Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2553
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
24 พฤษภาคม 2553
 
All Blogs
 
แชร์ประสบการณ์ ขอวีซ่า UK ประเภท Student visitor

พอรู้ว่าได้ทุนได้ทำวิจัย ณ กรุงลอนดอน แล้วรู้กำหนดการณ์แล้วว่าต้องไปเมื่อไหร่ สิ่งนึงที่ต้องรีบทำก็คือการขอวีซ่า...

อันดับแรก เราก็ต้องเข้าไปหาข้อมูลของวีซ่าประเภทต่างๆเสียก่อน โดยเข้าไปศึกษาได้ที่ >>> //www.vfs-uk-th.com/thai/visa-info.aspx

จาก list ที่ดู ณ ตอนนั้น (ปี 2551) เราเข้าใจว่าการได้ทุนไปทำวิจัยที่อังกฤษต้องขอวีซ่าแบบ..."academic visitor" และเพื่อตอกย้ำความมั่นใจเราก็เลยไปโพสถามเพื่อนๆในห้องไกลบ้าน ณ พันทิพ ว่า "จะไปทำงานวิจัยที่อังกฤษ 3 เดือน เราต้องขอวีซ่าอะไร" ก็มีเพื่อนๆใจดีบอกว่า ต้องขอแบบ "academic visitor"
และเราก้อ "เห็นด้วย" นะคะว่าเคสเราเนี่ยต้องขอวีซ่าแบบ "academic visitor" เพราะลองอ่านในเวบทั้งประเภทวีซ่า และในใบสมัครแล้วเคสเราเนี่ยมัน ใช่ "acdemic visitor" ทุกอย่างเลย รวมทั้งเอกสารที่ต้องใช้และข้อมูลที่ต้องกรอก เช่น
- เราจะไปทำอะไรที่ UK --> ไปทำ research (โอ๊ว ใช่ มีข้อนี้ให้ตอบด้วย)
- ใครคือคนเชิญ คนนั้นทำงานอะไร ที่อยู่อะไร ไปอยู่สถาบันอะไร --> แน่นอนมีอยู่แล้ว
- เราเชี่ยวชาญทางด้านไหน --> โฮ๊ะๆ จะดูใช่มั๊ยว่ามันแมชกะคนที่เชิญหรือเปล่า
- การไป UK จะนำประโยชน์อันใดมาสู่เรา และเราสนใจจะทำอะไรต่อเมื่อเสร็จสิ้นภาระกิจที่ (เค้าแปลได้ประมาณนี้) --> อันนี้ก้อตอบได้ ตามความสัตย์จริง
เอกสารที่ต้องการสำหรับ academic visitor" คือหลักฐานยืนยันว่าเราเชี่ยวชาญในด้านที่จะไปจริงๆ

ในขณะที่ลองชะแว๊บไปอ่านตรง "Student visitor"" มีหลายอย่างมากที่มันไม่ตรง เช่น ถามว่าเราไปเรียนคอร์สอะไร ซึ่งแค่ตรงนี้ก็ไม่ตรงแล้วอ่ะค่ะ -*-

และเพื่อให้มั่นใจเพิ่มขึ้นไปอีก...เราได้โทรไปสอบถามทาง "ศูนย์รับคำร้องวีซ่าอังกฤษ หรือ vfs" ซึ่งก็ชี้แจงรายละเอียดไป โดยเค้าถามกลับมาเพียงอย่างเดียวว่า "ได้รับเงินจากทางนู้นหรือไม่" แน่นอนเราก็ต้องตอบว่า "ไม่" ทาง vfs ก็บอกมาว่าให้เอาเอกสารไปให้เค้าดูถึงจะบอกได้ว่าเราต้องขอวีซ่าประเภทอะไร

แต่ด้วยความ "ขี้เกียจ" ไปของเรา (-*-) ประกอบกับตอนนั้นยังไม่ได้เอกสารรับรองจากทุนเลยไม่อยากไป ก็เลยตัดสินใจกรอกใบคำร้องในส่วนของ academic visitor" แล้วพอเอกสารทุกอย่างครบก็เดินหน้า ไปส่งเอกสารที่ vfs เลยจร้า





ก่อนนำเอกสารไปยื่นก็แวะซื้อดราฟท์ที่ธนาคารชั้นล่างก่อน จากนั้นก้อลุยยยคร่า...

เราไปถึง vfs ประมาณเที่ยงนิดๆ ก็ตรงดิ่งเข้าไปในห้องที่ส่งเอกสารขอวีซ่าเลย จัดแจงให้ฝากของ ตรวจอาวุธ รับบัตรคิว
วันที่เราไป (24/09/08) คนไม่ค่อยเยอะนะค่ะ คนข้างนอกยังดูเยอะเสียกว่า .. หยิบใบ checklist มาดู แล้วก็จัดเอกสารอีกนิดหน่อย ไม่นานก้อเดินไปหาเจ้าหน้าที่ที่ช่อง 9
แต่พอเรานำเอกสารไปยื่นให้เจ้าหน้าที่ ... ปรากฏว่าในเคสของเราต้องขอวีซ่าประเภท "Student Visitor
"
เพราะวีซ่าแบบ academic visitor นี่ สำหรับออกค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด ในขณะที่ของเรามีทุนออกให้บางส่วน
ป.ล. เรื่องราวเต็มๆ ไปอ่านกันได้ในคลังกระทู้เก่านะคะ //topicstock.pantip.com/klaibann/topicstock/2008/10/H7054490/H7054490.html
เราเลยต้องกรอกใบสมัครใหม่ โดยย้ายข้อมูลจาก academic visitor มาใส่ในส่วนของ student visitor และตรงไหนที่เราตอบไม่ได้หรือไม่ตรงกะเคสเราก็ไม่ต้องตอบ และยังต้องกรอกใบ sponser declaration ด้วย โดยของเราคนออกค่าใช้จ่ายให้คือหน่วยงานทุนและพ่อของเราก็เขียนไปสองใบ

เราก้อยืนกรอกเอกสารตรงนั้นเลย แอบกดดันด้วย เพราะรู้สึกว่าเค้าเร่งๆไงไม่รู้ ในใจก้อคิด ทำไมไม่ขอไปกรอกตรงอื่นหว่า เขียนก็ผิดๆถูกๆ น้ำยาลบคำผิดก็ไม่มี เขียนก็ไม่สวย แปลได้มั่งไม่ได้มั่ง ว้าวุ่นไปหมด

กรอกเสร็จเราก้อถามเอาสมุดบัญชีตัวจริงมั๊ย เค้าก้อบอกมีก้อดี จากนั้นก้อรับใบเสร็จ ใบนัดมาเอาเอกสาร แล้วไปสแกนนิ้วกันต่อ

รอไม่นานก็ได้สแกนนิ้ว พอเรียบร้อยเจ้าหน้าที่บอกว่าประมาณ 7 วันรู้ผล (นานจัง) เป็นอันเสร็จพิธีการยื่นเอกสาร





ด้วยความที่เรากังวลตลอดว่าเรากรอกเอกสารดีหรือเปล่า ที่ตอบไปนั้นมันชัวร์มั๊ยต่างๆนานา บ่นนู้น นี่ นั่นกะเพื่อนกะอาจารย์ไปเรื่อย ทุกคนก็ปลอบใจว่าได้น่าๆ ไม่ต้องห่วง อาจารย์บอกว่าถ้าตรงไหนเราตอบไม่เคลียร์เค้าก็โทรมาถามเองแหละ เอกสารเราก้อครบทุกอย่าง ฯลฯ

เราก้อคิดมาตลอดจริงหรอ...

วันพฤหัส - สายๆ เช็คในเวบ พบว่าตอนนี้พาสปอร์ตเราถึงสถานฑูตแล้ว
วันศุกร์ - ตัดใจไม่เว็คสถานะ คิดว่ายังไม่ได้หรอก
วันอาทิตย์ - ดึกๆ เช็คในเวบ แปลได้ใจความประมาณว่า มารับได้แล้ว พาสปอร์ตมาถึงตั้งแต่วันที่ 26/09/08 -*-

ในใจคิดเร็วเกิ๊นนนไปมั๊ยอ่ะ กลัวจะไม่ได้ มาเปิดเจอในห้องนี้มีคนโพสว่า วีซ่าท่องเที่ยว 3 วัน ไปรับเล่มแต่โดนปฏิเสธ ก้อกังวลจนเลิกกังวลไปเลยทีเดียว

วันจันทร์ ไปรับเล่มด้วยความใจระทึก เปิดออกมาก้อพบว่าได้วีซ่ามาเรียบร้อย ดีใจมากถึงมากที่สุด เพราะเราคิดมาตลอดว่าโดนแน่ๆ เสียตังค์อีกรอบแน่ๆ แหะๆ ไม่ใช่หรอกค่ะ เอกสารจากทางราชการบางอย่างให้ตัวจริงเค้าไปกลัวว่าเค้าจะไม่คืนถ้าโดนปฏิเสธมาต้องไปขอใหม่ไรงี้





จากประสบการณ์ที่ผ่านมาครั้งนี้ ทำให้เรามั่นใจได้ว่า สำหรับวีซ่าที่เราขอนั้น "เอกสาร" เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดค่ะ โดยเอกสารที่เราส่งไปมีดังนี้ (เราเรียงเอกสารตามลำดับความสำคัญในใบสมัครค่ะ แต่เราไม่รู้นะว่าทาง vfs เค้าเรียงยังไง)
- สำเนาพาสปอร์ตหน้าแรก
- สำเนาบัตรประชาชน
- สำเนาหลักฐานการเปลี่ยนนามสกุล (ตามพ่อ)
- สำเนาทะเบียนบ้านเรา+พ่อ+หน้าหลังที่มีการดำเนินการเปลี่ยนชื่อสกุลของพ่อ
- ใบเชิญจากอาจารย์ที่ UK + resume
- resume เราเพื่อยืนยันว่าเราชำนาญเรื่องนี้นะ ^__^
- สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือนของเรา + บัตรเครดิต
- จดหมายรับรองค่าใช้จ่ายจากทุน
- จดหมายรับรองค่าใช้จ่ายจากพ่อ + Slip เงินเดือนพ่อ + สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือนของพ่อ

และที่สำคัญเราได้เขียนเพิ่มเติมใน Part 7 ด้วย เนื้อหาประมาณนี้
- เรากำลังเรียนที่ไหน ชั้นปีอะไร ทำ thesis เรื่องอะไร ที่ผ่านมาเรามีประสบการณ์ทางด้านนี้อย่างไรบ้าง และวางแผนว่าจะจบการศึกษาเมื่อไหร่
- เรามีโอกาสได้รับทุน และเราสนใจที่จะไปทำที่ UK เพราะอะไร ... และคิดว่าจะได้อะไรกลับมาบ้าง
- เราตั้งใจจะเดินทางวันไหน ด้วยสายการบินอะไร และจะพักที่ไหน (บอกไปว่ายังหาไม่ได้เพราะส่วนมากที่พักแบบ flatshare/houseshare ไม่รับจองล่วงหน้านานเกินไป แต่เรายืนยันว่าเราจะหาให้ได้ก่อนไปถึง)
- ประมาณค่าใช้จ่ายต่อสัปดาห์ อะไรเท่าไหร่เขียนไปหมดเลย โดยอ้างอิงจากเวบ //www.ukstudentlife.com/Prepare/Cost.htm
- ใครเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ 1. ทุนให้เท่าไหร่ (ใส่ทั้งเงินปอนด์และเงินบาท) 2. พ่อจะให้ค่าใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉินทั้งหมด

จากเอกสารที่เราส่งไปนั้นเค้าเก็บไปแค่เพียง
- จดหมายสปอนเซอร์จากทุนและพ่อ
- resume เราค่ะ
ตอนเห็นเอกสารกลับมา เปิดซองอันแรกที่เจอคือจดหมายรับรองความเป็นนิสิต เรางี้ งง เลย เป็นเอกสารที่เราคิดว่าต้องต้องเก็บไปแน่ๆ ทำให้ในใจตอนนั้นแอบคิดว่า หรือว่าจะไม่ผ่านละเนี่ย *-*

เราแอบคิดลึกๆนะค่ะว่าเพราะ part 7 นี่หรือเปล่าที่ทำให้เราได้รับวีซ่า ถึงแม้ข้อความเกือบทั้งหมดใน part นี้จะมีในใบสมัครก็ตาม แต่การเขียนแบบนี้อาจจะทำให้ทางสถานฑูตคลายข้อสงสัยที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการอ่านใบสมัครของเราก็เป็นได้


เราขอขอบคุณเพื่อนในห้องไกลบ้านที่ให้ความช่วยเหลือและมาตอบคำถามของเราเสมอมา ... เราอาจจะจำไม่ได้ทุกท่านนะค่ะ เราขอโทษจริงๆ เพราะบางกระทู้มันก็หายไปแล้วน่ะค่ะ -*- เท่าที่จำได้ เราขอขอบคุณ คุณธนิตา คุณ giuseppe (Giuseppe) คุณ เด็กเก่าอังกฤษ คุณ beginning2ending และที่ขาดไม่ได้คือคุณ SassyKate เป็นผู้สร้างแรงบรรดาลใจให้เราเขียนข้อมูลเพิ่มเติมใน part 7 นะค่ะ และขอขอบคุณคุณส้มจาก somdiary ด้วยนะคะ

ขอขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านนะคะ หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อทุกคน ไม่มากก็น้อยค่า

ป.ล. อาจจะยาวไปหน่อย มีทั้งน้ำและเนื้อ แต่อยากแบ่งปันจริงๆนะค่ะ ขอให้ทุกคนโชคดีค่ะ ^____^


Create Date : 24 พฤษภาคม 2553
Last Update : 26 พฤษภาคม 2553 21:23:55 น. 0 comments
Counter : 2626 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jejeejajar
Location :
ปทุมธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




สวัสดีค่า...ชื่อจ้านะคะ

จุดประสงค์แรกของการสร้างบล็อคก็ไม่มีอะไรมาก...นอกจากอยากมีบล็อคกับเค้าบ้างอะไรบ้าง...

ไปๆมาๆทุกวันนี้คิดอะไรออกก็อยากเอามาลงบล็อคให้หมด (สังเกตจาก group blog ที่เริ่มเยอะ หุหุ) ตอนนี้เลยตั้งใจว่าจะใช้พื้นที่ในส่วนนี้เขียนเรื่องราวต่างๆเก็บเอาไว้อ่านเป็นไดอารี่ดีกว่า ^.^
Friends' blogs
[Add jejeejajar's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.