|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
วิฆาสาทชาดก ว่าด้วย การกินของที่เป็นเดน
อรรถกถา วิฆาสาทชาดก ว่าด้วย การกินของที่เป็นเดน พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ บุปผาราม ทรงปรารภภิกษุผู้มีศีลน่าเยาะเย้ย แล้วตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า สุสุขํ วต ชีวนฺติ ดังนี้. ความย่อว่า เมื่อภิกษุเหล่านั้นให้พระมหาโมคคัลลานเถระยังปราสาทให้สั่นสะเทือนแล้ว พากันสังเวชใจอยู่ ภิกษุทั้งหลายพากันนั่งกล่าวโทษที่ไม่ใช่คุณของภิกษุเหล่านั้นในโรงธรรมสภา. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลายนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร ในบัดนี้? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่าด้วยเรื่องชื่อนี้ จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่ในแต่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน ภิกษุเหล่านี้ก็เป็นผู้มีศีลเป็นที่เยาะเย้ยเหมือนกัน จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:- ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ได้เป็นท้าวสักกะ. ในครั้งนั้น พี่น้อง ๗ คนในหมู่บ้านกาสิกคาม ตำบลใดตำบลหนึ่ง เห็นโทษในกามทั้งหลาย พากันออกบวชเป็นฤๅษีอยู่ท่ามกลางป่า ไม่ทำความเพียรในโยคะ เป็นผู้มากไปทางร่างกายแข็งแรง เที่ยวเล่นกีฬานานัปการ. ท้าวสักกะเทวราชทรงดำริว่า เราจักให้ภิกษุเหล่านี้สลดใจ แล้วทรงปลอมพระองค์เป็นนกแก้ว เสด็จมาถึงที่อยู่ของภิกษุเหล่านั้น แอบอยู่ที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง เมื่อจะให้ภิกษุเหล่านั้นสลดใจ จึงได้กล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
เหล่าชนผู้กินเดนทั้งหลายพากันอยู่อย่างสบายดีจริงหนอ ทั้งในปัจจุบันก็น่าสรรเสริญ ทั้งในสัมปรายภพก็จะมีสุคติ.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถานั้นต่อไป นกแก้วกล่าวหมายถึง พวกคนที่กินอาหารที่เหลือจากผู้อื่นกินแล้ว. บทว่า ทิฏฺเฐว ธมฺเม ความว่า เหล่าชนแบบนี้ในปัจจุบันนี้ก็ควรสรรเสริญทีเดียว และในสัมปรายภพ คนเหล่านั้นก็จะมีสุคติ คือนกแก้วกล่าวโดยอธิบายว่า เขาเหล่านั้นจะเกิดในสวรรค์.
ลำดับนั้น บรรดาฤๅษีเหล่านั้น ฤๅษีตนหนึ่งได้ยินคำของนกแก้วนั้นแล้ว จึงเรียกคนที่เหลือมา แล้วจึงได้กล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ดูก่อนท่านบัณฑิตทั้งหลาย เมื่อนกแก้วพูดอยู่ ท่านทั้งหลายก็ไม่สงบใจฟัง ดูก่อนท่านพี่น้องร่วมท้องทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงฟังคำนี้ นกแก้วนี้กำลังสรรเสริญเราทีเดียว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ภาสมานสฺส ความว่า เมื่อนกแก้วพูดอยู่ด้วยถ้อยคำของมนุษย์. บทว่า นิสาเมถ ได้แก่ไม่ฟัง. บทว่า อิทํ สุณาถ ความว่า ขอท่านทั้งหลายจงฟังคำนี้ของนกแก้วนั้น. เขาร้องเรียกคนเหล่านั้นว่าโสทริยา คือพี่น้องร่วมอุทร เพราะความเป็นผู้อยู่แล้วในอุทรเสมอกัน.
ครั้งนั้น นกแก้ว เมื่อจะห้ามคนเหล่านั้นจึงได้กล่าวคาถาที่ ๓ ว่า :- ดูก่อนท่านผู้กินซากศพทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่สรรเสริญท่านทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นผู้กินของเหลือเป็นปกติ แต่ท่านทั้งหลายไม่เป็นผู้กินเดนเป็นปกติ.
พึงทราบวินิจฉัยในคาถานั้นต่อไป นกแก้วร้องเรียกคนเหล่านั้นว่า กุณปาทา ความว่า ผู้กินซากศพ.
คนเหล่านั้นได้ยินคำนั้นแล้วทั่วทั้งหมด ได้พากันกล่าวคาถา ที่ ๔ ว่า :- พวกเราบวชได้ ๗ พรรษาแล้ว เป็นเหมือนนกยูงอยู่กลางป่า เลี้ยงชีพด้วยอาหารที่เป็นเดนเท่านั้น ถ้าหากจะเป็นผู้ที่ท่านผู้เจริญสรรเสริญ?
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สิขณฺฑิโน ความว่า ประกอบด้วยหงอน. บทว่า วิฆาเสเนว ความว่า พวกเราเมื่อเลี้ยงชีวิตด้วยอาหารที่เป็นเดนของราชสีห์และเสือโคร่งอย่างเดียวถึง ๗ ปี ตลอดกาลเท่านี้ ถ้าหากเป็นผู้ที่ท่านผู้เจริญพึงตำหนิไซร้ ก็ใครเล่าจะเป็นผู้ที่ท่านผู้เจริญควรสรรเสริญ.
พระมหาสัตว์ เมื่อให้คนเหล่านั้นสลดใจอยู่ จึงได้กล่าวคาถาที่ ๕ ว่า :- ของที่เหลือของราชสีห์ เสือโคร่งและสัตว์ร้ายทั้งหลายมีอยู่ ท่านทั้งหลายเลี้ยงชีพด้วยอาหารที่เหลือนั้นนั่นเอง พวกเราสำคัญว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้กินเดนเป็นปกติ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พาลานญฺจาวสิฏฺฐกํ ของที่เหลือ คือโภชนะที่เหลือของสัตว์ร้ายทั้งหลายด้วย.
ดาบสทั้งหลายได้ฟังคำนั้นแล้วจึงกล่าวว่า ถ้าหากพวกเราไม่เป็นผู้กินเดนไซร้ ถ้าอย่างนั้นท่านตำหนิใครล่ะ? ใครเป็นผู้กินเดน ลำดับนั้น พระมหาสัตว์นั้น เมื่อจะบอกข้อความนั้นแก่ดาบสเหล่านั้น จึงได้กล่าวคาถาที่ ๖ ว่า :-
ชนเหล่าใดให้ทานแก่สมณะพราหมณ์และวณิพกอื่นแล้ว จึงบริโภคส่วนที่เหลือ ชนเหล่านั้นเป็นผู้กินเดน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วณิพฺพิโน ได้แก่ผู้ขอสิ่งของนั้นๆ พระมหาสัตว์ ครั้นให้ดาบสเหล่านั้นสลดใจแล้ว จึงไปที่อยู่ของตนนั่นเอง.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกไว้ว่า พี่น้องชาย ๗ คน ในครั้งนั้น ได้แก่ ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลน่าเยาะเย้ยเหล่านี้ ในบัดนี้ ส่วนท้าวสักกะได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาวิฆาสาทชาดกที่ ๘
.. อรรถกถา วิฆาสาทชาดก ว่าด้วย การกินของที่เป็นเดน จบ.
พระสูตรนี้ จะสอนให้เราได้รู้ว่าอาหารที่เราบริโภคทานอยู่นั้นแม้จะมีรสเลิศหรือประณีตสักเท่าใด แม้จะเป็นของที่เราหามาได้ หรือมีผู้นำมา หรือเหลือจากการบริโภคของคนอื่นนั้น
การบริโภคอาหารเช่นนั้นอยู่ก็ไม่ประเสริฐกว่าการบริโภคอาหารที่เหลือจากเดน???
เหลือจากเดนนี้หมายถึง เหลือเดนจากการให้ทานนั้นล่ะ แล้วจึงบริโภค อย่างนี้คือการบริโภคอาหารของผู้ครองเรือน ที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวสรรเสริญ
ก่อนจะบริโภคอย่าลืมให้ทานก่อน ให้อาหารนั้นเป็นของเหลือเดนจากทาน และอย่าให้ทำทานที่เป็นของเหลือเดน
อานิสงส์ของการเป็นผู้ให้ทานโดยที่ทานนั้นไม่ใช่เป็นของเหลือเดน ผลบุญกุศลของทาน จะให้เป็นผู้มีทรัพย์ที่เลิศที่ประเสริฐ ของมือสองที่คำปัจจุบันกล่าวนั้น ของเหล่านั้น เราจักไม่เคยได้ใช้เลย มีแต่ของดีของใหม่ให้ใช้ บันเทิงสุขตลอดกาลนาน.
Create Date : 04 สิงหาคม 2552 |
Last Update : 5 สิงหาคม 2552 7:03:00 น. |
|
2 comments
|
Counter : 2036 Pageviews. |
|
|
|
โดย: PSlovebird วันที่: 5 สิงหาคม 2552 เวลา:17:51:01 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]
|
มีหลายเรื่องที่ควรสงสัย แต่เราไม่สงสัยในสิ่งต่างๆนั้นแล้ว เราศรัทธาแต่ในพระรัตนตรัย
..แม้เทวดา มารหรือพรหม จะมีหรือไม่มีอยู่จริง เราก็มีธรรม มีปัญญารู้ในสิ่งต่างๆนั้นด้วยตนเองแล้ว ทั้งปัญญา ทั้งศรัทธา เป็นสิ่งที่ท่านต้องสร้างให้เกิดขึ้นเอง ใครสร้างท่านไม่ได้
พระพุทธเจ้า พระองค์ดุจผู้บอกทางให้เท่านั้น จะเดินหรือไม่ เรามิได้กล่าวโทษตำหนิท่านแต่อย่างใดเลย ท่านเชื่อ ท่านก็เดิน ท่านไม่เชื่อก็ควรแล้ว ที่ท่านจะสงสัยควรแล้วที่ท่านจะปฏิบัติ เพื่อคลายความสงสัยนั้น
|
|
ขอบคุณ code และ ภาพ จากคุณ aggie_nan ตามลิงค์ที่อยู่ ด้านล่างครับ
|
|
|
|
|
|
|
หลวงพ่อเกษม เขมโก จัง
ท่านฉัน...อาหารบูดด้วยคะ
เคยอ่านประวัติท่าน
และเคยได้ยินได้ฟังด้วยคะ
อนุโมทนาสาธุด้วยคะ