Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2551
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
23 มิถุนายน 2551
 
All Blogs
 

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ : "ปราสาทเขาพระวิหาร" กรณีศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองกับลัทธิชาตินิยม


มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง

ท่าพระจันทร์ จังหวัดพระนคร สยามประเทศ(ไทย)

20 มิถุนายน 2551



เรื่อง ‘ปราสาทเขาพระวิหาร-กรณีศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองกับลัทธิชาตินิยม’



ถึง นักศึกษาวิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และกัลยาณมิตร

จาก ชาญวิทย์ เกษตรศิริ







สืบเนื่องจากการที่ประเด็นเรื่องของ ‘ปราสาทเขาพระวิหาร’ ได้กลายเป็นประเด็นทางการเมืองในการโค่นล้มรัฐบาลของ นรม. สมัคร สุนทรเวช และ ‘ระบอบทักษิณ’ เป็นปัญหาของการเมืองภายในของเรา แต่ในขณะเดียวกันก็อาจมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย-กัมพูชาด้วย เรื่องนี้มีความสำคัญและมีความจำเป็นที่เราจะต้องทำความเข้าใจที่มาและที่ไปของเรื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากทางประวัติศาสตร์ และทางรัฐศาสตร์การเมือง ดังนั้น จึงขอบรรยายตามลำดับ ดังต่อไปนี้



(1)



‘ปราสาทเขาพระวิหาร’ เป็นส่วนหนึ่งของ ‘ประวัติศาสตร์แผลเก่า’ ระหว่าง ‘ชาติไทย’ กับ ‘ชาติ กัมพูชา’ ระหว่าง ‘ลัทธิชาตินิยมไทย’ และ ‘ลัทธิชาตินิยมกัมพูชา’ แม้จะเกิดมานานเกือบ 50 ปีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเป็นบาดแผลที่ไม่หายสนิท จะปะทุพุพองขึ้นมาอีก และถูกนำมาใช้ทางการเมื่อไรก็ได้ ในด้านของสยามประเทศ(ไทย) ‘ปราสาทเขาพระวิหาร’ เป็นส่วนหนึ่งของ ‘การเมือง’ และ ‘ลัทธิชาตินิยม’ ในสกุลของ ‘อำมาตยาเสนาธิปไตย’ ที่ถูกปลุกระดมและเคยเฟื่องฟูในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายใต้รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม และถูกตอกย้ำสมัย ‘สงครามเย็น’ ต่อต้านคอมมิวนิสต์ในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (และก็ถูกสืบทอดโดยจอมพลถนอม กิตติขจร และบรรดานายพลและอำมาตยาธิปไตยรุ่นต่อๆมา)



(2)



‘ปราสาทเขาพระวิหาร’ เป็นสถาปัตยกรรมอันน่าทึ่ง เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ‘บรรพชนของขะแมร์กัมพูชา (ขอม) แต่โบราณ’ ที่อาศัยอยู่ทั้งในกัมพูชาปัจจุบัน และในภาคอีสานของเรา ขะแมร์กัมพูชา เป็นชนชาติที่มีความสามารถยิ่งในการสร้าง ‘ปราสาท’ ด้วยหินทรายและศิลาแลง ต่างกับชนชาติไทย ลาว มอญ พม่าที่สร้าง ‘ปราสาท’ ด้วยอิฐและไม้ ความสามารถและความยิ่งใหญ่ของขะแมร์กัมพูชา เทียบได้กับชมพูทวีป กรีก และอียิปต์ สุดยอดของขะแมร์กัมพูชา คือ Angkor หรือ ‘ศรียโสธรปุระ-นครวัด-นครธม’



ขะแมร์กัมพูชา ก่อสร้างปราสาทบนเขาพระวิหารติดต่อกันมายาวหลายรัชสมัย กว่า 300 ปี ตั้งแต่กษัตริย์ ‘ยโสวรมันที่ 1’ ถึง ‘สุริยวรมันที่ 1’ เรื่อยมาจน ‘ชัยวรมันที่ 5-6’ จนกระทั่งท้ายสุด ‘สุริยวรมันที่ 2’ และ ‘ชัยวรมันที่ 7’ จากปลายคริสต์ศตวรรษที่ 9 จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 12 (หรือจากพุทธศตวรรษที่ 15 ถึง 18 หรือก่อนสมัยสุโขทัย 300 ปีนั่นเอง)



‘ปราสาทเขาพระวิหาร’ เป็นเสมือนเทพสถิตย์บนขุนเขาหรือ ‘ศรีศิขเรศร’ เป็น ‘เพชรยอดมงกุฎ’ ขององค์ศิวะเทพ (พระอิศวร) ตั้งโดดเด่นอยู่บนยอดเทือกเขาพนมดงรัก (‘พนมดงแร็ก’ ในภาษาขะแมร์ แปลว่าภูเขาไม้คาน ซึ่งสูงจากพื้นดินกว่า 500 เมตร และเหนือระดับน้ำทะเลกว่า 600 เมตร ปัจจุบันตั้งอยุ่ใน (เขต) จังหวัด ‘เปรียะวิเฮียร’ (Preah Vihear) ของกัมพูชา



(3)



‘ปราสาทเขาพระวิหาร’ น่าจะถูกทิ้งปล่อยให้ร้างไปเมื่อหลังปี พ.ศ. 1974 (ค.ศ. 1431) คือภายหลังที่กรุงศรียโสธรปุระ (นครวัดนครธม) ของกัมพูชา ‘เสียกรุง’ ให้แก่กองทัพของกรุงศรีอยุธยา (ในสมัยของพระเจ้าสามพระยา) ขะแมร์กัมพูชาต้องหนีย้ายเมืองหลวงไปอยู่ละแวก อุดงมีชัย และพนมเปญ ตามลำดับ และ ‘หนีเสือไปปะจระเข้’ คือเวียดนามที่ขยายรุกเข้ามาทางใต้ปากแม่น้ำโขง



แต่ประวัติศาสตร์โบราณเรื่องนี้ ไม่ปรากฏมีในตำราประวัติศาสตร์ของกระทรวงศึกษาฯ ของไทย (หรือของเวียดนาม) ดังนั้นคนในสยามประเทศ(ไทย) ส่วนใหญ่จึงรับรู้แต่เพียงเรื่องการ ‘เสียกรุงศรีอยุธยา’ แก่พม่า (พ.ศ. 2112 และ 2310) แต่ไม่รู้เรื่องของ ‘เสียกรุงศรียโสธรปุระ’ (พ.ศ. 1974) ของกัมพูชา



ทั้งกัมพูชาและสยามประเทศ(ไทย) คงลืมและทิ้งร้าง ‘ปราสาทเขาพระวิหาร’ ไปประมาณเกือบ 500 ปี จนกระทั่งฝรั่งเศสเข้ามาล่าเมืองขึ้นในอุษาคเนย์ ได้ทั้งเวียดนาม ทั้งลาว และกัมพูชา ไปเป็น ‘อาณานิคม’ ของตน และก็พยามยามเขมือบดินแดนของ ‘สยาม’ สมัย ร.ศ. 112 ถึงขนาดใข้กำลังทหารเข้ายึดเมืองจันทบุรี เมืองตราด และเมืองด่านซ้าย (ในจังหวัดเลย) ไว้เป็นเครื่องต่อรองอยู่ 10 กว่าปี



(4)



จนกระทั่งเมื่อปี พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) ที่พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จยุโรปเป็นครั้งที่ 2 (ครั้งที่ทรงแต่งเรื่อง ‘ไกลบ้าน’) จึงได้ทรงลงนามสัตยาบันในสัญญากับประธานาธิบดีฝรั่งเศส แลกเปลี่ยนยกดินแดนเสียมเรียบ (อันเป็นที่ตั้งของนครวัดนครธมหรือกรุงศรียโสธรปุระ) กับพระตะบอง และศรีโสภณให้กับฝรั่งเศส ทั้งนี้โดยการแลก ‘จันทบุรี ตราด และด่านซ้าย (เลย)’ กลับคืนมา (ครบรอบ 101 ปีในปี 2551 นี้)



เมื่อถึงตอนนี้นั่นแหละที่เส้นเขตแดนระหว่างสยามกับอินโดจีนของฝรั่งเศส ทางด้านทิศตะวันออกของประเทศเรา มีพรมแดนและเส้นเขตแดนติดกัมพูชาและลาวอย่างที่เรารับรู้กันในปัจจุบัน และตัวปราสาทเขาพระวิหาร ก็ถูกขีดเส้นแดนให้ตกเป็นของฝรั่งเศส ดังนั้นเมื่อกัมพูชาได้รับเอกราช จึงอ้างสิทธิในการครอบครองปราสาทเขาพระวิหาร



กล่าวโดยย่อในสมัยของรัชกาลที่ 5 ที่มีสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ เป็นเสนาบดีมหาดไทยนั้น ฝ่าย ‘รัฐบาลราชาธิปไตยสยาม’ ได้ยอมรับเส้นเขตแดนที่ถือว่าปราสาทเขาพระวิหาร ขึ้นอยู่กับฝรั่งเศสไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อจะได้อยู่ร่วมกันโดยสันติ และที่สำคัญอย่างยิ่งเพื่อเป็นหลักประกันในการรักษา ‘เอกราชและอธิปไตย’ ส่วนใหญ่ของสยามประเทศเอาไว้



และดังนั้น เมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ในปี พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) เมื่อทรงดำรงตำแหน่ง ‘อภิรัฐมนตรี’ ในสมัยรัฐบาลของรัชกาลที่ 7 เมื่อครั้งเสด็จไปทอดพระเนตรทั้งปราสาทเขาพนมรุ้ง และปราสาทเขาพระวิหาร จึงทรงขออนุญาตฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ ที่จะขึ้นไปทอดพระเนตร ‘ปราสาทเขาพระวิหาร’ ที่อยู่ภายใต้ธงไตรรงค์ของฝรั่งเศส (และนี่ ก็คือหลักฐานอย่างดีที่ทำให้ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช และ ม.จ. วงษ์มหิป ชยางกูร ทนายและผู้แทนของฝ่ายรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่อ่อนแอข้อมูลและหลักฐานจดหมายเหตุ ต้องแพ้คดีปราสาทเขาพระวิหารเมื่อ 15 มิถุนายน 2505)



(5)



กาลเวลาล่วงไปจนถึงสมัยสิ้นสุดระบอบ ‘ราชาธิปไตย’ ภายหลังการปฏิวัติ 2475 เรื่องของ ‘ปราสาทเขาพระวิหาร’ ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาเป็นประเด็นครุกรุ่นทางการเมืองมาแล้ว 2 ครั้ง (ก่อนครั้งที่ 3 ของการ ‘โค่นรัฐบาลสมัคร’ ในสมัยนี้) คือครั้งแรก สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม (ปีกขวาของคณะราษฎร) และครั้งที่สอง สมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยุคสงครามเย็น (ต่อต้านคอมมิวนิสต์ และต่อต้านนโยบายเป็นกลางของกัมพูชาสมัยพระเจ้านโรดม สีหนุ)



ในครั้งแรก สมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามนั้น สืบเนื่องมาจากการปฏิวัติประชาธิปไตย 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งเมื่อ ‘คณะราษฎร’ ยึดอำนาจได้แล้วแม้จะโดยปราศจากความรุนแรงและนองเลือดในปีแรกก็ตาม แต่ก็ประสบปัญหาในการบริหารปกครองประเทศอย่างมาก เพราะเพียง 1 ปีต่อมาก็เกิด ‘กบฏบวรเดช’ พ.ศ. 2476 (ที่นำด้วยพระองค์เจ้าบวรเดช อดีตเสนาบดีกลาโหมของรัชกาลที่ 7 และพระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ ผู้เป็นตาของพลเอกสุรยุทธ จุลานนท์) เกิดการนองเลือดเป็น ‘สงครามกลางเมือง’ และส่งผลให้รัชกาลที่ 7 ถึงกับสละราชสมบัติในปี พ.ศ. 2477 และประทับอยู่ที่อังกฤษจนสิ้นพระชนม์



ในท่ามกลางความปั่นป่วนวุ่นวายทางการเมืองนั้น รัฐบาลพิบูลสงคราม หันไปพึ่ง ‘อำมาตยาเสนาชาตินิยม’ ปลุกระดมวาทกรรม ‘การเสียดินแดน 13 ครั้ง’ ให้เกิดความ ‘รักชาติ’ ด้วยมาตรการต่างๆ เช่น



- 24 มิถุนายน 2482 รัฐบาลเปลี่ยนนามประเทศจาก ‘สยาม’ เป็น ‘ไทย’

- Siam เป็น Thailand

- (แล้วเปลี่ยนอะไรต่อมิอะไรให้เป็น ‘ไทยๆ’ ซึ่งรวมทั้ง

- พระไทยเทวาธิราช -ธนาคารไทยพาณิชย์ -ปูนซิเมนต์ไทย)



รัฐบาลปลุกระดมเรียกร้องดินแดนจากฝรั่งเศส (คือดินแดนที่ได้ตกลงแลกเปลี่ยนกันไปแล้วในสมัยรัชกาลที่ 5) ในเดือนตุลาคม 2483 ผลักดันให้นิสิตนักศึกษาทั้งจุฬาฯ และ มธก. เดินขบวนเรียกร้องดินแดน ‘มณฑลบูรพา’ และ ‘ฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง’



จนในที่สุดก็เกิดสงครามชายแดน รัฐบาลส่ง ‘กองกำลังบูรพา’ ไปรบกับฝรั่งเศส ซึ่งก็เปิดโอกาสให้ญี่ปุ่น ‘มหามิตรใหม่’ เข้ามาไกล่เกลี่ยบีบให้ฝรั่งเศส (ซึ่งตอนนั้นเมืองแม่หรือปารีสในยุโรปอ่อนเปลี้ยถูกเยอรมนียึดครองไปเรียบร้อยแล้ว) จำต้องยอมยกดินแดนให้ ‘ไทย’ สมัยพิบูลสงคราม (ทำให้นายพลตรีหลวงพิบูลสงคราม กระโดดข้ามยศพลโท-พลเอก กลายเป็นจอมพลคนแรกในยุคหลัง 2475)



และนี่ก็เป็นที่มาที่รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ดินแดนทั้งเสียมเรียบ (ที่ถูกจับเปลี่ยนชื่อเป็นไทยๆว่า จังหวัดพิบูลสงคราม) พระตะบอง ศรีโสภณ จำปาศักดิ์ (ซึ่งรวมทั้งที่อยู่ในลาว และอยู่ในบริเวณพนมดงรัก เช่น ปราสาทเขาพระวิหาร และเมืองจอมกระสาน) ตลอดจนถึงไซยะบูลี (จังหวัดนี้อยู่ตรงข้ามหลวงพระบาง และถูกจับเปลี่ยนชื่อเป็นไทยๆ คือ จังหวัดลานช้าง คำว่า ‘ลาน’ ในสมัยนั้นยังไม่มีไม้โท)



และก็ในตอนนี้นั่นแหละที่ทั้งปราสาทและเขาพระวิหาร กลับมาสู่ความสนใจและความรับรู้ของคนไทย รัฐบาลพิบูลสงคราม ดำเนินการให้กรมศิลปากร (ซึ่งในสมัยหลังการปฏิวัติ 2475 ได้หลวงวิจิตรวาทการ นักอำมาตยาเสนาชาตินิยม มือขวาของจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นอธิบดี หลวงวิจิตรวาทการ (กิมเหลียง วัฒนปฤดา) ทั้งพูด ทั้งเขียน ทั้งแต่งเพลงแต่งละคร ปลุกใจให้รักชาติ) ได้จัดการขึ้นทะเบียนให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นโบราณสถานของไทย โดยประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2483 (เราไม่ทราบได้ว่าในตอนนั้น ฝรั่งเศสในอินโดจีนจะทราบเรื่องนี้ หรือประท้วงเรื่องนี้หรือไม่)



ในสมัยดังกล่าวนี้แหละ ที่รัฐบาลพิบูลสงคราม ชี้แจงต่อประชาชนว่า ‘ได้ปราสาทเขาพระวิหาร’ มา ดังหลักฐานในหนังสือ ‘ประเทศไทยเรื่องการได้ดินแดนคืน’ ของกองโฆษณาการงานฉลองรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2484 สมัยนั้น มีรูปปราสาทเขาพระวิหารพิมพ์อยู่ด้วย พร้อมด้วยคำอธิบายภาพว่า ‘ปราสาทหินเขาพระวิหาร ซึ่งไทยได้คืนมาคราวปรับปรุงเส้นเขตแดนด้านอินโดจีนฝรั่งเศส และทางการกำลังจัดการบูรณะให้สง่างามสมกับที่เป็นโบราณสถานสำคัญ’



(6)



สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงด้วย ‘มหามิตรญี่ปุ่น’ ปราชัยอย่างย่อยยับ รัฐบาลพิบูลสงครามก็ล้ม ซึ่งก็หมายถึงว่า ‘ไทย’ จะต้องถูกปรับเป็นประเทศแพ้สงครามด้วย ทั้งฝรั่งเศสและอังกฤษที่เสียทั้งดินแดนและผลประโยชน์ให้กับไทย ก็ต้องการ ‘ปรับ’ และเอาคืน



โชคดีของสยามประเทศ(ไทย) (ที่ตอนนี้เปลี่ยนชื่อในภาษาอังกฤษกลับเป็น Siam ได้ชั่วคราว) ที่มีทั้งมหาอำนาจใหม่ คือ สหรัฐฯ สนับสนุน และมีทั้ง ‘ขบวนการเสรีไทย’ ภายใต้การนำของ ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ที่กู้สถานการณ์เจรจาต่อรองกับฝ่ายสัมพันธมิตร ให้การประกาศสงครามของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม และการเข้าร่วมกับญี่ปุ่น กลายเป็นโมฆะหรือ ‘เจ๊า’ กับ ‘เสมอตัว’ ไม่ต้องถูกปรับมากมายหรือถูกยึดเป็นเมืองขึ้นอย่างญี่ปุ่นหรือเยอรมนี



แต่รัฐบาลใหม่ของไทยที่เป็นฝ่ายเสรีประชาธิปไตย (ค่ายปรีดี พนมยงค์) ก็ต้องคืนดินแดนที่ไปยึดครองมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นดินแดนในอินโดจีนของฝรั่งเศสที่กล่าวข้างต้น แต่ยังรวมถึงเมืองขึ้นของอังกฤษที่รัฐบาลพิบูลสงครามยึดครองและรับมอบมา เช่น เมืองเชียงตุง เมืองพานในพม่า หรือ 4 รัฐมลายู (ที่เคยถูกจับเปลี่ยนชื่อเป็นไทยๆ อย่างสวยหรูชั่วคราวว่า ‘สัฐมาลัย’ คือ กลันตัน ตรังกานู ปะลิส และเคดะห์)



แต่ก็ในตอนนี้อีกนั่นแหละที่ระเบิดเวลา ‘ปราสาทเขาพระวิหาร’ ถูกวางไว้อย่างเงียบๆ กล่าวคือ ตัวปราสาทหาได้ถูกคืนไปไม่ และต่อมารัฐบาลอำมาตยาเสนาธิปไตยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม (ซึ่งคืนชีพมาด้วยการรัฐประหาร พ.ศ. 2490 ภายใต้การนำของพลโทผิน ชุณหะวัณ ร่วมด้วยช่วยกันจากหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ คือ นายควง อภัยวงศ์) ได้ส่งกองทหารไทยให้กลับขึ้นไปตั้งมั่นและชักธงไตรรงค์อยุ่บนนั้นอีกครั้งในปี พ.ศ. 2497 (1954)



กล่าวได้ว่า ความห่างไกลและความกันดารของทั้งตัวภูเขาและตัวปราสาทในสมัยนั้น และเพราะการที่เจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส ต้องพะวงกับสู้รบปราบปรามขบวนการกู้ชาติของเวียดนาม กัมพูชา และลาว ก็ไม่ทำให้เรื่องของปราสาทเขาพระวิหารเป็นข่าว หรืออยู่ในความรับรู้ของผู้คนโดยทั่วๆไป



(7)



ระเบิดเวลาลูกนี้ระเบิดขึ้น เมื่อกัมพูชาได้เอกราชในปี พ.ศ. 2496 (1953) อีก 6 ปีต่อมา พระเจ้านโรดมสีหนุซึ่งทรงเป็นทั้ง ‘กษัตริย์และพระบิดาแห่งเอกราช’ และ ‘นักราชาชาตินิยม’ ของกัมพูชา ก็ยื่นเรื่องฟ้องต่อศาลโลก (International Court of Justice) เมื่อ 6 ตุลาคม 2502 (1959)



รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (ที่ทำปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม) แต่งตั้ง ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช (อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์) เป็นทนายสู้ความ รัฐบาลสฤษดิ์ ปลุกระดมให้ประชาชน ‘รักชาติ’ บริจาคเงินคนละ 1 บาทเพื่อสู้คดี (เข้าใจว่าเมื่อจบคดีอาจจะมีเงินหลงเหลืออยู่ ณ ที่หนึ่งที่ใดประมาณ 3 ล้านบาท ค่าของเงินในสมัยนั้น เทียบได้กับก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่ท่าพระจันทร์ตอนนั้น ชามละ 3 บาท (ตอนนี้ 30 บาท) ตอนนั้นทองคำหนัก 1 บาทราคาเท่ากับ 500 บาท (ตอนนี้ 1.4 หมื่นบาท)



ศาลโลกที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ ใช้เวลา 3 ปี และลงมติเมื่อ 15 มิถุนายน 2505 (1962) ตัดสินด้วยคะแนน 9 ต่อ 3 ให้ ‘ปราสาทเขาพระวิหาร’ ตกเป็นของกัมพูชา และให้รัฐบาลไทยถอนทหาร ตำรวจ ยามและเจ้าหน้าที่ออกนอกบริเวณ ศาลโลกครั้งนั้นประกอบด้วยผู้พิพากษา 12 นาย จาก 12 ประเทศ 9 ประเทศที่ออกเสียงให้กัมพูชาชนะคดี คือ โปแลนด์ ปานามา ฝรั่งเศส สหสาธารณรัฐอาหรับ อังกฤษ สหภาพโซเวียต ญี่ปุ่น เปรู และอิตาลี



ส่วนอีก 3 ประเทศ ที่ออกเสียงให้ไทย คือ อาร์เจนตินา จีน ออสเตรเลีย น่าสังเกตว่าอาร์เจนตินา คือ ประเทศที่พลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ ถูกเกมคณะปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์ ส่งไปเป็นทูต (ลี้ภัยการเมือง) และมีส่วนวิ่งเต้นให้อาร์เจนตินาออกเสียงให้ฝ่ายไทย ส่วนจีนนั้น คือ จีนคณะชาติ หรือไต้หวันของนายพลเจียงไคเช็ค หาใช่จีนแผ่นดินใหญ่ของเหมาเจ๋อตุงไม่ ดังนั้น ก็ต้องออกเสียงอยู่ในฝ่ายค่ายต่อต้านคอมมิวนิสต์สมัยสงครามเย็น



ว่าไปแล้วรัฐบาลไทยแพ้คดีนี้อย่างค่อนข้างราบคาบ และคำพิพากษาของศาล ก็ยึดจากสนธิสัญญาและแผนที่ที่ทำขึ้นหลายครั้งในสมัยปลายรัชกาลที่ 5 นั่นเอง แผนที่และสัญญาเหล่านั้นขีดเส้นให้ตัวปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในอินโดจีนของฝรั่งเศส หาได้ใช้หลักทางภูมิศาสตร์หรือสันปันน้ำ หรือทางขึ้นไม่ การกำหนดพรมแดนดังกล่าว รัฐบาลสยามในสมัยนั้นของรัชกาลที่ 5 และสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ได้ยอมรับไปโดยปริยายโดยมิได้มีการท้วงติงแต่อย่างใด ดังนั้นผู้พิพากษาศาลโลก ก็ถือว่าการนิ่งเฉยเท่ากับเป็นการยอมรับหรือ ‘กฎหมายปิดปาก’ ซึ่งไทยก็ต้องแพ้คดี นั่นเอง (โปรดดูสรุปย่อคำพิพากษาของศาลโลกเป็นภาษาอังกฤษได้จาก //www.icj-cij.org/docket/files/45/12821.pdf




(8)



กล่าวโดยย่อ ปราสาทเขาพระวิหาร ตกเป็นของกัมพูชาทั้งจากทางด้านประวัติศาสตร์ ทางด้านนิติศาสตร์ ข้ออ้างของฝ่ายไทยเราทางด้านภูมิศาสตร์ คือ ทางขึ้นหรือสันปันน้ำ นั้นหาได้รับการรับรองจากศาลโลกไม่ แต่คดีปราสาทเขาพระวิหาร ก็มีผลกระทบอย่างประเมินมิได้ต่อจิตวิทยาของคนไทย ที่ถูกปลุกระดมด้วยวาทกรรมของ ‘อำมาตยาเสนาชาตินิยม’ และ ‘การเสียดินแดน’



ขอกล่าวขยายความไว้ตรงนี้ว่าวาทกรรมของ ‘อำมาตยาเสนาชาตินิยม’ และ ‘การเสียดินแดน’

ถูกสร้างและ ‘ถูกผลิตซ้ำ’ มายาวนานกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว เริ่มด้วยกระบวนการสร้างจิตสำนึกใหม่ว่าเขาและปราสาทพระวิหารเป็น ‘ของไทย’ หรือขยายความการตีความประวัติศาสตร์ ให้ไทยมีความชอบธรรมในการครอบครองเขาพระวิหารยิ่งขึ้น มีการเสนอความคิดว่า ‘ขอมไม่ใช่เขมร’ ดังนั้น เมื่อ ‘ขอม’ มิได้เป็นบรรพบุรุษของเขมรหรือขะแมร์กัมพูชา ประเทศนั้นก็ไม่ควรมีสิทธิจะครอบครองปราสาทเขาพระวิหาร



วิธีการตีความประวัติศาสตร์ที่ก่อให้เกิดจิตสำนึกว่าเป็น ‘ของไทย’ แบบนี้ จะพบในงานเขียนมากมายของยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นงานของ ปรีดา ศรีชลาลัย, น. ณ ปากน้ำ, พลูหลวง รวมทั้งของบุคคลสำคัญที่มีงานเขียนเชิงโฆษณาชวนเชื่อ ‘อำมาตยาเสนาชาตินิยม’ เช่น ‘นายหนหวย’ เป็นต้น และยังถูกถ่ายทอดต่อมาในวงการศึกษาประวัติศาสตร์โบราณคดีของหลายสถาบัน รวมทั้งปรากฏอยู่เป็นประจำในงานสื่อสารมวลชน นสพ. รายวัน รายการวิทยุและทีวีโดยทั่วๆไปอีกด้วย



(9)

สรุป



เราจะเห็นได้ว่าวาทกรรมของ ‘อำมาตยาเสนาชาตินิยม’ และ ‘การเสียดินแดน’ นั้นถูกสร้าง ถูกปลุกระดม ถูกผลิตซ้ำมาเป็นระยะเวลา 3-4 ชั่วอายุคน ฝังรากลึกมาก ดังนั้นประเด็นนี้จึงกลายเป็น ‘ร้อนแรง-ดุเดือด-เลือดพล่าน’ จุดปุ๊บติดปั๊บขึ้นมาทันที ‘5 พันธมิตรฯ’ ดูจะได้อาวุธใหม่และพรรคพวกเพิ่มในอันที่จะรุกรบให้แพ้ชนะกันให้เด็ดขาด นำเอาเวอร์ชั่นของ ‘อำมาตยาเสนาชาตินิยม’ มาคลุกผสมกับ ‘ ‘ราชาชาตินิยม’ ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ในขณะที่รัฐบาลสมัคร (ที่เป็นนอมินีทั้งของทักษิณ และเป็นนอมินีของอีกหลายๆฝ่ายหลายๆสถาบัน ที่เรามักจะคิดไม่ถึงหรือมองข้ามไป) ก็ดูจะขาดความสุขุมรอบคอบและความละเอียดอ่อนทางการทูตในการบริหารจัดการกับปัญหากรณีเกี่ยวกับเรื่องปราสาทและเขาพระวิหาร



ดังนั้น ในเมื่อเขาพระวิหารได้ถูกทำให้กลายเป็นการเมืองร้อนแรงเพื่อโค่นล้มรัฐบาล คำถามของเราในที่นี้ คือ



ในแง่ของการเมืองภายใน

-รัฐบาลสมัครจะล้มหรือไม่

-รัฐบาลจะยุบสภาหรือไม่

-พันธมิตรจะรุกต่อหรือต้องถอย

-จะเกิดการนองเลือดหรือไม่

-ทหารจะปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจอีกหรือไม่

หรือจะ ‘เกี้ยเซี้ย’ รักสามัคคี สมานฉันท์ แตกต่าง หลากสีกันได้ ไม่มีเพียงแค่สีเหลือง กับสีแดง

คนไทยได้ผ่านเหตุการณ์ทั้งที่วิปโยคและปลื้มปิติกันมาแล้วเป็นเวลากว่า 70 ปี

ทั้งการปฏิวัติ 2475

ทั้งกบฏบวรเดช 2476

ทั้งรัฐประหาร 2490

ทั้งปฏิวัติ 2500-2501

ทั้งการลุกฮือ 14 ตุลาคม 2516

ทั้งการรัฐประหารนองเลือด 6 ตุลาคม 2519

ทั้งพฤษภาเลือด (ไม่ใช่ทมิฬ) 2535

และท้ายสุดรัฐประหาร 19 กันยายน 2549

ประสบการณ์และเหตุการณ์ดังกล่าวพอจะเป็นตัวอย่าง เป็นบทเรียนได้หรือไม่

หรือจะต้องรอให้สึนามิทางการเมืองถล่มทับสยามประเทศ(ไทย)ของเราให้ย่อยยับลงไป



ในแง่ของการเมืองระหว่างประเทศ

เรื่องของเขาและปราสาทพระวิหาร

จะบานปลายไปเป็นการเมืองระหว่างไทยและกัมพูชาหรือไม่

รุนแรงจนขั้นแบบเผาสถานทูตหรือไม่

จะมีการปิดการค้าชายแดนหรือไม่

จะกลายเป็นประเด็นสาดโคลนการเมืองภายในของกัมพูชา

(ที่จะมีการเลือกตั้ง 27 กรกฏานี้) หรือไม่

หรือว่า

ทั้งไทยกับกัมพูชา จะตระหนักว่าต้องอยู่ร่วมกันโดยสันติ

ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านพรมแดนยาว 800 กม. เป็นสมาชิกอาเซียนด้วยกัน

จะตกลงเสนอทั้งปราสาทและทั้งเขาพระวิหาร เป็นมรดกโลกร่วมกัน

บริหารจัดการและ (เอี่ยว) แบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน

ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อความสมานฉันท์ เพื่อคนไทย คนกัมพูชา คนลาว คนกูย คนขะแมร์อีสานใต้ คนกำหมุ คนแต้จิ๋ว คนไหหลำ คนฮกเกี้ยน คนกวางตุ้ง คนปาทาน ฯลฯ ที่ประกอบกันขึ้นเป็นประชากรอันหลากหลายของรัฐชาติบนผืนแผ่นดินใหญ่อุษาคเนย์นี้



คำตอบไม่น่าจะอยู่ในสายลม มิใช่หรือ








…..

ที่มา

‘ปราสาทเขาพระวิหาร- กรณีศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองกับลัทธิชาตินิยม’(www.charnvitkasetsiri.com - 20 มิถุนายน 2551)





 

Create Date : 23 มิถุนายน 2551
3 comments
Last Update : 23 มิถุนายน 2551 12:54:52 น.
Counter : 883 Pageviews.

 

คนไทยไม่รักกันใครจะมารักเรา ล่ะ

 

โดย: my in love 23 มิถุนายน 2551 17:08:06 น.  

 

อันที่จริงก็ควรกลับไปดูว่า คำตัดสินของศาลโลก ยึดอะไร เป็นเกณฑ์ แล้วค่อยมาว่ากันต่อ อีกที
.....
ถ้ายึดแผนที่เป็นหลักก็ไม่สมเหตุผลสักเท่าไหร่ เพราะมันต้องใช้ข้อมูลอะไรหลาย ๆ อย่างประกอบ
.....

 

โดย: แมงป่องบูรพา IP: 58.137.133.20 25 มิถุนายน 2551 11:52:49 น.  

 

การศึกษาอิสลามในจว.ชายแดนภาคใต้กับการก่อความไม่สงบ
มีประโยคคำพูดสามัญที่ทุกคนเคยฟังกันจนชินหูประโยคหนึ่งคือ “อิสลาม” แปลว่า “ความสันติสุข” ถ้าหากใครได้นำหลักคำสอนของศาสนาอิสลามมาเป็นวิถีชีวิตอย่างจริงจัง แน่อน ชีวิตในสังคมของคนนั้นจะมีแต่ความสันติสุข ร่มเย็น พูดง่ายๆก็คือ ดินแดนใดในโลก ถ้าหากผู้คนยึดถือหลักศาสนาอิสลามจริง ก็จะไม่มีการก่อการร้าย

เคยมีคนตั้งข้อสงสัยว่า เหตุไฉนของสองสิ่งที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง กลับมีปรากฏอยู่ในสังคมเดียวกัน? เพราะมีฮะดีษที่รายงานการบันทึกถูกต้องชัดเจน(ศอฮีฮ์)จากท่านนบีมุฮัมมัดศ็อลฯ บทหนึ่งกล่าวไว้ว่า “สองสิ่งที่ไม่อาจรวมอยู่ในหัวใจดวงเดียวของมนุษย์ได้นั้น คือ ความศรัทธา(อีมาน)กับความกลับกลอกหลอกลวง”(นิฟาก)

เมื่อเราศึกษาประวัติศาสตร์ดินแดนปัตตานีดารุสลาม(ปัตตานี ยะลา นราธิวาส) คราวใด เราจะอ่านพบว่า ดินแดนแห่งนี้ กอร์ปด้วยผู้รู้ทางศาสนา มีนักปราชญ์(อุลามาอ์) ผู้คงแก่เรียน ประชาชนส่วนใหญ่จะพากเพียรเรียนร่ำอยู่กับหลักธรรมคำสอน เสียงอะซาน เสียงอัล-กุรอาน เสียงการอ่านดุอามีดาษดื่นในผืนแผ่นดินแห่งนี้มาอย่างยาวนาน ต่อเนื่องตั้งแต่อดีต ตราบจนถึงปัจจุบัน

สถานศึกษา เล่าเรียนวิชาศาสนา ทั้งในรูปแบบปอเนาะ สถานศึกษาตาดีกา โรงเรียนเอกชน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย ปรากฏให้เห็นเต็มพืดไปหมดอย่างชนิดที่ไม่ปรากฏให้เห็นอย่างนี้ ในท้องที่จังหวัดอื่นๆ เยาวชนที่นี่ ได้รับการฝึกปรือในเรื่องธรรมคำสอนของศาสนามาตั้งแต่แบเบาะ ไม่ได้ขาดการศึกษาอย่างที่ใครๆ คาดคิด เพราะเด็กมุสลิมส่วนใหญ่จะได้รับการเอาใจใส่จากบิดามารดามากเป็นพิเศษ จนสามารถเข้าถึงศาสนาตั้งแต่เยาว์วัย ทุกมัสยิดจะมีสถานศึกษาตาดีกา เพื่อให้เด็กมีทักษะกับการอ่าน การท่องจำและปฏิบัติศาสนกิจที่จำเป็นขั้นพื้นฐาน

แต่หลังจากมีการก่อคดีฆ่ารายวันเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนคนในบ้านเมืองได้รับรู้ ได้ตระหนักในความโหดเหี้ยมของมือสังหารเหล่านั้น โดยพวกเขามีวิธีการฆ่าคนในรูปแบบต่างๆอย่างชนิดที่ไม่มีใครคาดคิดว่า มนุษย์เราจะมีใจอำมะหิตกระทำได้ถึงเพียงนี้ เช่น การวางระเบิด หรือยิงให้คนได้รับบาดเจ็บ แล้วตามเข้าไปจ่อยิง หรือราดน้ำมันเผาผู้บาดเจ็บให้ตายอย่างทรมาณ หรือ เอามีดเข้าไปปาดคอ หรือตัดศีรษะไปทิ้งที่อื่น หรือไม่ก็จุดไฟเผาอาคารสถานที่สำคัญของทางราชการ เผาโรงเรียน เผาตู้โทรศัพท์ ทำลายรางรถไฟ รื้อถอดน้อตเสาไฟฟ้าแรงสูง ฯลฯ

เรื่องราวเหล่านี้เป็นปรากฏการณ์ของความเลวร้ายที่ไม่เคยมีมาก่อน และไม่น่าเชื่อว่า คนมุสลิมหรือผู้ศรัทธาในศาสนาอิสลาม และผ่านการขัดเกลาทางจิตวิญญาณด้วยหลักศาสนาอิสลามมาแล้ว จะเป็นผู้ลงมือกระทำ

แต่จากการสืบสวนสอบสวนผู้ต้องหาในคดีสะเทือนขวัญบางคดี กลับปรากฏว่า ส่วนใหญ่หลายคดีที่ร้ายแรงและบ่อนทำลายเหล่านั้น ผู้ต้องหาจำนนด้วยหลักฐาน บางคนเป็นผู้เชี่ยวชาญในวิธีการทำระเบิด เชี่ยวชาญในการสังหาร เขาเหล่านั้นได้ให้การรับสารภาพ และเมื่อติดตามดูประวัติของคนเหล่านั้นก็จะพบว่า ไม่ได้เป็นคนขาดการศึกษาแต่ประการใด

มีหลายคนเหลือเกินที่ถูกพ่อแม่ส่งเข้าเป็นนักเรียนโรงเรียนสอนศาสนามาตั้งแต่เด็ก ไต่เต้าไปตามลำดับชั้นการเรียนจนถึงชั้นปีที่ 9- 10 ปฏิบัติศาสนกิจเช่น ทำละหมาดเป็นประจำ ถือศีลอดในเดือนรอมดอน มีบางคนเคยประกอบพิธีฮัจญ์ อ่านคัมภีร์แตกฉานตั้งแต่อายุยังน้อย สามารถท่องฮะดีษท่านนบีมุฮัมมัด ศ็อลฯ สามารถอ่านดุอาของพรบทต่างๆแบบท่องปากเปล่าได้คนละมากๆ แต่เหตุไฉนที่สิ่งเหล่านี้ มิได้มีศักยภาพเพียงพอที่จะยับยั้งพวกเขาเหล่านั้น ไม่ให้ก่อกรรมทำเข็ญกับเพื่อนมนุษย์ซึ่งเป็นบาปอย่างใหญ่หลวง ตามหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม

หลังจากได้นำเอาสองบริบทที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงเหล่านี้มาพินิจพิเคราะห์แล้ว ก็พบว่า น่าจะนำมาเสนอเป็นประเด็นคำถามต่อสังคมมุสลิมในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ โดยเฉพาะจะขอถามไปยังสังคมของท่านครู ผู้รู้ อุสตาซและบาบอทั้งหลายที่ประชาชนให้ความเคารพนับถือ ให้การยอมรับว่าเป็นผู้นำทางด้านจิตวิญญาณ และผู้นำทางศาสนาและวัฒนธรรมในท้องถิ่น

ถามว่า ได้เกิดอะไรขึ้นกับสถาบันการศึกษาอิสลามของเราทั้งหลายที่มีอยู่ดาษดื่น หลักสูตรการเรียน การสอนศาสนาของเรามีช่องโหว่ ช่องว่างตรงส่วนไหนอย่างไรหรือไม่ จึงทำให้สาระทางวิชาการศาสนาของเราที่ถ่ายทอดออกไปสู่เยาวชนไม่มีพลังในการยับยั้งพฤติกรรมที่เลวร้ายทั้งหลายทั้งปวงได้ โดยเฉพาะพฤติกรรมการก่อความไม่สงบ ซึ่งบุคคลที่ถูกจับได้ส่วนหนึ่งได้สารภาพอย่างหน้าชื่นตาบาน ว่าตัวเองเคยเรียนศาสนาระดับสูงจากสถาบันนั้นๆมาแล้ว

ค่อนข้างจะทำให้คนทั่วไปรู้สึกว่า บัดนี้ ป่วยการที่จะประกาศ หรือโฆษณาว่า อิสลาม แปลว่า “สันติสุข” ป่วยการที่จะกล่าวว่า สังคมมุสลิม คือสังคมที่ร่มเย็นเป็นสุข นั่นคือ สังคมของมนุษย์ที่จรรโลงระบบระเบียบ กฎกติกาในการอยู่ร่วมกัน ซึ่งหมายถึงสังคมของมนุษย์ที่ยอมรับนับถือในสิทธิ เสรีภาพ เพื่อสร้างสรรค์สันติภาพให้เกิดขึ้นในสังคม

ฉะนั้นถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราทั้งหลายจำเป็นต้องหันมาทบทวน วิเคราะห์กระบวนการเรียนการสอนหลักศาสนา โดยเชิญอาลิม อุลามาอ์ ปราชญ์ราชบัณทิตผู้ทรงคุณวุมิในศาสนาอิสลามทั้งในและต่างประเทศมาชำระสะสางหลักสูตรการเรียนการสอนในสถาบันการศึกษาที่สอนเกี่ยวกับศาสนาอิสลามในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้กันอย่างเป็นระบบ ให้ละเอียดถี่ถ้วน เพื่อจะได้ข้อสรุปว่า แต่ละสถาบันเหล่านั้น ได้สอน หรือได้ปลูกฝังอะไรให้กับเยาวชน จึงได้ทำให้วิสัยทัศน์ของเยาวชนเหล่านั้นปรวนแปร มีแนวความคิดที่น่ากลัวและเป็นอันตรายต่อการอยู่ร่วมกันของคนในสังคม แทนที่จะได้รับการกล่อมเกลาให้มีความรักและชื่นชอบต่อหลักสันติธรรม

เราต้องยอมรับว่า เยาวชนที่กำลังมีพลังทางสติปัญญาและอนาคตอันสดใสจำนวนมาก ได้เข้าไปร่วมอยู่ในขบวนการของกลุ่มผู้ไม่หวังดีต่อบ้านเกิดเมืองนอน ด้วยความคิดอันหลงผิดที่พวกเขาเรียกว่า “อุดมการณ์” นั่นคือ ต้องการแบ่งแยกดินแดน ต้องการสร้างปัญหาหรือสถานการณ์ที่รุนแรง ด้วยการลอบสังหารเจ้าหน้าที่รัฐ หรือผู้ที่มีทัศนคติที่ดีต่ออำนาจรัฐ

ความรู้จากส่วนไหนของศาสนาอิสลามที่ทำให้คนเหล่านั้น กลายเป็นคนมีความคิดเบี่ยงเบนเช่นนั้น ? คำถามที่จำเป็นต้องเจาะหาคำตอบให้ชัดก็คือ วิชา อะไร ประวัติศาสตร์ตอนไหน หลักสูตรแขนงใดของวิชาการศาสนาอิสลามที่ได้ทำให้คนเหล่านั้น มีความพึงพอใจที่จะปลีกตัวออกจากร่มเงาของมัสยิดที่มีอิหม่ามเป็นผู้นำ ไปจับปืนหลบซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา หรือในป่าดงพงไพร ฝึกฝนตัวเองให้เชี่ยวชาญกับการใช้อาวุธ แล้วออกมาเข่นฆ่าผู้คน ผู้มีเลือด มีเนื้อ มีจิตวิญญาณ ?

ทั้งๆที่อิสลามสอนว่า การปลีกตัวออกจากหมู่คณะ(ญะมาอะฮ์)ของตัวเองในมัสยิด หรือหลบหนีจากผู้นำหรืออิหม่ามของตนด้วยการฝ่าฝืน ละเมิดคำสอนของศาสนานั้น จะทำให้คนผู้นั้น หมดสภาพจากความเป็นมุสลิม

ท่านศาสดามุฮัมมัด(ศ็อลฯ)ได้กล่าวไว้ว่า “ผู้ใดกระทำการฝ่าฝืนคำสั่งของอิหม่ามของตนเองอันเป็นคำสั่งที่ชอบตามหลักศาสนา จะทำให้การตายของผู้นั้น เป็นการตายแบบญาฮิลียะฮ์(คนงมงายไร้ศาสนา)”(รายงานโดยบุคอรี)

แน่นอนที่สุด นักเรียนศาสนาที่ร่ำเรียนไต่เต้ามาตั้งแต่เยาว์วัยจนสอบได้ถึงชั้นปี 10 ย่อมย่อมได้ผ่านการเรียนรู้ด้านคุณธรรมทางศาสนาในด้านต่างๆมาแล้วครบครัน และเป็นไปไม่ได้ที่ว่า เขาไม่เคยรู้ว่า การฆ่าคนบริสุทธิ์ เป็นบาปใหญ่ เป็นไปไม่ได้ว่า พวกเขาได้ก่อความปั่นป่วน ก่อความไม่สงบในบ้านเมือง เพื่อสร้างความหวาดผวาให้แก่ผู้คน เป็นฟิตนะฮ์ หรือก่อความเสียหาย และความสกปรกโสมมทางสังคมด้วยความหลงผิด หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์

คำถาม สำหรับบรรดาอิหม่ามมัสยิดทั้งหลายในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็คือว่า ท่านได้ให้คำแนะนำ คำสั่งสอนสมาชิกสัปปุรุษของท่านอย่างไร อิทธิพลคำสอนทางศาสนาที่คนเหล่านั้นได้รับหรือซึมซับเข้าไป ทำไมจึงทำให้คนเหล่านั้นมีความคิดรุนแรง อคติต่อความสงบสุขร่มเย็น มองเห็นการก่อกวนสังคมและใช้ชีวิตที่ขัดกับหลักศาสนา

สถาบันศาสนา องค์กรเผยแพร่ศาสนาที่สถิตย์เสถียรอยู่ในดินแดนเหล่านี้ จะมีความหมายได้อย่างไร องค์ความรู้เกี่ยวกับอิสลาม ตลอดจนภูมิปัญญาของแต่ละองค์กรที่อ้างว่า มาจากศาสดาของพระผู้เป็นเจ้า และที่อ้างว่า มีประสิทธิภาพในการจัดระบบสังคม ซึ่งปรากฏดกดื่นในรั้วมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยใหญ่น้อย ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น จะมีคุณค่า มีเกียรติยศ มีศักดิ์ศรีได้อย่างไร ในเมื่อพื้นที่แห่งนี้รายรอบไปด้วยมิคสัญญี และสัญญาณร้ายจากคนที่เคยร่ำเรียนหลักสูตรทางศาสนาอิสลาม ซึ่งพวกท่านเป็นผู้กำหนดทิศทาง

 

โดย: yomyai.igetweb.com IP: 124.121.72.193 16 กรกฎาคม 2551 12:44:12 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Darksingha
Location :
สมุทรสงคราม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]





Click for use Graphics comment


Darksingha ที่แสดงถึงอำนาจและความมืดมัว ผมให้แทนคำว่า Age of Doubt หรือยุคแห่งความสงสัยก็แล้วกัน ดังนั้นBlogนี้จึงเป็นแดนสนธยาที่เต็มไปด้วยหมอกควันแห่งคำถาม และการละเล่น เพื่อแสวงหา ?


TV3 Live CH5 Live CH7 Live Modernine TV Live NBT LIVE - CH11 TPBS - Public Channel ASTV1 New11 - Online News 24 hours Nation Channel DMC.TV - Buddhistic Television ASTV5 - Suvarnbhumi ASTV7 - Buddhistic Television  True New 24 Channel  skynew  cnnibn Channel  cnn Channel  bbcnews_island Channel  cctv  Channel  bfmtv  Channel  ntv  Channel  fox8 Channel  foxnews5 Channel  cspan  Channel  france24 Channel  world_explorer Channel  discovery_channel Channel  nasa  Channel kimeng-channel dmc-channel ebr-channel research-channel utv-channel michigan-channel at-florida-channel islam-channel peace-usa-channel bbc-panorama-channel CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live

music is life

ชุมทางเพลงเพื่อชีวิต

Friends' blogs
[Add Darksingha's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.