่แหละ ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะคุยกับพ่อว่าไม่อยากทำกิจการโรงแรม แต่อยากมีสวนอะไรก็ได้เป็นของตัวเอง

แต่ผลก็อย่างที่เห็นจนวันนี้นั่นแหละ พ่อไม่เข้าใจฉันหรอก ถึงแม้ว่าฉันจะเข้าใจว่าทำไมพ่อถึงอยากจะให้ฉันสืบทอดกิจการโรงแรม แต่ฉันก็ยังทำใจไม่ได้น่ะ


ปัญหามันอยู่ที่ช่องว่างระหว่างวัยกระมัง คิดว่าพ่อผ่านยุคสมัยที่สงครามยังเป็นเชื้อโรคที่ร้ายแรงกว่าโรคระบาด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำไปนั้นเพื่อการมีชีวิตรอดจากการกวาดล้างเผ่าพันธุ์ตัวเองของมนุษย์

ไม่มีการกระทำใดที่ตอบสนองความต้องการของตัวเองจริงๆเลย


ส่วนยุคสมัยของเรามันยุคแห่งการเกิดใหม่ ยุคแห่งศิลปะ บ้านเมืองสงบมากพอที่พวกเราจะใช้เวลายามตื่นขึ้นมาทุกเช้าเพื่อออกตามหาความฝันของตัวเอง ไม่ใช่เพื่อความอยู่รอดของชีวิต

แต่เพื่อตอบสนองความรื่นรมย์ในชีวิต ตอบสนองเสียงเรียกร้องของหัวใจตัวเอง

สำหรับฉันแม้ว่าความต้องการในใจจะพยายามฉุดดึงฉันลงไปตอบสนองให้มันมากแค่ไหน แต่ความรู้สึกรับผิดชอบชั่วดีก็คอยรบกวนจิตใจเสมอมา

หลังจากที่พ่อตาย ฉันก็เห็นความสำคัญของการสืบต่อกิจการของท่าน ข้อความที่ว่า เราจะมองเห็นความสำคัญของสิ่งๆหนึ่งก็ต่อเมื่อได้สูญเสียมันไปแล้ว มันก็ยังใช้ได้จนถึงปัจจุบันนี้

แต่จะว่าไปแล้ว บางทีคนเราก็ไม่สามารถแยกแยะว่าสิ่งไหนสำคัญหรือสิ่งไหนไม่สำคัญ”


พูดจบเขาก็หันกลับมาหาผมซึ่งยังนั่งก้นรากงอกอยู่อย่างนั้น ฟังด้วยความตั้งใจ พนันได้ว่าถ้าห้องของเจ้านายมีแมลงวัน ป่านนี้มันคงบินเข้าสู่ระบบย่อยอาหารของผมแล้ว


“แล้วทำไมท่านถึงให้ผมทำแบบนั้นล่ะครับ” ผมนึกขึ้นมาได้ว่าต้องถามอะไรออกไปสักอย่างเพื่อสานต่อบทสนทนา


“การชดเชยโอกาสไงล่ะ” เขายิ้มด้วยรอยยิ้มเอ็นดู ผมมองเห็นแววตาแสนเศร้าของเขาที่ส่งผ่านชั้นบรรยากาศมาอย่างตั้งใจ


“ฉันเป็นคนอ่อนแอซึ่งต่างกันกับนายที่เข้มแข็ง ยืนกรานในความคิดของตัวเอง ฉันจึงอยากให้นายสืบทอดอุดมการณ์ของฉัน”

เขาเดินอ้อมโต๊ะทำงานมาที่ผมนั่งอยู่ ผมลุกขึ้นยืนเมื่อร่างของเจ้านายเข้ามาใกล้


“ได้โปรดเถอะ ช่วยทำให้ความฝันของฉันเป็นความจริงขึ้นมาเสียที” เจ้านายเอื้อมมือมาวางลงที่ไหล่ของผม บีบมันแน่น เราทั้งสองมองตากันสักครู่ก่อนที่เจ้านายจะเบนสายตาหนีผมไป


“ไม่ต้องห่วงครับเจ้านาย ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุด” คนกลางวัยไม่ได้กล่าวอะไรอีก เพียงแค่ยืนหันหลังให้ผมเหมือนเมื่อครู่ที่ผ่านมา


“งั้นผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับ” ผมลังเลว่าจะพูดอะไรอีกดี พยายามทำน้ำเสียงให้สดใสมากที่สุดเท่าที่จะทำได้


“ขอบคุณมากนะครับเจ้านาย”


ปิดประตูบานนั้นลงเงียบๆ ก่อนจะเดินออกมาจากห้องของเจ้านาย


ระหว่างทางเดินนั้น สาบานได้ว่าผมได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของผู้ชายคนหนึ่งดังมาจากที่ไกลโพ้น...



คนเราเกิดมาเพื่อสิ่งใดกันนะ

มีสิ่งใดบ้างที่คนเราจะต้องฝ่าฟันมันให้ได้มาซึ่งความสำเร็จ

ความทรงจำเมื่อครั้งยังเยาว์วัยจะผุดขึ้นมาในสมองของใคร

คนนั้น...สักกี่ครั้งในรอบวัน

เขาคนนั้นจะเพ้อถึงวันที่ตัวเองได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก

ทำเพื่อตัวเองอย่างจริงจังและสำเร็จขึ้นมาได้จริงๆกันใน

ช่วงเวลาใดบ้าง

พันล้านความต้องการของคนเราที่ต้องการนั่งทามแมทชีน

กลับไปยังโลกที่ตัวเองยังอยู่ในวันเยาว์

วัยที่ไม่ต้องรับรู้เรื่องราวอะไรมากมาย

มีจุดหมายเพียงแค่ลูกโป่งและขนมหวานเท่านั้น

ไม่ต้องมาเสียเวลาทำในสิ่งที่ควรจะทำเพื่อคนอื่น

แต่ตัวผมเองก็เข้าใจดีที่กับสิ่งที่ชายวัยคนนั้น

ที่กำลังพยายามเอาชนะความคิดเห็นแก่ตัวของตัวเองให้ได้

หากความพยายามนั้นจะเป็นเพราะความรู้สึกรัก

หรือว่าความรู้สึกรับผิดชอบชั่วดีกันแน่ที่เป็นเหตุผลที่แท้จริง

ของความพยายามสานต่อความฝันของผู้อื่น

แลกกับการเสียสละความฝันอันยิ่งใหญ่ของตัวเอง...














 

Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2550
0 comments
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2550 9:28:10 น.
Counter : 443 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


jengkiss4
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2550
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728 
 
9 กุมภาพันธ์ 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add jengkiss4's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.