5คำแนะนำที่พบเจอบ่อยจากหนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงเด็ก ที่โดยส่วนตัวแล้วขอค้าน
เจนคิดว่าคุณพ่อคุณแม่หลายท่านคงเคยอ่านหนังสือหรือบทความทางอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับเลี้ยงเด็กสอนเด็กมาไม่มากก็น้อย เจนเองก็เป็นหนึ่งในนั้นทั้งด้วยความชอบส่วนตัวและด้วยหน้าที่การงาน

วันนี้เจนไม่ได้มาแนะนำหนังสือหรือยกเรื่องใดๆจากหนังสือมาบอกเล่าต่อ แต่สิ่งที่จะเขียนในครั้งนี้คงจะแตกต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา นั่นก็คือเจนจะพูดถึงสิ่งที่เป็นคำแนะนำที่พบเจอจากหนังสือหลายเล่มหรืออาจจะรวมถึงความคิดเห็นจากหลายต่อหลายท่าน แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นเจนมีความเห็นแตกต่างหรือซึ่งก็คือไม่เห็นด้วยนั่นเอง

ก่อนอื่นต้องขอย้ำว่าแตกต่างก็แปลตรงตัวตามความหมายของมันว่าไม่เหมือนกันซึ่งไม่ได้มีความหมายใดเกี่ยวข้องกับถูกหรือผิด

วันนี้เจนขอเริ่มสัก5อย่างก่อนแล้วกัน


1.ใจแข็ง หันหลังกลับกลับทันที ปล่อยให้ลูกร้องไห้ไม่ว่าร้องหนักแค่ไหน เมื่อส่งลูกเข้าอนุบาล

การร้องไห้ไม่อยากไปโรงเรียนของเด็กอนุบาลนั้นเป็นเรื่องธรรมดามาก เพราะเมื่อไหร่ที่เด็กรู้สึกว่าตัวเองจะต้องจากคนที่ตัวเองอยู่ด้วยแล้วรู้สึกอบอุ่น มั่นคง ปลอดภัย ไปอยู่กับใครก็ไม่รู้ เป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กจะกลัวและแสดงความกลัวออกมาด้วยการร้องไห้ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการเป็นเด็กขี้เกียจหรือไม่มีความรับผิดชอบ

การไม่สนใจใยดีและเพิกเฉยต่อความรู้สึกของเด็ก แล้วก้มหน้าก้มตาบอกตัวเองว่า เดี๋ยวลูกก็ชินนั้นไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสม แล้วต่อให้ทำอย่างนั้นแล้วเด็กร้องน้อยลงหรือเลิกร้องไห้หลังจากนั้นก็ไม่ได้แปลว่าคุณทำถูกหรือประสบความสำเร็จ เพราะการเงียบของเด็กไม่ได้หมายถึงการยอมรับเสมอไปแต่อาจหมายถึงการสิ้นหวังต่อการเพิกเฉย ถ้าเปรียบกับผู้ใหญ่ก็ประมาณว่าคุณขอให้แฟนพาไปเที่ยวเชียงใหม่ ขอหนึ่งครั้งสองครั้งสามครั้งแต่แฟนก็ไม่เคยสนใจ สุดท้ายคุณเลยเลิกขอ เจนถามว่าการเลิกขอแล้วของคุณแปลว่าคุณพอใจหรือไม่ต้องการไปแล้วใช่ไหม แน่นอนคำตอบคือไม่ เด็กเองก็เช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้นการที่เด็กร้องไห้น้อยลงหรือก้มหน้าเดินเข้าโรงเรียนไม่ได้แปลว่าเด็กเต็มใจ แต่อาจหมายถึงว่าเด็กรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่สนใจความรู้สึกของเขาจนไม่รู้จะอ้อนวอนไปเพื่อประโยชน์อันใด ซึ่งสิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของเด็กและพ่อแม่ในอนาคตทั้งโดยรู้สึกตัวและเป็นไปโดยอัตโนมัติ

และสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดคือการแอบหนีเด็กกลับบ้านโดยไม่ให้เด็กรู้ตัว เพราะการทำแบบนี้นั้นส่งผลต่อความไว้วางใจของเด็กต่อพ่อแม่มาก

ส่วนคำถามว่าแล้วอย่างนั้นจะให้ทำอย่างไร คำแนะนำในกรณีนี้คือคุณควรจะอยู่กับลูกที่โรงเรียนในวันแรกให้นานที่สุดเท่าที่โรงเรียนอนุญาต พยายามอธิบายให้เด็กเข้าใจ(ซึ่งก็ยอมรับว่ายากมากๆ)และก่อนที่จะจากลูกไปนั้นคุณควรจับมือหรือกอดลูกแล้วแสดงให้ลูกเข้าใจว่าแม่แคร์ความรู้สึกหนูแต่แม่จำเป็นจริงๆที่ต้องทำแบบนี้และแม่สัญญาว่าจะมารับหนูทันทีที่โรงเรียนเลิก


2.ทำโทษลูกโดยการหักค่าขนม

ส่วนตัวเจนเห็นว่าความรักของพ่อแม่เป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าทรัพย์สินใดๆและไม่สมควรที่จะเอามาใช้เป็นเงื่อนไขในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเงิน

เจนเข้าใจดีว่าในการเลี้ยงเด็กนั้นย่อมต้องมีทั้งการให้รางวัลและทำโทษ อย่างไรก็ตามเจนไม่เห็นด้วยในการใช้เงินมาเป็นเงื่อนไข

จากประสบการณ์พ่อแม่ส่วนใหญ่คิดว่าการหักค่าขนมจะทำให้ลูกกลัวและเชื่อฟังและไม่มีผลเสียอะไรอื่น แต่จากประสบการณ์ที่คลุกคลีกับเด็กเจนบอกเลยว่าความรู้สึกของเด็กหลายคนที่ถูกทำโทษด้วยวิธีนี้ไม่พอใจและไม่ยอมรับ หลายคนคิดทำนองว่า “คอยดูนะ สักวันฉันทำงานหาเงินได้เองเมื่อไหร่แล้วถึงวันนั้นอย่าหวังว่าจะมาสั่งอะไรฉันได้อีกเลย”

การเลี้ยงดูให้การอบรมสั่งสอนเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ ถ้าลูกทำผิดการทำโทษก็ไม่ใช่เรื่องประหลาด แต่การใช้เงินมาเป็นเงื่อนไขหรือการจะปล่อยให้ลูกลำบากนั้นไม่ใช่การทำโทษแต่เป็นการแสดงถึงการละทิ้งหน้าที่ หรือถ้าพูดแบบไม่เกรงใจก็คือ “ถ้าแกไม่ทำตามที่ฉันต้องการ ฉันก็จะไม่เลี้ยงดูแก” ซึ่งเจนเชื่อมั่นกับคำที่ว่า การทำผิดสองครั้งไม่เคยทำให้สิ่งที่ผิดในครั้งแรกถูกขึ้นมาได้

สำหรับเจนลูกก็คือลูก ลูกไม่ใช่ลูกจ้าง ไม่ใช่พนักงาน ไม่ใช่คู่ค้า ไม่ใช้บริกร เพราะฉะนั้นจึงไม่เห็นด้วยที่จะใช้เงินมาเป็นเงื่อนไข

และถ้าคุณบังคับลูกโดยใช้เงินเป็นเงื่อนไข คุณย่อมเสี่ยงที่จะสูญเสียการเชื่อฟังจากเขาไปเมื่อเขาหาเงินเองได้ แต่ถ้าคุณใช้ความรักเป็นเงื่อนไข คุณไม่มีวันที่จะสูญเสียเขาไปจริงไหมละ


3.ถ้าจะตีเด็กให้ตีด้วยไม้เรียว

ก่อนอื่นขอบอกก่อนว่าเจนไม่ได้สนับสนุนให้ลงโทษเด็กด้วยการตีแล้วก็ไม่ได้บอกให้คุณเลิกหักค่าขนมลูกแล้วเปลี่ยนมาตีลูกแทน

แต่ที่พูดถึงเรื่องนี้เพราะเจนได้ฟังมาเยอะกับคำที่ว่า ถ้าจะตีลูกให้ตีด้วยไม้เรียวอย่าใช้มือ เพราะการตีลูกด้วยมือนั้นจะทำให้เด็กกลัวมือ ซึ่งบอกตามตรงว่าเจนไม่เห็นด้วยเพราะอย่างแรกเคยมีบทวิจัยจากมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ(ต้องขอโทษด้วยจริงๆที่เจนจำชื่อไม่ได้)เคยทำการทดลองโดยให้คนสองคนยื่นมือมาบีบกันโดยมีฉากกั้นไว้ โดยสั่งให้แต่ละฝ่ายบีบด้วยความแรงเท่ากับที่โดนอีกฝ่ายบีบ ผลคือฝ่ายที่บีบกลับจะบีบแรงกว่าที่ตัวเองโดนบีบถึง30%และถ้าเริ่มมีอารมณ์โกรธเมื่อไหร่จะบีบแรงกว่าถึง70% ซึ่งถ้าวัดจากสมมุติฐานนี้ก็ต้องบอกว่าพ่อแม่ส่วนใหญ่ตีลูกแรงเกินกว่าที่ตัวเองคิดครึ่งนึงแทบทั้งนั้น และที่สำคัญการตีเด็กด้วยไม้เรียว คุณไม่มีทางรู้เลยว่าคุณตีแรงและเด็กเจ็บแค่ไหน(โดยเฉพาะในขณะที่คุณโกรธ)ในขณะที่ตีด้วยมือคุณจะรู้เพราะถ้าคุณตีแรงเกินไปคุณก็จะเจ็บด้วยเช่นกัน

อีกอย่างคือการตีเด็กด้วยไม้เรียวมีโอกาสสูงที่จะสร้างบาดแผลหรือรอยประทับไว้ ในขณะที่มือแทบจะไม่สร้างรอยใดๆ และที่สำคัญคือเจนยังไม่เคยเห็นเด็กคนไหนที่กลัวมือพ่อแม่ของตัวเอง (หมายถึงมืออย่างเดียว ส่วนกลัวโดนตี กลัวพ่อแม่นั่นก็อีกเรื่อง)


4.เลือกโดยเสียงส่วนใหญ่และประชาธิปไตยในบ้าน

ส่วนตัวเจนคิดว่าครอบครัวคือการที่ทุกคนต้องแคร์ความรู้สึกของกันและกันไม่ว่าจะทำอะไร และการตัดสินใจอะไรที่เกี่ยวข้องกับทุกคนในครอบครัวนั้นไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาโหวตหรือลงมติโดยใช้เสียงของส่วนใหญ่

โดยเฉพาะกับครอบครัวที่จำนวนสมาชิกแบ่งกันเป็นกลุ่มย่อยตามลักษณะต่างๆ เช่น ครอบครัวที่มีลูกชายสามคนกับลูกสาวคนนึงแล้วพอโหวตว่าวันหยุดอยากไปทำอะไรผลเป็นว่าไปเล่นฟุตบอลหรือออกกำลังกายแบบที่เด็กผู้ชายชอบ ส่วนลูกสาวก็ต้องทนเบื่อไปนั่นคงไม่ใช่การเป็นครอบครัวที่ดีแน่ๆ

และการใช้เสียงส่วนใหญ่หรือคนที่มีอำนาจสูงสุดเป็นเครื่องตัดสินก็เป็นการปกครองโดยใช้อำนาจทั้งสิ้น ซึ่งเจนไม่ได้บอกว่าผิดแต่จะบอกว่าโดยส่วนตัวคิดว่าไม่ใช่รูปแบบที่เหมาะสมสำหรับครอบครัว ส่วนตัวคิดว่าการหาจุดที่ทุกฝ่ายพอใจหรืออย่างน้อยก็ไม่พอใจน้อยที่สุดนั้นเป็นสิ่งที่ดีกว่า ที่สำคัญอีกอย่างคือผู้ที่แพ้หรือเป็นส่วนน้อยก็ยังรู้สึกว่าตัวเองยังคงมีความสำคัญ

กับลูกๆที่โรงเรียนก็เหมือนกันเจนจะบอกกับพวกเขาว่าถ้าพวกหนูอยากได้อะไร ไม่ชอบอะไร ต้องการเปลี่ยนแปลงอะไรให้มาบอกมาหาครูนะ ไม่ต้องไปตั้งกลุ่มมั่นใจหนูๆทุกคนอยากนั่นเกลียดนี่เพราะต่อให้หนูได้พันlikeก็คงไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น ที่บอกแบบนั้นไม่ใช่เพราะครูเอาความคิดของตัวเองเป็นใหญ่แต่เพราะครูไม่ได้เข้าไปอ่านแล้วครูจะรู้ได้อย่างไรละจริงไหม แล้วครูก็คิดว่าเราอยู่กันแบบแม่ๆลูกๆ ครูจะทำอะไรครูก็คิดถึงความรู้สึกของพวกหนูตลอด เพราะฉะนั้นการใช้เสียงส่วนใหญ่หรือแรงกดดันจากคนหมู่มากหรือมีเรื่องอะไรก็จะต้องโหวตตลอดนั้นคงไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด


5.เลี้ยงลูกแบบเพื่อน

เจนได้ทั้งคำถามและการบอกเล่าจากผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยว่าเลี้ยงลูกแบบเพื่อนดีไหม ครูเลี้ยงลูกแบบเพื่อนหรือเปล่า ซึ่งเจนก็ต้องบอกว่าเจนไม่เคยคิดจะเลี้ยงลูกแบบเพื่อนเพราะลูกก็คือลูกและเจนคิดว่าสถานะแม่นั้นยิ่งใหญ่กว่าเพื่อนมากและก็มีได้แค่คนเดียวและก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ต้องเปลี่ยนตัวเองให้กลายมาเป็นเพื่อนกับลูก

แต่ทั้งนี้การเลี้ยงลูกแบบแม่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเอาแต่ดุด่า บังคับ สั่งหรือบงการชีวิต แต่หมายความว่าแม่ต้องเป็นคนที่คอยดูแล เอาใจใส่ อบรมสั่งสอน และอาจต้องมีการเคี่ยวเข็ญ ดุ หรือทำโทษในบางครั้งถ้าจำเป็น

และไม่ว่าลูกจะไปทำอะไรหรือโกรธกันมากแค่ไหน พออารมณ์จางหายเราก็ต้องกลับมาเป็นปกติให้ได้โดยเร็วที่สุด ซึ่งต่างกับเพื่อนที่คนไหนทำร้ายความรู้สึกเรามากเราก็อาจห่างเหินหรือเลิกคบไปเลยก็ได้

แม่ต้องให้คำแนะนำที่เหมาะสมที่สุดกับลูก ไม่ใช่คอยตอบแบบเอาใจหรือเข้าข้างเพราะกลัวลูกจะโกรธ และต้องกล้าให้คำแนะนำที่ถูกต้องไม่ใช่แค่ถูกใจ และจำเป็นที่จะต้องแสดงออกตรงกันข้ามกับคนส่วนใหญ่ในบางครั้ง เช่น ถ้าลูกทำผิดและมีแต่คนต่อว่าหรือประนาม แม่ก็ควรที่จะเป็นคนที่ปลอบโยนและให้กำลังใจ ในขณะเดียวกันหากทุกคนชื่มชมต่อความสำเร็จหรือสิ่งที่ลูกได้ทำแม่ก็ควรที่จะต้องปรามลูกไว้บ้างไม่ให้เชื่อมั่นหรือหลงระเริงต่อความสำเร็จมากจนเกินไป

ส่วนตัวเจนคิดว่าแม่ก็ต้องวางตัวในฐานะแม่ แต่ต้องเป็นแม่ที่เข้าใจ และห่วงใยความรู้สึกลูก


สุดท้ายต้องขอบอกอีกครั้งว่าสิ่งที่เขียนทั้งหมดเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนบุคคลซึ่งเจนจะยินดีมากที่จะได้รับฟังความคิดเห็นจากท่านอื่นๆในทุกทางซึ่งรวมถึงความคิดเห็นที่แตกต่างกันด้วย


เจน



Create Date : 06 สิงหาคม 2555
Last Update : 6 สิงหาคม 2555 11:25:28 น.
Counter : 4899 Pageviews.

16 comments
  
1. เห็นด้วยเลยครับ
หมิงหมิงแร้องไห้อยู่ 3 เทอมเต็มๆ
มาดามเครียดเลย ผมก็บอกว่าอย่าไปคิดมาก
เธอบอกว่าผมพูดได้นี่ เพระาไมไ่ด้ไปส่ง 555
แต่เวลาผมไปส่ง หมิงหมิงกลับไม่ค่อยร้องนะครับ
แบบว่าไม่เวิ้นเว้อครับ 555
ชวยคุยๆๆๆ แล้วก็ส่งถึงครูเลย 555

ตอนนี้เลิกร้องแล้วครับ
เจ้าตัวกำลังจะขอให้ส่งที่หน้าโรงเรียน
เพื่อจะเดินเข้าห้องด้วยตัวเองแล้วด้วยครับ


2. และ 3. ผมดุ ขู่และตีบ้างในบ้างครั้ง
แต่ตีแบบให้รู้ตัว ไม่ได้ตีให้เจ็บครับ
บางครั้งก็ต้องเตือนตัวเองเหมือนกัน ว่าคนทุกคนรวมทั้งเรา
ก้สามารถทำอะไรผิด พลาด และกวนอารมณ์คนอื่นเช่นกันครับ 555


4. ชอบวิธีคิดของคุณเจนครับ
ผมก็ใช้การพูดคุยในบ้าน
ตอนนี้คุยให้เค้าลองคิดเอง รับผิดชอบ และตัดสินใจเองบ้างครับ
อย่างเรื่องทำการบ้าน ถ้าไม่อยากทำ ก็จะบอกว่าไม่ต้องทำ
ให้คิดเองว่าควรทำหรือไม่ทำเพระาอะไร
เรียกว่าต้องร่ายยาว แต่คุ้มครับ 555
เพราะพอเค้าคิดได้ คราวนี้ตั้งใจเรียนขึ้นมากเลย


5. ผมคิดว่าในความหมายของการเลี้ยงลูกแบบเพื่อน
ควรจะเป็นการพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง นั่นต้องหมายความว่า
ลูกไว้ใจในพ่อิแม่มากๆเลย

ผมอยากเลี้ยงลูกแบบนี้ครับ


โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 สิงหาคม 2555 เวลา:13:21:29 น.
  
เห็นด้วยในเรื่องการหักค่าขนมค่ะ เพราะตอนนี้ เด็กบางคนมีความคิดว่า พ่อแม่จ้างให้ไปเรียนซะแล้วค่ะ

ส่วนเรื่องสุดท้าย ไม่เห็นด้วยค่ะ จากมุมมองของน้องเด็กวัยรุ่นคนนึง ต้องการพ่อแม่แบบเพื่อนค่ะ เห็นเพื่อนที่เค้ามีพ่อแม่แบบเพื่อนแล้วอิจฉานะ
พ่อแม่แบบเพื่อนเนี่ยได้เปรียบกว่าแบบอื่นตรงที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกเยอะกว่าค่ะ เค้าจะเอาทุกอย่างมาปรึกษา ตั้งแต่เรื่องเรียนจนเรื่องแฟน เราสามารถรับฟังและค่อยๆสอนเค้าได้นี่ค่ะ ซึ่งเด็กจะยอมรับและเชื่อฟังมากกว่า ส่วนแบบอื่นไม่ว่าพ่อแม่จะใจดีมากมายมหาศาลแคไหน ก็ไม่ได้ฟังทุกอย่างของลูกคะ เพรา่ะมันมีคำว่า "พ่อ" คำว่า "แม่" เป็นตัวกดดันใ้ห้คิดว่าเรื่องบางเรื่องไม่เหมาะสมที่จะบอก เอาไปปรึกษาเพื่อนดีกว่า แก้ปัญหาเอาเองดีกว่า ทำนองนี้ค่ะ
โดย: Kisshoneyz วันที่: 6 สิงหาคม 2555 เวลา:13:44:40 น.
  
อรุณสวัสดิ์ครับคุณเจน


วันนี้ชวนคุยเรื่องเด็กดื้อที่บล็อกผมครับ






โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 สิงหาคม 2555 เวลา:6:30:56 น.
  
หวัดดีค่ะครูเจน

ขอบคุณค่ะ ที่แวะเยี่ยมที่บล็อค
โดย: Always & Forever วันที่: 7 สิงหาคม 2555 เวลา:17:30:46 น.
  
เห็นด้วยกับเม้นท์ของคุณเจนเลยครับ

โดย: กะว่าก๋า วันที่: 7 สิงหาคม 2555 เวลา:19:03:32 น.
  
อรุณสวัสดิ์ครับคุณเจน




โดย: กะว่าก๋า วันที่: 12 สิงหาคม 2555 เวลา:6:47:44 น.
  
ส่วนตัวบุ๊งเห็นดังนี้นะคะ

1. บุ๊งกลับเห็นด้วย การที่พ่อแม่อยู่ ร.ร. ต่อ เด็กก็ไม่เป็นอันทำอะไร ร่ำร้องอยากจะกลับอย่างเดียว และนอกจากลูกเราเองจะไม่ยอมหยุดร้องแล้ว เด็กคนอื่นเห็น ก็ชักอยากกลับบ้าน ทำเอาร้องไห้กันไปทั้งห้องค่ะ

2. ตอนนี้ลูกยังไม่อยู่ในอายุที่จะถือเงิน เลยยังไม่รู้ว่าอีกหน่อยจะทำยังไง ข้อนี้ขอไม่ออกความเห็น

3. ข้อนี้บุ๊งเฉยๆ ค่ะ ปกติบางทีบุ๊งก็ทำโทษด้วยการตี บางคนอาจไม่เห็นด้วย แต่บุ๊งก็ตีเวลาที่ดื้อมากๆ และไม่เชื่อฟัง ตีทั้งไม้และมือค่ะ

4. เห็นด้วยค่ะ

5. บุ๊งขอเลือกสายกลาง คือเป็นทั้งเพื่อนและแม่ค่ะ
โดย: Close To Heaven วันที่: 21 สิงหาคม 2555 เวลา:13:43:45 น.
  
อรุณสวัสดิ์ครับคุณเจน






โดย: กะว่าก๋า วันที่: 26 สิงหาคม 2555 เวลา:6:43:21 น.
  
อ่านบทความแล้วชอบมาก ๆ ครับ คุณเจนมี Facebook ไหมครับ
โดย: ต้อย ครับ IP: 58.11.139.147 วันที่: 5 กันยายน 2555 เวลา:13:43:33 น.
  
ขอบคุณมากครับคุณเจน






โดย: กะว่าก๋า วันที่: 6 กันยายน 2555 เวลา:6:41:41 น.
  
คุณต้อยไม่มีค่ะแต่ถ้ามีคำถามอะไรติดต่อเจนทางหลังไม์ได้คะ
โดย: JanE & IK วันที่: 8 กันยายน 2555 เวลา:8:18:33 น.
  
อรุณสวัสดิ์ครับคุณเจน





โดย: กะว่าก๋า วันที่: 19 กันยายน 2555 เวลา:7:00:42 น.
  
สวัสดียามเช้าครับคุณเจน





โดย: กะว่าก๋า วันที่: 3 ตุลาคม 2555 เวลา:7:39:05 น.
  
สวัสดีค่ะ ครูเจน

คิดถึงค่า
โดย: แม่โอ๋เรนเจอร์ วันที่: 27 ตุลาคม 2555 เวลา:12:02:42 น.
  
อรุณสวัสดิ์ครับุคณเจน




โดย: กะว่าก๋า วันที่: 11 พฤศจิกายน 2555 เวลา:7:17:20 น.
  
สวัสดีนะจ้ะ เราแวะมาเยี่ยมนะจ้ะ ^____^ สักคิ้ว 6 มิติ ลบรอยสักคิ้วด้วยเลเซอร์ ลบรอยสักคิ้ว Eyebrow Tattoo Removal เพ้นท์คิ้วลายเส้น เพ้นท์คิ้ว 3 มิติ
ให้ใจหายใจ สุขภาพ วิธีลดความอ้วน การดูแลสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกาย สุขภาพผู้หญิง สุขภาพผู้ชาย สุขภาพจิต โรคและการป้องกัน สมุนไพรไทย ขิง น้ำมันมะพร้าว ผู้หญิง ศัลยกรรม ความสวยความงาม แม่ตั้งครรภ์ สุขภาพแม่ตั้งครรภ์ พัฒนาการตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ อาหารสำหรับแม่ตั้งครรภ์ โรคขณะตั้งครรภ์ การคลอด หลังคลอด การออกกำลังกาย ทารกแรกเกิด สุขภาพทารกแรกเกิด ผิวทารกแรกเกิด การพัฒนาการของเด็กแรกเกิด การดูแลทารกแรกเกิด โรคและวัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาหารสำหรับทารก เด็กโต สุขภาพเด็ก ผิวเด็ก การพัฒนาการเด็ก การดูแลเด็ก โรคและวัคซีนเด็ก อาหารสำหรับเด็ก การเล่นและการเรียนรู้ ครอบครัว ชีวิตครอบครัว ปัญหาภายในครอบครัว ความเชื่อ คนโบราณ
โดย: สมาชิกหมายเลข 3757448 วันที่: 20 มีนาคม 2560 เวลา:17:36:21 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

JanE & IK
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 44 คน [?]



Group Blog
สิงหาคม 2555

 
 
 
1
2
3
4
5
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog