Yokoso Japan #3 หลากอารมณ์ หลายสถานที่
มาอยู่ญี่ปุ่นวันที่สามแล้วครับ สงสัยไม่ค่อยได้กินน้ำรู้สึกร่างกายขาดน้ำยังไงไม่รู้ ก็เลยหมดตังค์กดน้ำเปล่าตู้ไปทีนึงก็ 130 เยน ตอนหลังถึงฉลาดขึ้นซื้อน้ำขวดใหญ่โคตรที่ร้าน 100 เยนแล้วเติมใส่เป้ไปกิน ยังไม่ชินกะการกินน้ำก๊อกน่ะครับ แล้วก็หาก๊อกที่ดูสะอาดน่าเชื่อถือไม่เจอ โปรแกรมตอนเช้าที่ Uji ครับ เมืองนี้คนไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่ แต่มีอะไรดีๆให้สัมผัสเยอะครับ ผมได้คำแนะนำมาจากคนในเว็บ trekking thai เมือง Uji ตั้งอยู่ระหว่างเกียวโตกับนาราครับ เรานั่งรถไฟสาย keihan ไปลงสุดสายที่สถานี Uji คนในรถไฟมีอยู่ไม่ถึงสิบคนได้ ได้เห็นสภาพชนบทของญี่ปุ่นกันผ่านสองข้างทาง สะพานเหลือง รู้แต่ว่าสะพานสีแดงนั่นคือเส้นทางที่เราต้องมุ่งไป เดินๆไปก็เจออาหารเข้าให้ เราเลือกอัน 1239 เยน เรากะว่าจะไปนั่งกินกันในวัดให้ได้อารมณ์เข้าถึงธรรม เข้าใจว่าเป็นร้านขายชา เขาบอกว่าชาที่ Uji เป็นชามีคุณภาพ เสียดายน่าจะซื้อติดมือมาซักแพ็ค อีก 100 เมตรก็จะถึงที่หมายแรก วัด Byodoin วัดนี้ดูไฮโซมากๆผสมผสานระหว่างความทันสมัยกับความเก่าแก่ได้อย่างลงตัวเป็นที่สุดครับ ลองดูบรรยากาศรอบๆกันก่อน แล้วก็เดินมาถึงด้านในของวัด จากนั้นก็เข้าไปดูของเก่าในพิพิธภัณฑ์กันสักหน่อย ได้ความรู้มาว่า บนยอดของหลังคาโบสถ์มีนกฟินิกซ์อยู่ เมื่อได้ความเราจึงกลับออกมาถ่ายรูปยืนยันข้อมูลกันอีกรอบ จากนั้นเราก็เดินทางไป Tea house กัน ตาม guide บอกว่าจะมีร้านราเมงเส้นชาเขียว แต่ดูเหมือนว่าเราจะเดินเลยมาแล้ว ก็เลยได้เวลาจัดการกับชุดซูชิที่ซื้อมาตั้งกะเช้าเดี๋ยวปลามันจะสุกซะก่อน ให้ดูกันใกล้ๆ หน้าใข่ปลานั้นชนะเลิศกัดไปแล้วไข่แตกในปากแป๊ะๆๆ พูดแล้วอยาก ทีเด็ดของมื้อนี้อีกอย่างคือการได้นั่งรับประทานอาหารริมน้ำ ทำให้มื้อนี้ได้รับรางวัลมื้อที่คุ้มค่ามากที่สุด รับรู้ได้ถึงความสุขผ่านสายตาและผ่านต่อมรับรสในช่องปาก มองแม่น้ำที่ไหลรินเอื่อยๆ ในวินาทีนั้นเองผมรับรู้ถึงภาวะอุดมคติ แล้วเราก็มายืนอยู่ที่สะพานแดงนี้จนได้ ต้องมีของหวานจึงจะครบเซ็ท ชาเขียวเย็นอร่อยมาก มาดูความงามสองฝั่งแม่น้ำกันต่อครับ นับเป็นครั้งแรกของทริปนี้ที่ผมรู้สึกถึงพลังบางอย่างผ่านช่องรับภาพของกล้องดิจิตัล ดารารับเชิญ ยืนนิ่งมาก ตอนนี้ก็ประมาณบ่ายโมงแล้วผมต้องทำใจจากเมืองนี้แล้วเพื่อไปศาลเจ้า Fushimi inari ต่อ ของเด็ดของที่นี่ก็คือประตูโทอิและหมาจิ้งจอก (inari ในภาษาญี่ปุ่น) ถึงปากถ้ำแล้ว ประตูเรียงต่อกันเป็นทางขึ้นไปบนเขาทั้งลูกเลยทีเดียว สุดยอดมาก ภายในถ้ำ เดินใต่เขาไปเรื่อยก็พบจุดชมวิว พักเหนื่อยดื่มน้ำหวานดับกระหายคลายร้อน ภาพแบบนี้มีให้เห็นตลอดทาง ประตูบางอันก็สีซีดจางตามกาลเวลา จึงต้องมีคุณลุงผู้รักษาความสดของประตู เดินไปเดินมาประตูก็หายไป กลายเป็นป่าไปซะนี่!?!?!? เลยเอาภาพมาฝากเพื่อนที่รักการเดินป่า กลัวว่าจะเข้ารถเข้าพงกันไปซะเลยขอกลับทางเดิมดีกว่า ว่าแล้วก็ลากขาทั้งสองข้างเดินลงเขา พอออกมาจากศาลเจ้าก็มากินน้ำแข็งใสที่เล็งไว้ ขอบอกว่านี่เป็นน้ำแข็งใสที่อร่อยที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ครับ รสชาเขียวผสมน้ำหวานๆรสดี ข้างในเป็นถั่วแดงเม็ดโต โอวววววววววว ไม่มีเวลาพักเท้ามากนัก ภารกิจต่อไปคือเข้าเกียวโตไปซื้อตั๋ว Night bus จากเกียวโตไปโตเกียว เราดันไปนั่งรถไฟ limited ซึ่งความจริงต้องจ่ายเงินเพิ่ม 500 เยน แต่คนตรวจตั๋วก็ใจดีกับความไม่รู้ของนักท่องเที่ยวแบบพวกผมไม่เก็บเพิ่ม นั่งปืดเดียวถึงสถานีเกียวโต สถานีที่ครองตำแหน่งสวยที่สุดในทริปนี้ ทำการเดินหาที่ซื้อตั๋ว Night bus ก็พบว่าเต็มหมด!!! ทั้งของ JR และ Keihan เซ็งมากครับ จะมีที่ว่างก็อีกวันต่อไป เราจึงต้องเปลี่ยนแผนนั่งชินคันเซนแทนเพิ่มเงินอีก 4000 เยน เป็นการเสียแผนที่วางไว้ครั้งแรก หลังจากซื้อตั๋วชินคันเซนเรียบร้อยก็มาถ่ายรูป Kyoto tower ระบายอารมณ์ซักเล็กน้อย จากนั้นเราเดินไปตลาด Nishiki แต่ปรากฏว่าร้านส่วนใหญ่ปิดซะแล้ว เดินไปเรื่อยๆเจอร้านพิซซ่า สั่งมา 2 ถาดครับ อันนี้เป็นแบบใส่เส้นด้วยสไตล์โอซาก้า ไม่ประทับใจครับ ถึงเวลากลับบ้านนอนซักที วันนี้ใช้ Kansai pass คุ้มโคตรครับ พรุ่งนี้มาลุยกันต่อ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++แถมปล. เล็กๆสำหรับคนที่อยากอ่านการผจญภัยของโชยุกับนาสิกนะครับ ปกติในทุกคืนนาสิกจะมาเยี่ยมเยียนผมอยู่เสมอ บางทีเค้ามาชวนผมคุยจนผมแทบนอนไม่หลับ เราคุยกันตั้งแต่เรื่องละครหลังข่าวไปจนถึงเรื่องอภิปรัชญา แต่ด้วยวันนี้ขาของผมถูกใช้งานมากมาย บางทีนาสิกอาจเห็นใจหรือไม่ก็ร่างกายผมอ่อนล้าจนมันปฏิเสธการมาเยือนของเขายามค่ำคืน ดังนั้นในคืนนี้ผมจึงหลับสบายแต่ยังไม่วายต้องใส่เครื่องรางครอบหู