ตะรุเตา ... ท้องฟ้า น้ำทะเล ขุนเขา วันเวลาเก่าๆ ที่คิดถึง^^
ตะรุเตา ... ท้องฟ้า น้ำทะเล ขุนเขา วันเวลาเก่าๆ ที่คิดถึง^^ 11-14 มกรา 54 (ภาพเก่า แต่ความทรงจำไม่เคยเก่าเลย) ทริปเก่าย้อนหลังค่ะ เป็นทริปสบายๆ หนีความวุ่นวายในเมืองกรุงไปชื่นชมบรรยากาศดีดีที่อันดามัน ^^ ทริปนี้จัดเอง เดินทางเอง เพราะไม่ใช่การไปเยือนตะรุเตาครั้งแรกจึงไม่ต้องให้ไกด์มาคอยดูแลตลอดเวลา 4 วัน 3 คืน (ไม่รวมวันเดินทางไป-กลับกรุงเทพ) เราเริ่มออกเดินทางตั้งแต่เย็นวันที่ 10 มกรา ด้วยรถ VIP ม1ก กรุงเทพ-สตูล (ราคาตั๋วตอนนั้นคนละ 1114 บาท) เที่ยวรถ 18.00 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 14 ชั่วโมงค่ะ นั่งรถจนเบื่อเลย ลงรถที่ บขส สตูล ที่นั่นเงียบเหงามาก ใหญ่โต แต่หารถต่อยาก ต้องนั่งมอไซด์ไปลงท่ารถตู้ที่จะไป อ.ละงู อีกที (เพิ่งมารู้ตอนหลังว่าถ้าจะไปท่าเรือปากบารา ควรซื้อตั๋วรถ กรุงเทพ-ตรัง-สตูล แล้วลงที่ อ.ละงูเลย T^T) เข้าเมืองได้ก็ซื้อตั๋วรถตู้ก่อนเลย ช่วงที่รอรถออกก็เดินหาร้านข้าวเพื่อหาอะไรรองท้องตอนเช้าสักหน่อย แต่การหาร้านและห้องน้ำค่อนข้างยากเพราะเราไม่รู้จักที่นี่ สัมภาระก็เยอะ T^T ถึงจะมี 7/11 แต่ก็อยากกินข้าวตามสั่งมากกว่า ^^เดินวนหาอยู่ไม่นานก็เจอร้าน หม่ำๆๆ กันก่อนจะเดินทางอีกรอบ รถตู้จากสตูลไป อ.ละงู ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ลงรถตู้แล้วก็ต้องต่อรถสองแถวไปท่าเรือปากบาราอีก (การเดินทางทุลักทุเลเหลือเกิน จำไว้ๆ เป็นประสบการณ์ หุหุ) ไปถึงท่าเรือก็ 10.30 พอดี ใกล้ได้เวลาเรือออก ทริปนี้ใช้บริการทัวร์ของซีแอ๊ดฮอลิเดย์สำหรับการเดินทางไปตะรุเตา แบบแพคเกจ 3 วัน 2 คืน แต่เพิ่มเข้าไปอีก 1 วัน 1 คืน เพื่อเพิ่มเวลาในการพักผ่อน (จองทัวร์ไว้ล่วงหน้าก่อนนะคะ กำหนดวันเดินทางเองทั้งหมด ดูๆ เหมือนทริปของคนอื่นๆ แต่จริงๆ แล้วไม่ธรรมดาค่ะ) ราคาแพคเกจละ 5760 ต่อคนค่ะ ติดต่อสำนักงานทัวร์แล้ว เราก็ได้ไกด์ต๊ะคนเก่งมาเป็นไกด์ส่วนตัวในวันเดินทางและวันดำน้ำค่ะ ออกจากปากบาราด้วยเรือสปีดโบ้ท 5 เครื่องยนต์ ลำใหญ่ จุคนได้ตั้ง 80 คน (แต่เหมือนจะบรรทุกไปมากกว่านั้น เพราะคนยืนกันเต็มเรือเลย) เนื่องจากเป็นเรือลำใหญ่ อากาศเลยค่อนข้างจะร้อนอบอ้าว ถึงจะมีที่นั่งแต่ก็นั่งกันไม่สบายเลยค่ะ ตั้งแต่เขียนมายังไม่มีรูปเลยเนาะ ขอบรรยายต่ออีกนิดนะคะ เดินทางได้ครึ่งชั่วโมงเรือก็แวะเข้าจอดส่งผู้โดยสารที่เกาะตะรุเตา โดยจอดประมาณ 20 นาที อ่าวพันเตมะละกาวันนี้หาดไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ เลยแค่แวะเก็บภาพกับป้ายเกาะ แล้วก็ทานข้าวกล่อง ผัดพริกแกงกุ้ง+ไข่ดาว (มื้อที่ 1 ของแพคเกจ) เนื่องจากเราแวะได้ 20 นาที ก็เลยได้แค่ไหว้นมัสการศาลเจ้าพ่อตะรุเตาที่ตั้งอยู่ริมหาดเท่านั้น ต่อจากนั้นก็ขึ้นเรือต่อไปยัง เกาะไข่ ค่ะ สภาพบนเรือเป็นอย่างนี้ ส่วนใหญ่ผู้โดยสารจะมีแต่ชาวต่างชาติ ที่เป็นคนไทยก็ดูเหมือนจะไม่ใช่นักท่องเที่ยว เด็กน้อยคนนี้น่ารักมากๆ แอบส่งสายตาให้กัน ปิ๊งๆๆ ถึงแล้วค่ะ เกาะไข่ ใช้เวลาเดินทางจากเกาะตะรุเตาประมาณ 1 ชั่วโมง เกาะไข่ยังคงสวยเหมือนเดิม เกาะไข่ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์การท่องเที่ยวของจังหวัดสตูล เพราะมีซุ้มประตูหินโค้งที่สวยและโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ถ้าเข้าไปมองใกล้ๆ จะเห็นว่ามีช่องประตู 2 ช่องนะคะ ไม่ใช่ช่องเดียวแบบที่เห็นในภาพข้างล่างนี้ เขาเรียกว่า "ซุ้มรักนิรันดร์" (ตอนมาครั้งแรกเมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้ว ยังไม่มีป้ายนี้เลย) ประตูหินโค้ง... ตะรุเตา สตูล จุดเพิ่มพูน ตำนาน รักหนุ่มสาว แดนประเดิมเสริมรักให้ยืนยาว สองเราก้าวสู่ประตู... รักนิรันดร์ เขาว่า ใครลอดประตูนี้แล้วอธิษฐาน จะสมหวังในรัก ใครจะเชื่อหรือไม่ ก็แล้วแต่จะคิดนะคะ มาดูเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษบ้าง "Lover's Gate" Curve Stone Door of Tarutao Satun The area where increases LOVE for the youth The place where starts and support LOVE to live long For both of us to enter into the door for Eternal... LOVE คงไม่ต้องแปลนะคะ เพราะคำแปลอยู่ด้านบนแล้ว ^^ นี่ก็เด็กน้อยสองพี่น้องอีกคู่ ที่น่ารักไม่แพ้กันเลยล่ะค่ะ แวะถ่ายภาพที่เกาะไข่ประมาณ 20 นาที อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมาก็เดินทางมาถึงเกาะหลีเป๊ะ ที่พักของเราทริปนี้ค่ะ เราลงเรือใหญ่แล้วก็ต่อเรือหางยาวเข้าฝั่งเพื่อจะเข้าที่พักอีกที ไกด์หนุ่มใจดีบริการให้ค่ะ ทริปนี้เราพักที่เม้าเทิร์นรีสอร์ท (Mountain Resort) ซึ่งอยู่แถบหาด sunset ค่ะ (แต่เราจะให้เห็นทั้งพระอาทิตย์ขึ้นและตกเลยค่ะ) รีสอร์ทตั้งอยู่บนแนวเนินเขา ต้องแข็งแรงๆ หน่อยนะคะ เพราะทางขึ้นมันสูง อิอิ แต่ก็ได้วิวดี ชมวิวสวยๆ ปลอดภัยแน่ๆ ไม่ต้องกลัวสึนามิ อิอิ ทางขึ้นลงด้านหน้ามี 2 ทาง อันนี้ทางแรก แบบไม่ต้องผ่านห้องอาหาร สูงดีค่ะ กว่าจะขึ้นมาถึง เหนื่อยเลยค่ะ มองลงไปเห็นน้ำทะเลใสๆ หาดทรายขาวๆ มองตรงไปจะเห็นเกาะอาดังตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ส่วนทางขึ้นรีสอร์ทอีกทางจะต้องผ่านห้องอาหารของรีสอร์ท สูงชันไม่แพ้กันค่ะ เราพักที่บังกะโลห้องพัดลมด้านบนค่ะ ถึงจะอยู่ข้างบน แต่ก็ได้ยินเสียงคลื่นซัดฝั่งอย่างชัดเจน ห้องพักส่วนใหญ่ เห็นแต่ชาวต่างชาติมาพักค่ะ คนไทยมีน้อย และคนที่มาพักเห็นพักห้องแอร์ คงจะกลัวร้อน ภายในห้องพักค่ะ หลังจากอาบน้ำ เก็บของเรียบร้อยแล้วก็ออกไปเดินเล่นที่ walking street ซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเกาะ เดินลงไปทางด้านหลังรีสอร์ทค่ะ ทางเล็กๆ เดินไปถามทางไป ต้องไปตอนยังไม่มืดนะคะ เพราะมันค่อนข้างจะดูเปลี่ยวๆ วันแรกก็ไปเดินสำรวจเส้นทางก่อน ไปไม่นานก็กลับมาทานอาหารเย็นกันค่ะ ไกด์ยังคงอยู่เพื่อช่วยในการเตรียมอาหารให้เรา เมนูวันนี้ (มื้อที่ 2) ต้มข่าไก่ ปลาทอดราดพริก ผัดผงกะหรี่ทะเล และผลไม้ อร่อยทุกอย่างเลยค่ะ วันที่สองค่ะ วันนี้เราจะไปดำน้ำกัน นัดหมายกับไกด์ไว้ตอน 8.30 น. แต่ก่อนหน้านั้นก็ต้องทานอาหารเช้ากันก่อน เป็นแบบบุฟเฟ่ห์ค่ะ (มื้อที่ 3) อาหารเช้าก็อร่อย วิวก็สวย ทริปวันนี้ออกเดินทางโดยเรือหางยาวลำนี้แหละค่ะ ไม่มีลูกทัวร์คนอื่นเลย เป็นส่วนตัวมากๆ เป้าหมายแรกของวันนี้คือร่องน้ำจาบังค่ะ ไปชมปะการัง 7 สี ปะการัง 7 สี กับฝูงปลาแสนสวย จุดดำน้ำที่ต่อไปคือเกาะหินงาม เกาะที่ไม่มีหาดทราย มีแค่หินกลมๆ มนๆ สีดำทั่วทั้งบริเวณชายหาด ว่ากันว่า ถ้าเรียงหินได้ 12 ก้อน แล้วคำอธิษฐานจะเป็นเป็นจริงตามที่หวังไว้ เกาะนี้มีตำนานและคำสาปแช่งของเจ้าพ่อตะรุเตาด้วย อย่าได้คิดนำหินก้อนใดๆ ก็ตามออกไปจากเกาะเชียวนะคะ นอกจากความงามแปลกตาบนเกาะหินงามแล้ว จุดดำน้ำรอบๆ เกาะหินงามก็สวยงามไม่แพ้ที่ไหนๆ ค่ะ เจอนีโม่กะมาร์ลินด้วย ^^ ต่อจากนั้นก็เดินทางไปยังเกาะหินซ้อน วันนี้อากาศดีมากๆ เลย จุดดำน้ำรอบๆ เกาะหินซ้อนก็สวยค่ะ สวยที่สุดของทริปนี้เลยก็ว่าได้ เหมือนหลงเข้าไปอยู่อีกดินแดนนึงเลยทีเดียว และจุดดำน้ำทุกๆ ที่ ก็ขาดไม่ได้ที่จะมีฝูงปลายเสือมารายล้อมรอบๆ ตัว คนนี้ ไกด์ต๊ะ ค่ะ ไกด์นำเที่ยว เหมามาคนเดียวตลอดทริป ^^ ดูแลดีมากๆ ภาพถ่ายใต้น้ำสวยๆ ก็ฝีมือคนนี้ เพราะดำน้ำลงไปถ่ายให้บริเวณน้ำลึกๆ ที่เกาะไม้ไผ่ จุดดำน้ำบางแห่งก็เริ่มเกิดปรากฏการณ์ ปะการังฟอกขาว เป็นแนวยาว ซึ่งต่อมาได้ติดตามข่าวว่าได้ทำการปิดจุดดำน้ำบริเวณหมู่เกาะตะรุเตาไปหลายแห่ง เที่ยงวันนี้ แวะทานอาหารกลางวันที่เกาะรอกลอย ชาวต่างชาติเยอะเลย อาหารกลางวันมื้อนี้ค่ะ (มื้อที่ 4) น่าทานไหมคะ วิวบนเกาะรอกลอยก็สวยค่ะ ต้องป่ายปีนนิดนึง น้ำทะเลใสๆ ฝั่งนึงเป็นหาดทราย ฝั่งนึงเป็นหาดหิน ช่วงบ่ายก็เดินทางต่อไปยังเกาะราวีค่ะ บริเวณหาดทรายยังสวยเหมือนเดิม แต่ที่เปลี่ยนไปคือปะการังใต้น้ำ เมื่อนานมาแล้ว ปะการังที่นี่สวยงามและอุดมสมบูรณ์มากๆ เคยได้เห็นหมึกกระดองว่ายน้ำเล่นด้วยกันเป็นคู่ มีปลาสิงห์โตให้เห็น แต่ตอนนี้แทบไม่มีอะไรให้ชื่นชมเลยค่ะ มีแค่ปลาตัวเล็กๆ เท่านั้น ไม่รู้ว่าเมื่อใด ธรรมชาติใต้น้ำจะกลับมาสวยงามดังเดิม เก็บภาพปูเสฉวนมาฝากด้วยค่ะ เก็บมาแต่ภาพ ไม่ได้เก็บตัวมันมาด้วยนะคะ ต่อจากนั้นก็ไปดำน้ำที่เกาะยาง ให้อาหารปลากัน สนุกมากๆ และก็ไปดำน้ำที่หาดสอง เกาะอาดัง ปิดท้ายทัวร์วันนี้ค่ะ ทัวร์วันนี้น่าประทับใจมากๆ ได้ดำน้ำทั้งวัน ตั้งแต่เช้าจนเย็น จุดดำน้ำที่ไหนว่าสวย ไกด์ต๊ะจัดให้หมดเลยค่ะ ^^ กลับถึงที่พัก ตอน 17 น. อาบน้ำแล้วก็เดินเล่นรอเวลาอาหารเย็น ดูพระอาทิตย์ตกน้ำ เมื่อหันหลังให้แสงตะวัน ฟ้าแดงระเรื่อสวยงาม อาหารเย็นวันนี้ค่ะ (มื้อที่ 5) ปลาทอดสามรส ไก่ผัดคื่นช่าย โป๊ะแตกทะเล และผลไม้ หากอยากกินโค้กก็จ่ายเพิ่ม โค้กกระป๋องละ 30 เบียร์กระป๋องละ 50 วันนี้เหนื่อยมาทั้งวัน ตอนกลางคืนแอบมีหนูหรือกระรอกบุกห้องพักด้วย ตกใจหมดเลย วันที่สามค่ะ วันนี้ไม่มีโปรแกรมดำน้ำแล้ว อยากจะเดินเล่นรอบๆ เกาะดู ตื่นเช้าก็เดินไปดูพระอาทิตย์ขึ้น แล้วก็กลับมาทานอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ห์ (มื้อที่ 6) สายๆ ก็ออกไปเดินเล่นรอบๆ รีสอร์ท และก็พักผ่อนๆ นอนฟังเสียงคลื่น อาหารเที่ยงวันนี้เป็นอาหารจานเดียวง่ายๆ ค่ะ เลือกสั่งได้เอง (มื้อที่ 7) ตอนบ่ายๆ ก็เดินไป walking street เดินไปทางด้านหลังรีสอร์ท แวะเข้าสปาปลา 10 นาที 120 บาท ข้างๆ ร้านสปาปลา มีร้านขายโรตีน่ารักๆ ด้วยค่ะ สั่งโรตีเม็ดมะม่วงช็อกโกแลตกับโรตีกล้วยวานิลลามาลองชิม อร่อยดีค่ะ แล้วก็เดินไปเก็บภาพหาดพัทยามาสักหน่อย คราวที่แล้วพักที่หาดนี้ เดินซื้อของที่ระลึกแล้วก็เดินกลับรีสอร์ท มาคราวนี้ walking street เปลี่ยนไปเยอะจริงๆ ร้านค้าผุดขึ้นมามากมาย กลายเป็นเกาะที่มีแต่แสงสีไปเสียแล้ว กลับเข้าที่พักได้ ก็ลงไปเล่นน้ำสักพัก แล้วก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดีค่ะ เมนูเย็นนี้ (มื้อที่ 8) ปลาผัดเปรี้ยวหวาน แกงเหลืองทะเล ผัดพริกไก่ และผลไม้ นอนฟังเสียงคลื่นอีกคืน พรุ่งนี้ต้องเดินทางกลับแล้วค่ะ วันที่สี่ อำลาหลีเป๊ะ อำลาอันดามัน ออกเดินทางกลับบ้าน เช้านี้ต้องเตรียมตัวกลับแล้ว นัดเวลากับไกด์ไว้ตอน 8.30 น. ก่อนกลับก็ทานอาหารเช้าก่อน (มื้อที่ 9) แพคกระเป๋าสัมภาระเรียบร้อย ก็พร้อมเดินทางกลับค่ะ (ผู้หญิงในภาพเป็นใครก็ไม่รู้ ไม่ใช่จีนี่นะ) อันนี้เป็นทางลงที่ผ่านทางห้องอาหารของรีสอร์ท ขากลับก็นั่งเรือหางยาวไปต่อเรือใหญ่ที่หน้าหาดพัทยา แล้วก็เดินทางสู่ท่าเรือปากบารา ขามาเดินทางลำบากอย่างไร ขากลับก็แบบนั้นล่ะค่ะ เพราะต้องไปรอขึ้นรถที่ท่ารถสตูลที่จองไว้ รถออกตอน 4 โมงเย็น กว่าจะถึงกรุงเทพก็เช้าวันรุ่งขึ้นน่ะค่ะ สรุปทริปนี้ประทับใจมากค่ะ ถึงแม้ว่าการเดินทางจะไม่ราบรื่นเท่าใด แต่เรื่องอื่นๆ ก็ดีทั้งหมด และตั้งใจจะกลับไปเยือนตะรุเตาอีกแน่นอนค่ะ อำลาด้วยภาพนี้นะคะ โลกใต้น้ำที่ตะรุเตา รอก่อนนะ ... ตะรุเตา อีกไม่นานจะกลับไปหา
Create Date : 29 พฤษภาคม 2556 |
|
12 comments |
Last Update : 29 พฤษภาคม 2556 7:49:53 น. |
Counter : 2494 Pageviews. |
|
|
|