|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
ความไม่เชื่อ ก็คือความงมงาย ประการหนึ่ง
ความงมงาย ก็คือความไม่รู้
ความไม่รู้ ก็คือ อวิชชา
กิเลส ก็คือ เครื่องทำให้จิตใจเศร้าหมอง
จิตใจเศร้าหมอง ก็คือ จิตไม่ผ่องใส ไม่บริสุทธิ์
จิตไม่ผ่องใส ไม่บริสุทธิ์ ก็คือ จิตใจที่มีทุกข์
จิตใจที่มีทุกข์ ก็คือ จิตที่ยังมีตัณหา
จิตที่ยังมีตัณหา ก็คือ จิตที่ยังเข้าสู่นิพพานไม่ได้
จิตที่ยังเข้าสู่นิพพานไม่ได้ ก็คือ จิตที่ยังมีทุกข์อยู่ในวัฏฏสงสารอยู่ต่อไป
จิตที่ยังมีทุกข์อยู่ในวัฏฏสงสารอยู่ ก็คือ จิตที่ยังไม่รู้ ยังงมงายต่อไป
...เพราะความงมงาย เพราะความไม่รู้ เป็นเหตุและผลของทุกข์ โดยนัยดั่งที่กล่าวแล้วนี้
คำสอนอันหนึ่งของ พระพุทธเจ้า คือไม่ให้ปลงใจเชื่อ(กาลามสูตร ๑๐) เป็นธรรมสำคัญเบื้องต้นอันหนึ่ง ที่ผู้ปฏิบัติควรยึดไว้
ผู้ศึกษาไม่ควรทำความมุ่งหมายว่า พระพุทธเจ้าตรัสสอนไม่ให้เชื่อ แต่พระองค์ทรงหมายถึง ไม่ให้"ปลงใจเชื่อ" คือ ให้ผู้ปฏิบัตินั้นจะ "เชื่อ" หรือ "ไม่เชื่อ" ต้องด้วยเพราะรู้เหตุและรู้ผล ของสิ่งที่ตนจะเชื่อ หรือไม่เชื่อนั้นเสียก่อน
.....อันความงมงายนี้ โดยมากมักจะเข้าใจกันว่า หมายถึงการเชื่อในสิ่งที่ไร้สาระ ไม่เป็นประโยชน์ เชื่อในการปฏิบัติที่ผิดๆ คือ เชื่อไปเสียทั้งหมด เชือโดยทั้งหมดของความเชื่อนั้นๆ
แท้จริงคำว่า งมงายนี้ มิได้หมายถึงเพียงแต่ คือความเชื่อทั้งหมดตามดั่ง ที่กล่าวมาแล้วนี้เท่านั้น แม้ในอาการของความ"ไม่เชื่อทั้งหมด" นี้ก็เป็นความงมงาย เช่นเดียวกัน คือไม่เชื่อ เพราะไม่รู้ ไม่เชื่อเพราะรู้มาผิด เข้าใจมาผิด หรือรู้ไม่ทั่วถึง
ความเชื่อ และ ความไม่เชื่อ หากขาดปัญญา พิจารณา ทั้งสองนี้ย่อมเป็นความงมงายเช่นเดียวกัน มีความไม่รู้ คืออวิชา เป็นฐานที่ตั้งเหมือนกัน
แม้ทั้งหมดที่ได้ยกกล่าวธรรมมาแสดง จะเชื่อ หรือไม่เชื่อ หากขาดปัญญาเสียแล้ว ก็ย่อมเป็นความงมงายเสียทั้งสิ้น ก็ขอให้ลองพิจารณา ใคร่ควรญ ใตร่ตรอง ดูเถิด
----------------------------------------------------- อานิสงส์ในการฟังธรรม ๕ ประการ
ปญฺจิเม ภิกฺขเว อานิสํสา ธมฺมสฺสวเน
กตเม ปญฺจ อสฺสุตํ สุณาติ สุตํ ปริโยทเปติ
กงฺจํ วิหนติ ทิฏฺฐึ อุชุ กโรติ จิตมฺส ปสึทติ
อิเม โข ภิกฺเว ปญฺจ อานิสํสา ธมฺมสฺสวเนติ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในการสดรับฟังธรรม ๕ ประการเป็นไฉน?
คือ ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ๑
ย่อมเข้าใจชัดสิ่งที่ได้ฟังแล้ว ๑
ย่อมบรรเทาความสงสัยเสียได้ ๑
ย่อมทำความเห็นให้ตรง ๑
จิตของผู้ฟังย่อมผ่องใส ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในการสดับฟังธรรม ๕ ประการนี้แล
ข้อคิดธรรมนี้จาก พระอาจารย์สมภพ โชติปัญโญ วัดไตรสิกขาทลามลตาราม ต.บ้านแพด อ.คำตากล้า จ.สกลนคร ขอกราบอนุโมทนา พระคุณเจ้า มาณ.ที่นี้ ขออนุโมทนาสาธุ
Create Date : 09 มกราคม 2553 |
Last Update : 9 มกราคม 2553 15:16:05 น. |
|
1 comments
|
Counter : 585 Pageviews. |
|
|
|
โดย: p_tham วันที่: 10 มกราคม 2553 เวลา:5:31:01 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]
|
มีหลายเรื่องที่ควรสงสัย แต่เราไม่สงสัยในสิ่งต่างๆนั้นแล้ว เราศรัทธาแต่ในพระรัตนตรัย
..แม้เทวดา มารหรือพรหม จะมีหรือไม่มีอยู่จริง เราก็มีธรรม มีปัญญารู้ในสิ่งต่างๆนั้นด้วยตนเองแล้ว ทั้งปัญญา ทั้งศรัทธา เป็นสิ่งที่ท่านต้องสร้างให้เกิดขึ้นเอง ใครสร้างท่านไม่ได้
พระพุทธเจ้า พระองค์ดุจผู้บอกทางให้เท่านั้น จะเดินหรือไม่ เรามิได้กล่าวโทษตำหนิท่านแต่อย่างใดเลย ท่านเชื่อ ท่านก็เดิน ท่านไม่เชื่อก็ควรแล้ว ที่ท่านจะสงสัยควรแล้วที่ท่านจะปฏิบัติ เพื่อคลายความสงสัยนั้น
|
|
ขอบคุณ code และ ภาพ จากคุณ aggie_nan ตามลิงค์ที่อยู่ ด้านล่างครับ
|
|
|
|
|
|
|