|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
คำแนะนำของ ชัยคฺ ดร.ยุซุฟ อัลก็อรฏอวีย์ ประธานของสหภาพนักปราชญ์มุสลิมนานาชา
อ.อับดุชชะกูร์ บินชาฟิอีย์ ดินอะ (อับดุลสุโก ดินอะ) อีเมล์: shukur2003@yahoo.co.uk บล็อก: //www.oknation.net/blog/shukur โรงเรียนจริยธรรมศึกษามูลนิธิ ต.สะกอม อ.จะนะ จ.สงขลา
จากซ้ายขวาไปซ้าย เชค ซัลมาน อัล-เอาดะฮฺ, อุสตาซ อัมร คอลิด และ ดร. ยูซูฟ อัล-ก็อรฎอวียฺ
ด้วยพระนามของอัลลอฮฺผู้ทรงเมตตาปรานีกรุณาปรานีเสมอ ขอความสันติและความจำเริญแด่ศาสดามุฮัมมัดและผู้เจริญรอยตามท่าน สุขสวัสดีผู้อ่านทุกท่าน
ศาสดามุฮัมมัด ได้ประกาศและเผยแพร่ความรู้ตลอดจนถ่ายทอดวิทยาการแก่มนุษยชาติอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่มีสิ่งใดที่ยังประโยชน์แก่ชีวิตมนุษย์ทั้งโลกนี้และโลกหน้าเว้น เพราะพระเจ้าทรงส่งศาสดามาเพื่อประทานความเมตตาแก่ประชาชาติและสรรพสิ่งทั้งโลก ความเมตตามิใช่เฉพาะมุสลิมอย่างเดียวหรือแม้กระทั่งมนุษย์อย่างเดียวเพราะคำว่าสรรพสิ่งนั้นคือทุก สิ่งทั้งมีชีวิตและไม่มีชีวิต(โปรดดูอัลกุรอาน ซูเราะฮอัลอัมบิยาอฺ 21 : 107)
ในขณะที่หน้าที่หลักของมนุษย์ในทุกยุคทุกสมัยก็คือการค้นหาสัจธรรมและรวบรวมวิทยาการที่ท่านศาสดามุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ได้ฝากทิ้งไว้ พร้อมประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของศาสนาอันแท้จริง และผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เผยแพร่สัจธรรมดังกล่าวหลังจากการเสียชีวิตของท่าน (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) ก็คือบรรดาอุละมาอฺ (ปราชญ์/ ผู้รู้ในศาสนา) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นทายาทของบรรดาศาสนทูต ดังปรากฏในวัจนศาสดา (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม) กล่าวไว้ความว่า แท้จริงบรรดาอุละมาอฺ (ปราชญ์/ ผู้รู้ในศาสนา) คือ ทายาทผู้สืบทอดมรดกจากเหล่าศาสดา (รายงานโดยอิหม่ามอาหมัด 5/196)
ผู้รู้ในศาสนาอิสลามนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่า เป็นผู้นำทางธรรมชาติในสังคมมุสลิม ความสำคัญของผู้นำมุสลิมตามทัศนะอิสลาม ในสังคมมุสลิมผู้รู้ในศาสนาอิสลามหรือตามภาษาพื้นบ้าน 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ว่า โต๊ะครู ซึ่งมาจากภาษามลายูกลางว่า ตวนฆูรู หรืออาจมาจากคำว่า 'คุรุ' หรือ 'ครู' นั้นเอง แต่ในภาษาอาหรับ หรือในภาษาที่ชาวมุสลิมทั่วไปอาจเรียกอย่างยกย่องว่าอาลิม (ผู้รู้ 1 คนเป็นเอกพจน์) หรืออุละมาอฺ (ผู้รู้ หลายคนเป็นพหูพจน์) โดยมีรากศัพท์ ผันมาจาก อิลมฺ คือความรู้ โต๊ะครูหรือ อาลิมและอุลามาอฺ จึงให้ความหมายถึง ผู้รู้และบรรดาผู้รู้ ในที่นี้คือ รู้ในศาสตร์ของอิสลาม หรืออิสลามศึกษา
บุคลิกภาพของผู้รู้จะต้องมีภาพสะท้อนของบรรดาศาสดาทั้งหลาย ทรัพย์สินเงินทอง ลาภยศสรรเสริญ จะต้องไม่เป็นตัวบั่นทอนการนำเสนอสัจธรรมสู่มวลชน หรือสู่สังคม การสงบเสงี่ยมและเจียมตัว และอยู่อย่างพอเพียง พึงใจต่อความเมตตาปรานีของพระเจ้า และที่สำคัญที่สุดของภาระหน้าที่ของอุลามาอฺ หรือโต๊ะครู นั้นคือ การรับใช้มนุษย์และสังคม ตลอดจนรับผิดชอบสังคม ในความดี ความชั่วที่เกิดขึ้น
ที่สำคัญต้องสามารถแสดงจุดยืนด้านธรรมะและหลักการที่ถูกต้องตามหลักศาสนาเรื่องราวเหล่านี้เป็นการแสดงบทบาทที่ตรงกับเป้าหมายของอิสลามมากที่สุด
เพราะจะเป็นไปได้อย่างไรที่มนุษย์จะศรัทธาหรือยอมรับแนวทางการดำเนินชีวิตของใครสักคน โดยที่ใช้แบบอย่างจากคำพูดของเขา แต่ไม่สามารถเห็นได้จากการกระทำของเขา
ชัยคฺ ดร.ยุซุฟ อัลก็อรฏอวีย์ (ชาวอียิปต์) ประธานของสหภาพนักปราชญ์มุสลิมนานาชาติ (IAMS) เป็นผู้รู้ด้านศาสนาอีกท่านหนึ่งที่ยากแนะนำแนวคิดของท่านให้ผู้อ่านได้รู้จักเพราะในวงการวิชารโลกมุสลิมถือว่าท่านเป็นผู้รู้อันดับหนึ่งที่ได้รับการยอมรับ
ท่านเคยให้ทัศนะเกี่ยวกับ ปัจจัยต่างๆ ของปรากฏการณ์ที่นำไปสู่ความรุนแรงในโลกมุสลิมและการกระทำต่างๆ ที่มุสลิมเข้าไปเกี่ยวข้อง ไว้อย่างน่าคิดว่า
1.การขาดแนวคิดสายกลาง เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องให้แนวคิดอิสลามสายกลางเป็นที่แพร่หลายในหมู่คนหนุ่มสาว เพื่อที่พวกเขาจะพบวิถีทางที่ถูกต้องแทนที่พวกเขาจะทำตัวไม่เปิดเผย ซึ่งการขาดแนวคิดเช่นนี้ได้เปิดโอกาสให้แนวคิดสุดโต่งแทรกเข้ามา
2.การขาดอุละมาอฺ (นักปราชญ์อิสลามศึกษา) ที่แท้จริง ซึ่งสามารถให้ความเชื่อมั่น (ต่อแนวทางสายกลาง) ด้วยหลักฐานที่มาจากอัลกุรอานและซุนนะฮฺ (วจนศาสดา) พวกเขาได้หายไปจากสนามแห่งนี้ จึงเปิดโอกาสให้กับผู้ที่ขาดคุณสมบัติ ที่ถูกเรียกว่าอุละมาอฺซึ่งทำงานเพื่อผู้ที่มีอำนาจ ดังนั้น คนหนุ่มสาวจึงสูญเสียความเชื่อมั่นไป และได้ตั้งตัวพวกเขากันเองให้เป็นชัคย์ (คือเป็นโต๊ะครูหรือนักปราชญ์อิสลามศึกษา) ในการฟัตวา (วินิจฉัยหลักศาสนา) ประเด็นปัญหาที่ซับซ้อน
3.การแพร่กระจายของความชั่วร้ายและเพิ่มขึ้นของการกดขี่ในสังคมเป็นเหตุผลที่สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรง
ที่สำคัญท่านเคยให้คำโอวาทโดยตรงกับคนหนุ่มสาวมุสลิมไทยไว้ว่า
โอ้เหล่าคนหนุ่มสาวมุสลิมไทยทั้งหลาย ... นับว่าเป็นโอกาสอันดียิ่งที่ฉันจะได้พูดคุยกับพวกท่าน พวกท่านทั้งหลายผู้เป็นลูกหลานของศาสนาอันยิ่งใหญ่
ข้าพเจ้าขอฝากท่านทั้งหลาย 4 ประการ
ประการที่ ๑ จงภูมิใจว่า พวกท่านคือครูของโลก ขอให้พวกท่านจงภาคภูมิใจต่อการที่ได้อยู่ในแนวทางของศาสนานี้ จงตระหนักว่าตำแหน่งของประชาชาติอิสลามก็คือ ตำแหน่งของผู้นำและตำแหน่งของผู้เป็นครูของโลก
อัลลอฮฺทรงให้ประชาชาตินี้เกิดขึ้นนั้นมิใช่เพื่อจุดประสงค์ทางวัตถุและสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวมันเอง แต่มันถูกบังเกิดขึ้นมาเพื่อเป็นทางนำให้แก่มนุษย์ เพื่อยกฐานะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา และนำมนุษย์ออกจากความมืดของความโง่เขลามาสู่ความสว่างแห่งความรู้
ประการที่ ๒ จงสร้างชีวิตจากอัล กุรอาน เนื่องจากนบีของประชาชาติ(อุมมะฮฺ)นี้เป็นผู้ที่ได้รับคัมภีร์จากฟากฟ้า จึงตกเป็นภารกิจหนึ่งของอุมมะฮฺที่จะต้องนำคัมภีร์ของนบีของพวกเขาออกไปเผยแผ่ให้มนุษย์ทั้งหมด ภารกิจอันสำคัญนี้จะสัมฤทธิ์ผลได้ก็ต่อเมื่อสมาชิกของอุมมะฮฺนี้ จะได้เชื่อฟังและลงมือปฏิบัติตนตามคัมภีร์นี้อย่างจริงจังเสียก่อน
จำเป็นที่มุสลิมทุกคนจะต้องทำตนให้เป็นอิสลามที่มีชีวิต ให้เป็นภาพของอิสลามที่เดินไปมาปะปนกับมนุษย์อื่นๆ ให้เป็นคัมภีร์ที่เดินได้ เป็นผู้ที่ทำให้มนุษย์ได้เห็นความสูงส่งของอิสลามในตัวของพวกเขา อันเป็นบุคลิกเช่นเดียวกับนบีของพวกเขา เมื่อครั้งที่ท่านหญิงอาอีชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุ อันฮา ถูกถามถึงบุคลิกภาพของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะ ซัลลัม ท่านหญิงตอบว่า บุคลิกของท่าน (นบีมุฮัมมัด) ก็คืออัลกุรอาน
ประการที่ ๓ จงเป็นหนึ่งเดียว อย่าแตกแยกกัน อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮุ วะ ตะอาลา ได้ตรัสว่า
...และจงอย่าขัดแย้งกัน จะทำให้พวกเจ้าล้มเหลว และทำให้พลังอำนาจของพวกเจ้าหมดไป (อัล อันฟาล: 46)
การขัดแย้ง เป็นต้นเหตุของการสูญเสียความเข้มแข็ง และทำให้ความพยายามไร้ผล มุสลิมที่เป็นชนส่วนน้อยนั้น จำต้องรักษาความเป็นพี่น้องกันไว้ อย่าให้เกิดความแตกแยก ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาสิทธิของพวกเขา มิให้ชนส่วนใหญ่ที่มิใช่มุสลิมดูถูกข่มเหงได้ นี่คือเหตุผลที่อิสลามเรียกร้องเราให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ประการที่ ๔ จงศึกษาหาความเข้าใจในอิสลาม ฉันขอเรียกร้องให้พวกท่านจงหมั่นศึกษาอิสลาม และพยายามทำความเข้าใจมันให้ถ่องแท้ และจงขยันอ่านหนังสือของนักเขียนมุสลิมร่วมสมัยที่เป็นที่รู้จักกันดี และจงถ่ายทอดให้เป็นภาษาของท่านเท่าที่มีความสามารถ ทั้งหมดนั้นเป็นคำสั่งเสียของฉันต่อพี่น้องและลูกหลานของฉันในประเทศไทย
ท่านยังได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันระหว่างมุสลิมกับต่างศาสนิกไว้ว่า (กุดามะฮฺ แปลและเรียบเรียงใน //www.islam.in.th/)
ทรรศนะพื้นฐานในการปฏิบัติที่อดกลั้นซึ่งมุสลิมได้ใช้เป็นกรอบในการปฏิบัติต่อความเชื่ออื่นนั้น อ้างอิงมาจากแนวคิดและความเป็นจริงที่กระจ่างชัดที่อิสลามได้ฟูมฟักในปัญญาและหัวใจของมุสลิม อันได้แก่
1.มุสลิมทุกคนมีความศรัทธามั่นในความมีเกียรติของมนุษย์ไม่ว่ามนุษย์ผู้นั้นมีศาสนาใดหรือมีเชื้อชาติใดหรือมีสีผิวใดก็ตามดังที่อัลลอฮฺ ได้ตรัสความว่า และโดยแน่นอน เราได้ให้เกียรติแก่ลูกหลานอาดัม... อัล อิสรออฺ 70 ตัวอย่างหนึ่ง จากแนวคิดข้างต้นได้ถูกนำไปปฏิบัติจริง นั่นคือถูกรายงานไว้โดยอิมามบุคอรียฺ จากท่านญาบิร อิบนิ อับดุลลอฮฺ ความว่า มีศพหนึ่งได้ถูกเคลื่อนผ่านท่านนบี ดังนั้นท่านได้ลุกขึ้นยืนมีผู้กล่าวกับท่านว่า โอ้ ผู้นำสาส์นของอัลลอฮฺ นั่นมันศพของยิว ท่านนบีกล่าวว่า มันไม่ใช่ชีวิตหนึ่งกระนั้นหรือ?
2. มุสลิมมีความศรัทธาต่อความหลากหลายทางศาสนาในหมู่มนุษยชาติในฐานะที่เป็นสภาพที่เป็นจริงอันเนื่องจากพระประสงค์ของอัลลอฮฺได้ให้ลักษณะเช่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของอิสรภาพและการเลือกเฟ้นได้ในปวงบ่าวของพระองค์ นั่นก็คือเขาสามารถเลือกปฏิบัติหรือเลือกที่จะละทิ้ง ดังที่อัลลอฮฺ ได้ตรัสความว่า
ดังนั้นผู้ใดประสงค์ก็จงศรัทธา และผู้ใดประสงค์ก็จงปฏิเสธ...(อัล กะฮฺฟฺ 29) อีกโองการหนึ่งได้ตรัสความว่า และหากพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์แน่นอน พระองค์จะทรงทำให้ปวงมนุษย์เป็นประชาชาติเดียวกัน แต่พวกเขาก็ยังคงแตกแยกกัน(ฮูด 118) ใช่แล้ว ทุก ๆ ชีวิตในทรรศนะของอิสลามนั้นมีเกียรติ จุดยืนของท่านศาสดาช่างเป็นจุดยืนที่น่าประทับใจยิ่ง คำอธิบายของท่านศาสดาช่างเป็นคำอธิบายที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ดังนั้น มุสลิมมีความเชื่อมั่นอย่างเน้นแฟ้นต่อพระประสงค์ของอัลลอฮฺ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแบบใดก็ตาม ดังนั้นไม่มีสิ่งใดที่อัลลอฮฺประสงค์เว้นแต่ในนั้นมีความดีและวิทยปัญญา ไม่ว่ามนุษย์จะรู้หรือมิรู้ในเรื่องดังกล่าวก็ตาม ด้วยเหตุนี้เองมุสลิมจะไม่มีแม้แต่วันเดียวที่จะคิดว่าเขาสามารถที่จะไปบังคับคนอื่นให้มาเป็นมุสลิม ทำไมเขาต้องคิดเช่นนั้น ก็เพราะว่าอัลลอฮฺเขาได้ตรัสกับท่านศาสดาไว้ว่า และหากพระเจ้าของเจ้าทรงประสงค์แน่นอน ผู้ที่อยู่ในแผ่นดินทั้งมวลจะศรัทธา (แล้ว) เจ้าจะบังคับมวลชนจนกว่าพวกเขาจะเป็นผู้ศรัทธากระนั้นหรือ? (ยูนุส 99)
3.ในทรรศนะของอิสลามแล้วมุสลิมมิใช่ผู้ที่ต้องรับผิดชอบ ในการตรวจสอบการปฏิเสธศรัทธาที่มีอยู่ในบรรดาผู้ที่ปฏิเสธศรัทธา มุสลิมมิได้มีหน้าที่ลงโทษผู้หลงผิดที่มีอยู่ในบรรดาผู้หลงผิดทั้งหลาย มิใช่เรื่องอันใดของมุสลิมที่จะไปคุกคามผู้ที่อยู่ในความเชื่ออื่นในโลกนี้ ในทรรศนะของอิสลามนั้นการสอบสวนเรื่องเหล่านี้ทั้งหมดขึ้นอยู่กับอัลลอฮฺในวันแห่งการตอบแทน การตอบแทนพวกเขาทั้งหมดเป็นหน้าที่ของอัลลอฮฺ ในวันตอบแทน ดังที่อัลลอฮฺได้ ตรัสความว่า และหากพวกเขาโต้แย้งเจ้า ก็จงกล่าวเถิดว่า อัลลอฮฺทรงรอบรู้ยิ่งในสิ่งที่พวกท่านกระทำอยู่,อัลลอฮฺจะทรงตัดสินระหว่างพวกท่านในวันกิยามะฮฺ(วันแห่งการตอบแทน) ในสิ่งที่พวกท่านได้ขัดแย้งกันในเรื่องนั้น (อัลฮัจญ์68-69) และอัลลอฮฺ ได้กล่าวกับท่านศาสดาไว้เกี่ยวกับชาวยิวและชาวคริสต์ว่า ดังนั้น เพื่อการนี้แหละเจ้าจงเรียกร้องเชิญชวนและดำรงอยู่ในแนวทางที่เที่ยงธรรมดังที่เจ้าได้รับบัญชา และอย่าได้ปฏิบัติตามอารมณ์ต่ำของพวกเขา และจงกล่าวว่า ฉันได้ศรัทธาในสิ่งที่มีอยู่ในคัมภีร์ตามที่อัลลอฮฺทรงประทานลงมา และฉันได้รับบัญชาให้ตัดสินระหว่างพวกท่านด้วยความเที่ยงธรรม อัลลอฮฺคือพระเจ้าของฉันและพระเจ้าของพวกท่าน(การตอบแทน) การงานของฉันก็จะได้แก่ฉันและ (การตอบแทน) การงานของพวกท่านก็จะได้แก่พวกท่าน ไม่มีการโต้แย้งใดๆ ระหว่างพวกเรากับพวกท่าน อัลลอฮฺจะทรงรวบรวมพวกเราทั้งหมด และยังพระองค์คือการกลับไป (อัช ชูรอ15)
ด้วยเหตุนี้เองความรู้สึกนึกคิดของมุสลิมที่ดีจึงนิ่งสงบ คนมุสลิมที่ดีจะไม่พบว่าสภาวะภายในของเขาจะมีปัจจัยใดๆ ที่จะก่อให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างความเชื่อของพวกเขากับการปฏิเสธศรัทธาของศาสนิกอื่น หรือเกิดการปะทะระหว่างการเรียกร้องให้มุสลิมทำความดีและการให้ความยุติธรรมกับพวกเขากับการที่ศาสนิกนั้นๆ ได้ประกาศความเชื่อตามทรรศนะของพวกเขาในเรื่องศาสนาและความศรัทธา
4.สุดท้ายมุสลิมนั้นมีความศรัทธาว่าอัลลอฮฺได้สั่งให้พวกเขามีความยุติธรรมให้รักความยุติธรรมและได้เรียกร้องพวกเขาให้มีบุคลิกลักษณะและมารยาทที่มีเกียรติแม้แต่เป็นการปฏิบัติกับผู้ตั้งภาคี (ผู้บูชาพระเจ้าหลายองค์) ก็ตาม และพระองค์ได้สั่งให้มุสลิมนั้นรังเกียจการกดขี่ขมเหงและพระองค์จะลงโทษบรรดาผู้กดขี่ แม้กระทั่งว่าการกดขี่นั้นมุสลิมได้ทำกับศาสนิกอื่นก็ตาม อัลลอฮฺได้ตรัสความว่า
และจงอย่าให้การเกลียดชังพวกหนึ่งพวกใดทำให้พวกเจ้าไม่ยุติธรรม จงยุติธรรมเถิด มันเป็นสิ่งที่ใกล้กับความยำเกรงยิ่งกว่า... (อัล-มาอิดะฮฺ 8) ท่านศาสดาได้กล่าวอีกความว่าคำวิงวอน (ที่มีต่ออัลลอฮฺ) ของผู้ถูกกดขี่ข่มเหง แม้ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธา (ต่างศาสนิก) จะไม่มีสิ่งใดขวางกั้นคำวิงวอนนั้น (รายงานโดยอิมาม อะหฺมัด)
จากพี่น้องในอิสลาม เชค ยูซุฟ อัล ก็อรฎอวียฺ
หมายเหตุ
1. ประวัติ ชัยคฺ ยูซุฟ อัล-ก็อรฎอวียฺ มีชื่อเต็มว่า ยูซุฟ อับดุลลอฮฺ อัล-ก็อรฎอวียฺ เกิดในปี 1926 จังหวัด ฆอรบียะฮฺ ประเทศอิยิปต์ ครอบครัวของท่านเป็นชาวนาที่ยากจนและเคร่งครัดศาสนา เมื่อท่านอายุได้ 2 ขวบพ่อของท่านก็เสียชีวิต ท่านจึงได้รับการเลี้ยงดูโดยอาของท่าน อาของท่านเป็นคนที่ใจดีและได้ใส่ใจต่อความเป็นอยู่ของท่านเป็นอย่างดี
อาของท่านได้ให้ท่านท่องจำอัลกรุอ่านในโรงเรียนสอนอัลกรุอ่านประจำหมู่บ้าน จนท่านสามารถจำได้ทั้งเล่ม เมื่ออายุได้ 10 ขวบ จากนั้นมา ญาติพี่น้องได้เรียกท่านด้วยคำนำหน้าชื่อว่า ชัยคฺ เมื่อท่านสำเร็จการศึกษาระดับประถม อาของท่านคิดจะสอนงานฝีมือให้แก่ท่านเพื่อให้ท่านมีรายได้ แต่ท่านไม่คิดอย่างนั้น ท่านมีความกระตือรือร้นที่จะศึกษาต่อในวิชาการอิสลาม ท่านจึงโน้มน้าวให้อาของท่านเห็นด้วยกับต้องการของท่าน และอีกครั้งหนึ่งที่อาผู้ใจดีได้ปูทางให้แก่ท่าน
ชัยคฺ ยูซุฟ เข้าศึกษา ณ สถาบันทางศาสนาที่เมืองฏอนฏอ 9 ปี ในปีต่อมาท่านสำเร็จการศึกษาและเดินทางไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัย อัล-อัซฮัร ท่านได้ลงทะเบียนในคณะอุซูลุดดีน(ศาสนศาตร์) ในปี 1953 ท่านสำเร็จการศึกษาจากคณะนี้ด้วยคะแนนเป็นอันดับหนึ่งของชั้น จากนักศึกษา 180 คน ในปี 1955 ท่านสำเร็จการศึกษาด้านภาษาอาหรับโดยได้ที่ 1 จากนักศึกษา 500 คน ต่อจากนั้นท่านได้ศึกษาต่อในระดับสูงสาขาภาควิชาอัลกรุอ่านและซุนนะฮฺของคณะอุซูลุดดีน และท่านเป็นนักศึกษาเพียงคนเดียวในชั้นเรียนที่ผ่านการสอบเบื้องต้นและสำเร็จการศึกษาในปี 1960ในปี 1960 (ปีเดียวกัน) ท่านเริ่มเตรียมตัวเพื่อทำปริญญาเอก แต่ต้องหยุดชะงัก!!! เพราะข้อกล่าวหาว่าเป็น สมาชิกของขบวนการภราดรภาพมุสลิม ที่กำลังถูกปราบปรามโดยผู้ปกครองอิยิปต์ในสมัยนั้น
อันนำไปสู่การล่าช้าในการสอบปริญญาเอกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนถึงปี 1973 ท่านจึงผ่านการศึกษาระดับปริญญาเอก ในหัวข้อของวิทยานิพนธ์ คือ ซะกาต และผลของมันในการแก้ไขปัญหาสังคม ชัยคฺอัลก็อรฏอวียฺ ได้ร่วมกับขบวนการอิสลาม ภราดรภาพมุสลิม ตั้งแต่วันที่ท่านศึกษาระดับประถมที่ฏอนฏอ
บุคคลที่มีอิทธิพลต่อท่านมากที่สุดก็คือ อิหม่ามฮะซัน อัลบันนา(ผู้ก่อตั้งขบวนการภราดรภาพมุสลิม หรือ อิควานมุสลิมมีน) แม้ว่าท่านจะได้พบกับอิหม่ามคนนี้ไม่กี่ครั้ง ท่านกล่าวว่า บุคคลที่มีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตของฉัน ไม่ว่าทางความคิด ไม่ว่าทางจิตวิญญาณ คือ อัช-ชะฮีด ฮะซัน อัลบันนา ผู้ก่อตั้งขบวนการอิสลามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคสมัยใหม่ แต่ฉันไม่ได้อยู่ร่วมกับท่านเหมือนกับคนอื่นๆ เนื่องจากท่านอิหม่ามอยู่ที่ไคไร
ส่วนฉันยังเป็นเด็กนักเรียนอยู่ที่ฏอนฏอ แต่ว่าฉันได้ฟังท่านพูดหลายครั้งที่ฏอนฏอ ฉันได้เดินทางตามหลังท่านไปในบางเมือง เพื่อจะได้เห็นท่านและได้ฟังสิ่งที่ท่านพูด เหมือนกับที่ฉันได้อ่านสิ่งที่ท่านเขียนในสาล์นและบทความต่างๆทั้งหมด
ปัจจุบันท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานของสหภาพนักปราชญ์มุสลิมนานาชาติ (IAMS)
จากหนังสือ แด่ คนหนุ่มสาวมุสลิม ชัยคฺ ยูซุฟ อัล-ก็อรฎอวียฺ อัล-อัค สมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย แปลและเรียบเรียง
2. คัดบางส่วน จาก //www.fityah.com/index.php?option=content&task=view&id=25 และ //ar-ish.spaces.live.com/feed.rss หรือความคิดเห็นของท่านในภาษาอาหรับจาก //www.qaradawi.net
3. ดูรูปต่างๆของเชค ยูซุฟ อัล ก็อรฎอวียฺใน
//ar-ish.spaces.live.com/photos/cns!44913F3FD71D7B58!165/cns!44913F3FD71D7B58!166/
ที่มา : ประชาไท วันที่ : 2/10/2550
Create Date : 02 ตุลาคม 2550 |
|
0 comments |
Last Update : 2 ตุลาคม 2550 11:41:35 น. |
Counter : 1784 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|