ท่องแดนอิเหนา ตอน สัมผัส ภูเขาไฟ Bromo
Feb 28, 2010เช้าวันใหม่ ตื่นตีสี่อีกเช่นเคย แต่ที่โรงแรมนี้ Morning Call ของเค้าคือการเดินมาเคาะประตู เพราะไม่มีโทรศัพท์คนขับรถจิ๊บก็มารอแล้ว พวกเราเตรียมอุปกรณ์กันหนาวกันอย่างเต็มที่ เพราะพี่ม่อนบอกว่าบนเขาจะยิ่งหนาวมากรถประจำทริปวันนี้คือ จิ๊บ การเดินทางก็ทุลักทุเล และหวาดเสียวเล็กน้อย เราตรงไปยังจุดชมวิวก่อน ถึงจุดชมวิว ยังแทบจะมองไม่เห็นอะไร แต่มีคนมารอกันเพียบเลย สองเจ๊ ก็ไปจับจองที่สำหรับถ่ายรูป ส่วนพี่เล็งกะเราก็ นั่งหลยอยู่ในศาลา เพราะอากาศหนาวมาก และที่สำคัญมีลมพัดเป็นระยะ ก็จะทำใจไปยืนเกาะรั้วก็เล่นเอาพักใหญ่ ตอนรอพระอาทิตย์ขึ้น ลุ้นกันมาก เพราะหมอกค่อยข้างหนา แต่พอ เริ่มมีแสงรำไร โอ ความหนาวและเหนื่อยหมดไปจริงๆ บอกได้คำเดียวว่า สวรรค์มีจริง บนโลกใบนี้ เว่อร์ไปมั้ย แต่สวยมาก กล้องถ่ายรูปของเรา เก็บภาพความสวยงามมาได้ไม่เท่ากับที่เราเห็นจากสองตาของเราเลย พยายามเอาตัวเข้าไปถ่ายคู่กะธรรมชาติ แต่ดูจะไม่ค่อยสวยนัก ถ่ายวิวท่าจะดีกว่า 6 โมง กว่า ก็เร่ิมทะยอยลงมาด้านล่าง จุดหมายต่อไปก็คือ ขึ้นไปสัมผัส เจ้าโบรโม่ กันด้วยสองขาของเรา การเดินทาง ก็คือ รถจิ๊บคันเก่าพาเราไปส่งที่จุดพักรถ หลังจากนั้นก็ต้องเดินเท้าต่อไปอีก หลายลี้ แถมยังปีนเขา และบันไดอีกไม่รู้กี่ร้อยขั้น ระหว่างทาง ก็จะมีชาวพื้นเมือง จูงม้าตามมา เรื่อยๆ พวกเรารู้ทริกแล้ว เลยเดินกันก่อนครึ่งทาง เพราะยังไงเค้าก็เดินตามเราจนถึงตีนเขา 55+ ลดไป ครึ่งนึง ม้าจะพาเราปีนเขาไปตามทาง จนถึงลานหิน ต่อจากนั้น เราก็ต้องเดินขึ้นบันไดไป พอได้ขึ้นไปบนเจ้าโบรโม่ จริงๆ ก็ดูเหมือนไม่มีอะไร จะมีก็แต่ควันขาวๆ พุ่งขึ้นมาเท่านั้นเอง ถ้าเทียบกับจุดชมวิว ที่โน่นสวยกว่าเค้ามีความเชื่อว่าถ้าเราขออะไรแล้วสามารถโยนดอกไม้ลงไปในช่องภูเขาไฟ สิ่งที่ขอจะเป็นจริง แต่เราไม่สำเร็จ เพราะดันติดอยู่ในช่องหินเรากลับลงมาจาก เขาประมาณ 8 โมงกว่าๆ เพราะต้องการให้ทันอาหารเช้าที่โรงแรม หลังจากนั้นเราก็ต้องเดินทางต่อทันที เพื่อไปสนามบิน กลับบ้านซักที