ธารธรรมใสเย็นยิ่ง สุขได้
Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
30 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 
ใจพรานธรรมตอบ

.


Create Date : 30 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2552 9:33:11 น. 24 comments
Counter : 275 Pageviews.

 
ก่อนตายต้องขอกอบโกยให้ได้มากที่สุด

เพื่อนผมมันบอกว่า ก่อนตายต้องขอกอบโกยให้ได้มากที่สุด แต่จะไม่ทำผิดกฏหมาย เพราะตายไปก็เอาไปไม่ได้ ขอให้มีความสุขในช่วงที่มีชีวิตอยู่

ผมก็ไม่มีปัญญาที่จะไปอธิบายให้มันฟัง
จากคุณ : emannigol
เขียนเมื่อ : 30 พ.ย. 52 07:56:45

ถามเค้า ทำไมไม่ดำเนินชีวิตอย่างพอเพียง ตามรอยพ่อ
พระองค์ทรงดำรงตำหน่งเป็นถึงพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย
มิได้ทรงปราถนาจะกอบโกย หรือ แสวงหาผลประโยชน์ใดๆจากประชาชน
ของพระองค์เลยแม้แต่น้อย
ทั้งพระองค์ยังทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ เมตตาช่วยเหลือประสกนิกรชาวไทย
ทุกหย่อมหญ้า ทั้งพระเสโทก็หยาดหยดลงทั่วธรณี ทรงสละความสุข
สบาย ยอมทุ่มเทพระวรกายและใจ มุ่งหวังเพื่อให้ประชาชนทุกๆคน
ของพระองค์ ไม่ต้องแก่งแย่ง ไม่ต้องกอบโกย ไม่ต้องกระทำผิดกฎหมาย
มีความอยู่ดีมีสุข ในผืนแผ่นดินสยามนี้

ชื่อลูกภูมิพล ต้องเหยียบดิน ไอ้การลอยไม่เหยียบดินใช้ไม่ได้ ภูมิพลเหยียบดิน ถึงเดินไปบนภูเขาก็เดินบนดิน เหาะเฮลิคอปเตอร์ลงมาก็มาเดินบนดิน ท่านเตือนเสมอว่าห้ามไม่ให้ลอย จนอายุเกือบ ๖๐ ถึงหยุด ท่านไม่เตือนแล้ว(สมเด็จพระบรมราชชนนี) ท่านว่าแม่ชอบ ถ้าทำอะไรดีให้รู้ว่าดี อย่าไปเหิม ต้องระวัง


รู้อย่างนี้เราจะไม่ทำอะไรตอบแทนพระองค์บ้างเลยหรือ
จะอาศัยความอยู่ดีมีสุข ที่พระองค์ทุ่มเทมอบให้ เอาไปเพื่อกอบโกย
เอาไปแสวงหาความสุขอันน่าสมเพช น่าติเตียนอย่างนั้นหรือ
นอกจากเราจะไม่ตอบแทนคุณของพระองค์ เรายังจะเป็นคนที่เนรคุณ
ต่อพระองค์ด้วย ต่อประเทศชาติ ต่อตัวเองด้วยอย่างนั้นหรือ

อย่าไปคิดว่าประเทศชาติไม่ได้มีบุญคุณ ไม่ได้ให้อะไร
ทำไมต้องตอบแทน

..เพียงแค่ให้เกิดมาผืนแผ่นดินนี้ นั่นยังไม่มีค่าพออีกหรือ


โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 30 พฤศจิกายน 2552 เวลา:9:35:37 น.  

 
วิปัสสนา อาศัยกำลังสมาธิขั้นใด ขนิกหรืออุปจาร

ผมดูจากข้อความข้างล่างนี้ของสมเด็จพระสังฆราชแล้วเข้าใจว่า วิปัสสนาใช้กำลังของสมาธิในขั้นอุปจารสมาธิ แต่บ้างก็บอกว่าแค่ขณิกสมาธิก็พอ บ้างก็บอกว่าต้องเข้าอัปปนาสมาธิก่อนแล้วถอยออกมาที่อุปจารสมาธิ ซึ่งผมเชื่อว่าวิธีอย่างหลังนี้แน่นอนชัดเจนที่สุดและตัวเองก็พยายามปฏิบัติเช่นนี้อยู่

อยากเรียนถามว่า ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงกำลังสมาธิขั้นใดที่เหมาะสำหรับวิปัสสนา

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ 382

๔. โกสลสูตร

ว่าด้วยการเจริญสติปัฏฐาน ๔

[๖๙๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พราหมณคาม

ชื่อโกศล ในแคว้นโกศล ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุ

ทั้งหลาย ฯลฯ แล้วได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ-

ทั้งหลายที่เป็นผู้มาใหม่ บวชยังไม่นาน เพิ่งมาสู่ธรรมวินัยนี้ อันเธอทั้งหลาย

พึงให้สมาทาน พึงให้ตั้งอยู่ พึงให้ดำรงมั่นในการเจริญสติปัฏฐาน ๔.

สติปัฎฐาน ๔ เป็นไฉน.

[๖๙๒] มาเถิด ผู้มีอายุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงพิจารณาเห็นกาย

ในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีธรรมเอกผุดขึ้น มีจิตผ่องใส

มีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เดียว เพื่อรู้กายตามความเป็นจริง. จงพิจารณา

เห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ... เพื่อรู้เวทนาตามความเป็นจริง. จงพิจารณาเห็นจิต

ในจิตอยู่... เพื่อรู้จิตตามความเป็นจริง. จงพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่

มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีธรรมเอกผุดขึ้น มีจิตผ่องใส มีจิตตั้งมั่น

มีจิตมีอารมณ์เดียว เพื่อรู้ธรรมตามความเป็นจริง.

[๖๙๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ภิกษุทั้งหลายที่ยังเป็นเสขะ ยังไม่

บรรลุอรหัต ปรารถนาความเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยม ก็ย่อมพิจารณาเห็น

กายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีธรรมเอกผุดขึ้น มีจิตผ่องใส

มีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เดียว เพื่อกำหนดรู้กาย. ย่อมพิจารณาเห็นเวทนา

ในเวทนาอยู่ ...เพื่อกำหนดรู้เวทนา. ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ . . . เพื่อ

กำหนดรู้จิต. ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่

-------------------------------------
พึงทราบเถิดว่า พระผู้มีพระภาคทรง
ให้ "ตั้งมั่นด้วย" ให้ "พิจารณาด้วย"

>> มีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เดียว เพื่อรู้กายตามความเป็นจริง. จงพิจารณา เห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ... เพื่อรู้เวทนาตามความเป็นจริง. จงพิจารณาเห็นจิต ในจิตอยู่...

ที่ว่าตั้งมั่นก็คือสมาธิ พิจารณา ก็คือปัญญา
แต่ว่าสมาธิในที่นี้หมายถึงสมาธิที่ปัญญายังสามารถ
ทำกิจทำหน้าที่พิจารณาได้ เพราะถ้าสมาธิแนบแน่นเกินไป ปัญญาก็ไม่สามารถเข้าไปพิจารณาได้

ที่ต้องทำสมาธิแล้วจึงเจริญวิปัสสนา หมายถึง ทำสมาธิจนได้ฌาน แล้วผู้ปฏิบัติยกเอาองค์ฌาน ที่ได้ขึ้นเป็นอารมณ์แก่วิปัสสนา เห็นว่า ปิติ สุข เป็นต้นนั้น ก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา

ส่วนผู้ทำฌานให้เกิดขึ้นมิได้ ก็ยกเอารูปหรือนาม กล่าวคือขันธ์ทั้ง ๕ ที่กำลังปรากฎอยู่ มาเป็นอารมณ์แก่ วิปัสสนาก็ย่อมทำได้เช่นเดียวกัน
ต่างกันเพียงแต่ความตั้งมั่นในอารมณ์ อาจหวั่นไหวด้วยธรรมคือ นิวรณ์
ทำให้จิตตกไปจากอารมณ์ของวิปัสสนาได้โดยง่าย

แต่หากผู้ปฏิบัติไม่ทิ้งสติและสัมปชัญญะ แม้จะถูกนิวรณ์เข้าอาศัย
ก็ยกเอานิวรณ์นั้นล่ะ มาพิจารณาว่านิวรณ์นั้นก็ไม่เที่ยง นิวรณ์นั้นก็เป็นทุกข์
นิวรณ์นั้นก็เป็นอนัตตา เช่นนี้อยู่ก็ได้เช่นกัน
เพราะไม่มีอารมณ์ใดที่จะไม่เป็นประโยชน์แก่ปัญญาในการทำวิปัสสนา

จากคุณ : ใจพรานธรรม
เขียนเมื่อ : 11 พ.ย. 52 11:51:28


โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 30 พฤศจิกายน 2552 เวลา:12:41:46 น.  

 
ปีชงต้องแก้ยังไง....แล้ววิธีแก้บนแบบนี้ต้องทำไงคะ ช่วยหน่อยค่ะ

ดวงเราปีนี้ตกปีชง และ ต่อจากปีชงก็เบญจเพศพอดี เมษา 2529

แบบว่าสองปีติดจะทำอะไรก็ติดๆขัดๆ

แล้วยังไม่ทันข้ามปีก็มีเรื่องราวมากมายที่สุดของชีวิตมาให้เครียดก่อนแล้ว

มีคนทักว่าเราชอบบนบานกับสิ่งศักดิ์สิทที่คุ้มครองเราแล้วไม่แก้

เราต้องการแก้ต้องทำไงคะทั้งเรื่องสินบนที่เราจำไม่ได้แล้วเพราะบางทีปากพล่อยพูดไป

แล้วย่างเข้าปีชงคิดว่าเหนื่อยแน่

แต่ทำใจไว้แล้วค่ะเรื่องนี้เพราะมีปัญหาเรื่องเงินทั้งโดนโกง

แล้วก็ทำธุรกิจแจ๊งอีก เรื่องหนี้สินทำใจแล้ว

แต่ต้องทำไงไม่ให้กรรมซ้อนอีก เพราะเราไปดูหมอมาก็ทักคล้ายกันหมดเรื่องปีชง เลยเหนื่อยใจ

บางทีก็อาจเป็นเพราะเราลบหลู่เทวดาสิ่งศักดิ์สิทที่คุ้มครองเราอยู่หรือติดสินบนอะไรสักอย่างที่เราจำไม่ได้ ต้องแก้ไงคะ

ตอนนี้เครียดมาเป็นเดือนแล้วบางครั้งน้อยใจทำเราก็ชอบทำบุญนะ มีที่ไหนขอให้บอก พอจะดีก็ต้องมีเรื่องไม่ดีมาด้วย แล้วจบด้วยแย่สุดๆทุกที
ขอบคุณค่ะ
จากคุณ : takky_hotzone
เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 52 00:06:12

จุดธูปกลางแจ้ง พร้อมด้วยธูปเทียนดอกไม้
ตั้งโต๊ะมีอาหารหวาน คาว น้ำดื่ม บอกเทวดาฟ้าดิน พระแม่ธรณี
และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่คุณได้ไปขอให้เค้ามาช่วยเหลือ
ที่รู้ก็ดีที่ ไม่รู้ก็ดี ขอให้มารับเครื่องสังเวยนี้

หลังจากนั้นถ้ามีเวลาว่างแล้ว ให้หมั่นทำบุญใส่บาตร ไปวัดถวายสังฆทานมีข้าวสุกขนมสด เป็นต้น แล้วอุทิศไปให้เขาด้วย

หมั่นสวดมนต์ไหว้พระเจริญสมาธิหรือวิปัสสนาเพื่อให้จิตใจสงบและผ่องใส
เลิกการไหว้บนบานศาลกล่าว แต่ถ้าจะบนก็ขอให้บนกับตัวเอง(ได้ผลเหมือนกัน แต่มันมีเคล็ดลับบางอย่าง)
หลายๆอย่างจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น

คุณยังโชคดีที่ปีนี้ชงกับคุณ และมีคนบอกกล่าวให้
แต่ผมก็ไม่รู้หรอกว่าอะไรชงกับอะไร รู้แต่เพียงว่า"ชง" มีความหมายว่า "ไม่ถูกกัน" หรือ "ปะทะกัน"
หลายล้านคนบนโลกก็ชง แต่เค้าชงกับปัญญา ชงกับศีล ชงกับสมาธิ
คือไม่ถูกกับปัญญา ไม่ถูกกับศีล ไม่ถูกกับสมาธิ แต่ไปติดไปหลง
อยู่กับกิเลส อยู่กับโมหะ
การชงของเขาเหล่านี้ เป็นการชงที่เขาไม่รู้ตัว แม้มีคนบอกเขาก็ไม่เชื่อ
เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยากนักที่จะแก้ไข การชงหรือปะทะนั้นได้.

จุดธูป ๙ ดอกครับ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก

ที่ต้อง ๙ เพราะเราอาศัยคุณของพระพุทธเจ้ามาช่วยคุ้มครองช่วยเหลือ
ขณะที่ท่านจุด ท่านควรที่จะต้องรู้ด้วยว่าธูปทั้ง ๙ ดอกนั้น หมายถึงอย่างนี้
๑. อรหํ เป็นพระอรหันต์ คือ เป็นผู้บริสุทธิ์ ไกลจากกิเลส ทำลายกำแพงสังสารจักรได้แล้ว เป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนผู้อื่น ควรได้รับความเคารพบูชา เป็นต้น
๒. สมฺมาสมฺพุทฺโธ เป็นผู้ตรัสรู้ชอบเอง
๓. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชา คือความรู้ และจรณะ คือความประพฤติ
๔. สุคโต เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว คือ ทรงดำเนินพระพุทธจริยาให้เป็นไปโดยสำเร็จผลด้วยดี พระองค์เองก็ได้ตรัสรู้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพุทธกิจก็สำเร็จประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่ชนทั้งหลายในที่ที่เสด็จไป และแม้ปรินิพพานแล้ว ก็ได้ประดิษฐานพระศาสนาไว้เป็นประโยชน์แก่มหาชนสืบมา
๕. โลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก คือ ทรงรู้แจ้งสภาวะอันเป็นคติธรรมดาแห่งโลกคือสังขารทั้งหลาย ทรงหยั่งทราบอัธยาศัยสันดานแห่งสัตวโลกทั้งปวง ผู้เป็นไปตามอำนาจแห่งคติธรรมดาโดยถ่องแท้ เป็นเหตุให้ทรงดำเนินพระองค์เป็นอิสระ พ้นจากอำนาจครอบงำแห่งคติธรรมดานั้น และทรงเป็นที่พึ่งแห่งสัตว์ทั้งหลายผู้ยังจมอยู่ในกระแสโลกได้
๖. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ฝึกได้ ไม่มีใครยิ่งกว่า คือ ทรงเป็นผู้ฝึกคนได้ดีเยี่ยม ไม่มีผู้ใดเทียมเท่า
๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
๘. พุทฺโธ เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว คือ ทรงตื่นเองจากความเชื่อถือและข้อปฏิบัติทั้งหลายที่ถือกันมาผิด ๆ ด้วย ทรงปลุกผู้อื่นให้พ้นจากความหลงงมงายด้วย อนึ่ง เพราะไม่ติด ไม่หลง ไม่ห่วงกังวลในสิ่งใด ๆ มีการคำนึงประโยชน์ส่วนตน เป็นต้น จึงมีพระทัยเบิกบาน บำเพ็ญพุทธกิจได้ถูกต้องบริบูรณ์ โดยถือธรรมเป็นประมาณ การที่ทรงพระคุณสมบูรณ์
เช่นนี้ และทรงบำเพ็ญพุทธกิจได้เรียบร้อยบริบูรณ์เช่นนี้ ย่อมอาศัยเหตุคือความเป็นผู้ตื่นและย่อมให้เกิดผลคือทำให้ทรงเบิกบานด้วย
๙. ภควา ทรงเป็นผู้มีโชค คือ จะทรงทำการใด ก็ลุล่วงปลอดภัยทุกประการ หรือ เป็นผู้จำแนกแจกธรรม

ส่วนที่ต้องหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ผมก็อาศัยดำเนินรอยตามพระพุทธองค์ เพราะขณะที่ท่านบำเพ็ญตบะ เพื่อจะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า
ท่านทรงนั่งหันไปทุกทิศ แต่ละทิศก็มิอาจรองรับได้ ธรณีหวั่นไหวมิอาจดำรงตั้งมั่นได้ จึงทรงตรวจทราบดู ก็ทรงทราบว่ามีทิศตะวันออกนี้เท่านั้น
แล้วก็ทรงสำเร็จ เป็นทิศแห่งความสว่าง
เป็นทิศแห่งความเจริญปัญญาของพระองค์

เราก็เอาคุณ เอาบารมี เอาความรู้ต่างๆเหล่านั้นมาประยุกต์
ไม่ทำอย่างงมงายและโง่เขลา
ขณะที่คุณทำพิธีอยู่ ขอให้คุณระลึกและรู้ตามอย่างที่ผมยกนำมากล่าวนี้ไว้ให้มั่นคง ให้มั่นใจในคุณของพระพุทธเจ้า และอย่าไปตั้งความหมายมั่น
ว่าจะเกิดผลดีขึ้นอย่างมากมายในทันที ขอให้ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ
เพราะอาจจะร้ายลงไปกว่าเดิม ก็เป็นได้แต่นั่นก็เพราะกรรมของคุณเอง
ไม่ใช่เพราะสิ่งที่คุณทำตามที่ผมกล่าว ทุกคนมีกรรม ใครจะไปต้านทานหรือทำลายไปไม่ได้ แต่การมีสติ การรู้จักเสียสละ การรู้จักแก้ไขปรับปรุง
ในเรื่องที่ผิดพลาด ย่อมได้ประโยชน์อันดีอย่างแน่นอน


ถ้าทำตามที่กล่าวนี้ได้ เหล่าเทวดาผู้เป็นสัมมาทิฏฐิทั้งหลายก็ย่อมเห็นใจ
ย่อมเมตตา ย่อมช่วยเหลือ เพราะไม่ว่า เทวดามาร พรหม ใหนๆ
ที่จะมายิ่งใหญ่กว่าพระพุทธเจ้านั้นไม่มี
เมื่อได้ดีมีความสุข ก็ขอให้อย่าได้ประมาท หมั่นให้ทานรักษาศีล
ให้มีความดีเป็นของเราเอง และหมั่นกราบไหว้ความดีของเรา
เรื่องอื่นๆ ก็ปล่อยวางเสียบ้าง
สิ้นชีวิตเสียแล้ว ทุกสิ่งที่เห็นจะนำติดตัวไปก็ไม่ได้ สิ่งที่ติดตัวไปได้ก็คือสิ่งที่มองไม่เห็น
...คือ ความดี-ความชั่ว ของเราเองเท่านั้น
จากคุณ : ใจพรานธรรม
เขียนเมื่อ : 27 พ.ย. 52 09:05:10




โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 1 ธันวาคม 2552 เวลา:12:52:35 น.  

 
"พระพุทธเจ้า"มีความลับที่บอกใครไม่ได้หรือเปล่า และ การมี ความลับ นี่เป็นบาป หรือเปล่าครับ vote [ถูกใจ] [แจ้งลบ]

"พระพุทธเจ้า"มีความลับที่บอกใครไม่ได้บ้างหรือเปล่าครับ
จากคุณ : yagioh
------------------------------------------
บริสุทธิ์ บริบูรณ์ โดยสิ้นเชิง

บริสุทธิ์ - เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นแห่งทุกข์
บริบูรณ์ - ไม่ทรงแสดงธรรมอย่างย่อ คนอื่นไม่รู้ แต่เราเข้่าใจผู้เดียว
โดยสิ้นเชิง - ไม่ทรงปิดบัง ซ่อนเร้น ให้อย่างหมดจด อย่างสิ้นเชิง

ไม่มีสิ่งใดที่เป็นความลับของพระองค์ แม้กรรมอันไม่ดีในอดีตชาติ
พระองค์ก็ทรงนำมาตรัสบอก

สิ่งที่พระองค์รู้แต่ไม่บอก ก็คือเรื่องที่เป็นอจินไตย
ซึ่งไม่ใช่ความลับ แต่ผู้ที่จะเข้าใจเว้นไปจากพระองค์แล้วเป็นไม่มี
จากคุณ : ใจพรานธรรม [Bloggang]
เขียนเมื่อ : 6 ธ.ค. 52 23:34:22 [แก้ไข]


โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 7 ธันวาคม 2552 เวลา:0:19:15 น.  

 
กรรมฐานสำหรับนักคิด
อย่าเพิ่งเข้าใจผิดนะคะ พวกนักคิดในที่นี้หมายถึงพวกคิดมากค่ะ ไม่ใช่พวกมันสมองเป็นเลิศ - -" อยากรู้ว่ากรรมฐานแบบใดเหมาะสำหรับคนแบบนี้ เป็นคนที่คิดมากและชอบจมอยู่กับความคิด หลายครั้งคนเรียกก็ไม่ได้ยินค่ะ ประสาทช้า ตามชาวบ้านไม่ทัน
จากคุณ : Friday13th
-----------
จำไว้ครับ อารมณ์ของจิต มี ๓ (ว่าโดยกาล นะครับ)
๑. อารมณ์ ในอดีต (เราเรียกว่า "นึก") - นึกออกไหม วันนี้ไปใหนมา?
๒. อารมณ์ในปัจจุบัน (เราเรียกว่า "รู้สึก") - รู้สึกหิวข้าวหรือเปล่า?
๓. อารมณ์ในอนาคต(เราเรียกว่า "คิด") - คิดว่า เรื่องนี้จะจบลงอย่างไร?

ความนึก และความคิด ไม่เป็นสติ คือไปรู้แล้วสติเกิดไม่ได้
ขณะที่เราทำอย่างนี้ ความนึก และความคิด เข้ามา
สติขาด เมื่อขาดสติ ก็เหมือน ไม่ได้ save ข้อมูลไว้ในจิต

ดังนั้น ความรู้สึก คืออารมณ์ในปัจจุบัน จึงเป็นเหตุให้เกิดสติได้
นี่อย่างเช่นเวลานี้ คุณผู้อ่าน กำลังอ่านข้อความนี้
ขณะที่อ่านก็ตั้งใจ ก็รู้และเข้า่ใจ
ถ้าอ่านไปด้วยแต่ใจไปอยู่กับการคิด-นึก บางทีต้องกลับมาอ่านถึงสอง-สามรอบ

แล้วกรรมฐานใดที่จะเป็นเหตุให้สติเกิดได้ ตั้งอยู่ได้
มหาสติปัฏฐาน ๔ ครับ
มหา - ยิ่งใหญ่
สติ - ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ความระลึกได้
ปัฏฐาน - ที่ตั้ง

แต่ผมมีเคล็ดไม่ลับ มาบอก เป็นอีกวิธีหนึ่งง่าย
เป็นคาถาทำให้สติเกิด ขอให้จำและท่องเอาไว้เสมอ
คาถาว่า
"ขณะนี้ เวลานี้ เรากำลังทำอะไรอยู่ ๆ ๆ"
ท่องไปเรื่อย นึกอะไรได้ก็ท่องบทนี้ไว้ คิดอะไรมาก ก็ท่องไว้ ๆ
ท่องหนึ่งจบหรือสามสี่จบก็ได้ แล้วก็ตอบว่าไปว่า
"ขณะนี้เวลานี้ เรากำลังทำ...."(ตามที่กำลังทำอยู่ คิดอยู่ พูดอยู่)

หมั่นภาวนาไว้เสมอ ตอบให้ได้เสมอ ศักดิ์สิทธิ์นักแล.

*
ถ้าฝึกจนจิต อบรมจิต จนเริ่มรู้สึกเป็นคนมีสติมากขึ้น ก็ขอให้ศึกษา
กรรมฐาน สติปัฏฐาน ๔ ด้วยนะครับ
จะ ให้มีสติ จะให้หลุดพ้นหรือสงบ จนรู้แจ้งแห่งธรรม ต้องปฏิบัติตามสติปัฐฐาน ๔ เท่านั้น วิธีที่ผมกล่าวไป มันเป็นแค่อุบาย จะให้หลุดพ้นหรือทำลายกิเลสไม่ได้เลยครับ.

จากคุณ : ใจพรานธรรม


โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 7 ธันวาคม 2552 เวลา:0:32:21 น.  

 
ของที่เตรียมไว้ใส่บาตร แต่ไม่มีโอกาสได้ใส่ ถ้าเอามากินเองหรือแจกทาน จะบาปไหมคะ
จากคุณ : torta
เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 52 07:30:57

เป็นของเหลือเดน
แต่การเหลือเดนในที่นี้คือ เหลือเดนจากการทำทาน เหลือเดนจากบริจาค
เป็นผู้ให้วัตถุทานนั้นแล้ว ส่วนที่เหลือจากกุศลทานนั้น แล้วจึงบริโภค

แต่โดยมาก เรามักเข้าใจกันผิดว่าเหลือเดนมันไม่ดี
แต่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ ว่าการบริโภคของเ้หลือเดนอย่างนี้ นั้นประเสริฐ
เป็นโภชนะมีรสอันเลิศ คือเป็นบุญให้ผลเป็นความสุข
หาอ่านได้จากพระสูตร วิฆาสาทชาดก ว่าด้วย การกินของที่เป็นเดน ครับ

จากคุณ : ใจพรานธรรม [Bloggang]
เขียนเมื่อ : วันรัฐธรรมนูญ 52 10:34:35


โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 11 ธันวาคม 2552 เวลา:9:10:26 น.  

 
ปฏิบัติธรรม ในสายตาคนอื่นเป็นคนชอบกลใช่ไหม

จากคุณ : siam2508
เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 13:31:00

อาจชอบกลในสายตาของคนอื่น
แต่เป็น "คนดี" ในสายตาของพระอริยะ

และถ้าเราปฏิบัติธรรม แต่แคร์ในสายตาของคนแบบนั้น
เรานี้เองเป็นคนชอบกล แก่ตัวของเราเอง

จากคุณ : ใจพรานธรรม
เขียนเมื่อ : 29 พ.ย. 52 17:32:14
ถูกใจ : EvaAngelion, siam2508, The fox in the stock, deedang, so much loveyou, อุบาสก, faisai, CupJok





โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 15 ธันวาคม 2552 เวลา:1:06:02 น.  

 
ถ้าเริ่มปฏิบัติภาวนา...ควรเริ่มที่ สมาธิก่อน หรือ วิปัสสนาก่อนคะ....
อย่างที่ถามคะ เพราะสมาธิกับวิปัสนาเป็นคนละแบบใช่ไม๊คะ
แล้วควรจะเริ่มที่ตรงไหนก่อนคะ หรือทำควบคู่กันเลย

จากคุณ : ใบบอนต้มยำ

เบื้องต้นคือรักษาศีล
พอมีศีล นิวรณ์ ก็เข้าอาศัียได้ยากหรือน้อย ก็เป็นสมาธิความสงบเล็กๆขั้นหนึ่ง
เมื่อนิวรณ์ไม่เข้ามา สมาธิก็เกิด ใจก็สว่าง ไม่มืดบอดด้วยกิเลส
ปัญญาก็จะเกิดขึ้นเองตามมา อย่างอัตโนมัติ

รู้และปฏิบัติบ่อยๆ สมาธิและปัญญาก็จะแก่กล้าเพิ่มไปเรื่อยๆ
ความเด่นชัดในอดีตที่เคยสั่งสมก็จะปรากฏ บอกให้รู้เองว่า เราควรเลือกแบบใหน

จากคุณ : ใจพรานธรรม
เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 52 10:00:31
ถูกใจ : ใบบอนต้มยำ, ever rich


โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 15 ธันวาคม 2552 เวลา:1:17:46 น.  

 
แฟนผมได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ แล้วครับฮือๆๆๆผมต้องทำอย่างไรดี
จากคุณ : Hamonics

เธอคนนั้นก็ยังอยู่ในใจของคุณอยู่ ไม่ได้จากไปใหนไกลเลย
คุณยังมีความรัก มีความสุขกับคนที่คุณยังรักอยู่ได้ตามปรกติ
คุณยังรักษาศีล เป็นคนดี ทำบุญอุทิศให้ได้
แม้น้ำตาจะท่วมท้นมหาสมุทร ก็ไม่ได้บ่งบอกถึงความรักอันแท้จริง
และบริสุทธิ์ได้เลย เมื่อความรักเริ่มที่ใจนี้ ก็ควรรักษาใจนี้ไว้

เพราะเมื่อถึงวันหนึ่งความรู้สึกนี้จะถูกกาลเวลา ทำให้ลืมหรือเลือนลางไป
น้ำตาในวันนี้ อาจจะกลายเป็นเสียงหัวเราะได้ในอีกวัน

..และในวันนั้น
เธอคนนั้นได้ตายจากคุณ ไปอย่างถาวรแล้ว
คุณอาจเก็บข้อความของผมนี้ไว้ก็ได้ สิบปีหรื่อยี่สิบปี
เมื่อกลับมาอ่านมันใหม่คุณจะเข้าใจในสิ่งที่ผมกล่าวมากขึ้น

จากคุณ : ใจพรานธรรม
เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 52 23:48:42
ถูกใจ : aunso6785, หอมทวนลม, นาย X-MAN, ไผ่บูรพา, เล่นรอบ


โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 16 ธันวาคม 2552 เวลา:0:20:53 น.  

 
" อุโบสถศีล " เป็นยังไงคะ เคยอ่านๆอยู่เหมือนกัน แต่ไม่เคลียร์ค่ะ
จากคุณ : yadadan

ศีลอุโบสถนั้น ผู้รักษาจะต้องเลือกเอา อนุสติใด มาอนุสติหนึ่ง
มาเจริญสติตลอดวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง อาจจะเอาพุทธคุณ ก็ได้
เพื่อให้จิตใจจำอยู่ในอุโบสถ คือมีสติอยู่ในอนุสติ พร้อมทั้งมีการรักษา
องค์ของศีล คือโดยรวมทั้งหมด ๘ ข้อเช่นเดียวกับศีลแปด

แต่การรักษาศีลอุโบสถนั้น จำต้องรักษาให้ได้อย่างหมดจด
จะให้ขาดไปเสียข้อใดข้อหนึ่งไปไม่ได้

เพราะการขาดศีลข้อใด ข้อหนึ่งไปแม้เพียงข้อเดียว
อุโบสถที่เหลือทั้งหมด คืออีก ๗ ข้อ ต้องขาดอุโบสถตามไปด้วย

ดังนี้การรักษาศีลอุโบสถจะต้อง
- มีสติ อยู่กับอนุสติใด อนุสติหนึ่งในสิบ ตลอดวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง มิควรให้อารมณ์อื่นใด เข้าจำร่วมอยู่ในอุโบสถศีล
- ต้องมีความตั้งใจ มุ่งมั่น เจตนาอย่างแรงกล้า และระวังรักษาศีลอุโบสถ
ที่ตนรักษา มิให้ขาดไปแม้เพียงข้อใดข้อหนึ่ง

การรักษาศีลอุโบสถ จึงได้บุญมาก ได้อานิสงส์มากเพราะเหตุนี้
ส่วนกาลและเวลาในการรักษาอุโบสถนั้น ก็ตามที่ผู้รู้ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น

ศีล ๘ รักษาได้ตลอดวันใดก็ได้ ขาดไปข้อหนึ่งก็ขาดไปเพียงแต่ข้อที่ละเมิดนั้น
และไม่จำเป็นต้องมีสติใด สติหนึ่งในสิบ ตลอดวันหนึ่งและคืนหนึ่ง

อุโบสถศีล กับ ศีลแปด ต่างกันเพียงนี้.

จากคุณ : ใจพรานธรรม
เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 16:38:59


โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 17 ธันวาคม 2552 เวลา:22:20:06 น.  

 
ทำบุญ เพราะ อยากได้บุญ ทำบุญ เพราะอยากไปทำบุญ

ทำบุญ เพราะอยากได้บุญ ทำบุญเพราะอยากไปทำบุญ
มีความ อยาก เป็นตัวนำ แล้วจะคิดต่อยังไงครับ
บางท่านว่า ต้องตัดอยาก ออกไปกลายเป็น ทำบุญ เพราะได้มีโอกาสไปทำ ทำบุญเพราะ ต้องไปทำ หรือ ไหนๆก็มาวัดแล้ว ทำบุญซะเลย

เอาจิตของเรา ตั้งไว้ตรงไหนดีครับ
ถามเอง ยัง งง เองเลยครับ
จากคุณ : numkow
เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 17:27:35

คนไปเรียน ก็เพราะอยากได้วิชาความรู้
ทั้งความรู้และวิชาที่ตนได้มาจากการศึกษา
ก็นำมาเพื่อทำลายความโง่เขลาเบาปัญญาของตน
นำมาเพื่อความเจริญในกิจหน้าที่ของตน
มิใช่ไปเรียนรู้เพื่อให้ตนมีความรู้มากๆ แต่ความไม่รู้ที่ตนมีนั้น มิได้ทำให้ความไม่รู้ของตนลดน้อยลงไปเลย

ฉันใดก็ดี
บุคคลผู้ฉลาดในการทำบุญ ก็ทำบุญเพราะมิใช่เพราะอยากได้บุญ
แต่อยากได้"ผล" ที่แท้จริงของบุญ คือ หวังลด หวังละ หวังทำลายกิเลส ตรงนี้คือบุญ ที่เค้าต้องการ
นำบุญที่ตนได้จากการกระทำมา เพื่อให้จิตของตนเจริญ
เพื่อรักษากาย วาจา ให้เจริญ เพื่อให้กิจที่สุดแห่งบุญนั้นคือ
"พระนิพพาน"ชัดแจ้ง แล้วแก่ตน ก็ฉันนั้น.

จากคุณ : ใจพรานธรรม
เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 18:51:51





โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 17 ธันวาคม 2552 เวลา:22:21:35 น.  

 
__พรุ่งนี้จะลองปฏิบัติ ขอกำลังใจหน่อยนะคะ__ ^^*

สืบเนื่องจากกระทู้ทำบุญแล้วอาการภูมิแพ้ดีขึ้น จึงอยากจะถือศีลภาวนาสักเดือนละครั้งก่อน (ตามความสามารถ) พรุ่งนี้จะเริ่มวันแรกค่ะ

ตั้งแต่เช้าจนเข้านอนค่ะ โปรแกรมโดยรวมคือ สวดมนต์ ทำสมาธิ อ่านหนังสือ ทานอาหารสองมื้อไม่ทานเนื้อ สวดมนต์ ทำสมาธิ อ่านธรรมะ ค่ะ แล้วเราจะเข้ามาถามเรื่องธรรมะ และรายงานผลนะคะ ถ้าทำได้ดีขอให้บุญกุศลส่งผลให้ทุกท่านโชคดีและมีความสุขถ้วนทั่วกันค่ะ สาธุ


อีกเรื่อง เนื่องจากเรารู้ตัวในระดับหนึ่งแล้วแต่ เรื่องที่มันยากสำหรับเราตอนนี้คือ อารมณ์ดึงดูดในกาม เราเห็นอารมณ์นั้นแล้วจึงรู้ว่ามันยากนะ อยากหาทางออกมาก อยากจัดการกับความดึงดูดตามธรรมชาตินั้นๆ แต่มันก็มีเรื่องมาทดสอบเรื่อยๆ

แม้เราไม่เคยพลาดความยั่วยวนพวกนี้มานานแล้วเหมือนกัน แต่มันก็ไม่หายไป (ใครทราบวิธีตัดมันบอกด้วยนะคะ )

วันนี้เราเสริซหาในกระทู้เก่าๆ จนได้อ่านเรื่องหลวงปู่มั่นฯ สร้างอุบายให้คนในป่าตามหาพุทธโธ เราเลยอธิษฐานขอให้ท่านชี้อุบายออกจากกามให้เราด้วย .. ค่ะ .. เมื่อสักครู่ค่ะ ก่อนเราอาบน้ำค่ะ ขณะเอาครีมมาล้างหน้า ขณะหลับตาล้างหน้า..ภาพหลวงปู่มาในหัวเลยค่ะ --> ท่านบอกว่า พิจารณาร่างผู้หญิงคนนี้สิ โอ้ปิ๊งเลยค่า! เรามีร่างกายผู้หญิงอยู่แท้ๆ เลย มองเข้าไปสิ ดูเข้าไป ไม่ต้องไปขอใครดูด้วย ตอนนี้จึงรู้สึกซึ้งใจค่ะ ถ้าเป็นประโยชน์บ้างแง่ไหนมุมใด ขอเล่าเป็นธรรมทานเลยนะคะ สาธุ

จากคุณ : Soul Monogatari *
เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 20:22:16

ความเป็นจริงหลายๆคนที่เห็น ดูภายนอกดูดี ดูสงบ
แต่โดยมาก ยังติดอยู่กับโลก ก็เพราะเหตุคือกามนี้ทั้งนั้น
คือเป็นธรรมดา ของหลายๆคนและเกือบจะทุกๆคน
ต่างกันที่ มากบ้าง.. น้อยบ้าง...


กามไม่ได้มันเป็นสิ่งที่แย่สำหรับชีวิตของผู้ครองเรือนอย่างเรา ทั้งหมด
แต่จิตใจ ตัวที่ยังติดอยู่กับกาม คือกิเลสนั้นต่างหากที่เป็นเหตุ เป็นสิ่งที่อันตราย และเป็นเครื่องขวางกั้นกุศล

และเพราะจิตใจนี้ถูกหมกดองนอนเนื่องและสั่งสม เป็นอาสวะ เป็นอนุสัย
มาหลายร้อย หลายพันชาติ
การจะละกามได้นั้น จึงมิใช่การกระทำอันง่ายสำหรับปุถุชนเราท่านทั้งหลาย

แต่โดยมากกำลังของกามจะถูกตัดริดรอนไปด้วยกำลังของการมีสติและปัญญา โดยการมีจุดหมายในทางพระพุทธศาสนา
คือผู้ที่จะละกามได้ต้องมีจุดหมาย มีเหตุมีผลที่จะละกาม
ว่าจะละไปเพื่อผลอันใด

บ้างก็ละเพื่อเจริญกุศล
บ้างก็ละเพื่อความสงบของจิตใจ
บ้างก็ละเพื่อให้พ้นไปจากสังสารวัฏ

การมีจุดหมายนั้นอันดี ในทางพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ดี ทำให้ผู้ปฏิบัติ
ได้รู้และทราบถึงการปฏิบัติ และเห็นว่าการเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบาก
ใดๆทั้งสิ้นนั้นในความเพียรละกิเลสนั้น เป็นเหตุให้จุดหมายนั้นใกล้ขึ้น

สังขารคือกายอันนี้ เวลานี้ ขณะนี้ กำลังเสื่อมอยู่
ทุกๆเสียงของเข็มวินาที ติ๊กๆๆ ดังผ่านไป ได้กลืนกินฆ่าชีวิตของเราไปทีละน้อยๆ
แต่กามได้กลืนกิน บุญกุศลในส่วนที่เราควรจะได้ไปมากมายกว่านั้น

เป็นกำลังใจให้กันและกันในทางสายนี้ครับ
ขออนุโมทนาสาธุครับ

จากคุณ : ใจพรานธรรม
เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 21:03:46
ถูกใจ : ธรรมสังเวช


โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 17 ธันวาคม 2552 เวลา:22:22:27 น.  

 
เป็นคนมีปัญหากับความคิดวิตกกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง...ทำอย่างไรจึงคุมจิตได้

ในอดีต เคยผ่านช่วงชีวิตหักเห รุนแรงในชีวิตลูกจ้าง 3-4 ปีก่อน
ก้าวกระโดด ขึ้นมาเป็นเจ้าของกิจการ วัย 29
ซึ่ง ช่วงนั้น มีมรสุม เรื่องแฟน ทำให้เริ่มรู้จัก สมาธิภาวนา
ซึ่ง เข้าใจตอนนั้นว่า คือ วิปัสสนากรรมฐาน แต่รู้ภายหลังว่าไม่ใช่

การแก้ปัญหาในธุรกิจ กับ ตัวช่วย เรื่องแรงอธิษฐาน
ส่วนหนึ่ง วิปัสสนา มีส่วน

จนทุกวันนี้ ปัญหา คือ ขึ้นหลังเสือ แล้วก็กลัวสูญเสีย
แต่ครั้งจะลง ก็ยังไม่มี สามี ชีวิตครอบครัวมาลับไป

พ่อแม่ ก็เป็นผู้อุปถัมภ์ ที่ไม่ใช่อนาคตที่พึงหวัง เพราะอยู่ใน
ช่วงที่ เลยจุดช่วยคิดอ่าน สนับสนุน คือ มีอยู่ให้เห็น ไม่โหวง
แต่ ลึกๆ มองไปในอากาศ ทางข้างหน้า
ไม่ปรากฏ คู่คิด คู่ชีวิต ที่จะดำเนินตามทางที่ยอมรับได้
คือ ประเภทไปอยู่ก่อนแต่ง นี่ไม่เอา

อีกที ก็เลย ปริวิตก ถึงสิ่งที่จะเป็นจะมีในวันหน้า หากพ่อแม่ไม่อยู่
เช่น หาแท็งก์น้ำมาไว้ หากปั๊มไม่ไหล หาเครื่องซักผ้ามาไว้ หากไม่มี
คนทำให้

คือ พยายามจะป้องกันปัญหา แล้วฝึกหัด ป้องกันความลำบากในชีวิต
ที่จะเกิดขึ้น หากต้องเหลือคนเดียว ในอนาคต
มีน้องสาวเหมือนกัน แต่ก็ โตมาแบบฝรั่งกันทั้งคู่ คือไม่พึ่งพิงกัน
ทั้งเรื่องเงินทอง ทรัพย์สมบัติ

คำถาม คือ จะหยุดความวิตกกังวล ว้าเหว่ คิดมาก เกี่ยวกับ
อนาคต ชีวิตส่วนตัวอย่างไรได้

ส่วนกับธุรกิจการงาน กลับไม่เป็น เพราะทำแบบเดือนนี้ เดือนหน้า
เลยไม่เคยคิดไกล แต่ก็ลอยลำ รอดจนเข้าปัจจุบันปีที่ 3 แล้ว
นี่ คือไม่เคยคิด

ส่วนที่คิด เช่น เรื่องจะแต่งงาน ย้ายประเทศ กลับยังไม่เคยมาถึง แป่ว!

จากคุณ : kuddle
เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 52 23:27




ก่อนจะเข้าคำอธิบายอยากให้ลองเล่นอะไรสักอย่างหนึ่ง
แล้วผมจะให้คำตอบเพิ่มเติมในกระทู้ถัดไปครับ
ถ้าเคยทดสอบแล้วก็ต้องขออภัยครับ
//mkaytie5.exteen.com/20071017/entry

แบบทดสอบการจัดลำดับความสำคัญก่อน-หลัง ของซิกมันด์ ฟรอยด์
สมมุติว่าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นในบ้านคุณพร้อมๆกัน
คุณจะเลือกรับมือกับเหตุการณ์ใดก่อน

1. มีคนโทรมา โทรศัพท์ดัง
2. เด็กทารกร้องไห้จ้า
3. มีคนมาหา เคาะประตูเรียกอยู่หน้าบ้าน
4. ฝนทำท่าจะตก และคุณยังไม่ได้เก็บผ้าที่ตากไว้เลย
5. คุณลืมเปิดก๊อกน้ำในครัวทิ้งไว้ และมันเริ่มไหลนองพื้นแล้ว

ลองจดลำดับเหตุการณ์ที่คุณทำใส่กระดาษ

แล้วมาดูเฉลยนะ
....
....
....
....
....
....
....
....
....
....
....
....
....
....
....
....
....
....
....
....
....
....
....
....
....



1. โทรศัพท์ แทน การงาน
2. เด็กทารก แทน ครอบครัว
3. คนที่ประตู แทน เพื่อน
4. เสื้อผ้าที่ตาก แทน เงิน
5. ก๊อกน้ำ แทน เซ็กส์ เซ็กส์ เซ็กส์

ตามบททดสอบด้านบน จะบ่งบอกถึงการให้ความความสำคัญ
ของชีวิตเรา แต่บททดสอบก็มิได้บอกว่าถ้ามันเกิดขึ้นจริง คุณควรทำมันอย่างไร จึงจะถูกต้อง และสมควร

แน่นอนความจริงแท้แล้ว
๑. เด็กทารกร้องไห้จ้า - เพราะเด็กอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตก็ได้ ถ้าเป็นมากที่เหลือไม่ต้องทำ ถ้าไม่มีอะไร ก็อุ้มไปด้วย
๒. มีคนมาหา เคาะประตูเรียกอยู่หน้าบ้าน - ตะโกนบอกให้รอสักครู่ เขาอุส่าห์มาคงมีเรื่องสำคัญจริงๆ
๓. คุณลืมเปิดก๊อกน้ำในครัวทิ้งไว้ และมันเริ่มไหลนองพื้นแล้ว - รีบไปปิดก่อน
๔. ฝนทำท่าจะตก และคุณยังไม่ได้เก็บผ้าที่ตากไว้เลย - ตามไปเก็บผ้า
๕. มีคนโทรมา โทรศัพท์ดัง - ถ้าสำคัญจริงๆ เดี๋ยวก็ต้องโทรมาใหม่ ไม่ก็ดูเบอร์ที่โชว์แล้วโทรกลับ

เสร็จแล้วก็อาจมาเปิดประตูให้กับคนที่รอ พร้อมกับกล่าวคำขออภัยที่ให้รอ

ทั้งหมดเราจะเห็นว่า ทุกๆเรื่องเป็นเรื่องสำคัญหมด แต่สิ่งที่สำคัญกว่ามันขึ้นอยู่กับว่าเรารู้และเข้าใจว่ามันสำคัญ ต่างกันแค่ใหน
ความคิดในปัจจุบัน สำคัญกว่าความคิดในอดีตหรือเปล่า
หรือความคิดในอนาคตในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง สำคัญกว่าในปัจจุบัน

ในทางพุทธศาสนาให้ความสำคัญกับปัจจุบันมาก และไม่ได้ให้ละทิ้งเรื่องในอดีตหรืออนาคต
หากจะเปรียบดั่งผู้ขับรถยนต์ จุดหมายก็คือ "อนาคต"
ระยะสายตาที่ทอดมองไปด้านหน้า การควบคุม บังคับรถ คือ "ปัจจุบัน"
กระจกมองข้าง กระจกมองหลัง คือ"อดีต"

การจะขับรถยนต์คันนี้ได้ดีไปถึงจุดหมายนั้น
จะไปคิดถึงแต่จุดหมายอย่างเดียวไม่ได้
หรือจะมองแต่กระจกหลัง,กระจกมองข้าง อย่างเดียวก็ไม่ได้
จะเอาแต่ขับไม่คิดถึงจุดหมาย หรือไม่มองกระจกหลัง,ข้าง อย่างเดียวก็ไม่ได้

การจัดระบบความคิดจึงเป็นสิ่งสำคัญ เป็นเบื้องต้นก่อน
เมื่อรู้ว่าปัจจุบันเป็นสิ่งสำคัญ ก็ควรจะให้ความสำคัญในเรื่องที่เป็นปัจจุบันนี้เสียก่อน
ส่วนเรื่องที่ยังมาไม่ถึงคืออนาคต นั้นไม่แน่นอน อาจจะเกิด หรือไม่เกิดก็ได้ จึงไม่สำคัญเท่าใดนัก

สิ่งที่ท่านกลัว ก็คือไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไรถ้าขาดสิ่งนั้นไป
ผู้หญิงหลายๆคนตอนตั้งครรภ์ครั้งแรก ก็ไม่รู้ว่าจะดูแลอย่างไร
จะเจ็บปวดแค่ใหน คลอดบุตรมาแล้วจะเลี้ยงดูอย่างไร
ทุกๆอย่างจะเป็นไปตามสภาพ ตามสภาวะที่เกิดขึ้นเอง

การ"เตรียมใจ" เป็นสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่เป็นสิ่งที่ไม่ผิด แต่การ"เตรียมตัว"นั้นยังขาดหายไป เพราะชีวิตที่เติบโตมา มีแต่ความหวังของชีวิตที่ฝากไว้กับบุคคลอื่น พยายามฝึกฝนตนเอง ให้ตนเป็นที่พึ่งตนเอง
มั่นใจในตัวเองให้มากๆ มันไม่ได้มีอะไรที่ร้ายแรงถึงขนาดนั้นหรอก
เราเป็นมนุษย์ยังพูดยังคุยช่วยเหลือกันได้
ไม่มีใครหรอกที่จะรู้และเก่งทำได้ไปทุกอย่างน่ะ
คนพิการแม้กายพิการ ตาบอด แต่ใจเขาสู้ มากกว่านี้เท่าไหร่
เค้าก็ไม่เคยคิดว่าชีวิตจะมาเป็นแบบนั้น แต่เค้าก็ใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้

หันมามองดูเราได้มาแค่นี้ก็บุญเท่าไหร่แล้ว ไม่ต้องไปกลัวไปพะวงอะไร เกินไป เรื่องของจิตใจ สำคัญกว่า ตายไปก็ติดตามเราไปด้วย
เรื่องของโลกสุดท้ายก็ทิ้งไว้ให้คนข้างหลัง สมบัติผลัดกันชมน่ะ

ราตรีสวัสดิ์ครับ(กล่าวเกินเลย ไร้สาระไปบ้างต้องขอภัยด้วยครับ)

จากคุณ : ใจพรานธรรม
เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 52 00:46:00
ถูกใจ : kuddle


โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 18 ธันวาคม 2552 เวลา:1:24:02 น.  

 
ผลกรรมอยู่เจตนา...อยากทราบว่าการทำบุญเพราะใจอยากให้คนอื่นๆเห็นว่าเราเป็นคนดีใจบุญสุนทาน จะมีส่วนได้รับผลบุญบ้างมั้ยครับ!

ระหว่าง....

1. ไม่ได้รับผลบุญ เพราะเจตนาไม่ได้หวังให้คนอื่นพ้นทุกข์หรือช่วยเหลือคนอื่น แต่ก็ไม่บาป ถือว่าเสมอตัว

2. ได้รับผลบุญบ้างเล็กน้อย เพราะถึงจิตใจหรือเจตนาไม่ได้หวังให้คนที่เราให้ทานพ้นทุกข์ แต่ผลพลอยได้จากกระทำ ทำให้คนนั้นได้แก้ขัดพ้นทุกข์ไปในระยะหนึ่งได้ โดยเราไม่ได้สนใจในผลนั้น เราสนใจผลจากคนอื่นๆมองเราว่าเป็นคนดีจากการกระทำของเรามากกว่า
จากคุณ : สายเมฆ
เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 52 00:37:57

การทำบุญย่อมได้บุญครับ แต่จะมีกิเลสติดตามเกาะมากับบุญนั้นด้วย
ในกรณีนี้ ทำบุญเพื่อหวังชื่อเสียง เกิดชาติหน้าก็ย่อมได้ชื่อเสียง
(ความจริงไม่หวังก็ได้อยู่แล้ว) แต่จะมีกรรมคือ เป็นคนที่ติดอยู่ในชื่อเสียง
หรือ อาจจะติดอยู่คำสรรเสริญ แน่นอนครับ อะไรจะติดตามมา
ความยึดมั่น ถือมั่น ความรัก ความหวงแหน และอาจร้ายแรง
ถึงกับว่ายอมทำความชั่ว เพื่อรักษาชื่อเสียง เพื่อรักษาคำสรรเสริญนั้นไว้
ก็กลายเป็นดาบสองคม ของผู้ไม่ฉลาดในการทำบุญ
เรียกว่าได้แต่บุญที่ทำ แต่ไม่ได้บุญที่สละกิเลส

จากคุณ : ใจพรานธรรม
เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 52 00:55:51


โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 18 ธันวาคม 2552 เวลา:1:30:29 น.  

 
กรรมใหม่ หรือ กรรมเก่า เราจะทราบได้อย่างไรครับ

ผมสงสัยว่าเราจะทราบได้อย่างไรว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราเป็นเพราะกรรมเก่าหรือกรรมใหม่ที่อีกฝ่ายนึงสร้างขึ้นครับ

จากคุณ : eulog

อารมณ์ที่มากระทบ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ
เป็นผลมาจากกรรมในอดีต

การกระทำทางกาย การกระทำทางวาจา และการกระทำทางใจ
นี้เป็นกรรมใหม่

เช่น ขณะที่กำลังอ่านข้อความนี้อยู่ ข้อความที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา
เป็นกรรมเก่า เป็นอารมณ์ทางตา และที่ได้มาอ่าน มาศึกษา
เพราะเคยสั่งสมไว้ และเป็นอดีตกรรมที่เป็นกุศล ที่เคยสั่งสมมา

เมื่อท่านอ่านแล้ว และพิจารณาอยู่ นี้เป็นการกระทำทางใจ เป็นปัญญา
เป็นกรรมใหม่ จะช่วยสร้างสมปัญญาต่อไป

หรือ
การเห็นคำถามที่ท่านเจ้าของกระทู้ถามเป็นกรรมเก่าของผม ในทางตา
เมื่อผมได้อ่านและใคร่ครวญอยู่ เป็นปัญญาเป็นการกระทำทางใจ
เป็นกรรมที่เป็นกุศลใหม่ของผม
ขณะที่ผมกำลังเขียนข้อความกล่าวธรรมนี้อยู่ก็ดี ก็ต้องอาศัยมือ แขน
สายตา เป็นต้นเหล่านี้ เป็นการกระทำทางกาย
ซึ่งก็กล่าวโดยเพื่อความเข้าใจเท่านั้น

กล่าวคือ อารมณ์ คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทางกาย และสัมผัสทางใจ
ที่มากระทบทั้ง ๖ ทวาร คือตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจนั้น

ถ้าเป็นอารมณ์ที่มากระทบที่ดี เช่น รูปที่สวย รสอันโอชะ เสียงอันไพเราะ
สัมผัสทางกาย และสัมผัสทางใจ ที่เป็นสุข เหล่านี้เป็นอดีตกรรม
เป็นผลของกรรมที่เคยสร้างไว้ในทางกศล
ตรงข้ามกัน ถ้าได้รับแล้วเป็นทุกข์ เพราะเป็นผลจากกรรมเก่า
ที่เคยสร้างไว้มาไม่ดี คือได้ทำอกุศลไว้นั่นเอง

อีกนัยหนึ่ง
กุศลกรรมบท ๑๐ นั่นเอง คือ กุศล กรรมใหม่ที่ดี
และ
อกุศลกรรมบท ๑๐ นั่นเอง คือ อกุศล กรรมใหม่ที่ไม่ดี

...เป็นการกระทำทางกาย เป็นการกระทำทางวาจา เป็นการกระทำทางใจ
และเป็น เจตนา จึงเป็นกรรม(ใหม่)นั่นเอง


_______________________________________
ดังนั้น ผู้กล่าวแสดงพูดธรรมอยู่ ก็เป็นกรรมใหม่ของผู้กล่าวธรรม
คืออาศัยกายด้วย อาศัยวาจาด้วย และอาศัยใจด้วย
ผลแห่งกุศล ก็ย่อมให้ความสุขทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ
การให้ธรรมะเป็นทาน จึงเป็นทานที่ชนะ กว่าการให้ทั้งปวงอีกนัยหนึ่ง ดังนี้

จากคุณ : ใจพรานธรรม


โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 29 ธันวาคม 2552 เวลา:12:17:08 น.  

 
สงสัยเรื่อง พระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้า ครับ คือ พระองค์เป็นใครครับ

สงสัยเรื่อง พระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้า ครับ คือ พระองค์เป็นใครครับ

พระองค์จะมาเมื่อไร ครับ พระองค์จะมาช่วยโลกอย่างไรหรือครับ

คือมีข้อสงสัย ทำไม มีคนทำบุญเพื่อไปเกิดในยุค พระศรีอารย์ อ่ะครับ ยุคในพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ไม่ดีพร้อมตรงไหนหรือครับ

ขอบคุณครับ
จากคุณ : bungA

เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล
พระองค์จะเสด็จมาเป็นพระพุทธเจ้าก็เมื่อกาลอายุขัยของมนุษย์ในยุคสมัยนั้น
มีอายุได้แปดหมืนปี(ในช่วงขาลง)

หากกล่าวกันในแง่ของธรรมะ พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์มิได้มีความแตกต่าง
กัน ต่างก็ทรงตรัสรู้ธรรม คืออริยสัจ ๔ เหมือนกัน

แต่บารมีของพระพุทธเจ้าที่บำเพ็ญในบารมี ๑๐ นั้น แม้จะข้อเดียวกัน
แต่ก็มีข้อแตกต่างกันในระยะเวลาบำเพ็ญบารมี

พระพุทธเจ้ามี ๓ ประเภท

๑.พระพุทธเจ้ายิ่งด้วยปัญญา ต้องบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขยกับอีกแสนกัป

๒.พระพุทธเจ้ายิ่งด้วยศรัทธา ต้องบำเพ็ญบารมี ๘ อสงไขยกับอีกแสนกัป

๓. พระพุทธเจ้ายิ่งด้วยวิริยะ ต้องบำเพ็ญบารมี ๑๖ อสงไขยกับอีกแสนกัป

..พระศรีอริยเมตไตรทรงอยู่ในพระพุทธเจ้าวิริยะบารมี การบำเพ็ญบารมีจึง
นานกว่า และการสร้างบารมีที่แสนนาน ก็เปรียบเหมือนได้สร้างคุณงาม
ความดี ความเจริญ ความสุข รวมไปถึงสหชาติ อันมากมาย

ในยุคของพระองค์ มนุษย์จึงได้มีความสุขและเจริญใจ ดุจยกเอาสวรรค์
ทิพย์วิมานเอาไว้บนโลกมนุษย์
อีกประการหนึ่ง คือ การได้พบพระพุทธเจ้า การได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า
มีน้อยรายที่จะไม่ได้ดวงตาเห็นธรรม เพราะพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
เมื่อทรงจะตรัสสอนบุคคลใด บุคคลนั้นย่อมได้รับประโยชน์เป็นอันมาก
และแม้ผู้ใดได้ถวายทาน ทำกิจอันเป็นบุญแก่พระพุทธเจ้า จะได้รับผลบุญ
และอานิสงส์มาก

..แต่ถึงกระนั้น ขอถือโอกาสนี้ ฝากให้ทุกๆท่านได้ฉุดคิดสักนิดหนึ่งว่า
แม้กาลอายุนั้นจะแสนยาวนานถึงแปดหมื่นปี น่าเป็นสุขก็จริง
แต่ขันธ์ห้า เมื่อความชราครอบงำเสียแล้ว

"เมื่อจะแก่ ก็แก่ชราตราบนานแสนนานเช่นกัน"

ผู้หวังพบพระองค์จึงไม่ควรประมาท ในกฏความจริงอันนี้
ขอให้เร่งความเพียร เจริญภาวนา มีสติ มีปัญญา
ผู้ไม่ประมาท พึงเร่งทำกิจของตน ให้บริบูรณ์เถิด
แม้จะได้พบหรือไม่ได้พบ
การได้เห็นธรรม การได้ปฏิบัติธรรม ก็เหมือนได้พบกับพระพุทธเจ้าแล้ว.

จากคุณ : ใจพรานธรรม
เขียนเมื่อ : 5 ม.ค. 53 23:50:25
ถูกใจ : ปันน้ำใจ, Chulapinan, snoopy21, Tgifriday, กรรไกรรัตนะ, gto14982, อุบาสก, v_shine



โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 7 มกราคม 2553 เวลา:0:31:02 น.  

 
โดยมากที่เรารู้สึกกลัวความตาย เพราะความดีที่เรามีรู้สึกมันน้อยเกินไป
อีกทั้งก็กลัวภัยคือความตายจะมาถึงตน นี่ก็อีกประการหนึ่ง

สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกสบายใจ ไม่หวาดกลัว เมื่อมีเครื่องรางหรือของขลัง หรือพระเครื่อง หรือ รูปบิดา มารดา ก็เพราะเราอาศัยความดีของบุคคลที่เราเชื่อ ที่เราเคารพและนับถือ ว่าความดีของเขานั้น ช่วยสนับสนุนความดีของเราให้เด่นและชัดเจนยิ่งขึ้น

เป็นพลังศรัทธามัน่ใจในความดี ดีทั้งตน ดีทั้งผู้ที่ตนเคารพ
ดีทั้งภายนอก ดีทั้งภายใน

ของไม่ขลัง ของไม่ศักดิ์สิทธิ์ ก็ดี ก็ปกป้องคุ้มครองได้ ด้วยดีประการนี้ ส่วนตัวผมเองก็มีครับ และก็รู้สึกอย่างนั้นเช่นกันกับท่านเจ้าของกระทู้

จากคุณ : ใจพรานธรรม
เขียนเมื่อ : 7 เม.ย. 53 01:51:31
ถูกใจ : พีนัตบัทเตอร์, FayeNo1Fan, butterfly angel



โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 30 เมษายน 2553 เวลา:20:57:23 น.  

 
ขออุบายกำจัดปฏิฆะ

มีอีกวิธีหนึ่ง
คือไม่ต้องไปใส่ใจมันว่านั่นคือปฎิฆะ นั่นคือความขัดเคือง
ไม่ไปใส่ตัวรู้อะไรในสิ่งนั้น เห็นว่ามันเป็นธรรมดาอย่างนั้นๆ ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่มีอะไรๆ ในสิ่งนั้น
เมื่อรู้ธรรมนั้นแล้ว ก็พึงละธรรมนั้นเสีย ไม่พึงยึดถือธรรมนั้นไว้

ขอเพียงเธอเห็น ก็สักแต่ว่าเห็น
ขอเพียงเธอได้ยิน ก็สักแต่ว่าได้ยิน
รับรส สัมผัส ได้กลิ่น

เธอก็จักไม่เดือดร้อน เพราะสิ่งๆนั้นเลย

จากคุณ : ใจพรานธรรม
เขียนเมื่อ : 25 เม.ย. 53 10:01:18
ถูกใจ : plemarine, shadee829



โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 30 เมษายน 2553 เวลา:21:01:44 น.  

 
เหตุผลต่อความเชื่อที่ว่าในหลวงทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ?

ผมก็ขอยอมรับ ว่าเป็นคนหนึ่งที่มีความเชื่อในเรื่องของ พระโพธิสัตว์
เชื่อในเรื่องการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เชื่อในพระธรรม เชื่อพระสงฆ์
เชื่อในผลของการปฏิบัติตามธรรม อันมีจุดหมายสูงสุดคือพระนิพพาน

แต่ความเชื่อของผมไม่ได้มีสาระอยู่ที่ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้รับ
การเสพสัมผัส ทางกายอย่างเดียว หรือต้องได้รับการยอมรับจากหมู่ชน
หรือใครๆ แต่อยู่ที่ว่าเมื่อเชื่อแล้วผลจากความเชื่อ มีการองรับจากความจริงได้มากน้อยแค่ใหน ผมจึงเชื่อ

ทีนี้มันก็อยู่ที่ศรัทธา อยู่ที่ปัญญา ของแต่ละคนย่อมสั่งสมอบรมกันมาไม่เท่ากัน บางคนรู้ความจริงมาน้อย ศึกษามาน้อย ก็เชื่อในสิ่งที่ผิดเสียโดยมาก

บางคนมีปัญญามาก มีศรัทธามาก ศึกษาความจริง มามากพอ
ก็ย่อมเป็นผู้ฉลาดในความเชื่อ และมีความฉลาดไม่เชื่อในสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตนเอง
แม้คนทั้งโลกบอกว่าจริง แต่สิ่งนั้นไม่จริง เค้าก็ไม่เชื่อ
แม้คนทั้งโลกบอกว่าไม่จริง แต่สิ่งนั้นจริง เค้าก็เชื่อ

ไม่หวั่นไหวไปตามโลก มีปัญญาสอดส่องความถูกต้อง เป็นปรกติ
นอกจากเค้าได้เชื่อในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เขาก็ยังได้รับผลจากความเชื่อ
อันนั้นมาเกิดประโยชน์แก่เขาด้วย

สาระสำคัญไม่ได้อยู่แค่เพียงว่าเชื่อแล้วถูก หรือไม่เชื่อแล้วผิด
แต่มันสำคัญที่ว่า ความเชื่อ ,ความไม่เชื่อนั้น
ได้ก่อเกิด หรือทำลายประโยชน์ของตน หรือผู้อื่นหรือไม่
บางคนเชื่อถูก แต่ความเชื่อก็ไม่เกิดประโยชน์ คือเชื่อถูกแบบผิดๆ
เช่น นิพพานมีจริง ก็เร่งทำบุญหมดเงินหมดทอง ขายทรัพย์
อยากจะได้นิพพาน นั่งสมาธิให้นานจะได้นิพพาน อย่างนี้ คือเชื่อถูก แต่ก็ยังผิดอยู่

เพราะฉะนั้น จึงควรเห็นสาระ เห็นความจริง เห็นประโยชน์ ของความเชื่อนั้น
ก่อนจึงจะถูกต้องและสมควร

สิ่งที่จริง รวมไปถึงสิ่งที่ไม่จริง ก็เป็นความจริงด้วยกันทั้งสองสิ่ง
จริง ไม่จริงนี้ ไม่ใช่เพราะใครยอมรับ หรือไปขัดแย้ง

แต่เป็นจริงก็เพราะมีเหตุ มีผล มีปัญญาที่จะเข้าใจได้ด้วยการศึกษาและปฏิบัติมามากพอที่จะเข้าใจ ในสิ่งๆนั้นได้

เรารู้ว่าคนใหนมีศีล ก็เพราะเรามีศีล
เรารู้ว่าคนใหนมีสมาธิ ก็เพราะเรามีสมาธิ
เรารู้ว่าคนใหนมีปัญญา ก็เพราะเรามีปัญญา

พระโสดาบันจะรู้ ว่าใครเป็นโสดา
พระอรหันต์ก็ย่อมรู้ ว่าใครเป็นพระอรหันต์

จะรู้ใคร จะเข้าใจสิ่งใด เราก็ต้องรู้ต้องเข้าใจในสิ่งๆนั้น
เมื่อเรารู้ เราเข้าใจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ได้มากเท่าไหร่
เราก็จะเข้าใจในเรื่องต่างๆ ในสิ่งต่างๆได้ด้วยปัญญาของตนเอง.

แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 53 15:29:48

จากคุณ : ใจพรานธรรม
เขียนเมื่อ : 27 เม.ย. 53 15:22:57
ถูกใจ : Smiling-girl, zmen, เอิงเอย, amrit, OnGaH, Shakermaker

เกือบตลอดชนมพรรษา ที่พระองค์ยอมเหน็ดเหนื่อยพระวรกายใจ มิยอมท้อพระหฤหัยต่ออุปสรรคทั้งปวง

แม้ใครจะชื่นชม ใครจะสรรเสริญ หรือแม้แต่ใครจะตำหนิ พระองค์ก็มิเคยทรงตอบโต้ใดๆ พระองค์ไม่ทรงเคยเลยที่จะทรงมาวิพากษณ์วิจารณ์ มีปกติพระเมตตาและพระมหากรุณาธิคุณเปี่ยมล้น แก่พสกนิกรอยู่ตลอดทุกช่วงเวลา ทรงบากบั่น ไม่ทรงหวั่นไหว ในคำนิทา หรือสรรเสริญ ขอปวงประชาของพระองค์ ได้มีความสุข รักสมานสามัคคี เพียงเท่านี้เองคือราชประสงค์ที่สุดในความเป็นพระมหากษัตริย์อันยิ่งใหญ่ของประเทศและของโลก ที่มีความปราถนาเพียงมุ่งตรงหวังเพื่อให้ปวงประชาชนของพระองค์ได้มีกิน มีใช้ อยู่อย่างปรกติสุข อย่างพอเพียง ....เท่านี้เอง

ผมก็สงสัยและไม่แน่ใจว่าการตอบโต้กับคนเพียงกลุ่มเล็กๆเอาพระองค์มาวิพากษ์วิจารณ์ เกี่ยวเนื่องมาจากพระองค์นั้น ความสมควรสิ้นสุดอยู่ที่ใหน
ขอบเขต จุดจบของความพอใจ ของการแสดงมีที่สิ้นสุดเมื่อใหร่
มันจะเป็นการทำลายประโยชน์ของตนหรือเปล่า หรือสมควรได้ไหมว่านี่คือการปกป้อง หรือว่าเป็นการระบายความรู้สึกของตนแสดงให้ผู้อื่นทราบเท่านั้น

สิ่งที่ผมคิดและใครอีกหลายคนคงรู้สึกอยู่ภายในจิต ต่างก็รู้และทราบดีว่าหากยิ่งยาวนาน ก็จะทำให้หลากหลายแตกประเด็นกันเรื่อยไป ห่างจากเจตนาอันดีของใครๆหลายๆท่าน และอาจห่างไกลจากพระองค์ไปเรื่อยๆ

การจะปกป้องพระองค์ การจะตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์ที่ทรงมอบให้ การจะตอบแทนแผ่นดินที่เราได้เกิดมาในที่แผ่นดินของพระองค์ ได้เป็นอย่างดีนั้น การกระทำความดีให้บังเกิดมีในตัวของเรานี้ ให้มีความสมานสามัคคี นี่เป็นเบื้องต้น ก็พอที่จะย่อมที่จะสมควรเรียกได้ว่าเป็นผู้มีความกตัญญูรู้คุณชาติ แผ่นดิน

ทุกคนย่อมมีความคิดที่แตกต่างกัน และย่อมมีผิดพลาด มีพลั้งกันเป็นธรรมดา การแสดงออกถึงซึ่งความดีอันมีในใจตน อันเป็นแบบอย่างอันดีประการหนึ่ง ที่จะสืบสานความดี ให้แก่ผู้ที่ยังขาดหรือห่างไกลจากความรู้สึกดังกล่าว ให้ได้รู้ให้ได้เห็น ในฐานะที่เป็นลูกจึงควรเดินตามรอยเท้าของพระองค์

ก็สมดั่งที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รักและเคารพพระองค์อย่างแท้จริง

ทั้งนี้
มิได้ต้องการยอมรับหรือขัดแย้ง ปฏิเสธความคิดเห็นท่านใดๆ ทุกคนมีสิทธิที่จะพึงกระทำได้ เพียงแต่ขอเป็นเสียงเล็กๆ ในอีกมุมหนึ่ง อยากให้ได้รับรู้กัน
เพียงขยับไปอีกก้าวเดียว ก็อาจจะกลายเป็นการนินทา
และอาจจะไปติดกับ ของผู้ไม่หวังดี ที่ต้องการก่อความแตกแยกสามัคคี จะเป็นความสูญเสียมากกว่าจะก่อประโยชน์ _____________________________________________

"ความสุข ความสวัสดีของข้าพเจ้าจะเกิดขึ้นได้ ก็ด้วยบ้านเมืองของเรามีความเจริญ มั่นคง เป็นปกติสุข ความเจริญมั่นคงทั้งนั้นจะสำเร็จผลเป็นจริงไปได้ ก็ด้วยทุกคนทุกฝ่ายในชาติ มุ่งที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนให้เต็มกำลัง ด้วยสติ รู้ตัว ด้วยปัญญา รู้ผิด และด้วยความสุจริต จริงใจ โดยเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมยิ่งกว่าส่วนอื่น"

พระราชดำรัส

ถ้าสิ่งที่ท่านกระทำ หรือจะกระทำ ผลของการกระทำนั้น สามารถทำให้พระองค์ท่านมีความสุขได้ก็พึงกระทำเถิด แต่หากพิจารณา เห็นว่าการกระทำอย่างนั้น จะทำให้พระองค์ทรงลำบากพระหฤทัย ก่อเกิดประโยชน์เพียงน้อย ก็มิควรเห็นว่าการกระทำอย่างนั้น เป็นการตอบแทน หรือทำให้พระองค์มีความสุขอย่างนั้นเลย



โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 30 เมษายน 2553 เวลา:21:04:21 น.  

 
บางสิ่งที่เรา ทำไปเพราะอยากหรือเพราะไม่รู้


ที่เขาไปเพราะ "ยังไม่รู้" ถ้ารู้เมื่อไหร่ก็ไม่ไปหรอก

ทางศาสนาท่านว่า
เพราะความไม่รู้ ทำให้เกิดความยินดีติดใจทะยานอยาก
เมื่อรู้สึกติดใจ ในสุข-ทุกข์ ที่เสพสัมผัส ก็ยึดหมายว่าเป็นเรา เป็นของของเรา ไปเรื่อยๆอย่างนั้น

อุปมาดั่งคนชอบชมภาพยนต์
เมื่อมีเรื่องใหม่เข้ามาก็อยากจะไปดู ไปชม

ไปเพราะอะไร เพราะ"ไม่รู้" ว่าเรื่องนั้นมันเป็นยังไง ทำได้ดี น่าตื่นเต้นสนุกหรือเปล่า เมื่อรู้แล้วก็ไม่อยากแล้ว

แต่ที่เพื่อนคุณยังไปอยู่ ยังติดอยู่ ก็เพราะยังไม่รู้ สิ่งนั้นอย่างกระจ่างนั่นเอง ถ้ารู้ก็ไม่ไปแล้ว ไม่อยากไปแล้ว
ก็ต้องถามเพื่อนคุณว่าที่ไปเพราะอยากรู้อะไร ก็ให้ไปเรียนรู้ ไปศึกษาในสิ่งนั้นให้กระจ่าง ให้เข้าใจ

เหมือนกับนักเรียนนักศึกษาที่ไม่รู้ ในวิชานั้นก็ต้องไปเรียน ไปศึกษาวิชานั้นๆ เรียนจนรู้ เรียนจนผ่าน จนเข้าใจ ก็ไม่ต้องไปศึกษา เพราะรู้แล้ว ก็ไม่อยากแล้ว

ก็พอจะแสดงความคิดเห็นให้ได้รู้ "เหตุ" แต่เพียงเล็กน้อย ยังมี"ปัจจัย"
ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย
จึงขอให้ได้เข้าใจ

และที่กล่าวไป ก็ใช้ได้กับหลายๆสถานการณ์ (แม้กระทั่ง ขณะนี้ที่กำลังอ่านก็เพราะไม่รู้ จึงมาอ่านกัน) แต่ที่ยกนำมาในที่นี้ เพราะเห็นว่า
จะพอเป็นประโยชน์สมควรได้อยู่บ้าง.

แก้ไขเมื่อ 01 พ.ค. 53 01:01:58

จากคุณ : ใจพรานธรรม
เขียนเมื่อ : วันแรงงาน 53 01:01:25
ถูกใจ : แล้วแต่ทางท่านจะเรียกแล้วกันนะ, dnasiam



โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 2 พฤษภาคม 2553 เวลา:23:24:14 น.  

 
พระพุทธศาสนาเป็นประชาธิไตยหรือเปล่า

ถ้าศึกษา ธิปไตย
จะทราบว่า ธิปไตย นั้นมีสาม

๑.อัตตาธิปไตย เอาความคิด เห็นการกระทำของตน เป็นใหญ่

๒.โลกาธิไตย เห็นโลกเป็นใหญ่ เอาโลกเป็นที่ตั้งของความเชื่อ โลกเค้ายึดอะไร ก็ยึดถือไปตามกระแสของโลก

๓.ธรรมมาธิปไตย เห็นธรรมะเป็นใหญ่ เอาธรรมที่เป็นที่ตั้งของความคิด ของการกระทำ

แต่คนส่วนมาก ไม่เข้าใจคำว่าประชาธิปไตย อย่างแท้จริง
เค้าคิดแต่เพียงว่า เป็นความเห็นที่ยอมรับกันโดยส่วนมาก

แต่สำหรับนักปฏิบัติธรรมะแล้ว ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ความเห็นที่ยอมรับกันโดยส่วนมากนั้นของประชาชน ที่ว่าประชาธิปไตยนั้นเอาอะไรเป็นใหญ่

อัตตา

โลก

หรือว่า ....ธรรม

จากคุณ : ใจพรานธรรม
เขียนเมื่อ : วันแรงงาน 53 10:42:49
ถูกใจ : Mandragola, UMNgirl

หากประชาธิปไตย เอาอัตตาเป็นใหญ่ - สังคมประเทศมักแตกแยก แตกความสมานสามัคคี

หากประชาธิปไตย เอาโลกเป็นใหญ่ - สังคมประเทศจะเจริญก้าวหน้าในทางวัตถุนิยม แต่จิตใจจะเสื่อมทรามลง เกิดคดีความ เดือดร้อน คนจนจะอยู่อย่างแร้นแค้น คนร่ำรวย จะอยู่อย่างหลงระเริงขาดสติ

หากประชาธิปไตย เอา"ธรรมะ"เป็นใหญ่ - สังคมประเทศชาติ จะเจริญก้าวหน้าในด้าน"สุขสงบนิยม" gพราะประชาชนจะรู้จักความพอเพียง ใส่ใจผืนแผ่นดิน ธรรมชาติ อันเป็นอู่ข้าว อู่น้ำ มีความปรกติเมตตา รักใคร่สมานสามัคคีกัน คนรวยจะมีจิตเมตตา คนจนจะสุขสบายเพราะได้รับโอกาสและความช่วยเหลือ การทุจริตคอรัปชั่นจะลดน้อยลง
พระพุทธศาสนาจักเจริญ ยั่งยืนมั่นคง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
จะสืบทอดดำรงคงไว้แก่ลูกหลาน สืบทอดเจตนาของบรรพบุรุษ ยาวนานสืบไป

จากคุณ : ใจพรานธรรม
เขียนเมื่อ : วันแรงงาน 53 14:06:27
ถูกใจ : Five Precepts


โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 2 พฤษภาคม 2553 เวลา:23:25:50 น.  

 
กินยาถ่ายพยาธิ บาปไหม


ตัวยาก็บ่งบอกแล้วครับว่าเป็นยาถ่าย
มิใช่ยาฆ่า ยากำจัด

การถ่ายก็ ถ่ายทิ้งในที่สมควรแก่เขา
ไม่ได้เพื่อให้มันตาย แต่ให้เค้าอยู่ในที่ ที่ควรอยู่
ไม่ให้เขาเบียดเบียนสร้างเวร สร้างกรรมแก่เรา แม้เราก็จักบำเพ็ญบุญ มีเมตตาให้เขา สืบไป

ขอบคุณสำหรับคำถาม เป็นความสงสัยและหาคำตอบได้ไม่ง่ายเลย
ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป
ขออนุโมทนาสาธุครับ

จากคุณ : ใจพรานธรรม
เขียนเมื่อ : วันแรงงาน 53 21:03:55
ถูกใจ : Five Precepts, De affodil, SynBi


โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 2 พฤษภาคม 2553 เวลา:23:28:23 น.  

 
ไม่มีกำลังใจ จะทำอย่างไรดี

คุณต้องทำลายความหวังนั้นเสียก่อน
คนไม่มีกำลังใจเพราะไม่สมหวัง ในสิ่งที่หวัง ...นี่กล่าวทางโลก

ทางธรรม ท่านเปรียบว่า การออกกำลังกาย ทำให้ร่างกายมีกำลัง
ให้ร่างกายเข้มแข็ง แข็งแรง

การที่จะให้จิตใจเข้มแข็ง ก็ต้องมาจิตที่ได้พัก ได้สงบ จิตใจจึงจะเข้มแข็งมีกำลังได้ คือการทำสมาธินั่นเอง

จากคุณ : ใจพรานธรรม
เขียนเมื่อ : 2 พ.ค. 53 11:17:49
ถูกใจ : ~โลกหมุนรอบตัวเอง~, ธรรมสถิต



โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 2 พฤษภาคม 2553 เวลา:23:29:14 น.  

 
มักถูกพ่อแม่ บ่นตำหนิ อยู่เสมอๆ

ผมก็เป็น และมักโดนท่านตำหนิ ให้รู้สึกน่าน้อยใจเสมอ
นี่เพราะผมยังมีกิเลส ท่านก็ยังมีกิเลส และผมก็ยังไม่ฉลาดในอุบาย

อุบายอันดีประการหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกสงบใจได้

คือท่านได้ให้กำเนิด และทำให้ผมได้มาพบกับพระพุทธศาสนาจนได้มาปฏิบัติธรรม ได้มารู้สึกพบกับพระพุทธเจ้า แค่นี้มันก็มากเกินพอแล้วที่ผมจะไปเรียกร้องอะไรจากท่าน

เราเป็นเลือดเป็นเนื้อของท่าน "อวัยวะ"ทุกส่วนในร่างกาย
ลองมองตรองดูเถิด มีสักเสี้ยวหนึ่งไหมที่เราหามามันมาได้ตัวเราเอง
แม้เส้นผมสักเส้นหนึ่งก็ยังไม่ใช่ของเราเลย ท่านดูแล ท่านสร้าง ท่านทะนุถนอมเรามา ตอนเราเป็นเด็กเล็กแบเบาะ หิวก็ร้องเรียกด่าเป็นเสียงร้อง
ไม่พอใจรู้สึกคึกคะนอง ก็ตบตีท่าน ท่านก็ไม่ตอบโต้ใดๆเลย เราพลาดล้มท่านก็เข้ามาประคองช่วยให้ลุกก้าวเดิน พระคุณท่าน ให้ทดแทนด้วยความการด่าทุบตีเราตลอดชาติก็ไม่หมด ให้ท่านนั่งนอนยืนเดิน กินถ่ายบนบ่าของเราทั้งชาติก็ไม่หมด

สิ่งเดียวที่ผมรู้ในเวลานี้ก็คือ ผมต้องทำตนเป็นตัวอย่างที่ดีตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อธิบายให้ท่านรู้เหตุรู้ผล ในธรรมะ ท่านจะต่อว่า ท่านจะตำหนิ ท่านจะไม่ใส่ใจดูแลผม จะตบตีก็ไม่เป็นไร ผมก็จะเคารพท่านอย่างสุดหัวใจเท่าที่ลูกคนหนึ่งเกิดมาจะทำได้

ส่วนกายและใจดวงนี้ผมมอบถวาย พระพุทธเจ้าไปนานแล้ว
จะมีไว้ก็เพื่อให้เป็นสิ่งที่น่าภูมิใจที่สุดของชีวิต ..เพียงเท่านั้น

หากวันนี้ต้องดับชีวิตไป ก็ไม่มีอะไรให้น่าตำหนิแก่ตัวเองแล้ว ในวันพรุ่งนี้
ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นที่มาจากน้ำตาแห่งความสุขจากใจของผมเอง
จากคุณ : ใจพรานธรรม
เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 53 11:50:02


โดย: ใจพรานธรรม วันที่: 9 มิถุนายน 2553 เวลา:12:09:04 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะ VIP Friend
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ใจพรานธรรม
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




มีหลายเรื่องที่ควรสงสัย แต่เราไม่สงสัยในสิ่งต่างๆนั้นแล้ว
เราศรัทธาแต่ในพระรัตนตรัย

..แม้เทวดา มารหรือพรหม จะมีหรือไม่มีอยู่จริง
เราก็มีธรรม มีปัญญารู้ในสิ่งต่างๆนั้นด้วยตนเองแล้ว
ทั้งปัญญา ทั้งศรัทธา เป็นสิ่งที่ท่านต้องสร้างให้เกิดขึ้นเอง
ใครสร้างท่านไม่ได้

พระพุทธเจ้า พระองค์ดุจผู้บอกทางให้เท่านั้น
จะเดินหรือไม่ เรามิได้กล่าวโทษตำหนิท่านแต่อย่างใดเลย
ท่านเชื่อ ท่านก็เดิน ท่านไม่เชื่อก็ควรแล้ว ที่ท่านจะสงสัยควรแล้วที่ท่านจะปฏิบัติ เพื่อคลายความสงสัยนั้น
S! Radio
Express 4
เพลง ทานตะวัน ---ฟอร์ด
ศิลปิน รวมศิลปิน : Express
อัลบั้ม Express 4
ดูเนื้อเพลงคัดลอกโค้ดเพลงนี้
ขอบคุณ code และ ภาพ จากคุณ aggie_nan ตามลิงค์ที่อยู่ ด้านล่างครับ
Friends' blogs
[Add ใจพรานธรรม's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.