Enter your search terms Submit search form Web www.inthedark.bloggang.com ชุมทางเพลงเพื่อชีวิต
ชุมทางเพลงเพื่อชีวิต
ระบบการศึกษาไทยไม่ได้สอนให้ตอบแทนสังคมอะไรมากมาย เพราะไม่ได้ตอบสนองต่อปากท้องที่นับวันค่าครองชีพยิ่งสูงขึ้นๆ ยิ่งอยู่ในตัวเมืองเป็นไปได้ว่าอนาคตคงต้องซื้อขายอากาศกันสูดดมกระมัง
เข้าใจว่าการเรียนการสอนนั้น ผู้สอนส่วนหนึ่งไม่ตั้งใจที่จะผันตัวเองมาเป็นผู้สอน หากแต่ความเป็นไปได้ที่ระบบสังคมไม่ได้เชิดหน้าชูตาอาชีพครูสักเท่าไหร่ เพราะนอกจากจะเงินเดือนต่ำ ฐานะทางสังคมก็ไม่ได้สูงอะไรมาก(เว้นแต่ครูอาจารย์ในมหาลัย) ดังนั้นการผลิตลูกศิษย์หลายๆคนในส่วนนี้ก็ทำพอๆให้ไม่ถูกกล่าวว่า เหมือนกันกับที่นักเรียนเรียนเพื่อพอผ่านๆไป ลอกได้เป็นลอก ขอคะแนนมันผ่านก็พอ ทั้งครูและนักเรียนก็จึงแทบไม่อยากจะเรียนอยากจะสอนกันเสียเท่าไหร่นัก
ในส่วนเชิงสังคมในเมืองใหญ่นั้น นอกรั้วโรงเรียน การเรียนก็จบเพราะเรียนไปก็ม่ได้คะแนน คะแนนแทบจะเป็นทุกอย่างในชีวิตของคนที่ได้ชื่อว่านักเรียนนักศึกษาไปแล้ว จึงไม่แปลกที่ข่าวนักเรียนนักศึกษาที่มาดมั่นว่าจะต้องทำคะแนนสูงๆแล้วคะแนนไม่เป็นไปตามเป้าจะมาจบชีวิตลงเอาดื้อๆอย่างที่เห็นนี้ แล้วการที่ต้องทำคะแนนให้ได้ดี ส่วนมากก็นิยมเรียนพิเศษทั้งตั้งใจเอง และผู้ปกครองผลักดันจนเป็นกระแสสังคมไปแล้ว ซึ่งการเรียนพิเศษในเชิงความรู้และทฤษฎี ก็ในหลายส่วนก็สอนได้เพียงเปลือกผิว เพราะถ้าท่านนั้นๆเก่งจริงๆคงมาขุดเรื่องเดิมๆมาเล่าใหม่ให้เปลืองเนื้อที่สมองเอาไว้คิดทฤษฎีใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ดีกว่า ถ้าโยงเรื่องใหม่นั่นอาจจะเพราะเงินกระมัง แล้วคิดไปก็คงโดนเลียนแล้วไม่ได้เงินอยู่ดี? ทำให้นักเรียนไม่มีเวลา เวลาพอที่จะได้พบปะกับคนในชุมชน เพราะคนในชุมชนก็ไม่มีเวลาเช่นกันเพราะพวกเขาก็ต้องทำงานหาเงิน และไปเรียนอยู่เนืองๆ
ถ้ากล่าวถึงในเมืองเล็ก การเรียนก็คงเป็นเรื่องแปลกใหม่ที่ชาวเมืองใหญ่มาระบุไว้ในระบบการศึกษา จังหวัดไหนคนเยอะหน่อยก็เริ่มเข้าเค้าเหมือนเมืองใหญ่ เพราะเมืองใหญ่มีต้นแบบอย่างนี้ เมืองเล็กจะขัดได้อย่างไร ส่วนเมืองในชนบท เรื่องทฤษฎีบทอาจจะไม่เข้าถึงเท่าที่ควร ทั้งรูปการณ์ก็คงเหมือนให้นักเรียนมาอดข้าวกลางวันเพื่ออ่านหนังสือที่เขาไม่รู้ว่าไปทำอะไรได้(ที่ได้กล่าวไว้ ^ ^)
ว่าด้วยเรื่องของเวลา คนเรามีเวลาอยู่กับครอบครัว คนรอบข้างมาก และตัวเองมากน้อยแค่ไหน? คำตอบคือ แทบจะไม่เว้นแต่เพื่อนร่วมการกระทำ เช่นเพื่อนในสถานศึกษา เพื่อนในที่ทำงาน หรือเพื่อนในชมรม หากแต่ความสนิทสนมก็คงไม่มากถึงฝากผีฝากไข้กันได้ด้วยการสั่งสอนของกระแสในเชิงอย่าไว้ใจใคร เพราะไม่มีใครมาหวังดีกับเราจริงๆหรอก ทุกคนหวังผลประโยชน์จากเรา(แม้แต่คนของรัฐที่หวังผลประโยชน์เมื่อคนเราผิดพลาด) แต่สำหรับเมืองเล็กแล้วเรื่องเช่นนี้แทบไม่มีปัญหาในเรื่องของเวลาเลย หากแต่คนเมืองไม่มีอะไรทำในกรอบบ้างละเขาจะทำอะไร? หลายคนมุ่งไปที่หาความสุขใส่ตนเอง เพื่อที่จะได้มี"ใจ"ไปสิ่งที่"ใจ"ไม่อยากทำต่อ ทั้งในทางเสื่อม หรือทางสร้างสรรค์ ส่วนอันไหนมากน้อยก็ลองพิจารณาไปตามสถานการณ์ก็แล้วกัน
โดยส่วนตัวผม ถ้ากล่าวถึงปัญหาการศึกษา ผมมองว่าการศึกษาไม่สนใจผู้เรียน มีแต่ผู้เรียนต้องไปตามการศึกษาที่เบื้องบนที่คุมบังเหียนว่าไว้ ซึ่งแทบจะปิดกั้นคุณค่าของคนไว้เลยทีเดียว ถ้าพิจารณาดูแล้ว ศาสตร์ต่างๆเกิดจากคนสังเกตโลก และสร้างโลกขึ้น แล้วเหตุใดต้องกะเกณฑ์ให้แต่ละคนเรียนในสิ่งต่างๆ ทั้งกะเกณฑ์ให้เรียนแต่แบบนี้ ไม่เป็นในเชิงเปิดกว้างเลย ซึ่งผมมองว่าเป็นจุดตกต่ำเลยทีเดียวที่การศึกษาไร้จิตใจเช่นนี้