Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2554
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
1 ตุลาคม 2554
 
All Blogs
 
ระบบเกียร์ CVT มีดีอย่างไร ทำไมรถรุ่นใหม่ๆ ถึงเลือกมาใช้ มาทำความรู้จักกันเถอะ

ในยุคก่อน เกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ CVT ถือเป็นของใหม่สำหรับนักขับในบ้านเรา และดูเหมือนว่าเป็นระบบที่หลายคนไม่อยากที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกันสักเท่าไรนัก ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไม่อยากจะเรียนรู้หรือว่าไม่มั่นใจกับของใหม่กันแน่



สำหรับบ้านเรา จากรถยนต์ไม่กี่รุ่นที่วางขายในตลาด ชนิดที่ยกมือขึ้นมาข้างเดียวยังอาจจะนับไม่หมด แต่ในตอนนี้เกียร์ CVT กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่สามารถพบได้ในรถยนต์มากมายหลายรุ่นตั้งแต่ซิตี้คาร์ไปจนถึงระดับไฮโซคาร์ และค่ายที่ดูเหมือนว่าจะเอาจริงเอาจังกับการทำตลาดด้วยเกียร์ประเภทนี้ก็เห็นจะเป็นนิสสันนี่แหล่ะ เพราะรถยนต์ที่ขายอยู่ในตลาดเกือบทุกรุ่น ยกเว้นพวกรถยนต์ในเชิงพาณิชย์ ล้วนมีเกียร์ CVT เป็นทางเลือกให้ลูกค้าได้สัมผัสกัน

แน่นอนว่า ถ้าอยากจะใช้ให้เป็น หรือขับแล้วประหยัดน้ำมัน คงไม่ใช่แค่กระโดดเข้าไปนั่ง สตาร์ทเครื่อง แล้วก็ขับกันตามยถากรรม ตามพฤติกรรมที่ทำกันมา เพราะเกียร์ทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นธรรมดา อัตโนมัติแบบมีจังหวะ หรืออัตโนมัติแบบอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง ล้วนต้องมีการเรียนรู้เทคนิคในการใช้งานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในด้านนั้นๆ

ดังนั้น แม้จะไม่ใช่แบรนด์แรกที่นำเกียร์ CVT เข้ามาขายในบ้านเรา แต่ด้วยเหตุที่เป็นผู้นำในเทรนด์นี้ ทางด้านนิสสันก็เลยจัดกิจกรรมอบรมและเรียนรู้เทคนิคการขับแบบ Eco-Drive ให้กับนักข่าว และลูกค้าภายใต้ชื่องาน Smart Drive Smart Save ขึ้นมา

จุดประสงค์ของการจัดงานในครั้งนี้คือ การถ่ายทอดความรู้ทางด้านเทคโนโลยีของระบบเกียร์ Xtronic CVT และเทคนิคการขับแบบ Eco-Drive เพื่อให้เข้าใจการทำงานของเกียร์ CVT ที่มีความแตกต่างจากเกียร์อัตโนมัติแบบมีจังหวะทั่วไปอย่างไร โดยทดลองขับผ่านทางรถยนต์ของนิสสัน เพื่อวัดพฤติกรรมการขับขี่ก่อนและหลังการเข้าอบรม โดยใช้เครื่องมืออิเลคทรอนิกส์พิเศษสำหรับการวัดผลโดยเฉพาะ

บอกตามตรงว่าก่อนเข้าอบรมในคอร์สนี้ รู้แค่ว่าเกียร์ CVT ถูกออกแบบมาเน้นวัตถุประสงค์ในแง่ของความประหยัดน้ำมัน เพราะด้วยรูปแบบทางกายภาพที่ใช้การยืด-หดของพูเลย์เพื่อสร้างอัตราทดอย่างต่อเนื่อง และมีช่วงกว้างแล้ว ส่งผลให้รอบเครื่องยนต์มีความไหลรื่น เข็มวัดรอบไม่หล่นลงและต้องไล่รอบใหม่ทุกครั้งเมื่อเปลี่ยนเกียร์ขึ้นสูงเหมือนกับเกียร์แบบมีจังหวะ ซึ่งตรงนี้ทำให้สามารถรักษารอบเครื่องยนต์ให้คงที่ และเมื่อรอบฯ คงที่ สิ่งที่ตามมือ ความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงตามมา

เมื่ออนุมานจากสิ่งที่เห็นและข้อมูลที่ได้รับ ขับยังไงหรือแบบไหน ก็คงจะประหยัดน้ำมัน แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่คิดและได้ยินมาจะตรงกันข้าม เพราะบรรดานักขับหลายคนที่ได้มีโอกาสสัมผัสกับเกียร์ประเภทนี้แล้วกลับบ่นว่าไม่เห็นประหยัดอย่างที่คิด ส่วนใหญ่จะโทษรถมากกว่าโทษตัวเอง

ตรงนี้น่าจะเป็นที่มาของการจัดอบรมให้กับลูกค้าและสื่อมวลชนเพื่อรับทราบถึงแนวทางและวิธีในการขับรถยนต์ที่ใช้เกียร์ CVT อย่างถูกต้องและวิธี เพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ในแง่ของความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างเต็มที่

ในกิจกรรมนี้ ทางนิสสันเปิดโอกาสให้นักข่าวได้ทดลองขับกันแบบฟรีสไตล์ก่อน เพื่อจะได้รู้ว่าพฤติกรรมการขับรถยนต์ของแต่ละคนเมื่อต้องเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ที่มีเกียร์ CVT แล้วผลตอบรับจะเป็นอย่างไร

ต้องยอมรับว่าพฤติกรรมการขับของนักขับเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญอย่างมากในหลายๆ เรื่อง ซึ่งก็รวมถึงความประหยัดน้ำมัน ใครที่ทั้งชีวิตขับแต่รถยนต์ซึ่งใช้เกียร์อัตโนมัติแบบมีจังหวะ เมื่อต้องมาเจอกับเกียร์ CVT แล้วก็ยังติดพฤติกรรมการขับแบบเดิมๆ มาด้วย เช่น การกดคันเร่งหนักๆ เพื่อคิ๊กดาวน์เวลาต้องการแซง (กดยังไงเกียร์ CVT ก็ไม่มีคิ๊กดาวน์ นอกจากเสียงหึ่งๆ ของเครื่องยนต์ และรอบเครื่องยนต์ก็ไต่ขี้นเรื่อยๆ เหมือนเดิม) ก็อาจจะไม่บรรลุเป้าหมายในแง่ความประหยัดน้ำมันแน่ๆ

ดังนั้นการอบรมครั้งนี้ก็เหมือนกับการให้ความรู้เพื่อที่จะได้นำข้อมูลไปปรับพฤติกรรมในการขับเพื่อที่จะได้ใช้งานเกียร์ CVT ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ที่น่าสนใจคือ ในงานนี้นิสสันได้นำกล่องอิเล็กทรอนิกส์สำหรับตรวจวัดระดับความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมาใช้ด้วย ซึ่งกล่องนี้มีชื่อว่า DR-V Lite ซึ่งจะต่อพ่วงเข้ากับกล่อง ECU ของเครื่องยนต์ และดึงข้อมูลออกมาผ่านทาง Card แบบ Mini-SD ซึ่งจะถูกเสียบเข้าไปในตัวกล่อง จากนั้นก็นำข้อมูลที่ได้ไปคำนวนค่าต่างๆ เพื่อหาคะแนนออกมา เพื่อสรุปถึงพฤติกรรมการขับว่ามีผลต่อความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงอย่างไร

การตรวจวัดเพื่อให้คะแนนจะถูกแบ่งออกเป็นความต่อเนื่องและนุ่มนวลในการกดคันเร่ง หรือ Smooth Acceleration, การรักษาความเร็วให้คงที่ หรือ Maintain a steady speed และสุดท้าย คือ การเบรกอย่างเหมาะสมก่อนถึงจุดที่ต้องการ หรือ Brake at an early stage ซึ่งแต่ละหัวข้อจะมี 100 คะแนน และนำคะแนนทั้ง 3 ส่วนมารวมกันแล้วหาร 3 เพื่อหาค่าในการจัดระดับความสามารถในการขับเกียร์ CVT และทั้ง 3 ส่วนถือเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญในแง่ของการขับอย่างประหยัดน้ำมัน ไม่เฉพาะแค่ในเกียร์ CVT เท่านั้น


ถ้าคิดในเชิงที่ไม่เคยเข้าอบรมมาก่อนและขับตามสไตล์ที่ตัวเองเป็นอยู่ แน่นอนว่าเมื่อเจอกับเส้นทางที่วางเอาไว้ ซึ่งมีระยะทางประมาณ 1.7 กิโลเมตรโดยใช้สนาม BRC หลังห้างซีคอนสแควร์เป็นพื้นที่ในการขับทดสอบ และขับด้วยกัน 2 รอบสนาม ผลที่ได้ ก็แตกต่างไปตามทักษะและความเข้าใจต่อทั้ง 3 หัวข้อที่นักขับแต่ละคนมี

ทีมงาน worldwheelsweb ลองขับด้วยพฤติกรรมที่ปกติเหมือนกับการขับในชีวิตประจำวัน พบว่า ผลออกมาอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแย่ (ระดับการวัดแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ Beginner, Intermediate, Advanced และ Master) โดยผลรวมออกมาได้แค่ 59 คะแนนจากเต็ม 100 คะแนน และจัดอยู่ในระดับ Intermediate โดยทักษะของคนขับที่ดูแล้วน่าจะปั้นขึ้นที่สุดคือ การกดคันเร่งให้ต่อเนื่อง เพราะว่าได้ถึง 76 จาก 100 คะแนน อยู่ในระดับ Advanced

หลังเสร็จสิ้นการทดสอบครั้งแรก เจ้าหน้าที่ทางเทคนิคของนิสสันได้เข้ามาพูดคุย จากนั้นคุณปาจารย์ ตันติวณิชย์ วิศวกรจากนิสสัน มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิก ก็ได้เข้ามาอธิบายถึงแนวทางที่ถูกต้องในการใช้งานเกียร์ CVT เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

nissan CVT

แนวทางการใช้งานเกียร์ CVT เพื่อให้ประโยชน์สูงสุดถูกเรียกว่า Eco Drive ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใครๆ ก็สามารถทำได้ ขอแค่ได้เรียนรู้ และรับทราบถึงเทคนิคในการขับ เพราะด้วยคุณลักษณะของระบบ CVT ที่เอื้อประโยชน์ในด้านการประหยัดน้ำมันแล้ว การขับแบบ Eco Drive ก็จะเป็นวิธีการขับที่จะช่วยให้ประสิทธิภาพของระบบ CVT ได้ถูกใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเทคนิคหลักๆ ของการขับแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ด้วยกัน

1.การควบคุมน้ำหนักเท้าเมื่อเริ่มต้นเหยียบคันเร่ง เทคนิคง่าย ๆ คือ หลังจากปล่อยเท้าออกจากเบรค ให้เว้นช่วงประมาณ 1 วินาทีก่อนที่จะเริ่มเหยียบคันเร่ง และกดคันเร่งไล่รอบอย่างนุ่มนวลแต่ฉับไว โดยใช้เวลาสัก 5 วินาที (รวมจังหวะการเว้นช่วง 1 วินาที) ในการขยับความเร็วจากจุดหยุดนิ่งให้ไปถึงระดับความเร็ว 20 กิโลเมตร/ชั่วโมง

2.การควบคุมคันเร่งให้รักษาระดับความเร็วอย่างคงที่ อย่ากดคันเร่งแบบกด ๆ ปล่อย ๆ เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมัน และหากลงเนินก็ควรปล่อยคันเร่ง ซึ่งรถยนต์นิสสันจะตัดการจ่ายน้ำมันทันที ทำให้ช่วยประหยัดน้ำมัน

3.การผ่อนคันเร่งตั้งแต่เนิ่น ๆ เมื่อทราบว่าจะต้องเบรค และเบรครถเมื่อรอบต่ำกว่า 1,000 รอบ/นาที จะช่วยประหยัดน้ำมันเช่นกัน สำหรับในสภาพการขับตามปกติแล้ว ทางนิสสันบอกว่าความเร็วที่ถือว่าอยู่ในระดับที่มีความประหยัดน้ำมันสูงสุดคือ การใช้ความเร็วคงที่ หรือ Cruising ที่ระดับ 60-70 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ความเร็วที่ใช้ในการขับในสนามอยู่ที่ 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง

แน่นอนว่าหลังจากที่ได้รับทราบแล้ว อาจจะเรียกได้ว่าต้อง 'ฝืน' กันพอสมควรในการปรับพฤติกรรมการใช้คันเร่งและเบรกที่ฝังรากลึกมานาน เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางที่ถูกต้อง สุดท้ายก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินไป และผลการขับก็ออกในแบบที่น่าพอใจ เพราะคะแนนรวมทำได้ 79 คะแนนจัดอยู่ในขั้น Advanced และการควบคุมคันเร่งทำได้ 100 คะแนนเต็ม

เทคนิคทั้ง 3 ข้อถือว่าเป็นกฎมาตรฐานที่สามารถเอาไปประยุกต์ใช้กับการขับรถยนต์ไม่ว่าจะเป็นเกียร์อะไรก็ตามได้ เพราะกฎเหล็กของเทคนิคการขับให้ประหยัดน้ำมันก็ไม่ได้แตกต่างไปจากกันมากเท่าไร

คันเร่งและเบรก คือ ปัจจัยสำคัญสำหรับรถยนต์ที่ใช้เกียร์อัตโนมัติ

การควบคุมคันเร่งทั้งเรื่องการออกตัว และการรักษาระดับความเร็วให้คงที่ ลดความเร็วด้วยการถอนคันเร่งไม่ใช่เบรก การคาดการณ์เส้นทางข้างหน้า ล้วนแล้วแต่เป็นหลักพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับนักขับ เพราะไม่ใช่เกี่ยวพันแค่เรื่องความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความปลอดภัยในขณะขับขี่ด้วย

แต่เหนืออื่นใด พฤติกรรมการขับ คือ สิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะถึงจะเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ที่มีความประหยัดน้ำมันขนาดไหน แต่ถ้ายังไม่ปรับพฤติกรรมการขับ ชีวิตนี้ก็คงยากที่จะได้รู้จักกันคำว่า 'ประหยัดน้ำมัน'

ขอขอบคุณบริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัดสำหรับกิจกรรมในครั้งนี้


Create Date : 01 ตุลาคม 2554
Last Update : 1 ตุลาคม 2554 22:02:19 น. 0 comments
Counter : 1963 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

NEWSU_CHADA
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add NEWSU_CHADA's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.