ปล่อยให้หัวใจนำทาง
Group Blog
 
 
มกราคม 2554
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
7 มกราคม 2554
 
All Blogs
 

ยังไม่มีชื่อเรื่อง

บทที่1

 


แปดนาฬิกาสามสิบนาทีของเช้าวันจันทร์ คงเป็นนาทีที่แสนเร่งรีบและกระตือรือร้นสำหรับการทำงานของหลายๆคนในอาชีพพนักงานธนาคาร และโดยเฉพาะในวันจันทร์สิ้นเดือนด้วยแล้วมันแทบจะเป็นนรกของชาวแบงก์เลยทีเดียว แต่ก็ยังมีบางคนที่ทำท่าทางซังกะตายกับชีวิตอยู่ แม้แต่รองเท้าก็ยังเป็นแตะผ้านุ่มสำหรับใส่เดินเล่น มือถือแก้วโอวัลตินร้อน ในสภาพหัวยุ่งที่ผมส่วนหนึ่งยังเพียงชื้นหมาดๆและไม่แห้งดีด้วยซ้ำ ใบหน้าที่ขาวด้วยเชื้อสายจีนอยู่แล้วนั้นก็ยิ่งซีดจัดด้วยว่าไม่เคยแต่งแต้มเครื่องสำอางค์เลยแม้แต่น้อย ถึงใบหน้าจะยังอ่อนเยาว์อย่างที่ใครหลายๆคนทัก แต่จากการแต่งฟอร์มเชยๆตามระเบียบแบงก์เป๊ะ ซ้ำยังใส่กระโปรงคลุมเข่าแตกต่างจากสาวแบงก์ในวัยไล่เลี่ยกันแบบนี้ดูยังไงก็ป้าชัดๆ โชคยังดีที่ยังเร้นกายอยู่ในมุมอับหลังแบงก์ มิเช่นนั้นคงเป็นที่อับอายจนผู้บริหารอยากเอาหน้ามุดแผ่นดินเป็นแน่แท้

 


“อ้าว เกี๊ยว ยังไม่สแตนด์บายอีกเหรอ แบงก์เปิดแล้วนะ” หญิงวัยกลางคนท่าทางใจดีคนหนึ่งเดินเข้ามาทัก

 


“ค่ะ ขอหาอะไรใส่ท้องก่อนนะคะ เมื่อเช้าเกี๊ยวตื่นสาย ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย” ฉันตอบ

 


ถูกต้องแล้ว ผู้หญิงสารรูปโทรมที่ถือแก้วโอวัลตินคนนั้นคือฉันเอง และหญิงวัยกลางคนดังกล่าวก็คือ พี่นุช หรือพี่ชมภูนุช เพื่อนร่วมงานในแบงก์คนหนึ่ง แต่อยู่กันคนละแผนก พี่นุชเป็นเจ้าหน้าที่อาวุโสแผนกบัญชี ส่วนฉันเป็นเจ้าหน้าที่สินเชื่อ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็สนิทสนมกันเพราะสาขาของเรามีพนักงานรวมเพียงสิบสามคนเท่านั้น

 


“แล้วพี่นุชล่ะคะ ไม่ประจำที่เหรอ”

 


“ยังไม่มีลูกค้ามาเลยน่ะสิ ฝนก็ตกหนักไม่ลืมหูลืมตาแต่เช้าเลย เราเองก็โดนเหมือนกันใช่มั้ยเนี่ย หัวเปียกเชียว”

 


“ก็นิดหน่อยค่ะ”ฉันอ้อมแอ้มตอบ เพราะว่าที่จริงหลบฝนได้อย่างฉิวเฉียด แต่ที่ผมเปียกเพราะรีบร้อนสระแล้วไม่ยอมเป่าให้แห้งต่างหาก

 


“เออเกี๊ยว รู้รึเปล่าน้องแอมที่เข้างานรุ่นเดียวกับหนู ที่ย้ายไปจันทบุรี เขาจะแต่งงานแล้วนะ”

 


“หือ เหรอคะ”แอบตื่นเต้นตาม เพราะฉันกับแอมเข้าอบรมก่อนเริ่มงานรุ่นเดียวกันและเมื่อก่อนเธอก็ทำงานที่จังหวัดเดียวกันจึงสนิทกันพอสมควร ที่จริงจะว่าไปก็คงไม่แปลกอะไรที่คนอายุอานามช่วงหลังเลขสองอย่างฉันหรือแอมจะแต่งงาน แต่ที่ทึ่งก็คือการที่สาวอีสานตัวเล็กๆดำๆ แถมยังไม่มีอะไรสะดุดตาอย่างแอมจะชิงสละโสดก่อนเพื่อนร่วมรุ่น ที่(อาจจะ)ดูดีกว่า(นิหน่อย)อย่างฉัน ฮึ่ม

 


“พี่นุชรู้ข่าวได้ไงคะ”

 


“อ้าว ก็เจ้าบ่าวเขาเป็นพนักงานแบงค์เราเหมือนกันน่ะสิ เป็นรุ่นพี่เกี๊ยวสักสามปีได้มั้ง แต่เขาเป็นหัวหน้าสินเชื่อแล้วนะ เข้าใจรึเปล่ารักแท้แพ้ใกล้ชิดไง ทำงานเจอกันทุกวัน สมภารเลยกินไก่วัด” พี่นุชว่าแล้วหัวเราะขันเอง

 


“อิจฉาจัง ชิงสละโสดก่อน ทิ้งเพื่อนร่วมรุ่นอย่างเกี๊ยวโหนคานสนุกอยู่คนเดียว” ฉันถอนใจอย่างปลงอนิจจัง อันว่าบรรดาเพื่อนร่วมรุ่นทั้งหลายนั้นได้ละแล้วซึ่งความโสดจนสิ้น เหลือทิ้งไว้เพียงตัวฉันที่มองเห็นความโสดเป็นแก่นแท้แห่งความสุขจนล่วงเลยมาถึงวัยใกล้คานจึงได้รู้ตัว แม้ว่าไม่ถึงกับแห้งเหี่ยว มีหนุ่มสองสามรายมาติดพันบ้างในช่วงแรกของการทำงาน แต่อนิจจา มันเป็นเพียงอดีตอันมิอาจหวนคืนอีกแล้ว เพราะรู้ตัวอีกทีฉันก็ได้กลายเป็นรุ่นพี่ในแบงค์ ที่มีดีแต่ความขาวใส แต่ไร้ซึ่งความสวยและเสน่ห์ดึงดูดใจต่อเพศตรงข้าม ซ้ำยังรำคาญการประทินผิวและเสริมสวยทุกชนิด จนกลายเป็นสาวไม่ค่อยสวยที่คล้ายอาซิ้มเข้าไปทุกวัน

 


“อ้าว เลยทำหน้าเศร้าเลย อย่าคิดมากน่า พี่ว่าถ้ายังไงมองคนใกล้ตัวไว้บ้างก็ไม่เสียหลายนะ” ฉันแอบเบ้หน้า ได้แต่ร้องในใจว่า อีกแล้ว!

 


“ทำอะไรกันครับพี่น้อง ฝนจะหยุดแล้วนะคร้าบ” เสียงทักมาจากไอ้ตัวต้นเหตุที่กำลังพารูปร่างสูงผอมของมันมายืนค้ำหัวฉันอยู่ หมอนี่ก็คือ นายภีรพัฒน์ ‘ไอ้ระ’ของพี่ๆทั้งแบงค์ มันเป็นรุ่นน้องที่เข้างานหลังฉันสองปี แถมยังอายุน้อยกว่าแต่ไม่เคยเรียกฉันว่าพี่เลยซักคำ เพราะวัยที่ใกล้กันทำให้สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว ที่ผ่านมาจึงมีแต่คนแซวให้จีบกัน แต่ฉันไม่ชอบใจนักเพราะมันมีผลให้คนที่อาจจะหมายตาฉันอยู่(เหรอ)เข้าใจผิดจนเป็นอันตรายต่อแผนการสละโสดก็เป็นได้  

 


“ตาย พี่แว้บมานานแล้ว งั้นออกไปก่อนนะ”

 


ฉันกลอกตาอย่างแสนหน่ายเมื่อเห็นพี่นุชขยิบตาให้นายระก่อนจะเดินถือถ้วยกาแฟหอมกรุ่นเดินหนีเข้าข้างใน ฉันจึงตัดสินใจหันไปล้างแก้วโอวันตินที่ดื่มจนหมดเกลี้ยงเมื่อกี้ด้วยความเซ็ง

 


“เกี๊ยว” นายระส่งเสียงเรียก

 


“…”

 


“เกี๊ยว!” คราวนี้มันเพิ่มโวลุมจนครัวแทบแตก          

 


“อะไร” ฉันสวนกลับด้วยโวลุมไม่แพ้มัน

 


“เหวอ ทำไมมองหน้ากันเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อขนาดเนี๊ยเนี่ย แค่เรียกเองนะเจ๊”

 


“แล้วแกจะตะเบ็งหาพระแสงอะไรไม่ทราบล่ะ”

 


มันหัวเราะร่วน

 


“ก็นึกว่าหูหนวกสิ เรียกเป็นชาติไม่ยักขาน”

 


“เปล่าหนวก แล้วแกก็ช่วยไปห่างๆฉันเลย เพราะแกนี่แหละทำให้ฉันขายไม่ออก สำเหนียกไว้ด้วย”

 


“เฮ้ยๆ ไหงมาโทษกันงั้นล่ะ แกนั่นแหละที่ต้องโทษตัวเอง อายุปูนนี้แล้วยังไม่รู้จักหัดแต่งหน้าแต่งตัวยั่วยวน….”

 


“อีระ อีระ เดี๋ยเหอะแกอย่ามาปากเสียนะโว้ย”ฉันรีบขัดคอมันด้วยสรรพนามที่อัพเลเวลแล้ว ก่อนปากเสียๆของมันจะลุกลามจนกระตุ้นเส้นประสาทให้ขาฉันกะตุก ก่อนที่เราจะทันวางมวยกันพี่รพีหัวหน้าฉันก็โผล่หน้าเข้ามาในครัวและเอื้อนเอ่ยด้วยเสียงที่ไม่เบานักว่า

 


“อ้าว เกี๊ยวอยู่นี่เอง ลูกค้ามารอแน่ะ เปลี่ยนรองเท้าด้วย ไอ้ระ เอ็งก็ด้วย อนุญาตให้จีบได้นอกเวลางานโว้ย ไปทำงาน”

 


ฉันหันไปฟึดฟัดใส่นายระ แทนคำพูดประมาณว่าเห็นมั้ยไอ้บ้าว่าแกทำอะไรลงไป มันยักไหล่พลางทำหน้ากวนโอ้ยแล้วเดินกลับเข้าไป ปล่อยฉันที่กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันหิ้วรองเท้าไปเปลี่ยนที่ล็อกเกอร์คนเดียว

 


……………………………….

 


เมื่อฉันกลับออกมาก็พบว่ามีผู้ชายคนหนึ่งนั่งรออยู่ที่โต๊ะก่อนแล้ว แต่ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นยังไงเพราะเห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาที่กำลังหันไปพูดคุยกับหัวหน้าของฉันอยู่ จนฉันเดินไปถึงโต๊ะนั่นแหละเขาจึงหันมาอย่างรู้ตัวและทำให้ฉันอึ้งกิมกี่ไปในวินาทีนั้น

 


“อ้าว เกี๊ยวมาซักที นี่คุณหมอพฤหัส เป็นสัตวแพทย์ที่โรงบาลสัตว์เปิดใหม่ใหญ่ยักษ์เยื้องๆแบงก์เรานั่นน่ะ เขาสนใจทรัพย์NPA บ้านหลังที่มีคนมาถามหาบ่อยๆทางไปบ้านเราไง” พี่รพีบอกขณะที่ฉันกำลังมึนงงเหมือนถูกไฟดูด ไม่ใช่เพราะความหน้าตาดีของคนตรงหน้าอย่างเดียวหรอกแต่เพราะอะไรนั้นฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

 


“เฮ้ยๆ จ้องเขาเอาเป็นเอาตายเดี๋ยวลูกค้าก็กลัวหมด”พี่รพีแซว ก็สมควรอยู่หรอก

 


“หวัดดีค่ะ”ฉันหลุดปากออกมาได้คำแรกแล้วยกมือไหว้

 


“ครับ สวัสดีครับ”เขารับไหว้พร้อมตอบรับคำทักทายด้วยใบหน้าเฉยชาจนน่าเศร้า

 


“รู้รายละเอียดหลักทรัพย์รึยังคะ”

 


“ครับ”เขาตอบ สั้นได้ใจจริงๆ

 


“แล้วยังไงอ่ะคะพี่พี”ฉันหันไปถามหัวหน้าเอ๋อๆ เพราะเริ่มไม่รู้ว่าการที่ให้ฉัน(เสนอหน้า)มาจะมีประโยชน์ตรงไหน

 


“บอกทางเขาทีสิ คราวก่อนเราเป็นคนไปติดป้ายที่หลักทรัพย์ไม่ใช่เหรอ”

 


“อ๋อ ไปไม่ถูกเหรอคะ”

 


“ถ้าไปถูกคงไม่มาถามหรอกครับ”เขาตอ(ก)บกลับด้วยใบหน้าเฉยชาดุจเดิม แต่ตีความได้ว่าอย่าถามอะไรโง่ๆ อึ่ม นาทีนี้ถ้าเขากำลังใช้ฉันเป็นเกณฑ์วัดคุณภาพพนักงานแบงก์เราอยู่ล่ะก็ฉันคงต้องกราบขอประทานโทษท่านผู้บริหารอย่างสูงกับไอคิวที่ลดฮวบลงกะทันหัน และขอยกความผิดทั้งหมดนั้นคืนให้แก่คุณลูกค้าอย่างยินดี ข้อหาหน้าตาดีเกินเหตุ(ยังกล้าโทษเขาอีกนะหล่อน)

 


“ขอโทษแทนลูกน้องผมด้วยนะครับ มันต๊องๆแบบนี้แหละครับ” สาบานเถอะว่าพี่แกกำลังช่วยฉันอยู่

 


“ไม่เป็นไรครับ”

 


“งั้นเดี๋ยวจะprintแผนที่มาอธิบายให้ฟังนะคะ”ฉันบอกอย่างกระตือรือร้นพร้อมเรียกสติตัวเองกลับมาด้วยหวังว่าจะกู้หน้าคืนมา

 


หลังจากพยายามอธิบายอย่างตั้งใจอยู่ราวห้านาที ต้องออกตัวว่าที่นานนั้นไม่ใช่เพราะความเอ๋อเหมือนเมื่อครู่ แต่เพราะทางเข้าหลักทรัพย์นั้นค่อนข้างซับซ้อน ด้วยโค้งเลี้ยวและทางแยกมากมาย ถ้าขืนเลี้ยวผิดซักเลี้ยวล่ะก็ มันจะวนเวียนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนเลย

 


“เข้าใจแล้วนะคะ จุดสังเกตคือป้ายวัดหนองมะขาม เป็นอันเล็กๆ เก่าๆไม่สะดุดตานัก พอพ้นเลี้ยวที่สองคุณพยายามสังเกตแล้วกันนะคะ” ฉันย้ำอีกครั้งโดยพยายามปั้นสีหน้าจริงจังเรียกความน่าเชื่อถือคืนมา เขาทำท่าพยักหน้ารับ

 


“ครับ เข้าใจแล้ว ขอบคุณมากครับคุณศริดา พิชยางค์นุรักษ์” นี่ พ่อคุณไม่ต้องเรียกกันเต็มยศปานนั้นก็ได้

 


“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าตัดสินใจยังไง โทรติดต่อมาที่แบงก์ได้เลยนะคะ เบอร์โทร…”

 


“ได้มาจากคุณรพีแล้วครับ ขอบคุณ แล้วผมจะรีบมาดำเนินการต่อไป ยังไงช่วยปฏิเสธลูกค้ารายอื่นไปก่อนนะครับ ราคานี้ผมซื้อแน่นอน ไม่ต่อรองเด็ดขาด”

 


ฉันมองเขาเอ่ยลาและเดินจากไปอย่างอึ้งๆ เพิ่งจะเคยเจอคนที่ยังไม่ทันเห็นหลักทรัพย์จริง แต่ทำท่าหมายมั่นอยากจะซื้อขนาดนี้มาก่อน

 


“ฮั่นแน่ ปิ๊งลูกค้าล่ะสิ มองตาค้างเชีย”

 


“ไม่ได้ปิ๊งเฟ้ย”ฉันหันไปแยกเขี้ยวใส่นายระ

 


“แหมๆ เจ๊ มองตามเขาตาปริบๆขนาดนั้นยังจะมาแก้ตัวอีก”

 


“ทำไม เอ็งหึงรึไงไอ้ระ”พี่รพีอุตส่าห์แซวแทรกข้ามโต๊ะมา นายภีรพัฒน์หัวเราะร่วน โบกไม้โบกมือ

 


“เปล่าพี่ ผมแค่อยากให้เจ๊เค้าขายออกเสียที เมื่อเช้าเค้ายิ่งบ่นเรื่องต้องมาเป็นข่าวกับผมอยู่แหม็บๆ เผื่อเค้าจะสมหวังบ้าง”

 


“จะไหวเร้อ ไอ้เกี๊ยว เขาหล่อออกปานนั้น”พี่รพีปรายตามองดูถูกฉันแบบทีเล่นทีจริง

 


“พี่ก็ไปเชื่อไอ้ระ เชื่อมันก็ออกลูกเป็นฟายแล้ว”

 


“อ้าวๆ ไอ้เกี๊ยว อย่ามาพูดแมวๆนะเว้ย ตาพี่ไม่ได้บอดนะ ถึงจะไม่เห็นที่แกมองเขาตาค้างน่ะ”

 


“นั่นมัน…”ฉันขยับปากจะแก้ตัว

 


“รักแรกพบไงคะ”ไอ้ระตัวดีแทรกขึ้นแถมยังดัดเสียงเลียนแบบฉันอย่างกวนโอ้ย

 


“ไอ้ระ…แก๊”พอฉันฉวยที่เย็บกระดาษเป็นอาวุธชั่วคราวมาทำท่าเขวี้ยงเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นเหมือนระฆังช่วยมันพอดี นายระจึงฉวยโอกาสเผ่นป่าราบโดยเร็ว ฉันมองหน้าจออย่างชั่งใจก่อนจะกดรับ

 


“ฮัลโหล ว่าไงเจ๊ที”ฉันระงับอารมณ์ก่อนกรอกสายทักทาย เจ๊ทีหรือธีรนันท์เป็นลูกพี่ลูกน้องที่ อายุมากกว่าฉันสองปี เมื่อก่อนเราสองสาวสนิทกันมากเพราะบ้านอยู่ใกล้กัน ซ้ำความที่มีแต่พี่น้องผู้ชายเหมือนกันเลยทำให้เข้าใจหัวอกกันดี กระทั่งพอขึ้นชั้นมัธยมปลาย เจ๊ทีสอบติดโรงเรียนในกรุงเทพฯ เราจึงห่างเหินกันไป แต่เพียงแค่สองปีฉันก็สอบได้โรงเรียนมัธยมมีชื่อแห่งหนึ่งเช่นกันแม้จะคนละโรงเรียน แต่พวกเราก็ได้พักอยู่ด้วยกันที่บ้านจัดสรรซึ่งครอบครัวของฉันกับเจ๊ทีซื้อไว้ให้ลูกหลานที่เรียนกรุงเทพฯอยู่ด้วยกันเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย โดยมีน้าครามน้าชายสุดหล่อของหลานๆซึ่งทำงานที่กรุงเทพฯเป็นผู้ดูแลพวกเรา หลังจบมหาวิทยาลัย ฉันทำงานที่บริษัทเอกชนราวสองปีก่อนจะเกิดสำนึกรักบ้านเกิดจึงเลือกสอบเข้าแบงก์เพื่อจะย้ายกลับมาทำงานที่บ้าน ส่วนเจ๊ทีได้งานบริษัทออแกไนเซอร์อยู่ที่กรุงเทพฯเราจึงไม่ค่อยได้เจอกัน แต่ก็ยังโทรคุยกันเสมอ

 


“หวัดดีเกี๊ยว ยุ่งอยู่รึเปล่า”

 


“นิดหน่อยเจ๊”ฉันตอบพลางปรายสายตาอำมหิตไปยังนายภีรพัฒน์ที่ยังหลบอยู่แถวเคาท์เตอร์

 


“แล้วเจ๊มีอะไรด่วนรึเปล่า ปกติไม่เคยโทรมาในเวลางานนี่”

 


“ด่วนเหมือนกัน จำได้ป่ะที่เจ๊เคยถามเรื่องคอนโดฯเรา”

 


“จำได้ซิ ที่เกี๊ยวเคยเล่าให้เจ๊ทีฟังว่าห้องข้างๆเกี๊ยวเขาเพิ่งย้ายออกไป เจ๊เลยแนะนำเพื่อนที่กำลังจะย้ายมาทำงานที่นี่ ให้มาดูห้องใช่มั้ย”ฉันตอบหลังจากระลึกชาติอยู่สามวิ

 


“เออ นั่นแหละ วันนี้เขามาแล้ว ตอนพักเที่ยงช่วยพาเขาไปดูห้องทีสิ อาทิตย์หน้าเขาจะเริ่มงานแล้ว ยังไม่มีที่อยู่เลย”

 


“อ๋อ ด้าย เพื่อเจ๊ทีสบายมาก รู้สึกเจ้าของห้องเขาจะฝากกุญแจห้องสำรองไว้ที่ออฟฟิศคอนโด แล้วจะนัดเจอกันยังไงดีล่ะ”

 


“อืม เดี๋ยวเจ๊ให้เขามาหาเกี๊ยวที่แบงก์แล้วกัน”

 


“โอ เคเจ๊ ว่าแต่เขาชื่ออะไรล่ะ เพื่อนเจ๊คนนี้ จะได้เรียกถูก”

 


“เออ จริงสิ ลืมไป เขาชื่อพัส แล้วก็นะ ขอบอกว่าหล่อมาก”ปลายสายเน้นเสียงอย่างคอนเฟิร์ม ทำให้ฉันนึกอยากเห็นหน้าเพื่อนเก่าเจ๊ทีขึ้นมาตะหงิดๆ

 


“จีบได้ตามสบายนะเว้ย ยังโสดซิงๆ แล้วก็รับประกันว่าไม่ใช่เก้งชัวร์ป้าด”เจ๊ทีว่าน้ำเสียงอารมณ์ดีมาตามสาย

 


“บ้าสิเจ๊ เกี๊ยวจีบใครเป็นที่ไหนเล่า”ฉันบอก(ดัดเสียง)อย่างเหนียมอาย

 


“อย่ามาแอ๊บ รถด่วนขบวนสุดท้ายอย่างเรา พับความอายใส่กระเป๋าไปได้แล้วแก จะทำอะไรก็รีบๆทำ”

 


“หะ หะ ขอคิดดูอีกทีแล้วกันเจ๊”

 


 เป็นผู้หญิง(ไม่สวย)ก็แย่อย่างเงี้ย แสดงออกมากไม่ได้เดี๋ยวเสียชื่อเสียงหมด

 


………………………..

 


เที่ยงตรงพอดีอันเป็นเวลาพักของฉัน บรรดาชาวแกงก์อันประกอบด้วยนายระ น้องพิมพ์สาวสวยน้องใหม่ประจำแบงก์ และตัวฉันซึ่งมีเวลาพักพร้อมกันมักจะรวมตัวกันที่โต๊ะทำงานของฉันก่อนจะออกไปประกอบกิจกรรมอันสำคัญยิ่งของวันร่วมกันเสมอ(อะไรจะสำคัญไปกว่าเรื่องกิน ไม่มี) แต่วันนี้เนื่องจากภารกิจที่เจ๊ทีมอบหมายจึงทำให้ฉันปฏิเสธด้วยท่าทีหยิ่งๆ

 


“วันนี้ฉันมีนัดย่ะ”

 


“โห นัดกับหนุ่มรึเปล่าคะ”น้องพิมพ์ถามอย่างใคร่รู้

 


“แน่นอนสิจ๊ะ หนุ่ม หล่อเสียด้วย”ฉันบอกอย่างภูมิใจ นายระทำท่าโก่งคอ

 


“แหวะ ขี้โม้”

 


“อะไรแก อีนี่”ฉันหันไปทำท่าจะด่ามัน

 


“หนุ่มหล่อที่ไหนกัน เห็นมีแต่เฮียราชวยมาติดพันอยู่คนเดียว”มันหมายถึงสารวัตรราเชนทร์ที่เพิ่งย้ายมาประจำที่สน.ท้องที่ ซึ่งตอนนี้กำลังยื่นเรื่องขอกู้ซื้อบ้านกับฉันอยู่ อีตาสารวัตรนี่มักจะมานั่งคุยกับฉันด้วยถ้อยคำหวานเลี่ยนชวนอ้วก แต่ฉันคิดว่ามันกำลังพยายามจีบฉันเพื่อผลประโยชน์ของมันมากกว่า

 


“อย่ามาปากหมีไปหน่อยเลยแก จะไปกินข้าวก็ไปไป๊”

 


“แหม ทำทีไล่กันเอาเป็นเอาตายแบบเนี้ย สงสัยจะโม้ว่ะ”ยัง มันยังไม่หยุดเหยียดหยามฉัน

 


“งั้นแกก็รอดูเองแล้วกัน”ฉันท้ามัน เพราะค่อนข้างเชื่อในรสนิยมเจ๊ที งานนี้มีตะลึงกันบ้างแหละเฟ้ย

 


จังหวะนั้นลูกค้าเริ่มบางตาลงบ้าง ดังนั้นเมื่อมีใครคนหนึ่งปรากฏตัวเข้ามาในแบงก์จึงเรียกความสนใจจากพวกเราทั้งหมดทันที ฉันขมวดคิ้วมองเพราะรู้สึกคุ้นตา แต่นึกไม่ออกว่าเคยพบเขาที่ไหน ผู้ชายคนดังกล่าวมีรูปลักษณ์ที่จัดว่าไม่เลวนัก ตัวสูง ใบหน้าคมเข้มแต่ผิวขาว สวมแว่นตากรอบเข้ม แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีสุภาพที่พันแขนขึ้นไว้แค่ศอกและกางเกงแสลคสีเข้มตามแบบสมัยนิยม แต่ไม่วัยรุ่นจนน่าเกลียด ตั้งแต่เข้ามาในแบงก์ก็เอาแต่กวาดตามองไปทั่วๆจนกระทั่งหยุดลงที่กลุ่มของพวกเรา จึงได้หยุด เลิกคิ้วและเดินเข้ามาหา โอว อย่าบอกนะว่า

 


“ขอโทษครับ น้องเกี๊ยวรึเปล่าครับ”

 


“ค่ะ”ฉันตอบกลับไปด้วยความงงงวย แม้กระทั่งสองคนข้างๆก็พากันเงียบกริบไปตามๆกัน

 


“คุณพัสรึเปล่าคะ”

 


เขาเผยรอยยิ้มสุภาพ แต่กลับไม่ยอมตอบคำถามนั้น

 


………………………..

 






Free TextEditor




 

Create Date : 07 มกราคม 2554
0 comments
Last Update : 17 มกราคม 2554 17:10:45 น.
Counter : 800 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ไอรภิณ
Location :
ชลบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add ไอรภิณ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.