All Blog
|
Italy [Review] Part 9: Venice ชม St'Mark Basilica และล่องเรือกอนโดลาชมพระอาทิตย์ตก ล่องเรือกอนโดลาชมพระอาทิตย์ตก สัมผัสความเจริญรุ่งเรืองของเวนิสผ่าน St'Mark Basilica และ Doge's Palace ความเดิม blog ที่แล้ว เวนิสเป็นเมืองที่ได้รับการขนานนามในชื่อต่างๆ ไม่ว่าจะ "City of Water" "City of Masks" "City of Bridges" "The Floating City" หรือจะเป็น "City of Canals นอกจากนั้นยังมีคนเคยกล่าวว่าเป็นเมืองที่โรแมนติกที่สุดเมืองหนึ่งในยุโรปเลยนะ ในทางศิลปะวัฒนธรรม เวนิสมีสถาปัตยกรรมที่งดงามมาก ทั้งยังเป็นเมืองท่าที่เป็นจุดศูนย์กลางของการค้าขายในอดีต ในสมัยก่อนเวนิสเป็นรัฐอิสระชื่อว่า The Republic of Venice มีการปกครองเป็นของตนเองเป็นอิสระจากประเทศต่างๆ จนมาในปี 1797 Napoleon Bonaparte ได้พิชิตเวนิสและเวนิสก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส ต่อมาในปี 1866 เวนิสก็ตกเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิตาลีในปัจจุบันค่ะ การเดินทางมาเวนิสทางรถไฟ จะลงที่สถานี Venezia Santa Lucia ซึ่งเป็นสถานีรถไฟเดียวที่อยู่บนเกาะ ระวังให้ดีตอนจองรถไฟต้องจองมาลงสถานีนี้นะ แล้วก็อย่าเผลอไปลงสถานี (Venezia Mestre) หละ ถ้าถูกต้องคือต้องข้ามทะเลมาแล้วค่ะ ระยะเวลาจากฟลอเรนซ์ประมาณ 2 ชั่วโมงค่ะ ลงรถไฟมาปุ๊ปก็เริ่มจะงงนิดหน่อยกับท่าเรือที่มีหลายท่าเหลือเกิน ตั้งแต่ A B C D โรงแรมที่เราพัก ชื่อ Hotel Bella Venezia (ดูรีวิวที่นี่) ต้องลงที่ท่า Rialto ซึ่งเป็นท่าที่ค่อนข้างจะใหญ่ค่ะ ดูข้อมูลมาว่าต้องนั่งเรือสาย 2 ก็ซื้อตั๋วเรือ ราคา fix ที่เที่ยวละ 7 ยูโรค่ะ ขึ้นลงได้ภายใน 1 ชั่วโมง แพงเนอะ การเดินทางในเวนิสเนี่ย ตั๋วโดยสาร
เสร็จแล้วก็ไปรอที่ท่าค่ะ มันจะมีเวลาบอกว่าอีกกี่นาทีเรือจะมา ลงจากท่าเรือปุ๊ปก็เดินไปโรงแรมแค่ 5 นาทีเท่านั้นค่ะ สะดวกสุดๆ ระหว่างทางไปโรงแรม มีเรือหลายประเภทเลย 11.00: Brunch at Trattoria Pizzeria Ai Fabbri หลังจากเชคอินเรียบร้อย ก็ออกมาทานอาหารค่ะ ร้านอาหารใกล้ๆโรงแรมชื่อTrattoria Pizzeria Ai Fabbri ทานอาหารทะเลซักหน่อย สปาเกตตี้ทะเล และ Sarde in saor ปลาซาร์ดีนในซอสเปรี้ยวๆค่ะ
Sarde in saor (Sardines in a sauce of onion, vinegar, pine nuts, and raisins) ระหว่างทางจากร้านอาหารไป Piazza San Macro 13.00: Piazza San Macro เติมพลังเรียบร้อยก็ไปต่อกันที่ Piazza San Macro จัตุรัสที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวและเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญในเวนิส San Macro (StMark) Basilica โบสถ์นี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 828 ค่ะ เดิมเป็น Chapel ของ Doge มาก่อน (Doge เป็นตำแหน่งของผู้ปกครองเวนิสในสมัย Republic of Venice) แต่เพิ่งจะมาเป็นโบสถ์ของเมืองในปี 1807 นี่เอง เชื่อกันว่าศพของ StMark ฝังอยู่ ณ ที่นี่ โดยกล่าวกันว่าพ่อค้าชาวเวนิสขโมยศพของ StMark มาจากเมือง Alexandria ประเทศ Egypt
โบสถ์นี้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมหลายต่อหลายครั้ง แต่โดยรวมแล้วก็ยังคงลักษณะศิลปะในยุคแรกที่ก่อสร้างอยู่ ศิลปะแบบนี้ได้รับอิทธิพลจากสไตล์ Byzantine ซึ่งแม้ความจริงแล้วโบสถ์นี้จะเป็นโบสถ์โรมันคาทอลิกก็ตาม ชมด้านนอกกันก่อน หน้าตา StMarkBasilica จะไม่เหมือนกับโบสถ์ที่เราเห็นในเมืองอื่นๆเลยดูแล้วรู้สึกถึงความเก่าและขลังมากค่ะ อย่างไรก็ดี ไม่มีที่ไหนที่ไปแล้วไม่ซ่อมเลย ด้านนอกนี้ทำให้เราเห็นการผสมผสานของศิลปะหลายเชื้อชาติเลยค่ะ เช่นซุ้มโค้งทางเข้าสไตล์โรมัน เสาสไตล์กรีก โมเสคสีทองสไตล์ไบแซนไทน์และยอดหัวหอมสไตล์มุสลิม ด้านนอกได้รับการประดับด้วยโมเสคเป็นเรื่องราวในคริสตจักรซึ่งเป็นลักษณะของสไตล์ Byzantine จริงๆไม่ใช่แค่ด้านนอกเท่านั้นด้านในก็ถูกประดับประดาและตกแต่งด้วยโมเสคทั้งบนหลังคาและบนพื้นค่ะ High altar Pala dOro (Golden altarpiece) เป็นสมบัติล้ำค่าของโบสถ์นี้เลยGothic masterpiece ชิ้นนี้ถูกประดับด้วยพลอยกว่า 2,000ชิ้น ขอบอกว่าพอมีแสงไฟกระทบปุ๊ป มันสวยมากถ่ายมาไม่ค่อยสวยเท่าไหร่แต่ของจริงนี้เลอค่ามากค่ะ ซูมใกล้ๆ ที่ Cathedral นี้ไม่เสียค่าเข้าชมนะคะยกเว้นใครอยากไปชมความงามของ Pala dOro เสียเพิ่มอีก 2ยูโรจ้า เปิดทุกวัน โดยวันจันทร์-เสาร์ เปิด 9.45-17.00 ส่วนวันอาทิตย์เปิด14.00-17.00 (หน้าหนาววันอาทิตย์ปิด 16.00) ที่ Square นี้มีนกพิราบเยอะมากๆเลย เด็กท่าทางจะชอบกันใหญ่ Clock tower หันหน้าเข้าหา StMark Basilica และหันซ้ายเก้าสิบองศาจะเจอหอนาฬิกาค่ะ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1496-1506 หน้านาฬิกานี้มีนาฬิกา 2 แบบด้วยกัน คือแบบเข็มและแบบดิจิตอล ว้าวถือเป็นนาฬิกาดิจิตอลเรือนแรกในโลกเลยนะจ๊ะ เปลี่ยนทุก 5 นาที ยืนรอดูได้ด้านบนมีรูปปั้นม้าซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ StMark นั่นเอง หอนาฬิกาประดับด้วยกระเบื้องสีน้ำเงินและสีทองค่ะด้านล่างเป็นซุ้มทางเดินเดินออกไปถนนที่เต็มไปด้วยร้านค้า Piazza San Macro โอบล้อมด้วยตึกเป็นสี่เหลี่ยม ด้านนึงคือ Old government building เป็นตึกยาวไปจนถึงหอนาฬิกาและอีกด้านคือ New government building สุดที่ bell tower New government house Old government building Bell tower เดินออกจากโบสถ์มาด้านข้างก็จะเจอกับหอระฆัง สามารถขึ้นไปชมวิวข้างบนได้ด้วยลิฟท์นะคะราคา 8 ยูโร bell tower นี่เป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในเวนิสด้วยนะ สร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 ทำหน้าที่เป็นหอระฆังและเป็น Lighthouse สำหรับเรือที่จะเข้าไป grand canal อีกด้วย แต่ในปี 1902 อยู่ดีๆ Bell tower ก็ถล่มลงมาค่ะ!! ต้องสร้างใหม่โดยใช้ซากที่ถล่มลงมาก่อสร้างให้หน้าตาเหมือนเดิม หอระฆังเปิดทุกวันค่ะ แต่แต่ละเดือนเวลาเปิดปิดจะไม่เท่ากัน ดังนั้นเชคกันด้วยนะคะ คร่าวๆคือ Easter to Jun and October 9.00-19.00 July to September 9.00-21.00 November to Easter 9.30-15.45 Doges Palace พระราชวังและที่ทำงานของ Doge แม้จะเป็นพระราชวังของผู้ปกครองสูงสุด แต่สังเกตให้ดีเราจะไม่เห็นรั้วหรืออะไรที่กั้นบริเวณเลย เพราะนี่คือความตั้งใจของ Doge ที่ต้องการสื่อถึงประชาชนว่า Doge ได้รับเลือกขึ้นมาและเป็นที่รักของประชาชน ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องสร้างรั้วสร้างกำแพงดังเช่นพระราชวังในยุคกลางในประเทศอื่นๆ ศิลปะเป็นแบบ Venetian-Gothic สไตล์ เสาเป็นสไตล์กอทิค แต่ด้านบนเป็นสไตล์ Venetian เป็นเหมือนรูปดอกจิก ที่น่าสนใจคือ Doges palace เชื่อมต่อกับคุกด้วยสะพานชื่อว่า Bridge of sighs ซึ่งเป็นสะพานที่นักโทษจะเดินไปคุกและเป็นสะพานที่นักโทษจะเห็นโลกภายนอกเป็นครั้งสุดท้ายค่ะ เห้อออ ถอนหายใจเบาๆตามชื่อสะพาน เดี๋ยวอีกซักพักเราจะล่องเรือลอดใต้ Bridge of Sighs นี้กันค่ะ ด้านในของ Doges palace เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์เมื่อปี 1923 ด้านในมีสมบัติของ doges ทั้งหลายโดยสามารถเข้าชมด้านในได้ แต่ต้องซื้อตั๋ว San Macro Museum Pass ราคา 16 ยูโร เปิดทุกวัน 8.30-19.00 17.00: ล่องเรือ Gondola แดดร่มลมตกได้เวลาล่องเรือกอนโดลาชมความงามของ Grand Canal ซักหน่อยค่ะ ค่าเรือกอนโดลาแล้วแต่ตกลง ตอนนั้นเราเหมาเรือ 50 นาที 3 คน 90 ยูโร ค่ะ ขึ้นเรือแถวๆ Doge's palace เลย เดินเล่นชมพระอาทิตย์ยามเย็น อากาศดีมากๆค่ะ ลอดใต้ Bridge of sighs เลาะไปตาม คลองเล็กๆ ผ่านด้านหลังของตึกต่างๆ จะว่าสวยมั๊ยก็สวยดีค่ะ แต่บางจุดก็ดูโทรมๆนิดหน่อย ระหว่างทางจะผ่านสะพานคนข้ามเล็กๆหลายสะพานเลย การเดินทางในเวนิสเนื่องจากเค้าเน้นที่การเดินทางโดยเรือ ดังนั้นทางบกจะเดินแล้วหลงเป็นธรรมดาค่ะ เพราะทางเดินค่อนข้างจะซับซ้อนมีซอยเล็กซอยใหญ่มากมาย มีกระจกระวังเรือชนกันด้วย อ๊ะลองถ่ายรูปตัวเองซะหน่อยสิ ครบเวลาแล้วกำลังกลับไปทางเดิมตอนพระอาทิตย์ตกพอดี สวยมากๆเลยค่ะ ฟ้าสวยมากๆ พระอาทิตย์ตกแล้วค่า ก่อนกลับที่พักแวะไปถ่ายรูปบนสะพาน Rialto ซักหน่อย คนพายกอนโดลามาอยู่ที่นี่กันนี่เอง ตอนกลางคืนก็มีพายเรือนะจ๊ะ ไม่ได้มีแค่ตอนกลางวันเท่านั้น 1 วันผ่านไปในเวนิส เป็นไงกันบ้างค่ะ สวยมั๊ยเอ่ย พรุ่งนี้เราจะไปเที่ยวเกาะที่อยู่ใกล้ๆเวนิสกัน นั่นคือ Murano และ Burano ค่ะ ติดตามกันด้วยน้า ^^ Day 9 : Murano and Burano island here Day 10 : Milan (Duomo and Santa Maria Church for The Last Supper) here ความเดิม blog ที่แล้ว |
jellyjourney
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 58 คน [?] สวัสดีค่ะ ชื่อ เยลลี่ นะคะ blog นี้สร้างขึ้นเพื่อเอาไว้แบ่งปันข้อมูลและประสบการณ์ในการไปเที่ยวของเรากับเพื่อนๆทุกคน เข้ามาเยี่ยมชม มาคุยกัน หรือมีอะไรติชมแนะนำกันได้นะคะ Facebook page: Jellyjourney follow my Instragram @JELLYJOURNEY for extraordinary pics in my ordinary life Friends Blog
Link |
โบสถ์คริสต์เกือบทุกแห่งพี่ว่าสวยงามจังค่ะ
ชอบหลายภาพเลยค่ะ โดยเฉพาะภาพที่ลอดใต้สะพานมืด ๆ แล้วด้านนอกสว่าง ๆ
หมวดท่องเที่ยวหมดโควต้า พี่ขอโหวตภาพถ่ายให้เป็นกำลังใจนะคะ
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
jellyjourney Photo Blog ดู Blog