กันยายน 2549

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
 
All Blog
Kyoto Arashiyama
Arashiyama, riverside



Arashiyama เป็นส่วนหนึ่งของเมืองเกียวโต อยู่ทางตะวันตก ในส่วนที่เรียกว่าแถบ Sagano Toriimoto เป็นสถานที่สุดฮิตแห่งหนึ่งที่คนเกียวโตชอบไปพักผ่อนกัน ตอนแรกก็นึกว่า Asuka ที่นารา แต่ว่า ที่นี่เพลินกว่ามากทีเดียว
สมัยก่อน บ้านของคนในแถบนี้จะมีลักษณะเป็น Thatched roof house โดยตัวหลังคานั้นทำมาจากวัชพืชชนิดหนึ่งที่เรียกว่า yoshi จัดเป็นตั้งหนาๆเลย หลังคาแบบนี้ต้องการคนสร้างเป็นจำนวนมาก เหมือนกับการลงแขกของเมืองไทยในสมัยก่อน แต่นีjเวลามีการสร้างบ้านหรือว่าซ่อมทีก็จะเหมือนมาลงแขกซ่อมหลังคากัน ปัจจุบันบ้านแบบนี้ลดลงอย่างมากแล้ว เนื่องเพราะวัสดุที่ใช้ทำหลังคาคือวัชพืชน้ำนั้นหายากมากขึ้น สองคือคนที่ทำเป็นมีน้อยลง และที่สำคัญที่สุดคือ พวกนี้ติดไฟได้ง่าย จึงถือว่าเป็นสิ่งอันตรายอย่างหนึ่ง ในบริเวณนี้มีภูเขา Atago ที่ด้านบนมี Atago shrine อยู่ ที่ศาลเจ้านี้เชื่อว่าเป้นที่สิงสถิตของเทพผู้ป้องกันภัยจากไฟไหม้ ดังนั้น สมัยที่ผู้คนยังอยู่ในบ้านแบบเดิม (บ้านเกียวโตสมัยก่อน เป็นลักษณะ machi ya ที่เหมือนห้องแถวของเรา เพราะฉะนั้นถ้าติดไฟก็จะลามอย่างรวดเร็ว) อยู่นั้น จึงมีประเพณีการเดินขึ้นเขาระยะทางสองชั่วโมงนี้เดือนละครั้ง เพื่อไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลเจ้านี้ให้ช่วยคุ้มครองให้ปลอดภัยจากไฟ

* ตามประวัติศาสตร์เมืองเกียวโตนี้ ถูกทำลายด้วยไฟไหม้ใหญ่มาหลายครั้ง Tenmei fire ปี 1788 นั้น ทำลายเมืองทางฝั่งตะวันตกต่อแม่น้ำ Kamo ไปทั้งหมดภายในวันเดียว ไฟไหม้ครั้งนั้นเป็นรองก็แต่ ไฟไหม้โตเกียวครั้งใหญ่ในเหตุกาณ์แผ่นดินไหวปี 1923 เท่านั้นเอง

ระหว่างทางจากสถานีรถไฟใกล้แม่น้ำ Katsuragawa จนไปถึงแถบภูเขา Atago นั้น มีสถานที่น่าสนใจหลายแห่ง

ความน่าสนใจจะมากขึ้นหากได้รู้ประวัติศาสตร์ความเป็นมาสักเล็กน้อยเกี่ยวกับบริเวณนี้

หากใครที่สนใจวรรณกรรมของญี่ปุ่นคงจะรู้จักนิยายเรื่องยาว The Tale of genji มาบ้าง ประพันธ์โดย Murasaki Shikibu เนื้อเรื่องส่วนหนึ่งมีการกล่าวถึงสถานที่แถบนี้
ด้วย แต่บังเอิญว่า เราไม่เคยอ่านหนังสือเรื่องดดังกล่าวมาก่อน....

ครั้งนี้มาเป็น social program สำหรับนักเรียนและเปลี่ยนที่มาจากเมืองไทย คือเรา และน้องอีกคนที่มาจากรามา มาอยูที่ ม.โอซาก้า มีนักศึกษาแพทย์ญี่ปุ่นมาด้วยรวมแล้วก็ประมาณสิบคน แต่ก็ไม่ค่อยได้คุยกันมากเท่าไหร่หรอก เดินๆคุยกันเป็นคู่ๆอยู่แล้ว เดินเล่นครั้งนี้ก็เดไปไม่ถึงเชิงเขา Atago หรอกนะ แค่เดินเล่นแถบด้านล่างๆใกล้แม่น้ำเท่านั้นเอง (ตั้งใจไว้ว่าวันหลังจะไปอีก)

ไปที่แรกหลังจากข้ามสะพานไม้ยาวเหยียด ก็ไปที่เล่นเกมก่อนเลย นินเทนโด เอาเกม Hyakunin Isshu ที่เล่นกันตอนปีใหม่ มาทำเป็นภาคดิจิตอลให้คนเล่น



เนื่องจากประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเกมนี่ ข้าพเจ้าไม่ค่อยรู้สักเท่าไหร่หรอกนะ รู้แค่ว่า เป็นเหมือนเกมจับคู่ที่เราเล่นคว่ำๆภาพไว้แล้วให้หาภาพเหมือนน่ะ แต่ว่าอันนี้จะเป็นการหากลอนให้เข้ากับภาพวาด ทำนองนั้น แต่ในฉบับดิจิตอล(แสนสนุก)นี้ เราจะได้อุปกรณ์ที่ใช้งานเหมือนแทนจอยสติกมา เดินถือไปแล้วก็มี stylet ใว้ให้กดบนหน้าจอ มีเวลาเกมละประมาณสามนาทีมั้ง ไม่แน่ใจ วิธีเล่นก็คือ แต่ละเครื่องจะมีภาพขึ้นมาบนหน้าจอ แล้วเราก็หาภาพนั้นที่หน้าจอบนพื้น เดินไปยินบนภาพนั้น แล้วก็กดที่หน้าจอ แล้วก็จะเปลี่ยนเป็นภาพต่อไป ภาพบนพื้นเองก็เปลี่ยนเกือบตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจะต้องไวพอสมควรทีเดียว แล้วเวลาเปลี่ยนภาพบนเครื่องมือถือของเรา มันก็จะมีกลอนของภาพนั้นๆร้องขึ้นมาด้วย แต่เนื่องด้วย ข้าพเจ้าฟังไปก็ไม่รู้เรื่อง ก็เลย ตามลายผ้าอย่างเดียวเลยครับ เดินตามหาลายผ้าที่เหมือนกันนี่แหละง่ายสุดแล้ววว เพราะว่าหน้าเรียวๆตาเล็กๆนี่มันเหมือนกันทุกใบเลย แล้วก็พอจบเกมนึง ก็จะมีการเรียงอันดับให้ด้วยว่าเราได้เป็นที่เท่าไหร่ ใครเก็บภาพได้มากที่สุดก็ได้ที่หนึ่งไป ซึ่งข้าพเจ้าก็ได้ที่หนึ่งมาครองด้วย! ภูมิใจมากๆ 555 เพราะว่าเด็กญี่ปุ่นเอาแต่มองแล้วก็แบบ ...งง ไปเลยครับท่าน 5555 พอจบแต่ละเกม หน้าจอบนพื้นทั้งหมดก็จะเปลี่ยนเป็นภาพเกียวโตจากดาวเทียม ที่เราสามารถติดตามไปซูมดูรายละเอียดใกล้ๆได้ด้วย มีรายละเอียดข้อมูลเล็กๆน้อยๆที่เป็นเกร็ดของสถานที่ต่างๆให้ด้วย เราเลือกสถานที่ที่อยากจะไปได้จากไอ้เครื่องมือถือของเรานี่แหละ มันก็จะมีนกออกมา แล้วเราก็เดินตามเจ้านกบนจอนั้นไปจนถึงจุดหมาย เลือกได้หลายครั้ง สนุกดี พอหมดเวลามันก็จะเปลี่ยนเป็นภาพเกียวโตตอนกลางคืน สวยมากๆ แล้วก็กลับมาเริ่มใหม่กันอีกรอบ!



เล่นเพลินไปเรื่อยๆก็หมดเวลาครับ ..ขณะที่กำลังมัน
แต่ว่าก็ยังไม่หมด เพราะเขาก็มีอย่างอื่นให้เล่นต่อ
เดินเข้าไปห้องถัดไป ก็มีแบ่งเป็นห้องเล็กๆไว้ เข้าไปนั่งไปสองสามคนต่อห้อง มีหน้าจอขนาดใหญ่ข้างหน้าแล้วก็หน้าจอบนพื้น



คราวนี้เป็นการเล่นเกมกับกวีที่ปรากฏขึ้นมาบนจอใหญ่ แต่คราวนี้ ใครไม่รู้เรื่องภาษาญี่ปุ่นและไม่เคยเล่นเกมนี้มาก่อน จะเล่นไม่ได้เลย.. เราก็เลย ได้แต่นั่งดูเขาเล่นกันอย่างเดียว ต่อไปก็มีบ่อน้ำวิเศษ+



เล่นแบบเมื่อกี้อีก แต่ว่าคราวนี้กดลงไปบนหน้าจอเลย แล้วมันจะมีคลื่นด้วยนะเวลาที่เราแตะลงไป เล่นไปถูกครับ แต่แค่แตะๆจอก็หนุกแล้ว หุ หุ นอกจากนี้สิ่งพิเศษของสถานที่นี้อีกอย่างคือ .. ห้องน้ำ...เพราะว่าห้องน้ำที่นี่ แค่เปิดประตูห้องน้ำ ฝาชักโครกก็จะเปิดเองอัตโนมัติ แล้วพอออกมา มันก็ปิดเองด้วยครับ ... ขนาดชักโครกทั่วๆไปที่ญี่ปุ่นที่มีที่ล้างก้นอัตโนมัตินี่เราว่าก็หรูสุดๆแล้ว มาเจออันนี้นี่ ชิดว้ายไปเลย.. ห้องน้ำก็ออกแบบได้หรูเรียบมากๆ เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู ชั้นบนของอาคาร มีการแสดงหุ่นขี้ผึ้งคนในราชสำนักสมัยก่อนอยู่ด้วยโดยจัดตั้งไว้ในห้องโถงขนาดเป็นร้อยเสื่อ มีผู้หญิงใส่ junihitoe ด้วย แค่เราเปรยๆว่า สวยจัง อยากใส่มั่ง ก็ทำเอาเด็กญี่ปุ่นหันมาหลิ่วตาใส่แล้วก็บอกว่า พูดจริงรึเปล่า แค่เห็นก็รู้แล้วว่าหนักมากนะ.. แล้วก็มีการ์ดของเกม hyakunin isshu ฉบับของจริงไม่ใช่ดิจิตอลให้ดูกันอีกหลายสำรับด้วย ก็เพลินดี



เสร็จแล้วก็ออกมาเดินเล่นในตัวเมือง arashiyama กัน
เดินผ่านวัด Tenryuji มีสวนสวยๆ ...หลังจากวัด เราก็เดินไปผ่านป่าไผ่ เออ ไผ่ที่นี่แปลกดี ไม่เหมือนที่เคยเห็นที่เมืองไทย ที่นี่ มันขึ้นเป็นต้นโดดๆแฮะ แล้วก็ห่างๆกันด้วย มองแล้วเหมือนเป็นสวนไผ่มากกว่า แต่ก็สวยไปอีกแบบ



เคียวโกะบอกว่า วิธีเก็บ takenoko (หน่อไม้) ของที่นี่ คือการเอาเท้าไปเหยียบๆดูให้เกิดเสียง แล้วตรงไหนที่เสียงมันเปลี่ยนไปก็แสดงว่าตรงนั้นมีหน่ออ่อนอยู่ข้างใต้ ก็ขุดขึ้นมาซะ หน่อที่ยังไม่งอกขึ้นมาบนดิน จะเป็นหน่อที่มีคุณภาพ เป็นที่ต้องการมากกว่า มันคงยังอ่อนมากๆจริงๆมั้ง แล้วที่นี่ก็มีชื่อเสียงเรื่องหน่อไม้ซะด้วย ก็เลยเห็นร้านค้าข้างทางขายหน่อไม้ขุดใหม่ๆกันเต็มไปหมดแบบนี้..



เดินไปก็จะเห็นร้านขายผลิตภัณฑ์จากไผ่อีกมากมายด้วย เดินเพลินๆไปเรื่อยๆก็จะเข้าไปถึงตัวถนนหลักที่นักท่องเที่ยวมาเดินกัน ร้านรวงมากมาย อ้อ ของมีชื่ออีกอย่างของที่นี่คือ ไอศครีมที่ทำจากงา แล้วก็พวกมันเผือก อะไรทำนองนั้น จำไม่ค่อยได้แฮะ แต่ว่าเรากินแล้วมันก็เลี่ยนๆนะ แต่ว่าคนญีปุ่นชอบกันมาก อย่างเคียวโกะเนี่ย โปรดเลยหละ ไอติมที่ทำจากมัน/เผือก เนี่ย ชอบมาก มีร้าน cafe ร้านนึงแถบ sanjo ในเกียวโตที่มีชื่อด้านไอติมนี่ด้วย แล้วก็ขนมอื่นๆอีกหลายอย่างที่ค่อนข้าง traditional แต่ด้วยลิ้นไทยๆแบบเรา ก็เลยกลายเป็นงั้นๆไปทั้งๆที่คนญี่ปุ่นชอบกันมากๆ

กลับมาแถบนี้ก็ยังมีศาลเจ้าชินโตที่มีชื่อเรื่องความรักด้วยหละ หุ หุ แต่ในเมื่อมาเป็นกรุ๊ปแบบนี้ ตรูจะกล้าไปขอพร/ซื้อเครื่องรางได้ไงฟระ.. เอาหละ ถ่ายรูปพอเป็นพิธี..



แล้วก็ไปเดินเล่นในถนนคนเดินนั้นกัน มีร้านมากมาย ที่ชอบก็เป็นร้านขายหน้ากากนี่แหละ



แล้วก็ร้านขาย furoshiki! (ผ้าห่อของแบบญี่ปุ่น) ด้วย มีหลายหลายให้เลือกชนิดที่แบบว่าในตัวเมืองเกียวโตเองก็อาจจะไม่มีร้านที่มีเยอะขนาดนี้ เราก็เลยได้โอกาสซื้อมาสองผืนด้วย (ซึ่งตอนนี้กลายมาเป็นผ้าปิดทีวีหนึ่งอัน อีกอันปูโต๊ะ..เอ่อ) แล้วที่พิเศษคือหน้าร้านนี้จะมีสมุดและที่นั่งพัก เอาไว้ให้นักท่องเที่ยวที่เดินผ่านไปมาได้มาบันทึกเป็นแบบสมุดเยี่ยมด้วย เห็นมีลายมือคนไทยหลายคนเชียวหละ พอเราเขียนบ้างพวกเด็กญี่ปุ่นก็มามุงดู แล้วก็อืม... ถ่ายรูปไปด้วยนะ (อันที่จริงเขียนอะไรไร้สาระมากๆ 555) ประมาณว่า เฮ้ย นั่นมันตัวอักษรเหรอ? ..ก็ภาษาไทยไงเล่า..
นอกจากนั้นในสถานีไฟ(ไม่แน่ใจว่าของบริษัทอะไร) ก็ยังมี foot onsen ด้วยนะ จ่ายค่าเข้าแล้วก็จะได้ผ้าเช็ดเท้าผืนเล็กๆมาด้วย เอาไว้เช็ดตอนที่ขึ้นมาแล้ว แล้วก็เอาผ้ากลับบ้านไปได้เลยด้วย คนเยอะทีเดียว ต้องนั่งเบียดๆกัน นึกไปถึง foot onsen ที่ viaggio italiano ที่ Nagoya แล้วก็ที่ Dogo ใน Matsuyama ก็มีเหมือนกัน ที่จริงเมืองไทยน่าจะมีมั่งนะ ไปนั่งเล่นๆมันก็ผ่อนคลายดี (โดยเฉพาะถ้าไม่ต้องจ่ายตังค์)

เอาหละ เช็ดเท้ากันให้เรียบร้อยก็ตกเย็นพอดี ได้เวลากลับแล้ว.. ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกก่อนกลับจ้า..




Create Date : 30 กันยายน 2549
Last Update : 21 ตุลาคม 2549 15:36:47 น.
Counter : 1967 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

blueschizont
Location :
ประจวบคีรีขันธ์  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



รักญี่ปุ่น