Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
20 กรกฏาคม 2550
 
All Blogs
 
สรรสาระ : การแพทย์แผนธิเบต โดย Dr.Passang Wangdu


เขียนโดย โครงการการแพทย์แผนธิเบต อาศรมวงศ์สนิท
การแพทย์แผนธิเบต โดย Dr.Passang Wangdu
วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ร้านเลมอนฟาร์ม กรุงเทพฯ




ความเป็นมาของแพทย์แผนธิเบต

หมอรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่ได้มาแบ่งปันประสบการณ์เรื่องการแพทย์แผนธิเบต หมอเชื่อว่าไม่ว่าความรู้ใดๆ ก็มีความสำคัญทั้งนั้น เรื่องที่จะพูดต่อไปนี้เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่พวกเราควรรับรู้ พวกเราอาจจะมีความฝันหรือมีความหวัง แต่ถ้าเราสุขภาพไม่ดีความฝันนั้นก็ไม่สำเร็จ วิธีการที่จะมีสุขภาพดีในด้านการแพทย์เราสามารถทำได้หลายทาง หมอขอแบ่งปันความรู้ด้านการแพทย์แผนธิเบตสักเล็กน้อยให้แก่พวกเรา




ในปี ค.ศ.๑๙๕๙ เมื่อประเทศจีนยึดครองธิเบต ทำให้ชาวธิเบตลี้ภัยไปอยู่ประเทศอินเดีย ท่านทาไลลามะนั้นมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะคงไว้ซึ่งวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ของแพทย์แผนธิเบต ท่านทาไลลามะได้ก่อตั้งสถาบันการแพทย์แผนธิเบตในเชิงโหราศาสตร์ในเมืองธรรมศาลา ที่สถาบันนี้มีห้องประชุมตึกเล็กๆ และผลิตยาปริมาณเล็กน้อย
แต่ละปีที่ผ่านไปการแพทย์แผนธิเบตเติบโตขึ้น ในอินเดียมี ๑๕ สาขา และเติบโตกระจายไปถึงประเทศแถบยุโรปด้วย หมออยู่ที่ธรรมศาลาซึ่งเปรียบเหมือนสำนักงานใหญ่ ที่นั่นมีวิทยาลัยเกี่ยวกับการแพทย์แผนธิเบตและทางด้านโหราศาสตร์ ทุก ๕ ปีที่นั่นจะมีการผลิตหมอและนักโหราศาสตร์ จะมีหมอ ๕-๖ คนที่ออกจากวิทยาลัยมาสู่สาธารณชน ที่นั่นการเรียนหมอต้องใช้เวลาเรียน ๖ ปี ช่วง ๕ ปีแรกเรียนภาคทฤษฎีและอีก ๑ ปีเรียนภาคปฏิบัติ ในช่วงที่เป็นหมอฝึกหัด หมอแต่ละคนต้องไปตามสาขาต่างๆ และนั่งสังเกตหมออาวุโสตรวจวินิจฉัยคนไข้ หลังจาก ๖ ปีแล้วทางวิทยาลัยจะส่งหมอที่พร้อมสมบูรณ์แล้วไปอยู่ตามสาขาต่างๆ ในธรรมศาลาซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่ มีการทำโครงการวิจัยเรื่องยา สมุนไพร เภสัชกรรม และพืชต่างๆ

หมอรู้สึกว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่อยากแบ่งปันให้เราทราบ เพราะเป็นพื้นฐานความเข้าใจความเป็นมาของการแพทย์แผนธิเบต และเหตุผลที่ไปตั้งอยู่ประเทศอินเดีย


ทฤษฎีการแพทย์แผนธิเบต

การแพทย์แผนธิเบต เป็นการหลอมรวมของพุทธศาสนากับการแพทย์แผนธิเบต ซึ่งเชื่อว่าสุขภาพที่ดีนั้น ไม่ใช่เพียงมีกายภาพที่แข็งแรง สิ่งที่สำคัญมากกว่านั้นคือเรื่องจิตใจและสภาพแวดล้อมทางสังคมของเรา เมื่อพูดถึงสภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ทุกอย่าง อยากให้เรามองแบบองค์รวมในสามส่วนประกอบกัน

๑. สภาพแวดล้อมรอบตัวที่เราอยู่

๒. ร่างกายของเรา

๓. จิตใจของเรา

ความสัมพันธ์ของ ๓ ส่วนนี้ สามารถนำไปอธิบายเรื่องธาตุในร่างกายได้

การแพทย์แผนธิเบตเชื่อว่าเรื่องจิตใจมีความเกี่ยวพันอย่างมากกับธาตุในร่างกาย เวลาพูดถึงความเจ็บป่วยของร่างกายหมายความว่าธาตุในร่างกายเราไม่สมดุล ดังนั้นการรักษาเยียวยาคือการคืนสมดุลให้กับธาตุนั้น โดยอาจจะใช้ยาหรือการรักษาซึ่งจะแนะนำต่อไป

เมื่อสมัยก่อนคนเราเจ็บป่วยเพราะการกินอาหารที่ผิด แต่ปัจจุบันความเจ็บป่วยเกิดจากมลภาวะที่เป็นพิษและสิ่งที่มากระทบใจเรา ฉะนั้นจึงมีความสำคัญมากที่เราจะนำธาตุต่างๆ มาปรับเข้ากับสภาพแวดล้อม ร่างกาย และจิตใจของเรา


คุณสมบัติของธาตุต่างๆ

๑. ธาตุดิน ดินคือความมั่นคงแข็งแรง มีความหนักอยู่ในตัวเอง มีความแห้งอยู่ในเนื้อดิน และถ้าไม่มีดินเราก็ไม่สามารถยืนอยู่ได้

๒. ธาตุน้ำ น้ำคือความเปียก มีความหนัก สามารถเคลื่อนไหวได้ ปรับตัวยืดหยุ่นได้ มีความเย็นอยู่ในตัว และถ้าไม่มีน้ำเราไม่สามารถอยู่รอดได้

๓. ธาตุไฟ ไฟโดยธรรมชาติจะแหลมคม ร้อน แห้ง ถ้าไม่มีธาตุไฟเราจะไม่สามารถปรุงอาหารได้ เราจะไม่มีชีวิตถ้าไม่มีแสงอาทิตย์ ความร้อนรอบตัวเราคือคุณสมบัติของธาตุไฟ

๔. ธาตุลม มีคุณสมบัติในความเบา ทำให้เคลื่อนไหวได้ง่าย

๕. อากาศธาตุ อากาศจะเบามาก มีความเคลื่อนอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่มีอากาศจะไม่สามารถหายใจได้ ฉะนั้นอากาศให้ความเคลื่อนไหวกับเรา


การประยุกต์ใช้ธาตุกับตัวเรา

เริ่มต้นที่ธาตุน้ำที่เราเห็นประกอบด้วยธาตุไฟด้วย แต่ในธาตุทั้งหมดสิ่งที่ปรากฏออกมาทางสายตาคือน้ำ แต่จริงๆ แล้วมันประกอบด้วยธาตุต่างๆ ที่หลอมรวมในความเป็นน้ำ มีธาตุดินอยู่ในน้ำด้วยซึ่งเป็นความหนักที่ทำให้น้ำคงตัวได้ มีธาตุไฟที่ทำให้น้ำแก้วนี้ไม่กลายเป็นน้ำแข็ง ถ้าไม่มีอากาศธาตุน้ำจะเคลื่อนไหวไม่ได้เลย

อยากให้เราคิดคำนึงถึงเรื่องธาตุว่ามีความสำคัญมาก ถ้าเราต้องการเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรง เราต้องปกป้องคุ้มครองธาตุในร่างกายเราให้อยู่อย่างสมดุล ให้เราลองคิดดูว่าเราถูกกระทบโดยสภาพแวดล้อมรอบกายเราอย่างไรบ้าง

สมมติว่าธาตุดินถูกกระทบโดยเกิดแผ่นดินไหว สมมติว่าธาตุน้ำกลายเป็นพายุไซโคลน สมมติว่าธาตุไฟเกิดไฟไหม้ป่าจะมีไฟมากเกินไป สมมติว่าธาตุลมถูกกระทบก็มีพายุหมุน ฉะนั้นการที่จะมีสุขภาพแข็งแรง ตัวสภาพแวดล้อม ธาตุรอบตัวเราเป็นสิ่งสำคัญมากและมีผลกระทบกับตัวเราด้วย

ฉะนั้นเราคงได้เห็นแล้วว่าเราคือผลิตภัณฑ์ของธรรมชาติรอบกาย ที่สร้างความเป็นมนุษย์ขึ้นมา ถ้าอาหารที่เป็นอาหารหนักจะมีคุณสมบัติของธาตุดินเยอะ ซึ่งอาหารที่เป็นธาตุดินจะมาสร้างอวัยวะที่เป็นส่วนที่แข็งแรงในตัวเรา สภาพความเป็นน้ำในตัวเราได้มาจากน้ำที่เราดื่มและรอบๆ ตัวเรา และถ้าหมอดื่มน้ำแก้วนี้เข้าไปน้ำในร่างกายหมอจะสูงขึ้น ในทางกลับกันถ้าเรากินอาหารเย็น หรืออาหารร้อน หรือถ้าเราอุ่นอาหาร หรือออกไปเจอความร้อน นั่นเป็นการมอบความร้อนหรือธาตุไฟให้ร่างกายของเรา ส่วนตัวอากาศธาตุทำให้เราหายใจเข้าไปได้ ทำให้หัวใจเราเต้น ทำให้ปอดหลอดลมขยาย

ฉะนั้นอวัยวะทุกอย่างในร่างกายที่เราเห็น มันคือการประกอบขึ้นด้วยธาตุดิน ส่วนของเหลวในร่างกายคือน้ำ ความร้อนในร่างกาย มืออุ่น เท้าอุ่น จะประกอบด้วยธาตุไฟ และการหายใจ การเต้นของหัวใจเป็นอากาศธาตุ


ตรีธาตุกับความสัมพันธ์ทางจิตใจ

ธาตุต่างๆ มีความสัมพันธ์ทางจิตใจด้วย คนที่มีความอดทนมาก เป็นคนอึด ไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ คนนั้นมีธาตุดินกับธาตุน้ำเยอะ ส่วนความรู้ความเฉลียวฉลาดของเราเกิดจากธาตุไฟ และสิ่งที่เราสามารถวิเคราะห์ ตัวความคิดมาจากอากาศธาตุ

แต่ถ้ามองในแง่ลบหรือใช้แบบผิดๆ ถ้าเรานำความรู้ความสามารถเหล่านี้เปลี่ยนเป็นความหลง มันก็คือธาตุดินกับธาตุน้ำนั่นเอง สำหรับความโกรธ ความเกลียด ความอิจฉาริษยา นั่นคือธาตุไฟ ความโลภ อยากได้ใคร่มี เป็นธาตุลม

ในทางการแพทย์แผนธิเบตเมื่อพูดถึงธาตุจะพูดถึงเพียง ๓ ธาตุ (ตรีธาตุ) ดังนี้

๑. ธาตุดินกับธาตุน้ำ (เสมหะ)
๒. ธาตุไฟ (ปิตะ)
๓. ธาตุลม (วาตะ)
เราจะเห็นแล้วว่าธาตุต่างๆ ที่อยู่ในจักรวาล เข้ามาทำงานกับสภาพแวดล้อมเราอย่างไร ทำงานในสภาพจิตใจเราอย่างไร เราอาจสงสัยว่าเรื่องจิตใจเกี่ยวกับร่างกายอย่างไร

การที่เราจะทำให้สภาพแวดล้อมสะอาด เราทุกคนมีความรับผิดชอบตรงนั้น ในความคิดเห็นของหมอ เทคโนโลยีสมัยใหม่ทุกๆ อย่างดี ช่วยให้เราทำงานสะดวกและรวดเร็ว แต่ในทางกลับกันมันก็สร้างมลภาวะมากขึ้น แต่ถ้าเราพุ่งตรงไปที่เป้าหมายคือการสร้างเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยไม่สนใจสภาพแวดล้อมที่ตามมา เป็นสิ่งที่อันตรายมาก เราควรต้องเตือนตัวเองว่าการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่นั้นดี แต่เราไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพียงอย่างเดียว

ถ้าเราต้องการเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรงและสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัย เราต้องคิดว่าเราจะใช้เทคโนโลยีแบบไหนที่ทำให้เราอยู่อย่างมีสุขภาพดี หมอรู้สึกดีใจที่เราหันกลับมาใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นที่ดี ที่เราใส่ใจกับสุขภาพตัวเอง ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาเรื่องการนำสารเคมีเข้าสู่ร่างกายมากเกินไป


สภาวะทางจิตใจควบคุมร่างกายอย่างไร

จิตใจของเราเป็นเหมือนแหล่งผลิตไฟฟ้า เรามีเครื่องทำความเย็น มีพัดลม และอื่นๆ มากมาย แต่กระแสไฟฟ้าที่ส่งไปแต่ละเครื่องจะแตกต่างกัน พลังงานนี้เหมือนพลังงานด้านจิตใจของเรา เมื่อเราตายเราไม่สามารถเคลื่อนไหวตัวเองได้ เหมือนกับเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกอย่าง ถ้าไม่มีกระแสไฟฟ้าเข้าไปจะทำอะไรไม่ได้ เคลื่อนไหวไม่ได้เลย

ฉะนั้นคนที่จะมีสุขภาพที่ดี สิ่งที่เราต้องคำนึงถึงคือต้องมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าที่ดีหรือต้องมีจิตใจที่ดี ส่วนใหญ่คนเรามักคิดคำนึงถึงเรื่องกดดันต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา เราลืมไปว่าความสบายใจสามารถสร้างจากข้างในตัวเราเองได้ ปัจจุบันเราละเลยสิ่งที่มีอยู่ในใจเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับการมีสุขภาพดีและการมีความสุข

ทางการแพทย์แผนธิเบตเชื่อว่าความเจ็บป่วยเกิดขึ้นจากอวิชชา เราอาจรู้สึกแปลกใจว่าอวิชชาทำให้เจ็บป่วยได้อย่างไร ตั้งแต่เราเกิดขึ้นมาเราเริ่มรู้ว่าเรามีตัวตน มีอัตตา มีความรู้สึกว่านี่แหละฉัน ฉะนั้นทุกอย่างที่เราทำในชีวิตเราทำไปเพื่อส่งเสริมความมีอัตตาของเรา เราก็คิดแต่เรื่องตัวเองตลอดเวลาเพราะเกิดมาเราเห็นแต่ตัวเอง

ความที่เราคิดแต่เรื่องตัวเองทำให้ปัญหาทางด้านจิตใจเริ่มเกิดขึ้น ทั้งความโลภ ความหลง และความยึดติด ซึ่งทำร้ายอากาศธาตุที่อยู่ในหัวใจเรา เราทุกคนมีความหลงอย่างมาก เราอยากได้อาหารที่ดี อยากได้ความร่ำรวย อยากได้บ้านที่ใหญ่ขึ้น แต่ถ้าเราไม่สามารถควบคุมความอยากได้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือลมในร่างกายจะถูกกระทบขึ้นมา แล้วถ้าความปรารถนาไม่มีที่สิ้นสุดปัญหาเกิดขึ้นแน่นอน เมื่อเราได้อะไรอย่างหนึ่งแล้วเราต้องขอให้มันเพิ่มขึ้น ความอยากได้หรือความโลภเป็นเหมือนความพึงพอใจส่วนตัวว่าถ้าได้มาแล้วก็ดี

ส่วนความยึดติดเหมือนเป็นการกอดมันเอาไว้ไม่ให้มันออกไปไหน สมมติเรามีความอยากได้มาก ยึดติดมาก เรายิ่งมีความต้องเป็นเจ้าของสิ่งนั้นให้ได้ พออยากได้มากเราจะขาดสติ จะทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ได้มันมา แล้วสิ่งนั้นเองมันเป็นตัวกระทบกับการไหลเวียนโลหิตในร่างกาย


ภาวะอารมณ์สัมพันธ์กับธาตุในร่างกาย

๑. ธาตุลม (วาตะ)

ธาตุลมคือการเคลื่อนไหว ทำให้ระบบไหลเวียนในร่างกายเคลื่อนไหวได้ แต่ถ้าเรามีความยึดติดมากๆ ลมในร่างกายจะถูกกระทบ ฉะนั้นระบบการไหลเวียนในร่างกายจะถูกกระทบ เกิดปัญหาต่างๆ คือ ความวิตกกังวล นอนไม่หลับ คำนึงถึงแต่ตัวเอง ความกลัว ความสงสัย - ข้องใจ อากาศธาตุมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับหัวใจอย่างมาก สิ่งที่จะทำให้ควบคุมมันได้คือเราต้องมีความพึงพอใจในตัวเอง บางครั้งการนั่งสมาธิก็ดี นี่คือสิ่งที่ทำให้เห็นว่าทำไมความทะยานอยากและความยึดติด มันไปทำร้ายลมและสุขภาพภายในของเรา

๒. ธาตุไฟ (ปิตะ)

ความโกรธ เกลียด กระทบกับธาตุไฟในร่างกาย ธาตุไฟมีความสัมพันธ์กับเลือด ตับ ถุงน้ำดี ตา และลำไส้เล็ก เมื่อเราโกรธอวัยวะเหล่านี้จะถูกกระทบทั้งหมด เมื่อใดที่เราโกรธเหมือนจะมีความร้อนพุ่งเข้ามาในร่างกาย ซึ่งพลังนี้มาจากส่วนกลางของร่างกาย เมื่อความโกรธและความเกลียดมีมากมายในใจเรา จะทำให้ระบบเลือดเรามีปัญหา ต่อไปจะมีความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง ไตรกลีเซอไรด์สูง ตาเริ่มมองไม่ชัด ระบบไหลเวียนเลือดทั้งหมดจะแย่ลง

ชัดเจนมากว่าความโกรธ ความเกลียด เป็นตัวทำร้ายร่างกายของเรา ความโกรธเป็นตัวทำร้ายสุขภาพของเรา การที่จะควบคุมมันทำได้โดยใช้ความเข้าใจ และเห็นใจ แค่การควบคุมความโกรธนั้นไม่เพียงพอ สิ่งที่เราต้องทำคือพัฒนาความสามารถในการเข้าใจมนุษย์ให้มากขึ้น เราต้องคิดคำนึงตลอดเวลาว่าสิ่งใดที่เราต้องโกรธและโกรธเพราะอะไร เราต้องคิดก่อนที่จะแสดงความโกรธออกมา

ถ้าเราไม่ฝึกเลยจะเป็นเรื่องยากที่เราจะควบคุมความโกรธ เราต้องฝึกหัดมันก่อนที่จะโกรธเพื่อควบคุมมันตอนที่เราโกรธแล้ว ตื่นเช้ามาเราต้องคิดเลยว่าวันนี้เราจะไม่โกรธใครเลย ให้เราบอกตัวเองว่า

"ฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะเข้าใจผู้คนรอบข้างฉัน"

"ฉันจะไม่ถูกกระทบด้วยเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ"

ฉะนั้น ถ้าเราฝึกอย่างนี้ทุกเช้า จะช่วยควบคุมความโกรธในแต่ละวันของเราได้ตั้งแต่เช้าถึงเย็น อีกทางหนึ่งคือเมื่อมีความโกรธให้ควบคุมตัวเองซึ่งง่ายกว่าควบคุมผู้อื่น เปรียบกับสุภาษิตที่ว่า "ให้เราใส่รองเท้าหนัง" คือถ้าเราได้ใส่รองเท้าหนังเราก็ไม่ถูกหนามทำร้าย เปรียบกับถ้าเราสร้างเกราะกำบังที่ดีให้ตัวเราเองแล้วเราจะไม่ถูกใครทำร้ายง่ายๆ เมื่อใดที่เราโกรธเรากำลังทำร้ายระบบเลือดของเรา

๓. ธาตุดินและธาตุน้ำ (เสมหะ)

ธาตุดินและธาตุน้ำ หมายถึงตัวความหลงและจิตใจที่คับแคบ คนที่มีธาตุดินและธาตุน้ำเยอะ จะคิดถึงความสบายชั่วครั้งคราว ไม่คิดถึงเรื่องอื่น ไม่มองออกไปนอกตัว ทำให้รู้สึกขี้เกียจไม่ค่อยทำอะไร ถ้าเป็นบ่อยๆจะรู้สึกถึงความหนักในร่างกาย ถ้าธาตุดินและธาตุน้ำถูกกระทบเราจะมีร่างกายใหญ่ขึ้น มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นจะเป็นโรคอ้วน ซึ่งรสหวานเกี่ยวพันกับธาตุดินและธาตุน้ำ ถ้ากินรสหวานมากจะเป็นโรคอ้วนและโรคเบาหวาน

เพื่อช่วยให้เราข้ามความหลงหรือข้ามความคับแคบของจิตใจเรา ให้เรากระตือรือร้นใฝ่หาความรู้มากขึ้น เพื่อให้ดวงจิตตื่นขึ้น ตัวความหลงสลายไป ฉะนั้นเพื่อให้ธาตุดินกับธาตุน้ำทำงานอย่างสมบูรณ์เราต้องกระฉับกระเฉง ลุกขึ้นมาทำอะไรมากขึ้น ถ้าต้องการให้ตรีธาตุสมบูรณ์แข็งแรงต้องนั่งสมาธิ คิดคำนึงถึงคุณสมบัติของแต่ละธาตุ


การดูแลรักษาธาตุในร่างกาย

๑. ธาตุลม (วาตะ)

คนธาตุลมจะเป็นคนคิดเร็ว เคลื่อนไหวเร็ว ให้นั่งสมาธิแบบกำหนดลมหายใจ กินอาหารค่อนข้างมีน้ำหนัก ควรนวดบ่อยๆ ช่วงเวลาแต่ละวันอาจมีเรื่องวุ่นวายเต็มไปหมดรอบตัว วิธีดูแลตัวเองที่ดีคือก่อนนอนให้นวดตัวเองจะช่วยลดลมที่ถูกกระทบได้

คนธาตุลมเป็นคนที่เปลี่ยนความคิดเร็ว มีความคิดมากมายในหัว มีความสุขง่าย ในทางกลับกันจะถูกกระทบง่าย เป็นคนน่ารัก มองโลกในแง่ดี มองโลกสวยงาม ไม่คับแคบ ร่างกายไม่ค่อยมั่นคง - โยกเยก อวัยวะในช่องท้องทั้งหมดบางครั้งก็ดี บางครั้งก็ไม่ดี ท้องผูกสลับกับท้องเสีย

๒. ธาตุไฟ (ปิตะ)

ถ้าธาตุไฟถูกกระทบให้กินอาหารเบาๆ รสเย็นๆ เวลานั่งสมาธิใช้ความอดทนอดกลั้นเป็นตัวกำหนดสมาธิ เป็นคนเข้มแข็งมาก ต้องทำให้ได้อย่างที่ต้องการ ให้ความเคารพคนอื่นน้อย จะมองว่าตัวเองใหญ่กว่าคนอื่น ในแง่ดีเฉลียวฉลาดมาก ความคิดฉับไว แง่กายภาพมีเหงื่อออกง่าย มีเหงื่อเยอะ กระหายน้ำง่าย หิวง่าย หิวเร็ว หงุดหงิดทันทีถ้าไม่ได้กินอาหารตามเวลา ควรเคลื่อนไหวให้น้อยเพราะการเคลื่อนไหวมากจะเพิ่มธาตุไฟในร่างกาย ซึ่งลักษณะตรงกันข้ามกับธาตุดินและธาตุน้ำ


๓. ธาตุดินและธาตุน้ำ (เสมหะ)

คนธาตุดินและธาตุน้ำถ้าเห็นอาหารอยู่ตรงหน้าแล้วไม่ได้กินจะทนได้ เพราะว่าร่างกายมีน้ำเยอะอยู่แล้ว มือกับเท้าเย็น ส่วนมากมีภาวะอ้วน ค่อนข้างขี้เกียจ ชอบนอน ไม่ชอบเคลื่อนไหว ควรต้องเคลื่อนไหว บางครั้งถ้าหมอตรวจพบว่าเป็นธาตุดินและธาตุน้ำจะให้ยกเลิกอาหารมื้อเย็น เพราะการลดอาหารจะช่วยคนธาตุนี้ได้

ธาตุทำงานกับร่างกายอย่างไร

คนส่วนใหญ่จะมีสองธาตุประกอบกัน ธรรมชาติของคนเราไม่เหมือนกัน ฉะนั้นอาหารที่กินย่อมแตกต่างกันตามคุณลักษณะของแต่ละธาตุ บางคนอาจชอบกินรสหวาน บางคนไม่ชอบกินรสหวาน มันไม่ใช่เพียงความคิดเท่านั้นแต่เป็นเพราะกายภาพที่ไม่ชอบรสหวาน ถ้าเรารู้ธาตุและรู้ลักษณะธรรมชาติของธาตุ เวลากินเราต้องให้เกิดความสมดุล

การแพทย์แผนธิเบตเชื่อว่าคนที่รักษาธาตุในร่างกายให้สมดุล คนนั้นจะมีร่างกายและจิตใจที่สมดุลด้วย คนที่มีธาตุเดียวเด่นจะไม่ดีนัก ถ้าเรารู้ตัวว่าธาตุใดเด่นจะต้องรักษาทันที ธรรมชาติร่างกายและจิตใจของเราเปลี่ยนได้ ถ้าเราเปลี่ยนลักษณะการกินอาหารจะเข้าไปเปลี่ยนธาตุทางกายภาพของเรา ถ้าเราต้องการเปลี่ยนธาตุทางด้านจิตใจ ทำได้โดยปฏิบัติธรรมตามหลักศาสนา

การใฝ่หาความรู้ที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญมาก หมอรู้สึกดีที่ได้มาแบ่งปันความรู้เหล่านี้ เพราะหมอเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญมากสำหรับเราทุกคน หมอไม่รู้ว่าความรู้เหล่านี้มีประโยชน์กับพวกเราหรือไม่ แต่สำหรับหมอความรู้เหล่านี้ทำให้หมอเข้มแข็งขึ้น

สมัยก่อนคนเจ็บป่วยเพราะการกินอาหารที่ผิด แต่ปัจจุบันเป็นเรื่องของจิตใจทำให้เราไม่สบายกายและไม่สบายใจ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมามีคนไข้มาหาหมอแล้วหมอแนะนำว่า คุณต้องนอนพักให้มากกว่านี้ คนไข้บอกว่า "ไม่ ฉันไม่มีเวลานอน" หมอรู้สึกประหลาดใจมาก เพราะงานที่เราทำนั้นเราทำเพื่อสุขภาพเราไม่ใช่หรือ ทำไมเราต้องมอบกายถวายชีวิตให้กับงานโดยที่ไม่ดูแลตัวเองเลย มันเป็นเรื่องที่น่าสงสารที่ทำไมเราต้องพลีชีพเพื่องาน

ทุกเช้าเราต้องถามตัวเองว่าความหมายของชีวิตคืออะไร และอะไรคือสิ่งสำคัญในชีวิตเรา เป็นเพียงเงินที่เราอยากได้หรือเราต้องการสุขภาพที่ดี สำหรับหมอสุขภาพต้องสำคัญกว่าเงิน ถ้าเราไม่สามารถคิดถึงชีวิตในภายภาคหน้าให้เราคิดถึงชีวิตชาตินี้ ให้เรามีสุขภาพที่แข็งแรง ถ้าเราทำตัวเองให้ยุ่งอยู่ตลอดเวลานี่เป็นสิ่งที่ยากที่เราจะสื่อสารกับคนอื่น ถ้าเราเป็นทาสของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำงานอย่างเดียว เป็นเรื่องที่น่าสงสารมาก

หมอแนะนำว่าให้เราเปลี่ยนชีวิตจากการเปลี่ยนด้านในตัวตน ในการทำให้จิตใจเรามีกฏเกณฑ์ ให้เราสร้างสภาพแวดล้อมของเราด้วยการสื่อสารที่ดี ควรจะสร้างตั้งแต่ระดับครอบครัวขึ้นไป สมมติว่าครอบครัวมีแต่เรื่องวุ่นวาย มีแต่ปัญหา เราจะไม่สามารถไปช่วยเหลือผู้อื่นได้ สิ่งที่เราต้องทำคือพัฒนาคุณสมบัติของการรักโดยเริ่มที่ครอบครัว แล้วขยายไปที่เพื่อนบ้าน และเพื่อนในที่ทำงาน ในภาพที่กว้างไปจนถึงประเทศของเรา ถ้าเรามีพลังงานมากกว่านั้นคิดถึงมวลมนุษยชาติที่อยู่ในโลกนี้ เพราะเราไม่สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้โดยไม่มีคนอยู่รอบกายเรา

อาหารที่เรากิน ที่พักที่เราอยู่อาศัยมันถูกสร้างด้วยชีวิตอีกเป็นพันๆ ที่เราไม่รู้จัก เรามีชีวิตได้ด้วยคนเหล่านั้น อย่ารอให้คนอื่นมารักเราแต่เราต้องรักเขาก่อน แต่ละคนมีธรรมชาติของความเป็นตัวตนต่างกัน เวลาคิดถึงคนอื่นเราต้องคิดถึงธรรมชาติของธาตุเขา เมื่อเรามีปัญหากับใครให้เราคิดว่าคนนี้ธาตุอะไรเราจะได้เข้าใจเขามากขึ้น ว่าทำไมเขาถึงเป็นอย่างนี้ ถ้าเข้าใจเราก็สามารถช่วยเหลือเขาได้

เราต้องมีชีวิตอยู่ด้วยการมอบความรักและเคารพผู้อื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้ตัวเรามีความสุข ถ้าเราไม่เคยคิดถึงผู้อื่นเลยมันเป็นการยากมากที่เราจะมีความสุข ความสุขนำมาซึ่งสุขภาพที่แข็งแรง ซึ่งมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับการมีชีวิตที่ยืนยาว แต่ถ้าเราคิดว่าทำเพื่อผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่ได้กินอาหารที่ถูกต้อง ในที่สุดแล้วเราจะเจ็บป่วยอีก


คำถาม

หมอบอกว่าลักษณะธาตุของเราตอนนี้เกิดจากการกินอาหาร แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าธาตุพื้นฐานที่แท้จริงของเราเป็นอย่างไร ?

คำตอบ

ให้ดูตอนนี้เป็นหลักว่าเรามีคุณลักษณะแบบไหน แล้วเราสามารถรักษาสมดุลคุณลักษณะนี้ได้หรือไม่ ถ้ารักษาสมดุลได้ก็ถือว่าเราอยู่ในสภาวะสมดุลและเป็นธาตุนั้นๆ


คำถาม

หลักแพทย์แผนไทยแต่ละคนจะมีธาตุเจ้าเรือน แต่ละช่วงอายุจะมีธาตุหลัก ตรงนี้แตกต่างกันอย่างไร ?

คำตอบ

ไม่ต้องกังวล เราให้ความสำคัญกับธาตุปัจจุบันว่าตอนนี้เรารู้สึกอย่างไร โดยปกติเราทุกคนจะมีธาตุเหมือนธาตุพ่อแม่ ให้ดูตั้งแต่วันที่ปฏิสนธิว่าเป็นฤดูอะไรและจะรู้ว่าลูกธาตุอะไร สมมติว่าแม่ท้องฤดูฝน สภาพแวดล้อมภายนอกมันชื้นหมด ลูกที่ออกมาจะมีคุณสมบัติธาตุดินกับธาตุน้ำ (ธาตุเสมหะ)


คำถาม

คุณสมบัติของธาตุทางกายจะต้องสัมพันธ์กับธาตุทางจิตใจด้วยหรือไม่ ?

คำตอบ

ไม่จำเป็น ธาตุทางร่างกายอาจเป็นคนละธาตุกับธาตุทางจิตใจก็ได้ ปกติคนที่มีคุณสมบัติของธาตุอะไรก็ตามส่วนใหญ่ธาตุทางใจจะเหมือนกัน แต่บางคนร่างกายกับจิตใจธาตุต่างกัน วิธีการดูแลให้สมดุลเรื่องร่างกายปรับได้โดยการกินอาหารเพื่อสร้างความสมดุลให้ธาตุนั้น ส่วนเรื่องใจให้กำหนดที่ความคิดของเรา เช่น เราเป็นธาตุไฟมากเราก็ต้องนั่งสมาธิ เป็นต้น

โดยปกติเด็กๆ (อายุ ๑ - ๑๒ ปี) มักจะป่วยด้วยคุณสมบัติเสมหะธาตุ เมื่อเริ่มเป็นวัยรุ่น (อายุ ๑๖ - ๓๒ ปี) จะป่วยด้วยคุณสมบัติของธาตุไฟ หลังจากนั้นเมื่อวัย ๓๐ ปีขึ้นไปจะป่วยด้วยธาตุลม ถูกลมกระทำง่าย สังเกตว่าคนแก่จะอ่อนไหวง่ายและขี้น้อยใจ


ลักษณะทางกายภาพที่สัมพันธ์กับธาตุ

๑. อวัยวะตั้งแต่คอถึงศีรษะด้านบน - ธาตุดินและธาตุน้ำมีอิทธิพล

ธรรมชาติถ้าธาตุดินกับธาตุน้ำถูกกระทบ ด้วยความหนักจะไหลจากข้างบนลงข้างล่าง จะวิ่งไปที่ตัวกระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ม้าม อวัยวะเพศจะถูกทำลาย ทำให้เมื่อยล้า หนักอึ้ง ไม่มีแรงเคลื่อนกาย



๒. อวัยวะตั้งแต่คอถึงท้อง - ธาตุไฟมีอิทธิพล

ถ้าธาตุไฟถูกกระทบจะวิ่งขึ้นสู่ที่สูง เกิดอาการปวดหัว ปวดเมื่อยคอ ปวดหลัง ทำให้ถุงน้ำดีและตับมีปัญหา เกิดคอเลสตอรอลสูง

๓. อวัยวะจากท้องถึงปลายเท้า - ธาตุลมมีอิทธิพล

ถ้าธาตุลมถูกกระทบ อวัยวะในช่องท้อง ระบบการขับถ่าย การมีประจำเดือน การหลั่งสารอสุจิ จะถูกกระทบทั้งหมด การแพทย์แผนธิเบตเรียกตรีธาตุ คือ ปิตะ (ธาตุไฟ) วาตะ (ธาตุลม) และเสมหะ (ธาตุดินกับน้ำ)


การวินิจฉัยโรค ๓ วิธี

๑. ใช้ตามอง ว่าร่างกายทางกายภาพของคนไข้เป็นอย่างไร โดยเฉพาะลักษณะลิ้นและปัสสาวะ
๒. การสัมผัส จับร่างกายว่ามีเนื้องอกหรือไม่ สิ่งสำคัญคือการจับชีพจร หมอจะรู้ทันทีว่าคนนั้นมีธรรมชาติของธาตุเป็นอย่างไร ป่วยด้วยโรคอะไร สิ่งใดที่ทำให้อาการดีขึ้น
๓. การถาม ซักประวัติ เช่น ตอนนี้เป็นอย่างไร อายุเท่าไหร่ มีความเครียดไหม สภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร

การรักษา ๔ วิธี

๑. เปลี่ยนชีวิตประจำวัน
๒. เปลี่ยนอาหาร
๓. กินยา
๔. การรักษาเสริมจากภายนอก

ยาของแพทย์แผนธิเบตมีสองประเภท

๑. ยาที่สร้างระบบภูมิคุ้มกันให้เข้มแข็งขึ้นมาก่อน สิ่งสำคัญต้องรักษาความเข้มแข็งของระบบย่อยอาหารก่อน เพื่อให้สิ่งที่เรากินเข้าไปย่อยอย่างสมบูรณ์และดูดซึมอย่างดี

๒. ยาที่รักษาความเจ็บป่วยให้หาย

แต่สิ่งที่สำคัญเมื่อคุณป่วยคุณต้องกินยา เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยให้หาย แต่ถ้าเราแข็งแรงแล้วยานั้นจะป้องกันไม่ให้ป่วย คุณสมบัติของยาธิเบตจะประกอบด้วยยาสมุนไพรจากธรรมชาติ ซึ่งไม่ได้เป็นยาเดี่ยวแต่ประกอบด้วยตัวยาหลายตัวเข้าด้วยกัน บางชนิดในหนึ่งเม็ดประกอบด้วยตัวยา ๑๕๐ ชนิด ยาหนึ่งตัวช่วยได้สองทาง

สมมติมีปัญหาธาตุลม เวลาให้ยาจะรักษาสองด้าน คือรักษาลมที่วิ่งไปที่หัวใจและที่ลำไส้ใหญ่ให้สมดุลกัน สมมติคนที่มีปัญหาธาตุไฟ ยาที่กินจะไปรักษาตับ ถุงน้ำดี ลำไส้เล็ก และตา ยาตัวเดียวให้คุณสมบัติรักษาทั้งห้าอวัยวะ สมมติว่าคนที่มีธาตุดินกับธาตุน้ำเยอะยาที่รักษาจะไปลดไขมันทันที

ฉะนั้น ด้วยการรักษาแบบนี้ หมอสามารถบอกได้อย่างภาคภูมิใจว่าเมื่อทานยาเหล่านี้เข้าไปจะไม่มีผลข้างเคียงเลย มียาบางตัวทำให้ระบบร่างกายเราสะอาดขึ้น หรือบางตัวกินเข้าไปจะทำให้อาเจียน หรือถ่ายท้องออกมา มียาใช้หยอดทางจมูก อีกวิธีคือการดีท็อกซ์ ถ้าใช้ยาแล้วไม่ได้ผลจะใช้การรักษาจากภายนอก คือการเจาะแล้วบีบเลือดออก ประคบร้อน ใช้ฝังเข็มทอง ใช้ถ้วยดูด ใช้ฆ้อนทอง

ที่เล่ามาทั้งหมดมันไม่จำเป็น ถ้ากินยาไม่ได้แล้วค่อยไปใช้วิธีการอื่น เพราะคนไทยบางคนไม่อยากกินยา ถ้าเราแข็งแรงดีไม่กินยาไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่แข็งแรงเราต้องกินยาเพื่อรักษาโรคนั้นก่อน ไม่จำเป็นว่าต้องกินยาแผนธิเบต สามารถกินยาสมุนไพรอะไรก็ได้

การบรรยายครั้งที่แล้วมีคนไข้ถามว่าชอบการดีท็อกซ์มากเลย มันจำเป็นไหม เพราะคิดว่าพิษในร่างกายเยอะ หมอบอกว่าการทำดีท็อกซ์ไม่จำเป็นมันต้องเริ่มที่อาหารที่ดี ถ้าไม่ได้ผลแล้วค่อยไปใช้ยา ถ้ายาไม่ได้ผลค่อยไปดีท็อกซ์ แล้วต้องเป็นการดีท็อกซ์ที่แยกกัน ถ้ามีพิษที่ส่วนบนก็ให้อาเจียนออก ถ้ามีพิษที่ลำไส้ก็ให้ดีท็อกซ์ ใช้อะไรหลายอย่าง แต่คนไทยเราอะไรก็ดีท็อกซ์หมดซึ่งมันไม่ได้ช่วย สุดท้ายสิ่งสำคัญการล้างพิษในจิตใจคือดีท็อกซ์ด้วยการนั่งสมาธิ


การนั่งสมาธิมีสองแบบ

๑. การนั่งสมาธิแบบกำหนดจิตที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง สำหรับประเทศไทยการนั่งสมาธิเหมือนการสะกดจิตเป็นที่แพร่หลาย เช่น ถ้าเรามองไปที่ท่านพุทธทาส เราอาจมองว่าท่านมีรูปลักษณ์เป็นอย่างไรเพียงจุดเดียว เมื่อเห็นภาพนั้นชัดแล้วก็ให้ภาพนั้นเข้ามาอยู่ในใจเรา ถึงแม้ว่าจะหลับตาเราก็จะเห็นภาพท่านอยู่ในใจเรา แล้วก็กำหนดภาพท่านอยู่ในใจนานเท่าที่จะนานได้ คนที่มีเรื่องให้คิดมากวิธีการนี้ดี เพื่อให้รวมความคิดที่จุดเดียวไม่ให้มันฟุ้งไปที่อื่น

๒. การนั่งสมาธิแบบเชิงวิเคราะห์ เหมาะสำหรับคนที่มีความเครียด ข้างในใจมีอะไรเต็มไปหมด ให้นำสมุดพร้อมปากกาและอยู่ในห้องที่เงียบสงบ แล้วคิดถึงเรื่องทุกอย่างที่อยู่ในใจของเรา คิดว่าสาเหตุคืออะไร ให้เขียนทุกเรื่องในหัวสมองลงไปในสมุด แล้วเขียนเป็นสองด้านคือสิ่งที่ช่วยเรากับสิ่งที่มารบกวนเรา แล้วก็อ่านว่าเรื่องเหล่านี้มันสมควรไหมที่มากระทบใจเรา ถ้าสมมติว่าเรื่องที่กระทบใจหมดแล้วให้ค่อยๆ เรียงไปทีละข้อ ดูว่าแต่ละเรื่องสมควรที่เราจะใช้พลังงานในความเครียดหรือไม่

ให้วิเคราะห์ออกมาว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมีทางออกหรือเปล่า ถ้ามีทางออกเขียนลงไปว่าทางออกคืออะไร แต่ถ้าไม่มีทางออกให้เรากลับมาคิดทบทวนว่ามันคุ้มหรือไม่ ที่เราต้องมาคิดกับเรื่องที่ไม่มีทางออก ให้คิดว่ามันคุ้มค่าหรือไม่ที่เราคิดแล้วมันมีผลกระทบกับร่างกายเรา คุ้มค่าหรือไม่ที่เราใช้ชีวิตเพื่อสิ่งเหล่านั้น สมมติว่าเรารู้แล้วว่าเรื่องไหนมีทางออกให้รีบแก้ไขทันที ในการทำแบบนี้เราจะสามารถปลดปล่อยความเครียดและความหดหู่ในใจเราออกไปได้ ถ้าเรานั่งสมาธิแบบวิเคราะห์อย่างน้อย ๑ ครั้งต่อสัปดาห์ ความเครียดและความหดหู่จะคลายออกไป จะทำให้เราพบความสุขจากข้างในจิตใจเบื้องลึกของเรา จิตใจเราจะไม่มีพิษร้าย


อาหารกับการทำงานของร่างกาย

อาหารก็มีธาตุเช่นกัน อาหารจากภายนอกจะเข้าไปสร้างธาตุภายในร่างกาย ถ้าเรามีความรู้พื้นฐานเรื่องธาตุต่างๆ จะเป็นการดีเมื่อมีอาหารมาอยู่ตรงหน้า เราจะสามารถวิเคราะห์ได้ว่าเราควรกินอะไรที่ดีกับเรา สมมติว่าเราเป็นคนธาตุน้ำเวลากินอาหารเราต้องกินอาหารที่มีน้ำน้อยๆ สมมติเราเป็นคนธาตุไฟอาหารต้องเป็นรสเย็นเพื่อช่วยปรับสมดุลธาตุไฟ

เมื่อเราพูดถึงไฟในการย่อยอาหารหรือความร้อนในร่างกายเรา หมายถึงตัวพลังงานหรือกลไกที่ขับเคลื่อนร่างกายเราให้ดำเนินไป ในการแพทย์แผนธิเบตบอกว่าระบบย่อยอาหารเกิดขึ้นสามส่วน ส่วนแรกเริ่มที่กระเพาะอาหาร ลงไปที่ลำไส้เล็ก และลงไปลำไส้ใหญ่ เวลาที่เรากินอะไรเข้าไปกระเพาะอาหารจะนำมาย่อย หลอมรวมกันให้เป็นเนื้อเดียว ในกระเพาะอาหารมีธาตุน้ำและธาตุดินมาก อาหารที่ย่อยเป็นของเหลวแล้วจะส่งไปที่ลำไส้เล็กซึ่งมีธาตุไฟอยู่ ระบบการย่อยทั้งหมดของร่างกายเกิดขึ้นที่ลำไส้เล็ก จากนั้นจะเคลื่อนไปสู่ลำไส้ใหญ่ซึ่งมีธาตุลมหรืออากาศอยู่


ร่างกายมีองค์ประกอบ ๗ อย่าง

๑. สารอาหารที่เรากินเข้าไป

๒. สารอาหารไปสร้างเลือด

๓. เลือดไปสร้างเนื้อ

๔. เนื้อไปสร้างไขมัน

๕. ไขมันสร้างกระดูก

๖. กระดูกสร้างไขกระดูก

๗. ไขกระดูกสร้างของเหลวสืบพันธุ์


ไฟในการย่อยอาหาร

ถ้าคนที่มีระบบการย่อยที่อ่อนแอ จะเป็นการยากมากที่จะทำให้คนนั้นเติบโตได้อย่างสมบูรณ์หรือแข็งแรง คนที่กินธาตุดินและธาตุน้ำมากเกินไป แล้วไม่สามารถย่อยได้จะกลายเป็นไขมันในร่างกาย จะทำให้เรามีน้ำเยอะในร่างกาย ส่วนคนที่กินอาหารที่มีธาตุไฟมาก เช่น เนื้อสัตว์และอาหารรสเผ็ดร้อน จะมีพิษต่อระบบเลือด เป็นนิ่วในถุงน้ำดี และมีปัญหาที่ตับ

ฉะนั้นสิ่งสำคัญมากที่หมออยากย้ำเตือน คือ อาหารที่เรากินควรมีลักษณะความอุ่น - ร้อน ยกเว้นสำหรับคนธาตุไฟซึ่งการย่อยแข็งแรงมากกว่าปกติไม่ต้องกินอาหารร้อน ถ้าเรากินอาหารเผ็ดร้อนท่ามกลางอากาศที่ร้อนมากแล้วกินน้ำเย็นเข้าไป สิ่งที่เกิดขึ้นคือมันไปลดธาตุไฟในการย่อยทั้งหมด เมื่อเรากินเย็นเข้าไปเป็นความเย็นชั่วคราว ที่ช่วยเราเพียงชั่วครู่ในขณะที่เรารู้สึกร้อน เพราะเรารู้สึกพอใจกับการกินน้ำแข็งในขณะที่อากาศร้อน แต่ถ้าอากาศข้างนอกหนาวแล้วเรากินน้ำแข็งจะเริ่มรู้สึกว่าท้องอืด

การแพทย์แผนธิเบตจะคำนึงถึงอาหารกับฤดูกาลที่กิน ถ้าฤดูหนาวไฟในการย่อยจะมีพลังแรง ในประเทศไทยไม่ค่อยหนาว ในช่วงอากาศเย็นสังเกตได้ว่าเหงื่อจะออกน้อยลง ความร้อนในร่างกายเราจะเยอะเพราะความร้อนไม่ถูกขับออกทางเหงื่อ การที่จะทำให้ความร้อนในร่างกายลดลงคือทำให้เหงื่อออก แต่พอเหงื่อออกปุ๊บสิ่งที่เราทำคือรีบดื่มน้ำแข็งอย่างเอร็ดอร่อย กลายเป็นไฟในการย่อยอาหารเราหมดแล้ว ในช่วงสั้นๆ เราจะไม่รู้สึกว่าร่างกายเป็นอะไร แต่เมื่อเวลาผ่านไปเราจะรู้สึกว่าทำไมอาหารไม่ย่อย นั่นเกิดความผิดปกติกับระบบย่อยอาหารของเรา

การแพทย์แผนธิเบตเชื่อว่า ความเจ็บป่วยทุกอย่างที่เกิดขึ้นในร่างกาย เกิดจากการย่อยอาหารไม่ดีหรืออาหารไม่ย่อย ฉะนั้นคำว่าระบบย่อยอาหารที่ดี คือ เราต้องมีไฟย่อยอาหารที่ดีพอเหมาะ และต้องกินอาหารที่อุ่นด้วย สองส่วนทำงานประสานกันจะช่วยให้ไฟในการย่อยดี แต่ในชีวิตประจำวันสิ่งที่เรากินเข้าไปนอกจากอาหารเย็นแล้ว เรายังใส่สารเคมีในร่างกายมากกว่าปกติ ถ้าเรามีโอกาสกินอาหารที่ปลอดสารพิษจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น แล้วควรกินอาหารที่ทำเองที่บ้าน

สัดส่วนในการกินอาหาร แบ่งกระเพาะอาหารออกเป็น ๔ ส่วน กินอาหารหนัก เช่น ข้าว ๒ ส่วน ของเหลว (น้ำ) ๑ ส่วน และปล่อยให้เป็นที่ว่าง (อากาศ) ๑ ส่วน เพื่อช่วยในการย่อย


อากาศ


ของหนัก

ของเหลว


เราไม่ควรกินจนอิ่มมากต้องเหลือที่ว่างในกระเพาะหนึ่งส่วน











ในอาหารของไทยนั้น หมอเห็นว่าอาหารหวานกับอาหารเค็มจะค่อนข้างหนัก คนที่ธาตุลมถูกกระทบกินหวานและเค็มจะช่วยได้ แต่รสหวานกับรสเค็มไม่ดีสำหรับคนที่ตัวใหญ่หรือธาตุดินกับธาตุน้ำ

รสเปรี้ยวจะลดธาตุไฟในร่างกาย ถ้ากินหวานกับเค็มมากเกินไปจะสร้างเสมหะและไขมันมากขึ้น คนธาตุไฟควรกินอาหารรสขม เพราะว่ารสขมประกอบด้วยอากาศธาตุและธาตุน้ำ อาหารรสเผ็ดร้อนเหมาะสำหรับคนที่มีลมน้อย แต่คนธาตุไฟมากกินรสเผ็ดร้อนไม่ได้เลย เพราะถ้ากินรสเผ็ดมากจะดื่มน้ำเยอะ จะมีปัญหาในการนำของเหลวเข้าไปมากเกินขณะที่กินข้าว

หมอสังเกตว่าอาหารไทยมีรสเผ็ดเยอะแนะนำว่าไม่ควรกินรสเผ็ดเยอะ กินเนื้อสัตว์มากเกินไปไม่ดี เพราะเนื้อสัตว์มีไขมันจะสร้างความร้อนในร่างกายมากเกินไป นอกจากนี้เนื้อสัตว์ไปรบกวนระบบเลือดและการทำงานของตับ สำหรับอาหารเช้าและอาหารกลางวันสามารถกินอาหารหนักได้ ช่วงเย็นควรเป็นอาหารเบา สำหรับคนที่มีปัญหาหลับยากต้องกินให้กระเพาะเต็มก่อนนอน ถ้าสมมติอาหารตรงหน้าเรามีไขมันมาก มีเนื้อเยอะ เผ็ดมาก ให้เรากินเพียงครึ่งเดียวไม่ต้องเสียดาย แต่ถ้าอาหารนั้นเบากินมากไม่เป็นไร หมอเห็นอาหารของไทยมีผักรวมกันหลายอย่างดูไม่ค่อยดีต่อสุขภาพนัก แต่สิ่งสำคัญคือให้เราสังเกตว่าอะไรที่เรากินแล้วรู้สึกเบาท้องจะเป็นการดี คนที่มีธาตุดินเยอะไม่ควรนอนหลังกินทันทีเพราะอยากให้เคลื่อนไหว ไม่ควรดื่มน้ำเยอะก่อนกินข้าว นี่คือวิธีการบริหารจัดการน้ำและอาหารก่อนเข้าไปในตัวเรา

การแพทย์แผนธิเบตแนะนำให้ดื่มน้ำต้มสุก น้ำร้อนหรือน้ำอุ่นจะดีสำหรับระบบย่อยอาหาร ช่วยป้องกันหลายโรค ทำให้ไขมันลดลง ถ้าเราสามารถทำได้ตื่นเช้ามาให้เราดื่มน้ำอุ่นครึ่งแก้ว คนที่มีลมมากหรือเรอบ่อย ตื่นขึ้นมาให้ดื่มน้ำอุ่น เติมเกลือ ๑ เม็ด เพราะเกลือมีคุณสมบัติลดลมและเพิ่มความร้อนในน้ำ คนที่อ้วนตื่นเช้ามาให้ดื่มน้ำอุ่นใส่น้ำผึ้งจะช่วยลดไขมัน หมออยากย้ำว่าน้ำต้มสุกดีต่อสุขภาพ น้ำผึ้งมีฤทธิ์ร้อนจะช่วยลดไขมันในร่างกายไม่ต้องกินยาลดความอ้วน ส่วนเกลือช่วยย่อยอยู่แล้วไม่ต้องกินยาช่วยย่อย ถ้าเรากินอาหารมื้อใดอิ่มแน่นมาก มื้อต่อไปให้หยุดกินแล้วดื่มน้ำอุ่นใส่เกลือจะช่วยย่อย


ระบบย่อยอาหารกับอุจจาระวิทยา

ถ้าเราจะดูว่าระบบย่อยเราดีหรือไม่ให้ดูที่อุจจาระ ว่าถ่ายออกมาแล้วเป็นอย่างไร ถ่ายคล่องหรือไม่ แข็งหรือไม่ เราสามารถวิเคราะห์ได้ด้วยตัวเอง ถ้าเรามีอุจจาระที่ปกติถือว่าระบบย่อยอาหารดี อุจจาระมีลักษณะแตกต่างกันไปหลายประเภท

 คนที่ธาตุลม จะถ่ายท้องยาก จะท้องผูกสลับกับท้องเสีย

 คนที่ธาตุไฟโดยธรรมชาติ อุจจาระจะไม่เป็นก้อน ถ่ายได้เร็ว

 คนที่ธาตุดินกับธาตุน้ำจะมีอุจจาระที่ปกติดี เพราะเป็นคนที่มีระบบย่อยดี

การแพทย์แผนธิเบตจะห่วงระบบย่อยอาหารมาก เมื่อมีคนป่วยที่อ่อนแอ ป่วยมาก หมอจะรักษาระบบย่อยอาหารให้แข็งแรงก่อน เพราะถ้าระบบย่อยไม่แข็งแรงก็ไม่สามารถย่อยยาที่กินเข้าไปได้ หมอจะให้สมุนไพรที่สร้างความร้อนในการย่อยอาหาร ถ้าคนไข้แข็งแรงขึ้นจึงคำนึงถึงการรักษาอาการป่วยต่อไป ระบบย่อยมีความสัมพันธ์กับอาการเจ็บป่วยอย่างลึกซึ้ง ยิ่งมีระบบย่อยที่ดีเท่าใดเราจะสามารถทำงานได้ดีขึ้น สุขภาพที่แข็งแรงแบ่งเป็นร่างกายและจิตใจ ตัววัดความแข็งแรงของร่างกายคือระบบย่อย แต่คนที่คิดมากและทำงานหนัก แน่นอนในร่างกายทำงานหนักอยู่แล้ว ถ้าชีวิตประจำวันวุ่นวาย ยุ่งเหยิงมากควรกินน้อยๆ


คำถาม

อยากรู้ว่าเราควรกินผักและผลไม้สดอย่างไร ?

คำตอบ

ผักและผลไม้ควรกินตามฤดูกาล เพราะการเก็บเกี่ยวตามฤดูกาลดีที่สุดสำหรับร่างกาย ถ้าเรากินผลไม้ที่ไม่สุกหรือเก็บเกี่ยวนอกฤดูกาล หมอถือว่าเป็นพิษไม่ควรกิน

ก่อนกินผลไม้เราควรคำนึงถึงธาตุ เช่น ถ้าเรากินผลไม้รสมันจำพวกถั่ว ให้คิดถึงตัวเองว่าเราเป็นคนธาตุอะไร แล้วควรกินชนิดนี้หรือไม่ ถ้าเราเป็นคนธาตุน้ำแล้วกินแตงโมจะเป็นการเพิ่มน้ำในร่างกายเข้าไปอีก คนที่มีร่างกายไม่แข็งแรงหรือระบบการย่อยที่ไม่ดี ถ้าใช้แบบธรรมชาติบำบัดจะดี เพราะถือว่าร่างกายมีพิษเยอะแล้ว

คำถาม

คนไทยเราชอบกินผักสดจะส่งผลอย่างไรต่อระบบย่อย ?

คำตอบ

ถ้าเรามีไฟย่อยอาหารที่ดี กินในช่วงกลางวันไม่มีปัญหา สำหรับชาวธิเบตสิ่งที่ดีที่สุดผักต้องผ่านไฟก่อน เช่น ต้มหรือลวกให้สุกก่อน เพราะการทำอาหารให้สุกจากข้างนอกตัวเรา จะไม่ต้องใช้ไฟในการย่อยอาหารมากเพื่อทำให้ผักสุกอีก

สำหรับผลไม้สดควรเป็นผลไม้ปลอดสารพิษและไม่ควรแช่เย็นควรกินที่อุณหภูมิห้อง การกินผลไม้นั้นช่วยให้ร่างกายสะอาดขึ้น แต่ไม่ควรกินเยอะเพราะกลายเป็นว่าเราต้องใช้ธาตุไฟในการย่อยเยอะอีก ถ้าระบบย่อยไม่ดีอย่ากินอาหารที่มีรสเปรี้ยวที่เป็นกรด


คำถาม

การใช้ไมโครเวฟดีหรือไม่ ?

คำตอบ

ชาวธิเบตเมื่อพูดถึงความร้อนจะเกี่ยวพันกับพระอาทิตย์ คือใช้ความร้อนจากพระอาทิตย์จะดีที่สุด หมอได้ยินมาว่าอาหารที่ปรุงด้วยเตาถ่านรสชาดจะอร่อยกว่าอาหารที่ปรุงด้วยเตาแก๊สหรือไมโครเวฟ


คำถาม

หมอบอกว่าถ้าคนระบบย่อยไม่ดีไม่ควรกินรสเปรี้ยว แต่เข้าใจว่ารสเปรี้ยวจะช่วยในการย่อยจริงหรือไม่ ?

คำตอบ

สำหรับคนที่ระบบย่อยไม่ดี ไม่ควรกินรสเปรี้ยวเพราะเป็นกรดทำให้เกิดแก๊สมากขึ้น คนที่กินรสเปรี้ยวมากๆ จะเกิดกรดในกระเพาะ เพราะว่ารสเปรี้ยวไปทำหน้าที่กวาดความมัน เหมือนเราเอามะนาวบีบในจานที่เปื้อนและมัน ฉะนั้นความมันในกระเพาะจะถูกกวาดไปหมด

ถ้าระบบย่อยปกติ สามารถกินรสเปรี้ยวได้ ถ้าระบบย่อยไม่ปกติรสเปรี้ยวจะก่อปัญหา โดยปกติรสทุกรสดี ถ้าเรามีระบบย่อยที่ดีอาหารทุกรสสามารถกินได้ แต่ถ้าระบบย่อยไม่ดีเราต้องคำนึงถึงรสที่กินด้วย


คำถาม

แล้วเราต้องรอดูอุจจาระตอนเช้าหรือไม่ เพื่อจะรู้ว่าระบบย่อยอาหารเราเป็นอย่างไร ต้องกินรสอะไร ?

คำตอบ

ให้เราสังเกตตัวเองตั้งแต่ตอนเริ่มกิน ว่ากินเข้าไปแล้วท้องเป็นอย่างไร เช่น ท้องอืด ท้องเริ่มไม่ดีแล้ว ถ้าระบบย่อยดีรสทั้งห้าสามารถย่อยได้หมด แต่ถ้าระบบย่อยไม่ดีจะมีบางรสที่กินไม่ได้ ถ้ารู้ว่ากินรสใดไม่ดีควรหลีกเลี่ยงรสนั้นหรือกินให้น้อยลง



ความสัมพันธ์ของรสชาดกับธาตุต่างๆ

๑. รสหวาน เป็นคุณลักษณะของธาตุดินกับธาตุน้ำ

๒. รสเค็ม เป็นคุณลักษณะของธาตุไฟกับธาตุน้ำ

๓. รสเปรี้ยว เป็นคุณลักษณะของธาตุไฟกับธาตุดิน

๔. รสฝาด เป็นคุณลักษณะของธาตุลมกับธาตุดิน

๕. รสขม เป็นคุณลักษณะของธาตุลมกับธาตุน้ำ

๖. รสเผ็ดร้อน เป็นคุณลักษณะของธาตุลมกับธาตุไฟ

ถ้าเราเป็นคนธาตุน้ำให้ดูว่าลักษณะของน้ำเป็นอย่างไร ธรรมชาติในตัวเราก็มีลักษณะอย่างนั้น แต่อย่าเคร่งครัดเกินไป ให้ดูความเหมาะสมว่าเราสามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่ แต่ถ้าเราไปต่างถิ่นควรกินให้น้อย เช่น หมอมาประเทศไทย หมอจะกินน้อยมากเพราะไม่รู้ว่าอาหารนั้นจะมีผลกับเราอย่างไร


คำถาม

คนธาตุน้ำจำเป็นหรือไม่ที่ต้องระวังเรื่องการดื่มน้ำ ๖ - ๘ แก้วต่อวัน ?

คำตอบ

การดื่มน้ำ ๖ - ๘ แก้วต่อวันอาจไม่ดีเหมือนกันหมด บางคนดื่มน้ำ ๖ - ๘ แก้วต่อวันแล้วสบายมาก บางคนกินแล้วอึดอัดแน่นท้อง แสดงว่าระบบย่อยเราไม่ดี การแก้ไขคือปรับการดื่มน้ำให้เหมาะสมกับเรา

ในประเทศอินเดียมีความคิดว่าการกินน้ำเยอะจะดี ปรากฏว่าบางคนไฟในการย่อยอาหารเสียหมดเลย การวินิจฉัยโรคและการรักษาตามหลักแพทย์แผนธิเบตจะแตกต่างกัน แม้คนไข้จะเป็นโรคเดียวกัน หมอจะยึดระบบย่อยแต่ละคนเป็นหลัก


คำถาม

ถ้าเรารู้ว่าดื่มน้ำเยอะแล้วท้องอืดแล้วเราลดปริมาณน้ำ จะรู้ได้อย่างไรว่าเราดื่มน้ำเพียงพอ ?

คำตอบ

วิธีการแก้ไขคือให้ดื่มน้ำอุ่น เพราะมีไฟช่วยเพิ่มธาตุไฟในการย่อย การดื่มน้ำ ๖ - ๘ แก้วต่อวันในอุณหภูมิปกติ จะทำให้นานวันไฟย่อยเรายิ่งหายไป ถ้าเรายังอยากดื่มน้ำ ๖ - ๘ แก้วต่อวัน ให้เราเปลี่ยนเป็นดื่มน้ำอุ่นแทน

ฉะนั้น การดื่มน้ำ ๖ แก้วที่เย็นกับน้ำ ๖ แก้วที่อุ่นให้ผลต่างกันอย่างแน่นอน ถ้าเราสังเกตน้ำแก้วนี้ตั้งไว้ แล้วโดนเครื่องปรับอากาศจะกลายเป็นเย็น เป็นธาตุดินเยอะ แต่ถ้าเราทำให้น้ำแก้วนี้อุ่นหรือเติมน้ำร้อน เราเปลี่ยนธาตุดินเป็นธาตุไฟ เราสามารถเปลี่ยนอาหารที่กินเข้าไปให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมได้


สามข้อที่ทำให้มีสุขภาพที่ดี

๑. ทำสภาพแวดล้อมให้ดี คำนึงถึงสภาพแวดล้อมรอบกาย ดูว่าอะไรที่ควรหลีกเลี่ยงบ้าง
๒. ด้านจิตใจ ป้องกันอวิชชา ความโกรธ เกลียด รัก โลภ หลง ไม่ให้เกิดขึ้นกับเรา
๓. ปกป้องรักษาไฟย่อยของเราไว้ให้ดีที่สุด



สนใจเข้าร่วมการรักษา โดยแพทย์แผนธิเบต
ระหว่างวันที่ ๙- ๒๒ กันยายน ๒๕๕๐
ณ เรือนร้อยฉนำ เขตคลองสาน กรุงเทพฯ

* * สามารถดูรายละเอียดได้ที่นี่ * *



Create Date : 20 กรกฎาคม 2550
Last Update : 20 กรกฎาคม 2550 17:16:40 น. 0 comments
Counter : 848 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Darksingha
Location :
สมุทรสงคราม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]





Click for use Graphics comment


Darksingha ที่แสดงถึงอำนาจและความมืดมัว ผมให้แทนคำว่า Age of Doubt หรือยุคแห่งความสงสัยก็แล้วกัน ดังนั้นBlogนี้จึงเป็นแดนสนธยาที่เต็มไปด้วยหมอกควันแห่งคำถาม และการละเล่น เพื่อแสวงหา ?


TV3 Live CH5 Live CH7 Live Modernine TV Live NBT LIVE - CH11 TPBS - Public Channel ASTV1 New11 - Online News 24 hours Nation Channel DMC.TV - Buddhistic Television ASTV5 - Suvarnbhumi ASTV7 - Buddhistic Television  True New 24 Channel  skynew  cnnibn Channel  cnn Channel  bbcnews_island Channel  cctv  Channel  bfmtv  Channel  ntv  Channel  fox8 Channel  foxnews5 Channel  cspan  Channel  france24 Channel  world_explorer Channel  discovery_channel Channel  nasa  Channel kimeng-channel dmc-channel ebr-channel research-channel utv-channel michigan-channel at-florida-channel islam-channel peace-usa-channel bbc-panorama-channel CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live

music is life

ชุมทางเพลงเพื่อชีวิต

Friends' blogs
[Add Darksingha's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.