|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
เป็นหมอเพื่อมารักษาพ่อแม่ !!! ทำได้จริงหรือ?
ช่วงนี้ถ้าเวลาว่างๆ หลังเลิกงาน ก็มักจะเข้า internet แล้ว website ที่เราต้องเข้าทุกครั้งที่ online คือ website ของ สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแพทย์แห่งประเทศไทย หรือ สพท. ที่ //www.nctms.in.th เข้าไปทำไมหรอ เข้าไปตอบคำถามน้องๆ ในกระทู้ เราว่าเราน่าจะเป็นคนที่อายุมากลำดับต้นๆ ของคนที่มาเข้า website นี้แล้วล่ะมั้ง เพราะส่วนใหญ่ที่เข้ามาก็จะเป็นน้องๆ นักเรียนมัธยมปลาย ที่สนใจอยากมาเรียนหมอ แล้วก็น้องๆ นักศึกษาแพทย์ที่จะมาประชาสัมพันธ์ข่าวกิจกรรมกัน
เราชอบเข้าไปใน ตอบคำถามน้องๆ มัธยม ก็จะมีคำถามเกี่ยวกับ หนทางการได้เข้ามาเรียนหมอ น้องๆ ก็มักถามกันว่า เรียนอย่างไร ให้ได้มาเรียนหมอ แล้วก็จะมีประโยค ประมาณว่า "หนูอยากเป็นหมอมากๆ" พอถามเหตุผลไปมา ก็จะมีเหตุผลเชิงอุดมคติมาหลายๆอย่าง เช่น "อยากช่วยเหลือคนอื่น" "อยากทำงานไปด้วย พร้อมกับทำบุญที่ได้ช่วยเพื่อนมนุษย์" "อยากรู้จักร่างกายของเราให้ดี จะได้รู้จักดูแลรักษาสุขภาพ" เราจัดว่า เหตุผลเหล่านี้ เป็น เหตุผลเชิงอุดมคติ ซึ่งในวัยใสๆ ของน้องๆ มัธยมนั้น ย่อมมองโลกสดใส และเห็นว่า โลกนี้มีสีขาว กับดำ เป็นส่วนใหญ่
แต่เหตุผลอันหนึ่ง ที่ค่อนข้างจะขัดใจเรามาก แล้วเราคิดว่า มันไม่สามารถเป็นไปได้ในโลกสีเทาใบนี้ คือ "หนูอยากเป็นหมอ เพื่อรักษาพ่อแม่ยามเจ็บป่วย" เรารู้สึกชื่นชมในโลกอันสวยงามของน้องๆเขานะครับ แต่ว่าเหตุผลนี้ เราต้องขอแสดงความเห็นมากหน่อย เพราะเรารู้ เราสัมผัสมาด้วยตัวเองแล้วว่า ไม่มีทางทำได้แน่นอนครับ
สมมติว่าเราเป็นหมอหนุ่ม จบใหม่ ทำงานในรพ.แห่งหนึ่งในภูมิภาค... ตรวจคนไข้ หญิง อายุ 60 ปีคนหนึ่ง ด้วยอาการมีไข้เรื้อรังมา 3 สัปดาห์ คุณป้าคนนี้ มีลูกชาย 2 คนคนโตอายุ 24 ปี อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเราเลย ลูกชายคุณป้าเพิ่งจบมหาวิทยาลัย ทำงานมาได้ 3 ปี พาคุณแม่ของเขามาหาหมอ ด้วยความเจ็บป่วยที่ได้ตระเวนไปหาหมอมาหลายที่แล้ว และทุกที่ก็เจาะเลือดไปตรวจ แล้วก็ยังไม่บอกผลเลือดซะที พอมาตรวจกับเรา ซึ่งเราก็ตรวจคุณป้าอย่างละเอียด ในใจก็นึกถึงโรคต่างๆ ที่จะทำให้คนไข้มีไข้เรื้อรังได้ถึง 3 สัปดาห์ ก็จะมีตั้งแต่โรคหวัดธรรมดาๆ โรคติดเชื้อที่เรื้อรัง เช่นพวกวัณโรค จนถึงโรคร้ายแรง เช่นมะเร็ง ผลสุดท้าย การวินิจฉัยออกมาว่า คุณป้าโชคร้าย ป่วยเป็นมะเร็งทางโลหิตชนิดหนึ่ง การรักษาคือต้องให้ยาเคมีบำบัด
โจทย์คนไข้คนนี้ เป็นโจทย์ธรรมดาๆ ที่นักศึกษาแพทย์ทุกๆ คนน่าจะตอบได้ เราก็ตอบโจทย์นี้ได้ เรารู้สึกเป็นห่วงคุณป้า ที่มาด้วยอาการธรรมดาๆ ตรวจโน่นตรวจนี่ สุดท้ายกลับกลายเป็นโรคชื่อน่ากลัว และการรักษาที่ต้องใช้เวลานาน และต่อเนื่อง เรารู้สึกเห็นใจลูกชายเขา ที่ต้องเทียวไปเทียวมา เพื่อคอยพาคุณแม่มาตรวจที่รพ. และต้องรับทราบข่าวร้ายเช่นนี้ แต่เราก็รู้สึกเพียงเป็นห่วง เข้าใจ และเห็นใจในโรคชื่อน่ากลัวที่เกิดขึ้นกับครอบครัวนี้ ก็คล้ายๆกับ โรคน่ากลัวอื่นๆอีกมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตการทำงาน แล้วมันก็ผ่านไป เราสืบค้นโรค ด้วยความรู้ทางวิชาการที่ได้ร่ำเรียนมา อย่างถูกต้องแม่นยำ มีเพียงความรู้สึกเห็นอกเห็นใจในความโชคร้ายเท่านั้น และให้คำแนะนำอย่างเป็นกลาง และแนะนำให้รักษาด้วยยาเคมีบำบัด ที่มักจะมีผลข้างเคียงมากมาย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วง จนถึงร้ายแรงถึงขั้นว่า ภูมิคุ้มกันต่ำมาก จนติดเชื้ออย่างรุนแรง
ทุกอย่าง เราให้การรักษาบนพื้นฐานแห่งความรู้ วิชาการ ที่ถูกต้อง และเหมาะสม
ย้อนกลับไป... เหตุการณ์นี้ เกิดขึ้นกับครอบครัวของตัวหมอเอง ...สมมติว่า เราเป็นหมอจบใหม่ ทำงานอยู่ในรพ.แห่งหนึ่งในภูมิภาค บ้านอยู่กทม. ... คุณแม่ป่วยเป็นไข้มา 3 สัปดาห์ เล่าอาการทางโทรศัพท์ให้เราฟัง ไปตรวจมาแล้ว 3 รพ. ทุกรพ.ก็เจาะเลือด แล้วก็บอกให้รอผล เรารู้สึกกระวนกระวายใจ ด้วยความรู้มากของหมอทุกคน เรารู้ว่า แม่มีโอกาสที่จะเป็นโรคร้ายได้ เช่น มะเร็ง หรือโรคติดเชื้อเรื้อรัง เช่น วัณโรค ได้ เรารู้ว่า ถ้าเป็นมะเร็ง แม่อาจต้องได้ยาเคมีบำบัด ที่เราเคยฉีดให้คนไข้มาแล้ว และเห็นผลข้างเคียงของมันมาแล้ว เราไม่อยากให้แม่ทนทุกข์จากยาแบบนั้น แต่เราก็รู้อยู่แก่ใจว่า ยังไงๆ แม่ก็ต้องได้ยาเหล่านั้น ถ้าแม่เป็นมะเร็งจริงๆ เราต้องลางาน เพื่อพาแม่ไปตรวจกับอาจารย์หมอในโรงเรียนแพทย์ที่ร่ำเรียนมา ผลสุดท้าย ออกมาว่า แม่โชคร้าย เป็นมะเร็งจริงๆ และอาจารย์แนะนำว่า จำเป็นต้องให้ยาเคมีบำบัด เหมือนสายฟ้าฟาด ด้วยความรู้มากของหมอ ก็รู้ว่า ผลข้างเคียงอันมากมายของยา จะเกิดขึ้นกับแม่ แต่ก็สับสนอยู่ว่า ยังไงๆ แม่ก็ต้องได้ยา เพราะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด แต่แม่ก็ต้องทนทรมาน ทุกอย่างมันจะสับสนวุ่นวาย
สถานการณ์เช่นนี้ คงไม่มีหมอคนไหน เขียนยาเคมีบำบัด บนใบสั่งยา เพื่อให้ฉีดให้คุณแม่ตัวเองได้หรอกครับ
เรียนหมอเพื่อรักษาพ่อแม่ มันจึงไม่มีทางเป็นไปได้
สิ่งที่เกิดขึ้นกับหมอ เวลาพ่อแม่ป่วยนั่นหรอครับ คือความสับสนครับ จากความรู้มากของตัวเอง สับสน ว่า ต้องรักษา แต่ก็มีผลข้างเคียง ต้องรักษา แต่ก็มีความเสี่ยงอันตรายมากมาย และภาระทั้งหมดนี้ จะตกกับลูกที่เป็นหมอครับ ญาติพี่น้องของพ่อแม่ ก็จะมาถามเรา พี่น้องของเราเองก็จะมาถามเรา ญาติทุกแขนงทุกฝ่าย ก็ล้วนแต่หวังพึ่งความรู้มากของเรา การตัดสินใจทั้งหมด จึงต้องให้แก่ผู้รู้มากครับ และความรู้สึกผิด ความรู้สึกรับผิดชอบมันจะประเดประดังเข้ามาครับ และสุดท้าย จะจบด้วยว่า "เราดูแลท่านได้ดีพอแล้วหรือยัง" และตรงนี้ ก็จะเป็นปมในใจของเราไปตลอดครับ
อย่าหวังว่า เรารักษาคนโน้นคนนี้มานับร้อยนับพัน นับประสาอะไรกับแค่พ่อแม่เรา แค่ 2 คน รักษาไม่ได้จริงๆครับ แค่เป็นหวัด ยังแทบจะไม่กล้าจะสั่งยาให้เลยครับ นี่อาจจะรวมไปถึงพี่น้อง ญาติสนิทต่างๆด้วยนะครับ
อย่าใช้เหตุผลนี้มาเป็นเหตุผลในการมาเรียนหมอกันเลยนะครับ มันจะทรมานจิตใจตัวเองมากๆครับ หาเหตุผลอื่นที่ดูเหมาะสม และเป็นเหตุผล "เพื่อตัวเอง" ให้มากไว้ครับ เพื่อว่า วันใดที่ท้อ ที่เหนื่อย จะได้รู้ว่า นอกจากเราทำเพื่อคนอื่นแล้ว เราก็ทำเพื่อตัวเราเองอยู่ด้วยนะ
Create Date : 23 พฤษภาคม 2550 |
|
4 comments |
Last Update : 23 พฤษภาคม 2550 23:46:03 น. |
Counter : 3721 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: aun_nb 24 พฤษภาคม 2550 3:33:53 น. |
|
|
|
| |
โดย: ผ้าถุง 24 พฤษภาคม 2550 22:00:36 น. |
|
|
|
| |
โดย: TaRN IP: 125.24.10.223 23 มิถุนายน 2550 22:44:24 น. |
|
|
|
| |
|
|
เป็นกำลังใจให้คุณหมอต่อไปค่ะ