Group Blog
 
 
กันยายน 2552
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
23 กันยายน 2552
 
All Blogs
 
เวบอ่านและฟังธรรม

หลังจากไปลงชื่อรับแจกซีดีแถมด้วยหนังสือของคุณ ปุญญ์
ฟังและอ่านจนเกือบหมด ก็ติดใจธรรมะว่า ธรรมมะสมัยใหม่เนื้อหากระชับเข้าใจง่ายและฟังอ่านเพลินเหมือนกันนะ โดยเฉพาะของคุณดังตฤณ ก็กระจ่างเข้าใจง่ายดีและโดนใจปลงชีวิตได้ในหลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องโดนยืมเงินยังไม่ได้คืนหมดนี่แหละ โดนสุดๆ





แต่เนื้อหาในซีดีและเวบคุณดังตฤณเยอะมาก เลยย่อไว้สะกิดเตือนใจตัวเอง


เวบดังตฤณ
//dungtrin.com/

ลิ้งค์รวมเวบธรรมะที่อื่น สะดวกในการค้นอ่านและฟัง
//www.dhammajak.net/directory/



เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว
//www.dungtrin.com/prepare/


เสบียงเดียวที่คนเรานำติดตัวไปโลกหน้าได้คือกรรมดี ทรัพย์สินอื่นนอกเหนือจากนั้นต้องทิ้งไว้ในโลกนี้ทั้งหมด

‘ความเป็นที่สุด’ เป็นข้อ ๆ ดังนี้
1 เป็นการลงทุนน้อยที่สุด หรืออีกนัยหนึ่งคือเป็นเสบียงที่ตระเตรียมได้ง่ายที่สุด
2 เป็นเครื่องประกันความปลอดภัยตลอดเส้นทางเวียนว่ายตายเกิดได้สูงสุด
3 เป็นสัญญาณนำร่องให้เลือกเส้นทางกรรมอันไปดีที่สุด
4 เป็นกรรมดีที่ให้ผลพิสูจน์ชัดตั้งแต่ชาติปัจจุบันอย่างรวดเร็วสูงสุด
5 เป็นหัวขบวนชักลากกรรมดีอื่น ๆ ให้ตามมาไม่สิ้นสุด

ทำนองเดียวกับการบริหารร่างกายอย่างถูกต้องเพียงสองสามท่า ก็อาจทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดดี มีอายุยืนยาวขึ้นกว่าเดิมได้ กฎแห่งกรรมวิบากก็เช่นกัน ขอเพียงคุณรู้ช่องทาง รู้จักประตูกลและทางลัดดีพอ ก็สามารถกวาดเก็บคะแนนสะสมแบบทวีคูณไว้เป็นโบนัสใหญ่เกินใครได้ง่ายแสนง่าย

กติกาคร่าวๆของเกมที่พวกเรากำลังเล่นกันอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ คือ
1 การตายแล้วเกิดใหม่คือการล้างไพ่ ทุนรอนที่คุณจะใช้ในเกมใหม่คือกรรมเก่าที่สั่งสมมา
2 การตายแล้วเกิดใหม่คือการลืม คุณจะไม่รู้เห็นอะไรมากไปกว่าสภาพแวดล้อมใหม่ที่กรรมเก่าส่งคุณไปอยู่
3 เกิดใหม่ในสวรรค์คือการตกรางวัล เกิดใหม่ในนรกคือการลงโทษ
เกิดใหม่ในมนุษย์คือโอกาส ทั้งในแง่ของการต่อบุญ และในแง่ของการแก้ตัว


* ทำอย่างไรจึงจะไปเกิดกับพ่อแม่ที่ดี?
คำตอบคือทำแต่กรรมที่ดีๆ อยากมีพ่อแม่แบบไหนในครั้งหน้า ก็ขอให้ประพฤติตัวแบบนั้นมาก ๆ ไปจนชั่วชีวิตก็แล้วกัน กรรมที่คุณทำเป็นอาจิณนั่นแหละตัวเลือกแดนเกิด ตัวเลือกเผ่าพันธุ์ใหม่ให้

* ทำอย่างไรจึงจะพบผู้ชี้นำทางถูกทางตรง?
คำตอบคือยอมรับผู้สอนการไม่เบียดเบียนเป็นสรณะ ใครสอนให้เบียดเบียนก็หลีกเลี่ยงเขาเสีย โดยถือหลักการพิจารณาว่า การเบียดเบียนกันคือการก่อทุกข์ให้ผู้อื่นก่อน แล้วตอนหลังเรานั่นเองที่จะต้องเสวยทุกข์นั้นด้วย

* ทำอย่างไรจึงจะสำนึกผิดได้ง่าย หรือเมื่อใดจำเป็นต้องเพ่งโทษผู้อื่น
ก็ควรน้อมมาพิจารณาว่าเขาช่วยเป็นกระจกเงาส่องให้เราเห็นตนเองหรือไม่
อย่างไรก็ตาม แม้การสำนึกผิดจะเป็นของดี แต่ความรู้สึกผิดนานๆนั้นไม่ดี โดยเฉพาะที่รู้สึกผิดซ้ำซากชนิดแกะความทรมานใจไม่ออกนั้น แย่เลยครับ
ขอเพียงมีความสำนึกผิดที่แท้จริงวูบเดียว แล้วตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ทำผิดเช่นนั้นอีก ก็เป็นการเพียงพอแล้ว



ถ้าเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นด้วยกรรมดำ เราก็ต้องสร้างเรื่องดีมาสู้ได้ด้วยกรรมขาวอันเป็นขั้วตรงข้ามเช่นกัน เช่น เมื่อหมั่นสร้างชะตากรรมดีๆให้ผู้ด้อยโอกาส หมั่นให้อภัยไม่อาฆาตคนร้ายกับคุณ
กัดฟันทำแต่กรรมขาวจนกระทั่งความดีงามตั้งมั่นในคุณ หากเรื่องของกรรมวิบากมีจริงชะตากรรมของคุณก็ต้องดีขึ้นภายในชาตินี้ กรรมย่อมไม่ปล่อยให้คุณต้องมัวน้อยใจวาสนา ไม่ปล่อยให้รอถึงชาติหน้าเหมือนอย่างพรหมลิขิตอย่างแน่นอน




จิตหม่นหมอง

เมื่อจิตหม่นหมอง ก็ย่อมคิดถึงแต่เรื่องไม่ดี
นึกถึงแต่เรื่องที่คนทำให้เราเจ็บใจ นึกถึงแต่เรื่องที่เราไม่ประสบความสำเร็จ นึกถึงแต่เรื่องที่ไม่สมหวังต่าง ๆ นานา หรือกระทั่งยังไม่เคยเกิดเรื่องร้ายก็อุตส่าห์จินตนาการไปล่วงหน้าว่า เดี๋ยวต้องเกิดแน่ ๆ จนคล้ายชีวิตทั้งชีวิตช่างไม่มีสิ่งใดเป็นน้ำดีเอาเสียเลย ตรงนั้นแหละที่จิตอยู่ในสภาพเหมาะสมกับภพอันเป็นทุกข์ ไม่มีความสุข ไม่มีความเจริญ

สรุปคือเป็นเรื่องจริงครับ ถ้าขณะใกล้ตายก็คงไม่แคล้วต้องเจอทุคติ แม้อุตส่าห์สั่งสมบุญญาบารมี ทำดีให้ทานรักษาศีลมาตลอดชีวิต แต่พลาดตกม้าตายตอนจบ ตายด้วยอารมณ์เศร้าหมองแล้ว แทนที่จะไปดีเสวยสุขดังควร ก็อาจถูกความหม่นหมองเขี่ยให้ไปอยู่รวมกับพวกเร่ร่อนในภูมิเปรต แช่จมอยู่กับความวังเวงเงียบเหงา แต่ก็ไม่ถึงกับถูกแผดเผาด้วยไฟหรือเครื่องทรมานสาหัสนัก และอาจติดอยู่กับภพของความเป็นเช่นนั้นในระยะสั้นๆ

สำหรับพวกบุญเก่าดี แต่ตายขณะจิตเศร้าหมองนั้น เมื่อใดระลึกถึงกุศลเก่าได้ หรือมีญาติที่ผูกพันกันแน่นแฟ้นอุทิศส่วนกุศล หรือมีพระที่ชำนาญฌานสมาบัติแผ่เมตตา ชนิดที่มีพลังสะเทือนกระตุ้นเตือนให้รับรู้และอนุโมทนาบุญสำเร็จ พวกนี้มักจะหลุดบ่วงไปไม่ยากนัก เพราะฐานเดิมมีแรงขับดันพร้อมจะส่งไปสู่สุคติภูมิอยู่ก่อนหน้าแล้ว สำคัญคือใครจะมีช่องทางส่งเสบียงไปให้หรือเปล่าน่ะซี นั่นเป็นเรื่องขึ้นอยู่กับคนที่ยังมีชีวิตบนโลกล้วนๆ

การยินยอมตกเป็นเบี้ยล่างของความวิตก โดยไม่หาทางทำอะไรให้ดีขึ้นนั่นเองคือต้นเหตุ เหมือนเราตกลงไปในหนองน้ำที่เน่าเหม็นและชื้นแฉะน่ารังเกียจ แล้วตั้งคำถามกับตนเองว่าเหตุใดเนื้อตัวเราจึงไม่แห้งเสียที เหตุใดกลิ่นเหม็นเน่าจึงยังติดผิวกายเราอย่างน่าอึดอัดระอา นี่ก็เป็นเพราะเราไม่หาทางยกตัวขึ้นจากหนองน้ำนั่นเอง

หนองน้ำที่ว่านี้มีพิษด้วยนะครับ เหมือนทำให้สมองเราฝ่อลงได้ หดหู่ท้อแท้ และเชื่ออยู่ลึกๆว่าจะไม่มีวันขึ้นจากหนองน้ำได้ นับว่าแปลกแต่จริง ยิ่งนานวันก็จะยิ่งซ่านไปตามเนื้อตัว สะสมไว้ที่จุดต่างๆคล้ายไขมันมีพิษ ทำให้ผิดปกติไปต่างๆนานา บางวันหงุดหงิดง่าย แต่บางวันก็คล้ายเกิดอาการทอดอาลัยตายอยาก เป็นต้น


วิธีแก้ไขความหม่นหมอง
1 กระซิบบอกตนเองไว้เสมอๆว่า ‘อย่าคิดมาก’ นี่เรียกว่าเป็นการป้อนโปรแกรมให้กับจิตตนเองในระดับสำนึก เมื่อท่องบ่อยเข้าจนใจยินยอมตามโปรแกรม อาการไม่คิดมากก็จะค่อยๆปรากฏชัดขึ้นมาเอง
2 หมั่นสังเกตใจตัวเอง ว่าขณะหนึ่งๆกำลังคิดมากให้เปล่าประโยชน์
3 เมื่อหงุดหงิด วิตกเกินกว่าเหตุ หรือหดหู่เศร้าหมอง อย่าพยายามเร่งเอาตัวเองออกมาจากภาวะนั้น ๆ ทันทีทันใดตามใจนึก
แต่ให้ตระหนักว่านั่นเป็นภาคมืดของจิต เมื่อใดมีแสงสว่างสาดเข้ามา ความมืดก็จะหายไปเอง หันไปเดินเล่นในสวน

หันไปอ่านหนังสือธรรมะ หันไปสวดมนต์บ่อย ๆ หรือหันไปปฏิบัติภารกิจของคุณด้วยความรู้สึกว่าถ้าทำให้เสร็จ ถ้าทำให้ดี จิตใจเราจะปลอดโปร่งขึ้นกว่าเดิม กำหนดใจไว้อย่างนี้ ในที่สุดจิตจะฉลาดเลือกทำแต่เหตุให้เกิดความสว่าง และรังเกียจเหตุให้เกิดความมืดอย่างถาวร



จิตหดหู่

จิตเรามีเบิกบาน มีหดหู่สลับกันได้เรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องมีเหตุร้ายแรงให้เศร้าใจมากมาย แค่เหนื่อยๆหน่อย นั่งรถเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง จิตใจก็มีสิทธิ์หดหู่ลงได้แล้ว

บางคนหดหู่เดี๋ยวเดียวก็กลับระเริงร่าได้ใหม่ แต่บางคนหดหู่แล้วกลายเป็นเรื่องยาว แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวเคยยิ้มให้แล้วมาไม่ยิ้มสักทีหนึ่งก็คิดมาก แช่อยู่กับความเสียใจว่าเขาไม่ยิ้ม เราถึงมักได้ยินคนบ่นเปรยให้เพื่อนฟังทำนอง ‘ไม่รู้เป็นอะไร เซ็ง เบื่อไม่มีสาเหตุ’ความหดหู่ต่อเนื่องยืดยาวจนจำสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้นี่แหละ ทำให้คนเบื่อหน่ายกับการมีชีวิตและคิดสั้นมานักต่อนัก

ลองมาดูอุปนิสัยที่เราๆทำกับใจตัวเองแล้วหดหู่เก่งกันดีกว่า
1 ชอบเหม่อ
ประเภทว่างเป็นไม่ได้ ชอบทอดตาไกลๆ จะฝันก็ไม่ฝัน จะคิดธุระปะปังให้เป็นเรื่องเป็นราวก็ไม่คิด ชอบรู้สึกอยู่เรื่อยๆว่าชีวิตว่างเปล่า ไม่มีความหมาย แล้วก็ไม่อยากเติมค่าอะไรลงไปให้ชีวิตตัวเองเต็ม

ถ้าเป็นแบบนี้ก็ขอให้ดูบรรดาสัตว์เลี้ยงใกล้ตัว ลองนั่งสังเกตพวกมันสักพัก จะเห็นชีวิตว่างเปล่าขนานแท้ พวกนั้นไม่มีอะไรทำจริง ๆครับ
วัน ๆ มีหน้าที่เคลื่อนจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง ตระหนักว่าไม่มีวันพัฒนาตัวเองขึ้นมาได้อย่างที่เราสามารถทำ ก็อาจเกิดกำลังใจคิดอยากทำชีวิตให้ดีกว่าพวกมัน

2 ชอบจมอยู่กับอดีต
ประเภทเหตุการณ์ผ่านมา ๒๐ ปี ยังอุตส่าห์ขุดขึ้นมาคิดเสียดาย คุ้ยขึ้นมาพูดด่าสาดให้คนใกล้ชิดรู้สึกผิด คนแบบนี้เท่าที่ผมเห็นนะครับ นอกจากจะเหม่อลอย หดหู่บ่อยแล้วยังเจ้าโทสะ เหมือนมีไฟกรุ่นอยู่ในอก

และมีความจริงอยู่อย่างหนึ่ง คนชอบฝังใจอยู่กับอดีตนั้น มักบ่นหาถึงอนาคตที่ไม่มีวันมาถึง คือชอบหวังอะไรลม ๆ แล้ง ๆ สมมุติอะไรที่เกินตัวและเป็นไปไม่ได้จริงเสมอ

คือทั้งชีวิตไม่เคยมีวันนี้ มีแต่เมื่อวานกับพรุ่งนี้เท่านั้น
หัดคิดเรื่องวันนี้ หัดพูดถึงสาระประโยชน์เฉพาะหน้า พอจะหวนกลับไปคิดมากเรื่องเก่า ๆ ก็กลับมาอยู่ตรงหน้าใหม่

ทำตัวไม่ให้ว่าง แล้วจะพบว่าเกิดความแจ่มกระจ่างทางใจมากขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์หดหู่ไม่กลับมาครอบงำอีกง่าย ๆ

3 ชอบมองโลกในทางลบ
ประเภทเห็นข่าวดาราเตียงหัก ก็มานั่งวิตกว่าเหตุแบบเดียวกันอาจจะเกิดขึ้นกับเราบ้าง หรือไม่ก็เอาแต่นั่งอ่าน นั่งขนหัวลุกอยู่ทั้งวันเกี่ยวกับเรื่องโลกแตก กลัวต่อไปเชื้อโรคจะหอบมาตามลมหรือแฝงตัวอยู่กับอาหารการกิน

ถ้ารู้ตัวว่าบริโภคข่าวด้านลบมากๆแล้วติดค้างคาใจ ไพล่ไปทึกทักว่าเรื่องร้ายๆจะต้องเกิดขึ้นกับเราด้วย ก็ขอแนะนำให้อ่านหนังสือพิมพ์หรือดูข่าวโทรทัศน์ให้น้อยลง ถ้าจะอ่านหรือดูก็คัดๆเลือกๆหน่อย ไม่ใช่ถือเป็นหน้าที่ที่ต้องอ่านมันทุกข่าว หรือติดตามข่าวร้ายเป็นซีรี่กันทุกวัน

จากนั้นหันไปอ่านหรือหันไปดูข่าวที่เป็นมงคลเสียบ้าง มองตามจริงบ้างว่าแง่ดีในโลกนี้ยังมีให้มองอีกมาก
พอเริ่มมองโลกภายนอกในทางบวก ก็จะค่อย ๆ หันมาเริ่มมองโลกภายในไม่เป็นลบตามกันไปเอง เพื่อตัดเหตุแห่งความหดหู่ลงไปได้อีกข้อ

4 ชอบความเหงาเศร้าโดยไม่รู้สึกตัว
ประเภทนั่งคนเดียวเฉย ๆ แล้วน้ำตาพานจะไหลเป็นทางเหมือนไม่มีสาเหตุ หรือฟังเพลงเพื่อคนอกหักแล้วร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ขณะเดียวกันก็พอใจกับห้วงภาวะเช่นนั้นโดยไม่อยากแก้ไขดัดแปลง ถ้ารู้ตัวว่าเป็นประเภทนี้ขอให้สังเกตว่ามีแนวโน้มจะสงสารตัวเอง ไม่พบใครที่จริงใจด้วย หรือถึงพบก็ไม่รู้สึกว่าใช่ ไม่อาจให้ความอบอุ่นกับเราได้

ลองดูดีๆจะพบว่าความเหงามี 2 ประเภท
คือเหงาแล้วโหยหาความอบอุ่นแบบจะขาดใจตาย
กับเหงาแล้วมีความสุขแบบสะใจแฝงอยู่ลึก ๆ
แต่ไม่ว่าเหงาประเภทไหน ก็พ่วงมาซึ่งความหดหู่เก่งเสมอ และออกจะแก้ยากกว่าข้ออื่นๆสักหน่อย เนื่องจากคนเรามักเรียกร้องให้มีใครมาเห็นใจ

ขอให้ลองอย่างนี้ดู คือกลับขั้วสักนิด คิดเป็นผู้เริ่มเห็นใจก่อน ให้ความอบอุ่นกับคนอื่นก่อน ถ้าทำแค่ครั้งสองครั้งอาจจะยังไม่เห็นผลอะไร แต่ถ้าทำประจำจนเป็นกิจวัตรกระทั่งรู้สึกถึงความสว่าง ความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากจิตคิดให้ของตนเอง เมื่อนั้นคุณจะไม่ปรารถนาความรักความอบอุ่นจากภายนอกที่อยู่กับเราได้แบบไม่คงเส้นคงวาหาความแน่นอนยากอีกเลย จะยึดเอารัศมีความอบอุ่นจากใจตัวเองนี่แหละเป็นที่พึ่งเที่ยงแท้ถาวร

ความหดหู่ กำลังเข้าครอบงำใจเราแล้ว แทนที่จะติดนิสัยยอมโดนครอบอย่างเคย ๆ มา พอรู้สึกตัวก็หันไปทำกิจธุระอันใดอันหนึ่งทันที ยิ่งถ้าเป็นธุระที่ทำให้ใจเบา ใจสว่างด้วยก็ยิ่งเยี่ยม พูดง่ายๆลองหมั่นทำบุญและอ่านหนังสือธรรมะบ่อยๆ จะเห็นเองว่าความมืดย่อมทนต่อแสงสว่างไม่ได้เป็นธรรมดา ความสว่างมา ความมืดต้องหายไปแน่ ๆ ครับ





ความรัก และอินเตอร์เนต

คู่บุญ คู่บาป

คู่เวรมีจริงหรือไม่? แบบที่พออยู่ด้วยกันแล้วมีแต่ความวิบัติ และความหมายของคู่แท้หมายถึงอยู่ด้วยกันแล้วมีแต่ความสุขความเจริญใช่ไหม? หากเป็นเช่นนั้นต้องเชื่อเกณฑ์ของดวงชะตาราศีที่ว่าจะเจอคู่แท้เมื่อนั่น เมื่อนี่ใช่ไหม? ถ้าหากว่าเรามีวิบากที่ต้องเจอคู่ที่ทำให้เราไม่มีความสุขเราจะหลีกหนีได้ หรือไม่?

คู่หญิงชายนั้นมีหลายแบบ ไม่ได้มีแต่คู่เวรกับคู่แท้ คำว่า ‘คู่แท้’ เพศตรงข้ามที่ติดตามกันไปทุกภพทุกชาติ เป็นตัวเป็นตนจับจองกันอย่างถาวรไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งธรรมชาติไม่ได้มีอะไรอย่างนั้น ตามกฎเหล็กข้อแรกสุดคือ ‘ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงไป’

หากหันมาใส่ใจกับคำว่า ‘คู่บุญ’ และ ‘คู่บาป’ แทน อย่างนี้จะเห็นอะไรกระจ่างขึ้น เพราะคนเราทำบุญทำบาปสลับกันได้ ไม่มีใครทำบุญทำบาปร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่งได้ตลอดไป และนั่นก็แปลว่าคู่บุญอาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบุญกันมามากกว่าร่วมทำบาป ส่วนคู่บาปก็อาจหมายถึงคู่ที่ร่วมทำบาปกันมากกว่าร่วมทำบุญ

เราจะเห็นตามจริงว่าถ้าต้องตาเมื่อเห็น ถ้าเย็นใจเมื่อใกล้ อันนั้นก็เป็นคะแนนทางความรู้สึกด้านดีชั้นแรก ต่อเมื่อมีความผูกพันผ่านเหตุการณ์ดีร้าย หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่าร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ตรงนั้นค่อยเป็นคะแนนสะสมในชั้นต่อ ๆ มา กระทั่งปักใจเชื่อได้ว่าเป็นคู่บุญกันจริง ๆ

ความรู้สึกด้านดีชั้นแรกในระยะแรกพบสบตานั้น เป็นผลบุญจากการอยู่ร่วมกันมาก่อนในอดีตชาติ

ส่วนการร่วมทุกข์ร่วมสุขผ่านเหตุการณ์ดีร้ายต่างๆมาด้วยกัน เป็นบุญใหม่ที่เกิดจากการเกื้อกูลในปัจจุบันชาติ

พระพุทธเจ้าตรัสว่าความรักจะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากเหตุปัจจัยทั้งอดีตและ ปัจจุบันประกอบกัน
1 มีศรัทธาไปในแนวทางเดียวกัน
เช่น เชื่อหรือไม่เชื่อเรื่องกรรมวิบากด้วยกัน เชื่อแนวทางในการดำรงชีวิตรูปแบบเดียวกัน เป็นต้น

เมื่อศรัทธาไม่ตรงกันก็คุยเรื่องไม่ตรงกัน เมื่อคุยเรื่องไม่ตรงกันก็คุยกันได้ไม่นาน เมื่อคุยกันได้ไม่นานก็เบื่อกันเร็ว อันนี้คือความจริงที่เกิดขึ้นกับทุกรูปนาม ไม่จำเพาะเฉพาะคู่รัก

2 มีศีลอันเป็นเครื่องหอมทางใจเสมอกัน
คือมีความคิดงดเว้นข้อประพฤติผิดแบบเดียวกัน เป็นเหตุให้ไม่รังเกียจหรือหมั่นไส้กัน ถ้าฝ่ายหนึ่งเจ้าชู้ ร้อยลิ้นกะลาวน ย่อมน่ารังเกียจยิ่งสำหรับคนใจซื่อถือความสะอาดผัวเดียวเมียเดียว ศีลที่ร่วมรักษาให้บริสุทธิ์ดีแล้วย่อมทำหน้าที่สร้างความอบอุ่นเชื่อมั่นในกันและกัน สนิทใจ ไว้วางใจกันเป็นมั่นเหมาะ

3 มีจาคะอันเป็นวิธีคิดแบ่งปันเสมอกัน
อย่างน้อยต้องเป็นผู้ให้ซึ่งกันและกันในทางใดทางหนึ่ง ไม่ใช่มีแต่ฝ่ายหนึ่งคิดอยู่ข้างเดียว อีกฝ่ายเอาเปรียบตลอด เช่นอีกฝ่ายสละเงินให้ใช้ อีกฝ่ายสละแรงปรนนิบัติ เป็นต้น
เห็นข้าวของอะไรไม่ใช้แล้วก็คิดตรงกันว่าน่าบริจาคแก่คนที่เขาไม่มี อย่างนี้ยิ่งไปกันได้ มีโอกาสร่วมบุญกันบ่อย ๆ ยิ่งให้คนอื่นมากก็ยิ่งได้ความสุขในการสละมาเสริมใยแก้วร้อยสัมพันธ์ให้กันแน่นแฟ้นขึ้น ย่อมก่อความรู้สึกซึ้งใจอย่างใหญ่ เหมือนอยู่ด้วยกันจะเป็นที่พึ่งให้กัน ปลอดภัยร่วมกัน ประคับประคองกัน ไม่มีวันล้มพร้อมกัน

4 มีปัญญาเสมอกัน
คือคุยกันรู้เรื่อง ฝ่ายหนึ่งเอาอารมณ์พูด อีกฝ่ายพูดด้วยสติปัญญา ก็คงนึกระอาหรือหมั่นไส้ในกันเป็นอย่างยิ่ง ปัญญาที่ร่วมเสริมส่งกันและกันย่อมทำหน้าที่สร้างความร่าเริงในการสนทนา และความไม่พรั่นที่จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกัน

หากอดีตกาลคุณเคยครองเรือนกับผู้มีบุญเสมอกันทั้ง 4 ข้อ (อาจหย่อนนิดหย่อนหน่อยได้) ขอเพียงได้มาพบกันในชาตินี้ ก็จะเกิดแรงดึงดูดที่ก่อความรู้สึกแสนดีอย่างประหลาด เหมือนเข้ากันได้ทุกอย่าง เหมือนเห็นกันได้ทุกแง่มุมด้วยความเข้าใจกระจ่าง
และขอเพียงเกื้อกูลกันนิดๆหน่อยๆ เช่นฝ่ายหนึ่งมาถามทาง อีกฝ่ายบอกทางให้ เท่านี้ก็จะเกิดแรงปฏิพัทธ์ขึ้นอย่างรุนแรง ชนิดที่ฝ่ายชาย (ซึ่งมีธรรมชาติเป็นรุก) อาจยื่นข้อเสนอเดินพาไปส่ง และฝ่ายหญิงก็ตกลงรับข้อเสนออย่างยินดีเต็มใจทันที แล้วการตกลงร่วมทางกันไปจนกว่าจะตายก็ติดตามมาอย่างรวดเร็ว ไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่มีเหตุการณ์น่าปวดหัว
ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคู่บุญประเภทนี้
แต่ถ้าบุญเก่าแพ้บาปใหม่ ค่อย ๆ สั่งสมบาปจนต้องทะเลาะเบาะแว้ง หรือเกิดการทำร้ายกันด้วยวิธีต่างๆ คู่บุญก็เปลี่ยนเป็นคู่ครึ่งบุญ (เก่า) ครึ่งบาป (ใหม่) ได้ที่อาจเปลี่ยนคู่บุญให้เป็นคู่บาปได้ตลอดเวลา

บาปอันมีผลที่ทำร่วมกันแล้วหญิงชายกลายเป็นคู่บาปนั้น ยืนพื้นอยู่บนกิเลส 3 ประการของมนุษย์ ได้แก่
1 ราคะ
คือทำเรื่องบาดใจกันทางเพศ ไปมองคนอื่น ไปคุยกับคนอื่น และกระทั่งไปมีคนอื่น กระแสกรรมอันสำเร็จด้วยการนอกใจ จะเป็นของแหลมคมที่กรีดใจผู้ทำให้เป็นทุกข์ก่อน ในรูปของความรู้สึกผิด คู่ของตนทราบเรื่อง ก็ต้องเป็นทุกข์ตาม ในรูปของความผิดหวังเสียใจ

ความร้าวฉานอันเกิดจากเรื่องทางเพศนั้น แม้คู่ครองไม่ผูกใจเจ็บ อย่างน้อยก็กลายเป็นเงามืดติดตามไปบนเส้นทางความสัมพันธ์ เมื่อเกิดชาติใหม่ความสัมพันธ์ทางเพศจะเป็นแรงดึงดูด แต่แรงดึงดูดนั้นแฝงความน่าคลางแคลงชอบกล อย่างน้อยก็มีเหตุน่าสับสน ทำให้คิด ๆ ว่าจะเอาใครดี คนนี้ดีแน่ไหม รสนิยมทางเพศที่ไม่เสมอกันก็อาจเป็นชนวนได้ แต่มาในรูปของความหน่าย ไม่อยากไปด้วยกัน ไม่ใช่ความบาดใจเหมือนอย่างการนอกใจกัน

2 โทสะ
ส่วนใหญ่มักมีมูลจากช่องว่างระหว่างคน เมื่อทรรศนะต่างกัน เมื่อความอยากต่างกัน เมื่อรสนิยมต่างกัน โดยเฉพาะในรูปของการทะเลาะเบาะแว้ง เมื่อทะเลาะเบาะแว้งย่อมผูกใจเจ็บ คิดอาฆาตพยาบาท อยากแก้แค้น อยากเอาคืน ไม่รูปแบบใดก็รูปแบบหนึ่ง ดลใจให้นึกเกลียดกัน

แต่โทสะนั้นเองก็เป็นพลังร้อยรัดให้ต้องอดรนทนไม่ได้ อยากวนเวียนมาทิ่มตำกันเสียหน่อย ได้ประชดประชัน ได้เอาชนะสำเร็จแล้วสะใจและเป็นสุขพิลึก ท้ายที่สุดพอร่วมหอลงโรงจริง ความสนุกจากการงอน การง้อ ก็แปรไปเป็นโศกนาฏกรรมได้ โดยเฉพาะเมื่ออิทธิพลทางเพศกลายเป็นเครื่องมือกดความรู้สึกให้ดูถูกกันและกัน เห็นอีกฝ่ายแต่ในทางต่ำ เรื่องเพียงเล็กน้อยก็เป็นน้ำผึ้งหยดเดียว อาจบันดาลให้อยากส่งคู่ครองไปสู่ปรโลกได้ และถ้าฆ่ากันตายในชาติหนึ่ง ชาติถัดมาก็เกิดแรงยึดเหนี่ยวมาหากันอีกผ่านความดึงดูดทางเพศ แล้วต้องทำร้ายถึงเลือดถึงเนื้ออีก จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะอโหสิให้อย่างไม่มีเงื่อนไข

การน้อยใจกันแล้วฆ่าตัวตาย นี่ก็เป็นกรรมร่วมที่อยู่ในหมวดของโทสะ เจอกันใหม่ในชาติถัดไปก็จะมีอารมณ์รุนแรง ฉุนเฉียว หรือเป็นเหตุบันดาลใจให้มักง่ายกับชีวิตอีก

3 โมหะ
หมายถึงทำกรรมแบบโง่ๆ เช่น โกงเพื่อนฝูง หรือโกงคนแปลกหน้าเป็นรายตัว กรรมที่ทำร่วมกันนั้นกว้างขวางพิสดารไม่รู้จบ เอาเป็นว่าถ้าทำความเดือดเนื้อร้อนใจให้กันและกันด้วยเหตุเพียงเล็กน้อย หรือทำความเสียประโยชน์สุขแก่มวลชนเป็นอันมาก ไม่ต้องรอชาติหน้า เอาแค่ชาตินี้เมื่อถึงจังหวะ ก็จะอยู่ร่วมกันอย่างไม่เป็นสุขสักนาที มีแต่เรื่องราวรุมเร้า หรือไม่มีเรื่องก็ก่อเรื่องให้กันเอง

ความพินาศอันเกิดจากโมหะนั้น กล่าวได้ว่าน่ากลัวเหนือสิ่งอื่นใด เพราะราคะและโทสะนั้นยังเปิดโอกาสให้ตั้งสติคิดพิจารณาทบทวนและให้อภัยกัน แต่โมหะจะปิดกั้นสติปัญญาแทบทุกประตู มองทิศไหนเหมือนเจอแต่ทางตันทึบทึม นั่นเป็นลักษณะสะท้อนของการทำกรรมด้วยความหลงเขลามืดบอด
แต่แม้เจอเรื่องร้ายรุมเร้า ก็ยังอุตส่าห์ปักใจเชื่อว่าต้องอยู่ร่วมกันถึงจะดี ทิ้งขว้างกันไม่ได้ ต้องทนทู่ซี้ทั้งอย่างนั้น นี่ก็เป็นภาคต่อยอดของโมหะด้วย


ถ้าเคยดีต่อกันมาก เคยอยู่ร่วมบุญกันอย่างเป็นสุขยิ่ง แต่ก็เคยร้ายต่อกันมาก เคยพรากจากกันด้วยเหตุผลอันน่าเศร้าหมอง เช่นนอกใจหรือฆ่าแกงกัน เมื่อพบกันอีกครั้งอาจซึ้งใจและอยากแต่งงานครอบครองเป็นกรรมสิทธิ์ แต่ขณะเดียวกันก็สังหรณ์ประหลาดว่าจะไม่อาจอยู่ด้วยกันตลอดไป สังหรณ์อันเกิดจากความครึ่งหลับครึ่งตื่นของมนุษย์ทำนองนี้ มักเป็นที่มาของความหวงแหนรุนแรง ระแวงจนอีกฝ่ายกระดิกตัวทำอะไรก็ถูกจับผิดไปหมด กระทั่งที่สุดความหึงสาพยาบาทก็กลายเป็นชนวนความแตกร้าวเสียเอง วนไปก็เวียนมา กลับหัวกลับท้ายกันอยู่อย่างนี้

คู่รักโดยมากจึงครึ่ง ๆ ระหว่างเป็นคู่บุญกับคู่บาป บุญแรงทำให้รักแรง บาปแรงทำให้เกลียดแรง

สำหรับแฟนรู้สึกเหมือนเพื่อน ไม่เป็นบวกเป็นลบรุนแรง ก็สะท้อนว่าอาจจะเคยเป็นเพื่อนกัน หรือเคยร่วมบุญร่วมบาปในระดับปานกลาง ไม่ได้จากกันด้วยความสะเทือนอาลัยฝังใจมากนัก สายใยความผูกพันจึงแบบบาง เมื่ออยู่ร่วมกันแบบเพื่อน และจากกันแบบเพื่อน จึงไม่ทิ้งแผลแบบวาบหวามกัดหัวใจลึกนัก จะออกทำนองเพื่อนชายเพื่อนหญิงงอนกัน เลิกคบกัน แล้วเฉยๆชาๆไปมากกว่า เมื่อโคจรมาพบกันอีกจึงเฉยๆอีกเช่นกันครับ

ขอสรุปเพื่อให้เกิดความเข้าใจง่ายๆและรวบรัด ถ้าชวนใครทำบุญได้สำเร็จ ทั้งทำต่อกัน ทั้งทำต่อคนอื่น ด้วยกาย วาจา และใจอันเป็นสุจริต คนนั้นมีแนวโน้มจะเป็นคู่บุญ และอยู่กับคุณได้อย่างแท้จริงในชาติปัจจุบัน

แต่ถ้าเป็นตรงข้าม เจอกันมีแต่ชวนกันตกต่ำ ทำอะไรเหมือนเป็นบาปกับตัวเองและคนอื่นไปหมด อย่างนั้นก็ส่อเค้าว่าไปด้วยกันไม่รอดหรอกครับ ถึงแม้มีความดึงดูดทางเพศขนาดไหนก็ตาม

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนอยู่ด้วยกัน ก็พอบอกเป็นเค้าๆได้ระดับหนึ่ง ถ้ามีแต่เรื่องดี ๆ เข้ามาก็น่าจะเคยทำบุญร่วมกันไว้ก่อน แต่ถ้ามีแต่เรื่องร้าย ๆ ก็ให้สันนิษฐานว่าไปทำอะไรไม่ดีร่วมกันไว้ เพราะมีอยู่ครับ วิบากชนิดที่จ้องรอจังหวะตอนคู่บาปมาเจอกัน เจอเมื่อไหร่เกิดเรื่องแย่เมื่อนั้น อันนี้สะท้อนให้เห็นบาปแต่ปางก่อนค่อนข้างชัด (ยิ่งถ้าต่างฝ่ายต่างมีชีวิตเรียบง่ายดีๆ พอมาอยู่ด้วยกันค่อยเกิดเรื่องขรุขระร้ายแรงบ่อยๆ อันนั้นแหละฟันธงเลยครับ ใช่คู่บาปแน่)

ถ้าใครคิดว่าตนเองมีบุญในเรื่องคู่น้อย ผมอยากแนะนำให้ตั้งใจรักษาศีล 5 อย่างเข้มงวด ทำทานด้วยความเบิกบานอย่างเข้าใจสักพัก มนุษย์เรายกระดับความมีบุญได้ในชาติเดียว เดี๋ยวถ้าบุญถึงขีดบันดาลสุข ในปัจจุบันทันตาเมื่อไหร่ บุญนั้นก็จะแปรสภาพเป็นแรงดึงดูดชักนำคนดีๆที่สมกันมาหาเราเองครับ

สำหรับการหลบหลีกคู่เวรหรือคู่บาป ให้ตอบตรงไปตรงมาคือยาก แต่เป็นไปได้ครับ คือเมื่อเจอแล้วเรามีสติตั้งมั่น ไม่หลงถลำไปตามแรงดึงดูดทางเพศ การหักห้ามใจได้ บวกกับการตั้งใจเป็นผู้ไม่มีเวร ให้อภัยได้ด้วยใจบริสุทธิ์แท้จริงในทุกเรื่องที่น่าขัดเคือง จะค่อยๆแยกคุณออกห่างจากเขามาโดยดีในที่สุด


ทำไมแค่คบกันทางเน็ตถึงรักได้

ต้องดูเป็นกรณีไปครับ บางคู่อาจเกิดจากบุพเพสันนิวาสจริง บางคู่ก็อาจเป็นแค่เหตุปัจจัยทางเน็ตมันเอื้อให้เกิดความรู้สึกจับใจ

ถ้าเป็นบุพเพสันนิวาส หมายถึงเคยอยู่ร่วมกัน และชาตินี้มาพบแล้วอยากถ้อยทีถ้อยอาศัย ถูกใจ อยากเกื้อกูลกัน เกิดความผูกพัน คบหาจริงจัง แล้วลงเอยที่การมาอยู่ครองเรือนอย่างมีความสุข ข้อนี้จะไม่มีความแตกต่างระหว่างการคบหาในเน็ตหรือนอกเน็ต

พูดง่ายๆคืออินเตอร์เน็ตเป็นเพียงช่องทางให้คู่เก่ามาพบกันเท่านั้น ไม่ต่างจากที่คู่เก่าพบกันเพราะบ้านอยู่ใกล้ หรือเพราะบังเอิญไปวิ่งในสวนสาธารณะ หรือเพราะมาเจอในงานแต่งงานเพื่อน

ถ้าไม่ใช่บุพเพสันนิวาสอาละวาดถึงที่สุด ก็อาจออกทำนองที่ว่าคุยกันทางเน็ตแล้วปิ๊ง ยิ้มแย้มชุ่มฉ่ำหัวใจพองโตไปทั้งวัน แต่พอเจอกันจริง ๆ กลับยิ้มไม่ออก หัวใจห่อเหี่ยวแบบสูบลมอย่างไรก็ไม่ขึ้น คบไปคบมาเดี๋ยวเดียวก็เบื่อ และกลายเป็นเพื่อนทางเน็ตกันต่อแบบไม่มีการรอสัมพันธ์ขั้นอื่นอีก อย่างนี้ประกันได้ว่าคู่นั้นเจอโรคหลงเพ้อโดยอาศัยอินเตอร์เน็ตเป็นพาหะแพร่เชื้อแน่แล้ว

เมื่อทำความเข้าใจอย่างดีก็จะมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงพอ และไม่ต้องเสียเวลาก่อร่างสร้างรักจอมปลอมให้เนิ่นนานเกินไป
ความเข้าใจข้อแรก คือไม่มีอะไรสะเทือนอารมณ์ได้แรงกว่าจินตนาการของเราเอง
สิ่งใดก่อจินตนาการขึ้นในหัวคุณได้เข้มข้นและต่อเนื่อง สิ่งนั้นชนะใจคุณไปทั้งหมดหรือเกือบหมดสิ้นแล้ว

การที่คุณเริ่มรู้จักใครสักคนแบบไม่รู้หน้า แต่รู้ความคิดของเขา มันทำให้คุณก้าวข้ามขั้นตอนการตัดสินกันอย่างผิวเผินด้วยตาเปล่า เดินทะลุเข้าไปถึงเนื้อแท้ทางจิตใจของอีกฝ่ายโดยตรง

ภาษาของใครเป็นอย่างไร หน้าตาของเขาในจินตนาการของเราก็เป็นไปตามนั้น นี่เป็นหลักกรรมวิบากดี ๆ นี่เอง ถ้าพูดดี พูดฉลาด พูดคม พูดให้คนฟังเป็นสุข ผลจะเป็นใบหน้าโสภาน่าพิสมัย ถ้าคุณติดกับจินตนาการของตัวเอง ก็เท่ากับคุณหลงรักเทวดานางฟ้าบนวิมานในอากาศซึ่งอาจจะไม่เคยมีตัวตนตามฝันเลยก็ได้

ความเข้าใจข้อที่สอง คนเราชอบการค้นพบน่าระทึก การเริ่มต้นสื่อสารผ่านเน็ตมีอะไรให้ลุ้นเยอะ ตัวตนที่แท้จริงจะเหมือนตัวอักษรที่เขาระบายให้เห็นไหม หน้าตาของเขาจะหล่อหรือสวยกว่าที่คุณคิดแค่ไหน น้ำเสียงจะสะกดให้อยากนิ่งฟังเพียงใด ฐานะทางบ้านรวยหรือจนกว่ากัน
การลุ้นนั่นแหละครับทำให้ใจคุณจดจ่อกับเขาได้เรื่อย ๆ
ซึ่งการจดจ่อกับใครอยู่เรื่อย ๆ ก็คืออาการเดียวกับการครุ่นคิดหรือเฝ้าฝันถึงคนรักนั่นเอง

เมื่อใจใครจดจ่อกับใครจนรู้สึกถึงแรงดึงดูดระหว่างกัน แรงดึงดูดนั้นก็ให้รสเป็นสุขที่น่าพิศวง ต่างฝ่ายต่างจะอุปาทานไปว่ารักกันอย่างเหลือล้น ก็เพราะความสุขซึ่งเกิดจากใจทะยานไปค้นหาให้ถึงที่สุดนั่นเอง ยิ่งคบกันแบบไม่พบเจอนานเท่าไหร่ ความผูกพันบนรากฐานของการรอค้นพบขั้นสุดท้ายยิ่งเหนียวแน่นมากขึ้นเท่านั้น

ความเข้าใจข้อที่สาม เมื่อใดกำแพงทิฐิต่ำ คนเราจะคบกันด้วยความรู้สึกสบายใจและเป็นตัวของตัวเอง การคุยทางเน็ตจะทำให้คุณรู้สึกว่าต้องระวังตัวน้อยลง ถ้าไม่ถูกใจก็แค่เลิกคุยกัน
แตกต่างจากการคบหาแบบเห็นหน้า เรื่องผลประโยชน์ทางการเงินหรือความหวังประโยชน์ทางเพศนั้น ถ้าจะมีก็ถูกยืดเวลาให้ห่างออกไป

ความสบายใจกับการเปิดอกคุยได้ทุกเรื่องนี่แหละตัวที่ทำให้สำคัญว่าเป็นความรักได้เหนือสิ่งอื่นใด เพราะคนส่วนใหญ่หวังมากที่สุดคือเจอใครสักคนที่คุยถูกคอ ทำให้หายเหงา แถมไม่ต้องคิดมากกับสัมพันธภาพใด ๆ ไม่มีข้อผูกมัดแน่นหนาเพียงด้วยตัวอักษร

พบรักข้ามโลก ยอมโยกย้ายถิ่นฐาน ยอมเรียนภาษาของแฟน ก็เพียงเพราะพบรักทางอินเตอร์เน็ต
(ถ้าอุปสรรคมากนัก ผมไม่ให้คะแนนว่าเคยทำบุญร่วมกันมาแน่นหนานัก แต่อาจต่างฝ่ายต่างเป็นคนมีบุญ และสามารถเข้ากันได้โดยธาตุนิสัย)

สรุป… ความรู้สึกอบอุ่นใจทางเน็ตก็ดี ความวาบหวามกับคำพูดเล็ก ๆ น้อย ๆที่แสดงความอาทรผ่านเน็ตก็ดี เสน่ห์น่าติดหลงของคนที่คุณไม่รู้ว่าตัวจริงเป็นอย่างไรก็ดี เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องอาศัยบุพเพสันนิวาส

ฉะนั้นอย่าแปลกใจหากเจอตัวจริงแล้วคุณไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาเหมือนกับที่ เคยรู้สึกยามสนทนากันผ่านเน็ต เพราะในชาติใกล้เขากับคุณอาจไม่ร่วมบุญมากพอจะทำให้รู้สึกดียามเคียงกัน
อินเตอร์เน็ตอาจเปรียบเหมือนชาติก่อนทางอารมณ์ เป็นทุนให้คุณคบกันด้วยความเข้าอกเข้าใจง่ายกว่ารูปแบบการคบหาปกติ แต่ไม่เป็นประกันว่าการคบหาปกติจะรักษาความรู้สึกดีๆเมื่อครั้งยังคุยกันทางเน็ตไว้ได้

สำหรับท่านสุภาพสตรี ผู้ชายปากหวานทางเน็ตเพื่อหวังผลทางเพศท่าเดียว สืบ ๆ แล้วพวกเสือหิวมักเห็นว่าเป็นช่องทางที่ลงทุนต่ำ แถมไม่ต้องปรากฏโฉมเป็นที่รู้จักของญาติมิตรฝ่ายสาว ขอเพียงจิตวิทยาดี ล่อลวงมาพบกันสองต่อสองได้ โอกาสจะมอมยาหรือหลอกพาไปไหนต่อไหนก็สะดวก พอเกิดคดีสะเทือนขวัญก็สืบหาตัวยากด้วยประการฉะนี้

ที่สุดคืออย่าเชื่อใจใครง่าย ๆ การแฝงตัวอยู่ในเน็ตของทรชนนั้นทำได้ง่าย และถ้าทำเป็นอาชีพแล้วย่อมเกิดทักษะความชำนาญ ความแยบยล คุณรู้เสียที่ไหนว่าระหว่างปากหวานกับคุณเขาปากหวานกับอีกกี่คนพร้อมกัน ฉะนั้นต่อให้เคยโทร.คุยกันแล้ว เหมือนไว้ใจกันได้แล้ว นัดครั้งแรกก็ควรพาเพื่อนหรือพี่น้องไปด้วยเยอะๆ โอกาสเกิดคดีล่อลวงอนาจารจะได้ลดน้อยลง อย่างน้อยก็มีคนเห็นหน้าเห็นตาเขาถนัดถนี่ จะลงมือคงยั้งคิดบ้างครับ


แฟนทางเนต

ถ้าผมรักกับผู้หญิงทางอินเตอร์เน็ต เธออยู่ต่างประเทศ ไม่เคยพบตัวจริง เห็นเพียงรูปและวิดีโอ แต่ก็ตกลงร่วมกันว่าเป็นสามีภรรยา คือต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกว่าเป็นของกันและกันแล้ว และสัญญาว่าจะไม่นอกใจ ตั้งใจแต่งงานกันจริง ๆเ มื่อเธอกลับมาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า กับทั้งประกาศกับครอบครัวและเพื่อนฝูงที่สนิทให้รู้กันแล้ว อย่างนี้ถือว่าผมกับเธอเป็นคู่ผัวตัวเมียกันแล้วหรือยัง?

หากเธอไปมีอะไรกับชายอื่น โดยที่ชายคนนั้นรับรู้ว่าเธอแต่งงานด้วยวาจาแล้ว จะนับว่าชายคนนั้นผิดศีลขอกาเมสุมิจฉาจารหรือไม่ครับ?

เรื่องตกลงกันทางวาจาว่าเป็นสามีภรรยากันทั้งที่ไม่เคยเจอหน้านั้น มีมานานแล้วครับ แต่โอกาสที่จะเกิดขึ้นคงน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นแบบอารมณ์วาบหวามรุนแรงพาไป ไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นฐานของการมีโอกาสใกล้ชิดกันตามจริง คู่รักทางเน็ตเยอะแยะไป ที่ปักใจเชื่อแน่วแน่ว่าเป็นคู่แท้ เป็นสุขซาบซ่านเมื่อพูดคุยกัน ใกล้ชิดกันผ่านกิจกรรมทางเน็ตแล้วรู้สึกแนบแน่นเป็นจริงเป็นจังเสียยิ่งกว่านั่งตักคนตัวเป็น ๆ

ถ้าว่ากันตามวิถีโลกแล้ว การแต่งงานที่สมบูรณ์แบบมักไม่ได้เกิดขึ้นจากการตกลงร่วมกันเฉพาะชายหญิงตามลำพัง ถ้ายังมีญาติผู้ใหญ่อยู่ ก็ต้องพาไปให้ดูตัว มีมิตรสหายร่วมรับรู้ มีกฎหมายรองรับการเป็นสามีภรรยา
มิฉะนั้นให้ถือว่าเป็น ‘แฟน’ ซึ่งปัจจุบันคำว่าแฟนก็อาจหมายถึงคนที่ทดลองอยู่ด้วยกันแบบพร้อมจะแยกทาง ไม่มีข้อผูกมัดชัดเจน

แค่เริ่มตกลงเป็น ‘แฟน’ คือคบหาเป็นคนรักกันเฉย ๆ ก็เท่ากับยินยอมเสียอิสรภาพส่วนตนให้แฟนแล้ว เช่น ตรวจสอบชีวิตประจำวันได้ เป็นที่คาดหมายว่าจะต้องซื่อสัตย์ ไม่ไปคบใครเปรอะ เป็นต้น เมื่อตกลงปลงใจเป็นของกันแล้ว และประกาศให้ผู้อื่นทราบแล้ว ไม่ใช่สิทธิ์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่จะละเมิดข้อห้าม ไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นได้โดยพลการ

กรณีของคุณไม่ถือเอาพิธีและธรรมเนียมประเพณีเป็นตัวตั้ง แต่อาศัยกำลังใจของทั้งสองฝ่ายเป็นหลัก อาศัยกำลังใจในการทำข้อตกลงร่วมกันนั้น ภาวะสามีภรรยาย่อมเกิดขึ้นจริง ต่างฝ่ายต่างมีสิทธิ์ในกันและกันจริง เช่น พอใครถามแฟนคุณว่ายังโสดหรือแต่งงานแล้ว ความยึดมั่นในข้อตกลงร่วมกับคุณย่อมทำให้ระลึกได้ว่าตนเองไม่โสด ไม่อิสระ มีเจ้าของแล้ว แต่งงานแล้ว หากเธอพูดว่ายังโสด ใจย่อมขัดแย้งกับตนเอง เพราะรู้ว่าไม่ตรงความจริง เป็นเรื่องโกหก เป็นคำมุสา

จะเห็นว่า ‘การตกลงกันด้วยวาจา’ นั้น ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือผ่านอินเตอร์เน็ต ก็ล้วนเป็นกรรมผูกพันร่วมกัน ไม่ใช่ของเล่นที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะละเมิดตามอำเภอใจ


คนรักอยู่ไกลกัน

มีเเฟนมากี่คนก็อยู่ไกลกัน
1 ตัวคุณและคนรักอยู่ห่าง มีช่องว่างคือระยะทางไกลมาแบ่งแยกร่างกายออกห่างกัน

2 ความรู้สึกของคุณที่จะต้องเกิดขึ้นเป็นประจำคือความคิดถึง ความทรมานใจที่ไม่ได้พบ ความกระวนกระวายกับการรอคอย และความดีใจกับการพบกันที่เกิดขึ้นแบบนานทีปีหน

3 สัมพันธภาพนั้นง่อนแง่น พร้อมจะขาดผึงได้ตลอดเวลา สมคำร่ำลือเช่นรักแท้แพ้ใกล้ชิด เขาจะทำอะไรอยู่ที่ไหน ตัดสินใจอย่างไร แปรปรวนไปทางใครก็ได้ทั้งสิ้น คุณจึงเป็นทุกข์เพราะความระแวงได้มากกว่าคู่รักธรรมดาที่เจอหน้ากันบ่อย ๆ

คุณต้องเคยทำกรรมพรรค์นี้มาก่อน โดยมากจะเป็นการกลั่นแกล้งให้คนที่เขารักกันต้องอยู่ห่างกันเป็นประจำนั่นเอง

อีกกรณีหนึ่งที่เป็นไปได้คือคุณมี คู่หมายที่ผูกไว้แน่นหนาด้วยกรรมสัมพันธ์เก่าอยู่คนหนึ่ง แต่ยังไม่ถึงเวลาได้พบ ดังนั้นคนที่ผ่านมาเข้าทางจึงไม่ค่อยมีโอกาสเข้าถึงตัว กรรมสัมพันธ์เก่าที่ว่านี้อาจเกิดขึ้นจากการครองคู่ตลอดชีวิต และอธิษฐานด้วยใจหนักแน่นว่าชาติหน้าขอให้ได้พบและอยู่คู่กันอีก หากแม้ต้องพบใครก่อนก็ขอให้แคล้วคลาด ไม่มีโอกาสได้อยู่ร่วมกัน

และอีกกรณีที่มีโอกาสได้น้อยกว่า นั่นคือคุณเคยบวชและใคร่ในทางธรรมมากกว่าทางโลก ก็อธิษฐานไม่ขอมีคู่ พลังอธิษฐานนั้นจะบีบให้คุณเลือกพึงใจเพศตรงข้ามได้ต่อเมื่อเขาอยู่ในระยะห่าง และค่อย ๆ ทำให้แหนงหน่ายกับการรอคอยคนที่จะมาเป็นตัวจริงใต้ชายคาเดียวกัน ในที่สุดก็หันมาพอใจการครองโสด อยู่ปฏิบัติธรรมภาวนา ข้อนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นกับใครง่ายๆนะครับ
สำหรับทางแก้ตรง ๆ คงไม่มี มีแต่ตั้งใจไว้ว่าเราจะไม่เป็นผู้พรากของรักของหวงของใคร เราจะไม่เป็นผู้ทำให้ใครต้องอยู่ห่างจากคนรัก ส่วนถ้าคบใครแล้วถูกใจจริง ๆ ก็หาทางให้ได้มาอยู่ด้วยกันตามวิถีโลก ความเพียรพยายามที่สมเหตุสมผลนั่นแหละราคาที่เราต้องซื้อเพื่อเอาชนะแรง เสียดทานจากกรรมเก่า


แฟนทิ้ง

อย่าคิดว่าเราเป็นฝ่ายถูกทิ้ง ให้คิดว่าเราเป็นฝ่ายเลือกที่จะทิ้งขยะชิ้นหนึ่งออกจากใจ
อย่าคิดว่าเราต้องเป็นฝ่ายเหงา ให้คิดว่าเราเป็นฝ่ายเลือกพักร้อนอย่างสบายใจสักระยะ
อย่าคิดว่าเราเป็นฝ่ายทรมาน ให้คิดว่าเราเป็นฝ่ายเลือกทำความสุขให้แก่เขา
อย่าคิดว่าเราควรเหนี่ยวรั้งเขา ให้คิดว่าเราควรเป็นฝ่ายให้อิสระเป็นทานแก่คนอื่น

ถ้าเปลี่ยนมโนกรรม (กรรมทางความคิด) จากมืดเป็นสว่างได้ ชีวิตก็จะสว่างเองครับ จิตที่สว่างย่อมอบอุ่นเป็นสุข มีแต่ใครๆวิ่งมาหา มีแต่ความอิ่มเต็มเบิกบาน มีแต่อยากได้อิสระให้ตนเองและใครๆทั้งโลก
จำไว้ว่าทำใจได้ก็เจอคนใหม่ได้ แต่ถ้าทำใจไม่ได้ก็เจอแต่น้ำตากลิ่นเก่าท่าเดียว
ให้ตัวคุณในวันนี้เป็นคนเลือก อย่าให้ตัวคุณที่ตายไปแล้วเมื่อวานเป็นคนเลือก


ตัดใจจากแฟน

ต้องหาหลักให้ใจยึดที่ทำได้ง่ายที่สุดและไม่ต้องลงทุนลงแรงมาก ก็คือการสวดมนต์
พอนึกถึงแฟนแล้วคิดมากขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็ขอให้สวดมนต์เมื่อนั้น ทุกครั้งที่คุณคิดถึงแฟน

ทุกครั้งที่จิตคุณเศร้าหมอง ต้องร้องไห้ออกมาไม่หยุด คุณไม่รู้ตัวหรอกว่าขณะนั้นคุณกำลังเค้นเอาพลังความเครียดและความเศร้าส่งออกไปถึงแฟนคุณอย่างต่อเนื่องด้วย

การที่คนเราเคยอยู่ใกล้ชิดกัน เคยดูแลเอาใจใส่กัน เคยอดทนเพื่อกันมา จิตจะผูกกันค่อนข้างแน่นแฟ้น
หากคิดถึงกันแรง ๆ อีกฝ่ายจะสามารถสัมผัสรับรู้ถึงแรงคิดถึงนั้น กับทั้งเกิดความรู้สึกได้ด้วยว่าฝ่ายคิดถึงกำลังอยู่ในอารมณ์ใด
พูดง่าย ๆ ถ้าคุณเครียด แฟนคุณจะนึกถึงคุณแบบเครียด ๆ เลยพลอยเครียดตามไปด้วย เขาอาจจะรู้สึกผิดที่ตัวเองทิ้งคุณมา แต่อีกทีก็นึกเข็ดขยาดถ้าจะต้องกลับไปหาต้นแหล่งความเครียด แค่นึกถึงคุณเขาก็ไม่เป็นสุขแล้ว ไม่อยากแม้แต่จะมีคุณอยู่ในหัวแล้วด้วยซ้ำ

แต่ถ้าเขาสัมผัสได้ว่าคุณมีใจที่สุขสงบ ปล่อยวาง และเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มุมมองเกี่ยวกับตัวคุณจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อคิดถึงคุณแล้วเกิดความเป็นสุข อย่างน้อยเขาก็ต้องมีแก่ใจเยี่ยมหน้ามาหาบ้าง
ทำอย่างไรเขาถึงจะนึกถึงคุณในแง่ดี ก็ต้องอาศัยการกลับลำใหม่ของคุณนั่นเอง คือเมื่อใดคิดถึงเขา เมื่อนั้นให้สวดมนต์จนปล่อยวาง ใจที่โปร่งสบายของคุณจะแผ่กระแสเมตตาไปกระทบจิตให้เขารู้สึกดีได้เสมอ

คุณตั้งเวลาไว้ด้วยนะ สัญญากับตัวเองว่าจะไม่คิดถึงเขาด้วยอาการเครียด จะไม่น้อยใจ ไม่เรียกร้อง ไม่คิดฆ่าตัวตายหนีปัญหา นับไปเลยหนึ่งเดือน หากคุณคิดถึงเขาด้วยใจที่สงบสุขจากการสวดมนต์ทุกครั้ง อย่างน้อยที่สุดเขาก็ต้องอยากติดต่อกลับมาด้วยความรู้สึกดีๆบ้าง

ผมไม่อาจให้สัญญาแทนเขาว่าเขาจะกลับมา แล้วก็ไม่อยากให้คุณตั้งความหวังไว้เช่นนั้นด้วย เพราะการฝากความหวังไว้กับคนอื่นคือการสร้างความโน้มเอียงที่จะผิดหวัง แต่การฝากความหวังไว้กับใจตัวเอง ว่าจะเลิกคิดแบบผิดๆนั้น มีความโน้มเอียงที่จะสำเร็จมากกว่าเยอะ
บทสวดที่ผมแนะนำเสมอคือบทอิติปิโสฯ เพราะเป็นการสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสงฆเจ้า โดยธรรมชาตินั้น เมื่อเราสรรเสริญใคร ย่อมได้กระแสพลังของคนนั้นมาเข้าตัว ในที่นี้เราสรรเสริญบุคคลผู้ประเสริฐสุด มีพลังความสุขความอบอุ่นสูงสุด ก็ย่อมได้ส่วนแห่งพลังนั้นมาโดยไม่ต้องออกแรงมาก

สวดไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะรู้สึกถึงความอบอุ่นในใจ โดยเฉพาะตอนกำลังคิดถึงเขา คุณจะเห็นผลอัศจรรย์สูงสุดก็คือใจที่เลิกเศร้าของตัวเองครับ
อิติปิโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะ สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อนุตตะโร ปุริสะธัมมะสาระถิ สัตถาเทวมนุสสานัง พุทโธภะคะวาติ


คิดถึง

คนเรานั้นเดิมทีมีดวงจิตที่เป็นอิสระอยู่ แต่พอคิดถึงใคร พอพูดถึงใคร ใจก็เกิดกระแสโยงไปเชื่อมกับคน ๆ นั้นทันที
ขอให้คุณลองนึกถึงภาพตัวเอง เห็นในใจราวกับเป็นใครอีกคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ตามลำพังในที่โล่งๆ จากนั้นจินตนาการดูว่าถ้าภาพนั้นคิดถึงใคร หรือพูดถึงใครขึ้นมา ก็จะมีกระแสผูกพันเข้ากับบุคคลนั้นเกิดขึ้นทันที

การคิดถึงใครสักคนมี 2 ขั้นใหญ่ๆ
1 ขั้นที่สักแต่คิดถึงเฉย ๆ
ความผูกพันเบาบาง ขั้นนี้พอมีสิ่งอื่นมากระทบหูกระทบตา ใจคุณจะหันเหไปทางใหม่ทันที โดยไม่รู้สึกหลงเหลือเยื่อใยตกค้าง

2 เสมือนมียางเหนียวยื่นออกจากใจคุณไปแปะติดกับบุคคลอันเป็นเป้าหมาย
ขั้นนี้ต่อให้มีสิ่งอื่นมากระทบหูกระทบตา ใจคุณคล้ายเรือที่ถอนสมอไม่ขึ้น ต้องแช่นิ่งอยู่ที่เดิมนั่นเอง
พันธะหรือยางเหนียวเป็นสิ่งที่หน่วง เหนี่ยวให้ใจขาดอิสรภาพ ขาดความโปร่งสบาย ขาดความเป็นตัวของตัวเอง ยิ่งเหนียวแน่นเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกคับแคบ ทึบแน่น และมีชีวิตที่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนอื่นมากขึ้นเท่านั้น

หากทราบว่าพันธะเกิดจากความพะวงคิดถึงหรือพูดถึง
ดังนั้นวิธีตัดวงจรความผูกพันอย่างง่ายๆก็คือเลิกพูดถึงเขาเสีย และเมื่อใดรู้ตัวว่าคิดถึงเขา ก็หาเรื่องอื่นมาเปลี่ยนความคิดเสียแทน
หรือถ้าหลีกเลี่ยงที่จะคิดถึงและพูดถึงไม่ได้ ก็ให้รู้เท่าทันตัวเองว่ากำลังคิดในขั้นเฉย ๆ หรือคิดในขั้นที่มียางเหนียวเมื่อใจยอมรับว่ายางเหนียวเป็นโทษ ทำให้เกิดความอึดอัดคับข้อง ในที่สุดก็เกิดปัญญาด้วยตนเอง เห็นว่าไม่น่าคิดมากให้เกิดยางเหนียวไปเปล่า ๆ

คุณจะเป็นนักตัดใจ หรือเป็นคนอกหักที่ได้ดีรวดเร็วกว่าใคร ๆ เพียปราศจากอาการทางใจที่ยื่นยางเหนียวไปเชื่อมกับใคร สายใยก็จะหลุดไปเอง
และขอเพียงมีสติ มีความเข้าใจกลไกของจิตตรงจุดนี้ดีๆ คุณจะแก้ปัญหาได้ครอบจักรวาลทีเดียว ไม่เฉพาะเรื่องคนรักเก่าเท่านั้น


หาคนจริงใจ

ปัจจุบันเรามีอินเตอร์เน็ตเป็นแหล่งพบปะสังสรรค์กับผู้คนมากหน้าหลายตา พอจะหาคู่ หาความรัก หาความจริงใจ เราก็มักตระเวนไปตามเว็บบอร์ดหรือห้องสนทนาที่มีชื่อตรงตามเกณฑ์นั้นๆ เช่นเว็บหาความรัก หรือห้องหาคนจริงใจ

ตรองดูเถิดว่าโอกาสจะได้เจอนั้นมีมากน้อยแค่ไหน เสือหิวย่อมรอตะครุบกวางตามแหล่งน้ำฉันใด ชายเจ้าเล่ห์ย่อมดักรอสาวหน้าซื่อตามแหล่งถามหารักฉันนั้น

บางทีที่เราไม่เจอสิ่งที่ต้องการก็ เพราะเราแสวงหาผิดที่ เราคาดหวังว่าคงเจอคนจริงใจตามบ้านใกล้เรือนเคียง ตามอาคารสำนักงาน หรือตามสถานบันเทิง นั่นก็อาจเป็นไปได้ แต่ยากหน่อย เพราะตามความน่าจะเป็นเรามักเจอ ‘คนธรรมดา’ ที่คิดเอาเข้าตัวกันโดยมาก ทำไมไม่ลองมองว่าคนจริงใจควรอยู่ตามงานบุญ ตามเว็บธรรมะ หรือห้องสนทนาเรื่องศีลเรื่องธรรม

ไม่ต้องกลัวว่าตามงานบุญหรือตาม แหล่งกิจกรรมธรรมะทั้งหลายจะชวนคุณคุยเรื่องหลุดพ้นลูกเดียว และในอีกทางหนึ่ง ก็อย่าหวังว่าจะพบแต่คนดีๆในงานบุญหรือแหล่งกิจกรรมธรรมะ แต่อย่างน้อยให้คิดเสียว่าโอกาสจะเจอคนดีๆควรมีมากกว่าแหล่งกิจกรรมเพื่อ ความสนุกฉาบฉวยทั้งหลาย

ถ้าได้ยินคำว่า ‘ธรรมะ’ แล้วร้องกับตัวเองว่า ‘ยี้’ หรือ ‘น่าเบื่อจัง’ ก็ขอให้ทราบว่าคุณยังไม่ได้ต้องการความจริงใจเป็นเรื่องเป็นราว เพราะคุณจะเจอคนจริงใจได้ในหมู่คนมีธรรมะเท่านั้น
และเมื่อใดคลุกคลีกับธรรมะมากพอ คุณจะพบว่าธรรมะไม่ได้มีแต่ภาพกักบริเวณตนเองเพื่อหลุดพ้นจากกิเลส คุณจะเห็นโลกในอีกมิติหนึ่ง คือไม่ใช่เอาแต่มองหารูปเสียงน่าชอบใจภายนอก แต่จะเริ่มแสวงหาความรู้สึกแสนดีน่าครอบครองอันเป็นภายใน


โสด

ต้องยอมรับว่าคนบางคนก็เกิดมาเพื่อที่จะอยู่คนเดียว นับจากอุปนิสัยใจคอ นับจากความปรารถนาเช่นมีจิตฝักใฝ่ในการพ้นทุกข์อย่างเด็ดขาด ถ้าส่วนลึกของคุณรักอิสระ ไม่ชอบตัดสินใจร่วมกับใคร กับทั้งทำบุญฟังเทศน์ฟังธรรมแล้วเกิดความซาบซึ้ง อยากรู้จักพระนิพพานอันพระพุทธองค์ทรงตรัสว่าเป็นรสที่เหนือรสทั้งปวง ความปรารถนาในส่วนลึกนั้นของคุณอาจก่อร่างสร้างตัวเป็นกำแพงหรือสนามพลังไร้ตน กั้นขวางไม่ให้ผู้หญิงคนไหนเข้าถึงตัวคุณได้
นี่ก็เป็นสิ่งที่ต้องสำรวจใจตัวเอง ขุดค้นให้พบส่วนลึก ว่าจิตของคุณติดอยู่กับภาวะแบบไหนกันแน่ อยากมีคู่หรืออยากเป็นอิสระ ติดใจภาวะแบบไหน จิตคุณก็เสวยภพแบบนั้น หลายคนที่ชอบทำบุญจะสับสนนะครับ นับเป็นเรื่องน่าเห็นใจเหมือนกัน เพียงคุณติดใจความเป็นอิสระอย่างมาก

การหายไปของเพื่อนที่ไม่ค่อยธรรมะ ธัมโมนั้น ส่วนหนึ่งก็เพราะธรรมะที่ไม่กลมกลืนกันส่งแรงผลักไปจริง แต่หากยังมีเยื่อใย ยังมีเวรต่อกันอยู่อย่างเหนียวแน่น อย่างนี้ก็ต้องใช้เวรกันต่ออีกระยะ จนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเอาอภัยทานมาล้างเวรได้หมดจด
อย่างไรก็ตาม การตั้งใจมุ่งสร้างกรรมดีเพื่อหวังจะใช้ชีวิตอยู่กับหมู่คนดี อันนี้เป็นมโนกรรมอันประเสริฐและถือว่าฉลาดที่สุดข้อหนึ่ง















Create Date : 23 กันยายน 2552
Last Update : 23 กันยายน 2552 20:01:02 น. 5 comments
Counter : 1967 Pageviews.

 
ยืมเงินไม่จ่าย

เวลาคนอื่นขอยืมเงินเรา เราให้เขายืม แต่พอเรามีปัญหา แม้เงินเราเองเราขอทวงคืนเขาก็บอกจะผ่อนให้ แต่ผ่อนได้เดือนเดียวก็ยังไม่ให้อีก เลยมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อเขา จะมีวิธีทำใจอย่างไร ที่จะไม่คิดร้ายกับเขา และยังอยากได้เงินคืน ถ้าไม่ได้คืนจะทำใจอย่างไร ไม่ให้เป็นทุกข์?

เพื่อความสบายใจ เวลาผมให้เงินใครผมไม่คิดว่าให้ยืม แต่คิดว่าให้เลย ถ้าไม่ให้ก็แปลว่าไม่มีจะให้ หรือรู้สึกว่าเกินกว่าจะให้ คนเราถ้าเดือดร้อนหน้าแห้ง ขนาดมีประวัติต้องตระเวนขอหยิบขอยืมจากใคร ๆ ล้วนแล้วแต่ออกแนวนี้แหละครับ พอยืมได้ล่ะก็ แม้จะมีใช้คืนแล้ว แต่ก็นึกเสียดาย กั๊กไว้ในกระเป๋าตัวเองอยู่ดี ด้วยความคิดว่าคนอื่นคงมีพอกินพอใช้ แบ่ง ๆ ให้ตนแค่นี้คงไม่เป็นไร

ที่คิดอย่างนั้นได้เพราะอะไร? เพราะความตระหนี่และความโลภลวงใจให้เขาสำคัญผิด รู้สึกว่าเงินในกระเป๋าเขาก็ต้องเป็นเงินของเขา คุณให้เขาแล้วก็ต้องเป็นสิทธิ์ของเขาแล้ว จำเป็นอะไรที่เขาต้องสละเงินตัวเองให้กับคุณ แม้คุณจะอ้างว่าเป็นเจ้าของเก่าก็ตาม
กรณีของคุณถือว่าโชคดีแล้วที่เขาใช้คืนมาก้อนหนึ่ง ส่วนใหญ่ไปแล้วไปลับไม่กลับคืนมาทั้งก้อน

บาปกรรมประเภทยืมแล้วไม่คืนนี้ ทุกคนเคย ๆ ทำกันมาทั้งนั้น เพราะธรรมชาติของกิเลสมันเป็นอย่างนี้เสมอ ไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต คุณไม่ทำตอนแก่ก็อาจจะเคยทำตอนหนุ่มสาว หรือถ้าไม่ทำตอนหนุ่มสาวก็อาจทำตอนเด็ก หรือถ้าไม่ทำตอนเด็กก็อาจทำตอนเป็นคนแก่ในชาติที่แล้ว ฯลฯ ฉะนั้นอย่าแปลกใจถ้าชั่วชีวิตแต่ละคนต้องโดนกันสักครั้ง

ว่าไปแล้ว โทษอันเกิดจากการชักดาบ ยืมเงินแล้วไม่คืนนั้น อาจหนักหนาเสียยิ่งกว่าการขโมยซึ่งๆหน้า เพราะ โจรที่ปล้นเงินตรงไปตรงมา มีจิตคิดเอาของคนอื่นไปเป็นของตนโดยไม่ตั้งใจคืน

ส่วนคนยืมเงินเพื่อนนั้น นอกจากคิดเอาไปไม่ใช้คืนแล้ว ยังต้องด้านทนเวลาเขาทวงคืน เท่ากับต้องพอกพูนความตระหนี่ให้ทวียิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก

ความตระหนี่เป็นเหตุให้อัตคัด ส่วนการฉ้อโกงเป็นเหตุให้ทรัพย์พินาศ
พวกยืมเงินแล้วไม่คืนทั้งที่มีพอจะคืนนั้น ได้ชื่อว่าทั้งตระหนี่ทั้งฉ้อโกง ในอนาคตนอกจากยากจนยังโดนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด มีเหตุให้ทรัพย์พินาศเนือง ๆ

ส่วนในชาติปัจจุบันบาปอาจพัฒนาตัวเอง ทำให้หน้ามืดตามัว เห็นผิดเป็นชอบ รู้สึกเหมือนตนเองจนตรอกอยู่ตลอดเวลา แรก ๆ ก็ตากหน้ายืมญาติด้วยความเขินอาย ต่อมาก็ยืมเพื่อน ยืมแฟน พอทุกคนบอกศาลากันหมด ไม่เหลือใครให้ยืมอีกแล้ว ก็ยกระดับขึ้นสู่วิชาชีพคดโกงขั้นต่อ ๆ ไป

เมื่อคิดได้อย่างนี้ ก็หันมาเปรียบเทียบกับตัวเอง บอกตัวเองว่ายังดีที่คุณเป็นฝ่ายถูกโกง ไม่ใช่คุณไปโกงเขา คุณไม่ได้สร้างเหตุแห่งความอัตคัด เพราะคุณเป็นฝ่ายสละความตระหนี่ และคุณก็ไม่ได้สร้างเหตุให้ทรัพย์พินาศ เพราะคุณไม่ได้ฉ้อโกงใคร

ส่วนที่ทรัพย์พินาศไปด้วยการโดนยืมแล้วชักดาบ อันนั้นก็ให้ถือเป็นการลงโทษของกรรมเก่าที่เคยไปทำใครเขามา อภัยได้ก็ถือว่าหมดเวรกัน คนเราถ้าเจ็บแค้นแล้วสามารถอภัย นึกปรารถนาดีกับผู้ทำให้เจ็บแค้นได้ ก็จะลิ้มรสเมตตาที่อร่อยกว่าปกติ แล้วมีกำลังใจที่จะทำดีด้านอื่น ๆ ตามมาอีกมาก

หากพยายามทำใจแล้วอภัยไม่ได้ ก็ลองทำบุญใหญ่ ถวายสังฆทานหรือเลี้ยงอาหารเด็กหรือคนชราตามสถานสงเคราะห์ดู คำแนะนำนี้เหมือนจะให้จ่ายเพิ่ม ไม่ได้เงินคืนแล้วยังเสียเงินอีก แต่ขอให้ลองเถิด ลองคิดว่าเราบวกเงินเพิ่มเข้าไปจากที่เสีย รวมกันเพื่อเจตนาสงเคราะห์ผู้ด้อยโอกาส เท่านี้คุณจะรู้สึกว่าเงินที่เสียไปทั้งหมดล้วนเพื่อทำทาน อย่างน้อยใจคุณต้องสบายขึ้นเป็นกอง และหากฟลุก ๆ ลูกหนี้ยังมีความละอายอยู่บ้าง ก็อาจถูกข่ายคลื่นแห่งมหาทานของคุณเข้าท่วมทับ รุ่งขึ้นกลับใจโทร.มาขอคืนเงินเห็นทันตา

แต่ถ้าเกินจะอภัย ยกเงินให้เฉย ๆ ไม่ไหว และทำอย่างไรเขาก็ไม่คืน เช่นนั้นคงต้องพึ่งพากระบวนการยุติธรรมแบบโลก ๆ กันต่อไป ซึ่งนั่นก็พ้นขอบเขตที่ผมจะให้คำแนะนำ บอกได้แต่เพียงว่าจะทำอะไรขอให้มีโทสะเจืออยู่น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ก็แล้วกันครับ






โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:19:44:34 น.  

 
ค้าขาย กับธุรกิจอบายมุข

คำว่า ‘นักธุรกิจ’ นั้นเหมือนมีแต่เอา ความจริงไม่ใช่เช่นนั้นเลย คุณจะค้าขายอะไรก็ตาม หากมีจิตคิดให้ประโยชน์แก่ลูกค้า ผลิตสินค้าอะไรก็คัดแต่สิ่งดีๆ สิ่งที่คุณรู้แก่ใจว่านั่นคือของเลิศสุด สมราคาที่สุด ผ่านกระบวนการผลิตที่น่าไว้ใจสูงสุด เท่านั้นก็จัดเป็นการค้าขายด้วยจิตอนุเคราะห์แล้ว

ในโลกนี้กิเลสของคนผลักดันให้อยากซื้ออะไร จะเห็นว่าเครื่องของอันเป็นไปในทางอบายมุข ทั้งเหล้ายา นารี เกมการพนัน ล้วนเป็นที่ต้องการอันดับหนึ่ง ดังนั้นใครครองตลาดได้ก่อน ได้ส่วนแบ่งมาก ย่อมมีรายได้มากเป็นเงาตามตัว และย่อมมีอิทธิพลเหนือธุรกิจอื่นซึ่งชาวโลกอยากซื้อหาน้อยกว่าด้วย

กรรมอันเป็นเหตุแห่งความวิบัติของ ทรัพย์สินเงินทองโดยตรงคือการลักขโมย ความคดโกง ความอกตัญญู ความตระหนี่ถี่เหนียว และความติดใจการพนัน

ถ้าคุณลองสำรวจคุณสมบัตินักค้าของผิดศีลธรรมรายใดแล้วไม่พบกรรมอันนำไปสู่ ความวิบัติแห่งทรัพย์ดังกล่าวมา ก็อย่าเพิ่งไปอยากให้เขาวิบัติเป็นเยี่ยงอย่างแก่ผู้ค้าของผิดศีลธรรมรายอื่น เหมือนกับที่คุณไม่ชอบใครแล้วจะไปแช่งให้เขาล่มจมตามใจชอบไม่ได้ กรรมของเขาเองช่วยเลี้ยงดูสมบัติของเขาอยู่ และกรรมของเขาเองอาจช่วยกวาดล้างสมบัติของเขาเมื่อถึงเวลาไปเอง

ลองดูแง่ดีของเขาบ้างดีกว่า ส่องให้เห็นว่าเขาเคยบริจาคอะไรให้สังคมบ้างไหม? เขามีใจคิดสละไหม? เขาค้าขายซื่อตรงกับลูกค้าไหม? เขาห่างจากการพนันไหม? หากเขามีกรรมที่เป็นบวกอยู่มาก คุณก็ต้องให้เครดิตเขาว่าเป็นผู้ฉลาดในกองบุญอยู่บ้าง และเห็นตามจริงว่าเขาได้ในสิ่งที่สมควรจะได้แล้ว

เจ้าของธุรกิจใหญ่นั้นมักอยู่ในฐานะ เจ้านายใหญ่ซึ่งมีผลกระทบกับหมู่คนจำนวนมากไปด้วย และความเป็นนายใหญ่ก็รวมกรรมหลากหลายไว้ในหนึ่งเดียว เช่นความเมตตาต่อลูกน้อง ความเอื้ออาทรต่อสังคม หากศึกษาชีวประวัติของบุคคลที่ร่ำรวย คุณจะพบว่าแต่ละคนต้อง ‘ให้’ อะไรคนอื่นมามาก เขาจึงมีเส้นสาย มีคนอยากตอบแทน และมีช่องทางมากกว่าคู่แข่งอื่นๆ
การให้ของคนๆหนึ่งนั้น มีเขารู้อยู่แก่ใจว่าให้แบบหวังผล ให้ด้วยความเคยชิน หรือให้ด้วยจิตคิดอนุเคราะห์อย่างแท้จริง เขาประกอบกิจการได้งอกเงยยั่งยืนเพียงใด หยัดสู้คู่แข่งได้เหนียวแน่นยาวนานแค่ไหน นั่นพอเป็นสิ่งที่สะท้อนได้ว่ากรรมของเขา ไม่อดีตชาติก็ปัจจุบันชาติ ที่กำลังอุดหนุนค้ำชู

พระพุทธเจ้าตรัสว่าชาวพุทธไม่พึงกระทำอาชีพ ๕ ประการคือ
ค้าขายอาวุธ
ค้าขายสัตว์
ค้าขายเนื้อสัตว์
ค้าขายน้ำเมา
ค้าขายยาพิษ
และเหตุที่ไม่ควรค้าสิ่งเหล่านี้ แน่นอนครับ ก็คงเป็นเพราะมีแนวโน้มจะได้ไปอบายมากกว่าค้าขายสิ่งอื่นนั่นเอง





โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:19:46:17 น.  

 
การเขียนนิยาย

นิยายเป็นเรื่องไม่จริง ถือว่าโกหกไหม ก่อนอื่นต้องเล็งที่การรับรู้ของคนอ่านเป็นหลัก นวนิยายคือข้อตกลงในตัวเองว่าเป็นเรื่องสมมุติ เพราะฉะนั้นคนอ่านย่อมรับทราบแต่แรกว่าตัวละครและโครงเรื่องไม่มีอยู่จริงในโลกนี้
เมื่อ คนเขียนนิยายตระหนักว่าคนอ่านจะไม่เชื่อว่าเป็นเหตุการณ์จริง โดยทั่วไปก็ย่อมตกแต่งเรื่องราวโดยปราศจากเจตนาลวงให้ใคร ๆ หลงนึกว่ามีตัว ละครนี้อยู่ มีเหตุการณ์นี้อยู่ และเป็นไปได้ที่จะเจตนาใช้เรื่องแต่งเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเรื่องดีขึ้นจริง ๆ

อีกประการหนึ่ง แม้ตัวละครและเหตุการณ์จะไม่จริง แต่นักประพันธ์สามารถให้ข้อมูลและข้อเท็จจริงเข้าไปได้ทุกหน้า
เหตุผล ของนักประพันธ์ส่วนใหญ่ที่จะให้ข้อมูลและข้อเท็จจริงไว้ในนิยายเสมอ ก็คือเพื่อให้นิยายของตนมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ อันจะทำให้เรื่องทั้งหมดเร้าใจไม่ต่างจากเหตุการณ์จริง จะเห็นได้ว่าถ้าเรื่องใดขาดเหตุขาดผล ขาดความสมจริง ขาดที่มาที่ไป ทำอย่างไรก็เร้าใจให้คุณรอคอยจุดสรุปอันเป็นยอดสุดของเรื่องไม่ได้

เหตุผลของใครเป็นอย่างไร กรรมของเขาก็เป็นอย่างนั้น สำหรับผม ผมจะใส่ข้อมูลและข้อเท็จจริงเข้าไปมากที่สุด โดยมีเหตุผลคือเพื่อสาธิตกรรมอันเกิดขึ้นได้จริงในโลกปัจจุบัน และวิบากอันเกิดขึ้นได้จากวิธีคิด วิธีพูด วิธีทำแบบหนึ่ง ๆ
เหตุผลอันเป็นไปเพื่อสาธิตกรรมวิบากนี่เอง ที่ทำให้ผมบอกตัวเองได้เต็มปากว่าผมเปล่าโกหก
แต่ส่วนไหนตอนใดในเรื่องที่ก่อให้เกิดราคะ โทสะ โมหะ อย่างไรก็มีผลลบกับผมเหมือนกัน อันนี้ก็เป็นหน้าที่ที่ต้องระมัดระวัง


การเขียนในเนต

กรรมนั้นคือเจตนา ต่อให้คุณนอนคิดร้ายอยู่บนยอดเขา ไม่มีใครเห็น คุณก็ทราบชัดอยู่แก่ใจ และสามารถสำเหนียกรู้สึกได้ว่าใจคุณดำมืดเพราะโดนเมฆหมอกอกุศลทาบทับแล้ว

มโนกรรมคือกรรมที่ก่อแล้วยังไม่ทันส่งผลกระทบดีร้ายกับผู้อื่นก็คงได้ ตัวอย่างเช่นคุณคิดจะด่าเขา แต่ระงับใจไม่ด่า อย่างนั้นก็เป็นเพียงมโนกรรม มีผลให้จิตคุณทุกข์ร้อนอยู่คนเดียว ยังไม่เป็นวจีกรรม ยังไม่มีเสียงกระทบหูใครให้ใจเป็นทุกข์ขึ้นมา

แต่หากคลื่นความคิดแรงจนทะลักรั้วกั้น หลุดจากสมองไปกระทบผู้อื่น ไม่ว่าจะทางภาษาพูดหรือภาษาเขียน ทำให้เขาเกิดความเข้าใจว่าคุณคิดอย่างไร ตรงนั้นจัดว่าเป็นวจีกรรมได้

ฉะนั้นคุณจะแอบเขียนอะไรทางอินเตอร์เน็ตโดยใช้นามแฝงเฉพาะกิจ ไม่มีใครอื่นรู้เห็น ไม่มีใครรู้จักเลย แม้เพียงครั้งเดียวก็นับว่าสร้างวจีกรรมไปแล้วหนึ่งครั้ง และกรรมก็จะติดตามคุณเป็นเงาตามตัว ไม่ผิดต่างไปจากกรรมอื่นๆที่กระทำโดยเปิดเผยหน้าตาตัวตน

ผู้ก่อความวุ่นวาย นานไปย่อมมีจิตใจที่วุ่นวาย ปั่นป่วนเหมือนพายุ และแสดงแนวโน้มที่จะฟุ้งซ่านแส่ส่ายไปในเรื่องเหลวไหล พูดจาจับต้นชนปลายไม่ติดมากขึ้นเรื่อย ๆ

ผู้ก่อกระแสความเยือกเย็น นานไปย่อมมีจิตใจเยือกเย็น สงบราบคาบผาสุก และแสดงแนวโน้มที่จะแน่วนิ่งหนักแน่นในเรื่องเป็นเหตุเป็นผล พูดจามีต้นมีปลายมากขึ้นเรื่อย ๆ

บอกได้เลยครับว่าวจีกรรมที่เกิดขึ้นในโลกอินเตอร์เน็ตนั้น อาจจะให้ผลเร็วและแรงเสียยิ่งกว่าวจีกรรมที่เกิดขึ้นในโลกความเป็นจริงเสียอีก
ที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไร? เพราะบนอินเตอร์เน็ตอาจมีผู้รับคำพูดของคุณจำนวนมาก

ขอให้ลองนึกดู หากคุณพูดเบาๆว่า ‘ไอ้โง่’ ก็อาจมีคุณคนเดียวในโลกที่ได้ยินเสียงอกุศลของตัวเอง แต่ถ้าคุณพิมพ์คำว่า ‘ไอ้โง่’ ลงในกระทู้ของเว็บบอร์ดที่มีผู้เข้าเยี่ยมชมคับคั่ง คุณไม่มีทางปรับให้ดังหรือเบาได้ตามใจชอบได้เลย คุณทำอกุศลกรรมกับคนแบบไม่เลือกหน้าเข้าแล้ว คำด่านั้นอาจทำให้คนนับพันนับหมื่นเกิดความแสลงใจ ความแสลงใจของคนนับไม่ถ้วนนั่นแหละ จะย้อนกลับมาก่อเหตุให้คุณแสลงใจยิ่งกว่าพวกเขาได้





โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:19:48:10 น.  

 
คนตอแหล

มีจิตเป็นมายา เป็นกรรมอย่างหนึ่งเหมือนนักแสดงครับ แต่นักแสดงเพียงตั้งใจหลอกคนดูตามกติกา (คือคนดูตกลงเต็มใจให้หลอก)
ส่วนพ่อพระแม่พระเก๊ ๆ นั้น หลอกทั้งคนดู ตลอดจนกระทั่งหลอกทั้งตัวเองเป็นเวลา

เมตตาจะทำให้เราเจตนาพูดนุ่มนวลเพื่ออนุเคราะห์คนฟังให้สบายใจ แต่มายาจะทำให้เราเจตนาพูดนุ่มนวลเพื่อลวงให้คนอื่นนิยม ผลกรรมที่เห็นได้ชัดทันตาคือจะมีจิตที่เคลิบเคลิ้ม หลงตัวว่าดีแล้ว บางทีปฏิเสธตนเองจนเหนื่อย คิดบอกว่าไม่คิด พูดบอกว่าไม่พูด ทำบอกว่าไม่ทำ ทำไปทำมาเลยเกลียดตัวเอง มีความกระสับกระส่าย มีความไม่พอใจเป็นอาจิณ

เท่าที่ผมเห็น บางคนดูภายนอกสงบลึกซึ้งอยู่ทั้งวัน แต่พอได้ฤกษ์เหมาะ พูดจากันอยู่ดี ๆ ก็ออกอาการหงุดหงิดโดยไม่มีสาเหตุ หรือเรื่องไม่มีก็สร้างเรื่องเพื่อแสดงความโกรธ หรือแสดงวาจาเชือดเฉือนคนอื่นเพื่อให้ตัวเองดูดีกว่าใคร ๆ ยิ่งหลอกสายตาคนไว้มากเท่าไหร่ ยาวนานเพียงใด ความเก็บกดก็จะทวีแรงอัดไว้มากขึ้นเท่านั้น

เมื่อใดคุยเป็นส่วนตัวกับคนสนิทหรือ ผู้น้อยแบบที่ไม่ต้องระวังตัว จึงออกอาการชัดเป็นพิเศษ จ้องจะหาทางระบายความเครียดเอากับคนไม่มีทางสู้ หรือคนไม่มีทางไปป่าวร้องให้ตนเองเสียหาย

สำหรับพ่อพระแม่พระปลอม ๆ นั้น ในอนาคตเมื่อมีโอกาสเกิดใหม่เป็นมนุษย์อีก หน้าตาจะออกแนวไม่ใสซื่อ ดูไม่จริงใจ ถึงแม้ศีลจะปั้นให้รูปร่างหน้าตาดูดีอยู่บ้าง ก็จะสวยหล่อแบบเบี้ยว ๆ ขาด ๆเ กิน ๆ ดูสวยไม่เสร็จ หล่อไม่เสร็จ เลี่ยน ๆ เอียน ๆ

นี่ก็เพราะตอนก่อวจีกรรมดี ๆ นั้นไม่ดีจริง ใจมีอาการขาด ๆ เกิน ๆ นั่นเอง
อย่างนี้มิแปลว่าควรพูดจาโผงผางขวานผ่าซากแบบไม่แคร์ใครกระนั้นหรือ? ไม่ใช่อย่างนั้นครับ เพื่อความสุขความเย็นใจในปัจจุบัน และเพื่อมีหน้าตาผิวพรรณงามในอนาคต ทุกคนควรฝึกตนให้นุ่มนวลเป็นกันทั้งสิ้น
ที่ก้าวแรกควรเป็นเจตนาใช้คำที่ไม่ระคายโสต
พูดแบบเป็นตัวของตัวเอง
พูดแบบไม่รู้สึกว่าต้องใส่หน้ากากไปซื้อใจคนอื่น
พูดแบบไม่ต้องเหนื่อยสร้างภาพที่ไม่มีอยู่ในตน

มีอยู่มาก ที่เห็นคนอื่นทำบุญแล้วเกิดความหมั่นไส้ หรือเกิดความขบขัน เห็นเป็นเรื่องงมงาย เสียแรง เสียเวลา เสียทรัพย์เปล่า อย่างนี้นอกจากไม่มีจิตอนุโมทนา ยังมีความคิด คำพูด หรือการกระทำในเชิงเบียดเบียนตามมา


นอนไม่หลับ

ก่อนนอนจะมีปัญหาค้างคาต่าง ๆ มารุมเร้าให้เครียด นอนไม่หลับ
วัตถุอะไรขนาดพอดีมือมากำไว้สิครับ กำให้แน่นเลย เป็นการย้ายอาการจับยึดในหัวมาไว้ที่มือ

ถ้าให้วิเศษกว่าอุบายวิธีข้างต้น ก็คืออาศัยสติยังดีอยู่ พิจารณาให้เกิดปัญญา มันคือหลักฐานที่แสดงให้เห็น ว่าระหว่างวันถ้าเราไม่ระวัง ไม่ดูแลรักษาจิตให้ดี ปล่อยปละละเลย ยินยอมเอาขยะทางใจมาสะสมจนหมักหมมคั่งค้าง ในที่สุดจะรื้อทิ้งได้ลำบาก ถ้าเมื่อใดปล่อยจิตปล่อยใจให้คร่ำเครียดกับปัญหามากเกินไป จะเกิดสติเตือนตนเอง ว่าเอาอีกแล้วนะ เก็บขยะใส่หัวเตรียมตัวตาแข็ง เตรียมนอนเครียดหลับยากได้อีกแล้ว ที่ความรู้สึกตัวตรงนั้น จิตคุณจะถอยออกมาจากอาการยึดมั่นเอง

โรคนอนไม่หลับกำลังเป็นปัญหาใหญ่เข้าขั้นรุนแรง หลายคนน่าเห็นใจมาก ๆ เพราะปัญหารุมเร้าตลอดศก ไหนจะการงาน ไหนจะการรัก ไหนจะหนี้สิน ไหนจะอันตรายจากคนโฉด

การรู้สติไม่ปล่อยให้จิตเตลิดเปิดเปิง คิดปล่อยมากกว่าคิดยึด เบาสบายไปทั้งจิต และรังเกียจความผูกใจอาฆาตพยาบาทไร้ประโยชน์ ความรังเกียจเรื่องสกปรกนั้นเองจะก่อให้เกิดสภาพไกลบาป พ้นเรื่องน่ากลัดกลุ้ม แม้กายยังไม่อาจหลีกไปจากวงล้อมของเหล่าทรชนคนบาป ใจก็ห่างบาปออกมามากแล้ว



ภัยพิบัติ

ตามหลักแล้ววิบากกรรมจะเล่นงานคนเรือนล้านพร้อมกันได้เพราะมีเหตุปัจจัยดังนี้
1 มีสัตว์ต้องตาย ‘พร้อมกัน’

2 วิบากกรรมที่ทำให้ตายกะทันหันนั้น ควรจะเป็นประเภทตัดรอนภาวะดีๆ เปลี่ยนเอาภาวะร้าย ๆ มาแทนที่แบบปุบปับฉับพลัน ไม่ให้ทันได้ตั้งเนื้อตั้งตัว
ภัยพิบัติระดับทำคนตายเป็นล้านนั้น มักมาในรูปแบบของความน่าสะพรึงกลัวไม่มีอะไรเกิน

ความกลัวเป็นโทสะชนิดแรงกล้า ถ้าครอบงำจิตสุดท้ายไว้ทั้งดวงได้ ก็มักตรึงจิตให้ติดอยู่กับความกลัวนั้น ๆ พูดง่ายๆเป็นเปรตที่ต้องวนเวียนอยู่กับภพแห่งความน่ากลัวไปอีกนาน จนกว่าจะมีบุญใดมาเลื่อนชั้นให้ น้อยคนครับที่เปลี่ยนจากภาวะมนุษย์ด้วยอุบัติเหตุกะทันหันแล้วไปสูงขึ้น ต้องสั่งสม ต้องย้อมจิตย้อมใจเป็นกุศลกันจนอยู่ตัวพอประมาณ

เอาแค่ปัจจัยที่เอื้อให้เกิดมหาหายนะสองข้อข้างต้น ก็คงพอจะพิจารณาได้ว่าการตายเกลี้ยงฉาดแบบเทกระจาดทิ้งทั้งหมดโลกในคราวเดียวนั้น เกิดขึ้นได้ยากเต็มทีครับ เพราะแปลว่าผู้มีบุญถึงขั้นได้เป็นมนุษย์กว่า 6,๐๐๐ ล้านรายจะต้องตายร้ายพร้อมกันหมด อัตราความเป็นไปได้คงเป็นศูนย์ คือต่อให้มีดาวหางใหญ่เท่าดวงจันทร์จะวิ่งมาชนโลกแตกดับ ก็ต้องได้พระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยเหมือนในหนังจนได้

อย่างไรก็ตาม แม้โอกาสตายเกลี้ยงพร้อมกันจะเป็นศูนย์ แต่โอกาสทยอยตายเป็นกระจุก ๆ นั้นชักเริ่มมีมาก ทั้งนี้เพราะมีผู้สมควรตายแบบปัจจุบันทันด่วนเพิ่มขึ้นนั่นเอง



โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:19:49:56 น.  

 
สวรรค์และการเป็นเทวดา

เทวดามาเป็นมนุษย์

สวรรค์จะต้องเป็นงานเลี้ยงที่เต็มไปด้วยความรื่นเริงชั่วนาตาปี ส่งมนต์ขลังสะกดให้จิตตกอยู่ในห้วงแห่งความปรีดาอันมีรสประหลาดล้ำ ชวนให้เคลิ้มคิดอยู่ตลอดเวลา ว่านี่เป็นชีวิตอมตะ มองไปยังทิศใดจะไม่เห็นการแก่ อีกทั้งหายากที่จะมีตายให้ดูเป็นอุทาหรณ์ เพราะสภาพทิพย์มีความยืนยง หนำซ้ำเมื่อตายก็ล่องหนหายไปเลย ไม่มีภาพไฟเผาให้สะเทือนใจอย่างในโลกมนุษย์เรา เทวดาจึงเกิดอุปาทาน อย่างเหนียวแน่น ว่าสวรรค์เป็นที่น่าพอใจ เป็นนันทะขั้นสูงสุด ไม่มีเหตุผลอันสมควรให้คิดเบื่อหน่ายในหมู่เทวดาทั่วไป

ถ้าจะกล่าวว่าเทวดามีความเบื่ออยู่บ้าง ก็เพียงชั่วครั้งชั่วคราวครับ ธรรมชาติใดมีแรงดึงดูดเข้าหากัน ธรรมชาตินั้นย่อมมีแรงผลักออกแฝงอยู่ในตัวเองเสมอ กล่าวคือเมื่อถึงจุดอิ่มตัวของพลังดึงดูด ที่สุดแล้วก็เปลี่ยนเป็นแรงผลักออกจนได้ เช่นบนสวรรค์นั้น

อาหารทิพย์รสหนึ่งอาจส่งกลิ่นเย้ายวนชวนรับประทานเหลือจะกล่าว แต่เมื่อได้บริโภคซ้ำหลายครั้งเข้า แค่คิดถึงรสทิพย์เดิม ๆ ก็เกิดแรงผลักให้นึกอยาก เทวดาจะอยากเปลี่ยนรสชาติด้วยเหตุผลเดียว คือต้องการความหลากหลายหรือความแปลกใหม่ ล่อใจให้กระโดดทะยานไม่หยุดนิ่งไปเรื่อย

เหตุผลทางใจที่ทำให้เทวดาหมดความไยดีในสมบัติทิพย์ของตนมีอยู่หลัก ๆ ตามที่ปรากฏบันทึกอยู่ในคัมภีร์พุทธ เรียงตามลำดับความน่าจะเป็น คือ
1 ทนริษยาเพื่อนเทวดาไม่ได้
ทิพยสมบัติของเทวดานางฟ้าไม่เหมือนกัน มีความวิจิตรพิสดารผิดกัน ขึ้นอยู่กับบุญที่แต่ละองค์ทำ ๆ กันมา
ยามเทวดาเยี่ยมชมวิมานของเพื่อนแล้ว ประจักษ์ในความเหลื่อมล้ำต่ำสูง ก็เป็นทำนองเดียวกับที่คุณเรียนจบมาพร้อมเพื่อน แต่ได้งานต่างกัน สิบปีให้หลังเพื่อนมีทั้งคฤหาสน์หลังโต โรงรถมีเก๋งใหญ่กับรถสปอร์ตขึ้นเงาวับ ในขณะที่คุณผ่อนทาวเฮาส์กับรถมือสองหัวหูยุ่ง คุณก็คงเริ่มคิดมาก บังเกิดความไม่พอใจในสมบัติและฐานะของตนเองขึ้นมา

เมื่อเกิดความกลัดกลุ้ม เขาย่อมทราบว่าสมบัติทิพย์จะเกิดขึ้นได้นั้น ที่มาเดียวคือบุญอันสั่งสมไว้ชอบแล้วขณะเป็นมนุษย์

บนสวรรค์นั้น แม้ริษยากันเพียงใดก็ซื้อหาเพิ่มเติมมาแข่งขันกันไม่ได้ เพราะการเป็นเทพคือภพที่เอาไว้เสวยวิบากตายตัวตั้งแต่ผุดเกิดจนแตกดับ โอกาสที่จะเพิ่มเติมบุญบารมีนั้นยากกว่ามนุษย์ ต่างฝ่ายต่างเสวยบุญของตนเป็นหลัก
อีกประการหนึ่ง เมื่อสมบัติทิพย์เป็นสิทธิ์ขาดเฉพาะตน ก็ไม่จำเป็นต้องคิดแย่งชิงหรือฆ่าฟันกันให้เมื่อย เมื่อไม่มีเหตุบีบคั้นให้ทำบาป

อีกประการ แม้เทวดามีโอกาสทำบุญอยู่บ้าง เช่นไปฟังอริยเจ้าเทศนา หรือไปใส่บาตรพระธุดงค์กลางป่า แต่โดยทิพยสภาพนั้น ไม่เอื้อให้เหล่าเทวดานางฟ้าได้ใช้กำลังใจมากนัก คือเมื่อจะเดินทางไปฟังธรรมก็ไม่ต้องเตรียมตัว ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง แค่คิดอยากไป ตั้งใจไปจริง ๆ แวบเดียวก็ถึงแล้ว หรืออย่างเมื่อคิดจะถวายภัตตาหารแด่พระพุทธเจ้าและพระอริยสาวก ก็เพียงเนรมิตอาหารอันเป็นรูปหยาบขึ้นมาด้วยฤทธิ์ทางใจ ไม่ต้องคิดว่ามีสตางค์พอจ่ายค่ากับข้าวเผื่อพระหรือเปล่า

บนโลกมนุษย์เต็มไปด้วยข้อบีบคั้นให้ต้องคิดมาก อยากสละทรัพย์หรือสละแรงให้ใครแต่ละที อาจหมายถึงการชักเนื้อให้ตนเองมีน้อยลง ลำบากมากขึ้นได้ทั้งสิ้น

ธรรมชาติแห่งบุญนั้น จะทวีสูงขึ้นเมื่อยอมมีน้อยลงเพื่อให้คนอื่นมีมากขึ้น ตลอดจนยอมตัวลำบากมากขึ้นเพื่อให้คนอื่นลำบากน้อยลง

นี่แหละครับ ที่มาข้อแรกของการ ‘กลั้นใจตาย’ แห่งเทวดา เขาจะกำหนดจิตอย่างแน่วแน่เพื่อมาเกิดเป็นมนุษย์ ยอมลืม ยอมไม่รู้ ยอมลำบาก ทั้งที่ยังไม่ถึงเวลาจากสวรรค์ไป ก็เพื่อมาทำบุญเพิ่ม รูปชีวิตของเขา นับแต่การได้มาเกิดกับพ่อแม่แบบหนึ่ง ๆ ตกอยู่ภายใต้ความกดดันแบบหนึ่ง ๆ จะสอดคล้องกับแรงอธิษฐานขอบำเพ็ญบารมีแบบนั้น ๆ ก่อนสละสวรรค์

พวกคุณบางคนเพิ่งลงมาจากสวรรค์ด้วย เหตุคือหมดบุญ ช่วงต้นชีวิตอาจจะยังติดอยู่กับวิสัยทัศน์เทวดา อะไร ๆ ดีหมด สบายหมด สุดท้ายก็โดนความเหลิงแบบมนุษย์เอาไปกิน

แต่พวกคุณบางคนเพิ่งลงมาจากสวรรค์ด้วยเหตุคืออยากบำเพ็ญบุญเพิ่ม ช่วงต้นชีวิตจะชมชอบเรื่องการทำทาน การรักษาศีล การไหว้พระสวดมนต์ โดยไม่ต้องมีใครขู่เข็ญบังคับ และยิ่งโตขึ้นความตั้งใจจะยิ่งเด่นชัดอย่างประหลาด ตั้งใจทำแต่ความดี มีความผูกพันกับสวรรค์อย่างลึกซึ้ง แค่ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเทวดานางฟ้าแล้วเกิดปีติอย่างใหญ่ราวกับสัมผัส ทิพยสภาพได้ ที่สำคัญคือเคยอธิษฐานตั้งใจทำดีแบบใด แรงอธิษฐานนั้นจะแปรเป็นสัญญาณนำร่อง เกิดความอยากทำ และตั้งหน้าตั้งตาทุ่มเทด้วยชีวิตจิตใจทั้งหมด

ยกตัวอย่างเช่นเทวดาที่จุติด้วยแรง อธิษฐานอยากได้นางฟ้างามพิลาศทัดเทียมเพื่อน เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ก็จะแสวงหาหญิงที่ดี ไม่สนใจรูปร่างหน้าตามากนัก เพียงเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง และร่วมทำบุญแบบไปไหนไปกัน เท่าไหร่เท่ากัน เชื่อในผลบุญ และไม่ไยดีกับฐานะทางโลกมากนัก ผลสุดท้ายเขากับเธอย่อมรักและผูกพันกันด้วยอำนาจบุญทั้งในชาติปัจจุบัน และไปครองวิมานร่วมกันอีกในปรโลก สมความปรารถนาแต่ดั้งเดิมของ ‘เขา’

2 ทนรับฐานะต่ำต้อยของตนเองไม่ได้
เทวดาบางองค์ต้องตกไปเป็นบริวารของเพื่อน เพราะเมื่อครั้งเป็นมนุษย์ต้องให้เพื่อนหว่านล้อมตะล่อมให้ศึกษาธรรม จึงได้ชื่อว่าพึ่งบุญ พึ่งบารมีเพื่อน หาใช่เป็นเครดิตบุญบารมีของตนเองไม่
แม้เมื่อครั้งเป็นมนุษย์จะทำดี สั่งสมบุญไว้ไม่น้อย แต่ก็เป็นไปด้วยกำลังใจที่อ่อน ขาดเพื่อนพยุงเมื่อไรก็ดีดตัวออกจากวงจรบุญเมื่อนั้น ในที่สุดแม้จิตจะถึงสวรรค์ แต่ก็เป็นการถึงสวรรค์ตามเพื่อน เลยต้องไปอยู่ในวิมานของเพื่อนในฐานะบริวาร ไม่มีวิมานแสดงความเป็นเจ้าของบุญของตนเอง

ถ้าคุณเคยสนิทสนมกับใคร ชนิดเล่นหัวกันได้ไม่ถือสา แล้ววันหนึ่งคุณต้องตกไปเป็นลูกน้องของเขา รับคำสั่งเขา เห็นเขาพูดจาวางฟอร์มเจ้านายกับคุณ คุณคงอยากลาออกจากงานไวๆ ซึ่งนั่นก็เช่นกัน การ ‘กลั้นใจตาย’ ของเทวดาประเภทที่ตกไปเป็นบริวารเพื่อน คือวิธีหลบหน้าที่ดีที่สุด
โดยมากเทวดาที่ลาสวรรค์ด้วยอาการทำนองนี้ จะไม่มีเจตนาที่แน่วแน่นัก อย่างมากแค่อยากไปเกิดเป็นมนุษย์เพื่อริเริ่มทำบุญด้วยตนเองบ้าง แต่ก็ไม่ทราบว่าเป็นบุญประเภทไหน รู้แต่ว่าถือกำเนิดเกิดมาพร้อมกับความทระนง ไม่ชอบอยู่ใต้อาณัติใคร แตกเป็นแตก หักเป็นหัก พร้อมจะตบเท้าลาออกทันทีที่ไม่ชอบหน้าเจ้านาย

บางทีโทสะและความอยากเป็นตัวของตัวเอง ก็แปรเป็นแรงผลักดันให้ทำบุญยิ่งใหญ่ได้เอง แต่หากจับพลัดจับผลู เข้าช่องความถือดีนำหน้า ก็อาจทำบุญแบบคนใจแคบ อยากเอาหน้าเอาตา และเผลอทำบาปประการต่าง ๆ โดยมีความน้อยเนื้อต่ำใจเป็นตัวบีบได้

แต่ถ้าโชคดี เทวดาผู้เป็นเพื่อนยังเมตตาสอดส่องก็อาจได้เปรียบ คือใช้ชีวิตแบบมีเหล่าทวยเทพผู้เป็นเพื่อนเก่าคอยให้ความช่วยเหลือในรูปของแรงดลใจ หรือดลเหตุการณ์บางอย่างที่มีผลกับการตัดสินใจครั้งสำคัญ ๆ เช่นถ้าจะตกลงร่วมมือกับโจร ก่อนหน้านั้นจะมีฝันเห็นความวิบัติของตนล่วงหน้าเป็นฉาก ๆ สมเหตุสมผล สมจริงสมจัง ตื่นขึ้นจึงเลิกคิดคบโจร หันมาคบปราชญ์แทน เป็นต้น

3 พระโพธิสัตว์ปรารถนาจะบำเพ็ญบารมีต่อ
พระโพธิสัตว์คือผู้ที่อยู่ในระหว่างการบำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ท่านจะรู้ด้วยอภิญญาจิตแบบเทวดา ว่าตนเองมีรัศมีแห่งโพธิญาณแก่กล้าเพียงใดแล้ว นั่นเป็นเหตุบันดาลใจให้ฮึกเหิม ไม่กลัวความลำบากในโลกมนุษย์ เสวยสวรรค์เพียงครู่เดียวก็ทุรนทุราย ใคร่อยากลงมาเป็นมนุษย์เพื่อเติมบารมีที่พร่องให้เต็มไว ๆ

พระโพธิสัตว์ประเภททิ้งความสุขบน สวรรค์มาลำบากในโลกมนุษย์ได้นั้น มักเป็นเทวดาชั้นดุสิต ซึ่งเป็นแหล่งรวมเทวดาผู้ใหญ่ ผู้พร้อมจะเสียสละตนเองเพื่อสรรพสัตว์ หรือไม่อีกทีก็เป็นพรหมซึ่งถือกำเนิดจากการบำเพ็ญเพียรเยี่ยงนักบวชผู้แผ่เมตตา

การตัดสินใจลงมาบำเพ็ญบารมีแต่ละครั้ง ขึ้นอยู่กับปัจจัยและเหตุผลหลาย ๆ อย่าง แต่โดยหลักก็คือ พระโพธิสัตว์จะลงมาด้วยความตั้งใจช่วยคน แต่การช่วยคนของพระโพธิสัตว์ก็มีเรื่องของมุมมองเข้ามาเกี่ยวข้อง พวกท่านอาจเป็นพระเอกในหลายครั้ง แต่บางคราวเป็นวายร้ายอันดับหนึ่งของประวัติศาสตร์ไปก็มี บุญใหญ่กับบาปหนักบางทีก็มาด้วยกันเหมือนเหรียญสองด้าน

4 เห็นความไม่เที่ยง
ปรารถนานิพพานแน่นอนแล้ว เพียงแต่อายุไม่ยืนพอจะบรรลุมรรคผล มีอันเป็นไปเสียก่อน
เห็นว่าภพแห่งเทวดาก็ยังมีน้ำตา และเกิดสัญชาตญาณรู้ขึ้นเองว่า ที่ใดมีน้ำตาที่นั่นยังไม่สุขจริง
เทวดาที่เอาวิปัสสนาญาณติดตัวมาด้วย จะเพ่งเล็งไปที่ความไม่เที่ยง ใจจะน้อมไปสรรเสริญก็แต่การเข้าถึงมรรคผลเพื่อพ้นจากปวงทุกข์โศก พ้นจากความพรากจากแล้ว ๆ เล่า ๆ ไปเสีย

พวกนี้เกิดเป็นมนุษย์อีกทีจะใกล้วัด ใกล้พระ ใกล้ธรรมขั้นสูงตั้งแต่เด็ก ๆ ต่อให้ใช้ชีวิตอย่างไร ในที่สุดโตขึ้นรู้ความก็ต้องเบื่อโลก เห็นความไร้แก่นสารของสรรพสิ่ง และอยากประพฤติธรรมเพื่อความหลุดพ้นสถานเดียวครับ

หลายคนในหมู่พวกเรา เคยมีจิตแบบเทวดา ภพก่อนย่อมได้เป็นเทวดา กับทั้งเมื่อหมดเวลาเสวยบุญบนสวรรค์ชั้นฟ้า ยังได้รับการคุ้มครองจากบุญเก่า ตกแต่งให้มีจิตแบบมนุษย์ จึงสมควรได้มาเข้าท้องมนุษย์

แต่ครั้นเมื่อเป็นมนุษย์แล้ว เขาต้านทานแรงดึงดูดของกิเลสร้ายไม่ไหว แปรปรวนไปมีจิตแบบสัตว์นรก ตอนตายย่อมมีภาวะที่รองรับจิตแบบสัตว์นรกโดยไม่ต้องจ้างให้ใครสร้าง และไม่อาจอวดอ้างว่าฉันมาจากสวรรค์ชั้นฟ้า ฉันควรมีอภิสิทธิ์กลับสวรรค์

สรุปคือจิตเป็นต้นเหตุของสวรรค์และนรก จิตดีสร้างสวรรค์ จิตชั่วสร้างนรก ต้องว่ากันเป็นคราวๆชาติต่อชาติ ไม่มีอะไรตายตัวครับ


การทำบุญจะถึงหรือไม่ถึงสวรรค์

การทำบุญจะถึงหรือไม่ถึงสวรรค์ ผมพอสรุปคร่าวๆเป็นหลักการใหญ่ๆได้ดังนี้
1 ระหว่างประกอบบุญทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี หรือแม้ทางใจก็ดี ถ้ามีความโลภ ความโกรธ และความหลงติดอยู่กับโลกเจืออยู่ การสะสมบุญชนิดนี้จะเป็นเครื่องผูกติดอยู่กับโลก เป็นเหตุให้ต้องกลับมาเสวยบุญในโลกมากกว่าจะไปถึงสวรรค์
ยกตัวอย่างเช่นถ้าใส่บาตรพระแล้วย้ำอธิษฐาน ขอให้มีพ่อแม่ร่ำรวยและตามใจ อย่างนี้จิตย่อมผูกอยู่ความร่ำรวยในโลก

2 แม้เป็นผู้ประกอบบุญด้วยดี ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะเจืออยู่ แต่ระหว่างดำเนินชีวิตปกติที่ต้องประกอบอาชีพการงาน ต้องมีการแข่งขันเอารัดเอาเปรียบ หรือต้องมีความโกรธเกลียดกันมาก ก็เป็นแรงยึดโยงให้ติดอยู่กับโลก เหนี่ยวนำให้กลับมาอยู่กับโลกต่อไป แรงบุญที่ทำด้วยใจบริสุทธิ์ยังไม่พอส่งขึ้นสวรรค์

3 แม้เป็นผู้ประกอบบุญด้วยดี และใจไม่ผูกยึดกับพันธะในโลกนี้ แต่ความผูกพันและกรรมเก่าที่ต้องใช้ในโลกมนุษย์ยังไม่จบไม่สิ้น
ตัวอย่างเช่นพระบางรูปทำประโยชน์ให้พระศาสนามากมาย แต่ท่านก็อธิษฐานสำทับซ้ำหลายภพหลายชาติ ด้วยความชอบใจในการทำประโยชน์กับโลกมากกว่าจะมุ่งปฏิบัติเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธะทั้งหลาย
หรืออีกทางหนึ่ง บางคนทำบาป แต่กลับลำได้ในช่วงท้าย ๆ แล้วอธิษฐานว่าถ้าได้เกิดใหม่ขอทำบุญชดใช้ความผิดแต่หนหลัง อย่างนี้ชาติถัดมาก็มีสิทธิ์ ‘แก้ตัว’ ในอัตภาพมนุษย์อีกที


เทวดาประจำตัว

เทวดาประจำตัวมีจริงหรือเปล่าคะ?
ถ้านึกถึงเทวดาเดินตามต้อย ๆ ไปคอยเป็นองครักษ์พิทักษ์คุณตลอดเวลาล่ะก็ แบบนั้นไม่มีหรอกครับ ลองคิดดูถ้าใครสักคนสู้อุตส่าห์ทำบุญจนเกินมนุษย์ธรรมดา ถึงขนาดตายไปเสวยสวรรค์ได้ สุดท้ายเบื้องบนตกรางวัลโดยให้มาเป็นบอดี้การ์ดคุ้มครองมนุษย์ตลอดเวลา ค่าจ้างค่าออนก็ไม่ได้รับกับใครเขา อย่างนี้จะเป็นเทวดาไปทำไมล่ะครับ

การช่วยเหลือเกื้อกูลข้ามมิติภพภูมินั้นเป็นไปได้ครับ โดยที่การช่วยเหลืออาจมาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น หยิบยื่นสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นการช่วยชีวิตพวกมันราวกับปาฎิหารย์ แต่ไม่รู้แม้ ‘ความบังเอิญ’ ก็มีเหตุผลบางอย่างของมันเสมอ

เทวดาก็เป็นสังคมเช่นเดียวกับมนุษย์ พวกท่านมีเพื่อน มีสามี มีภรรยา มีเจ้านาย มีบริวาร ที่รักและผูกพันกัน แม้เมื่อญาติมิตรจุติจากสวรรค์ลงมาเกิดในมนุษยโลกแล้ว ก็ยังอาลัยอาวรณ์ อาจคอยสอดส่องดูด้วยความห่วงใย เกรงญาติมิตรของตนจะประสบทุกข์ต่าง ๆ นานา หรือพลาดท่าเสียทีให้กิเลส ทำบาปทำกรรมอันเป็นเหตุให้ต้องพลัดไปสู่อบายภูมิได้

วิธีสอดส่องของเทวดานั้น ถ้าเทียบให้ใกล้เคียงก็คงคล้ายมนุษย์อาศัยใช้กล้องวงจรปิดในการสังเกตพฤติกรรม ต่างแต่ว่าเหล่าเทวดาส่วนใหญ่มีวิถีการรับรู้อันเป็นทิพย์ รู้เรื่องไกลตัวได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งอุปกรณ์ไฮเทคทั้งหลาย เพียงด้วยความห่วงใยมีใจผูกพันอาทร ก็จะรู้ขึ้นเองเมื่อเกิดเรื่องร้ายกับญาติมิตรของตนที่ไปเกิดในมนุษยโลก

เมื่อเกิดเรื่องร้ายกับญาติมิตรในโลก เทวดาก็หาได้สามารถช่วยเหลือไปหมดทุกเรื่อง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการดลใจ หรือโน้มน้าวจิตของญาติมิตรให้เปลี่ยนจากอกุศลเป็น ทำนองเดียวกับบรรดาพระภิกษุผู้มีพลังเมตตาสูง ๆหลายรูป สามารถรวมตัวกันแผ่กระแสความสุขให้ญาติโยมที่มาประชุมกัน
ระงับความทุกข์และความฟุ้งซ่านลงได้ชั่วคราว เพียงเข้ามาอยู่ในละแวกใกล้

ตัวแปรในการดลใจมีหลายระดับ ขึ้นอยู่กับฤทธิ์ของเทวดาเอง ประกอบกับที่ขณะหนึ่ง ๆ กิเลสหรือวิบากของมนุษย์ห่อหุ้มอยู่หนาแน่นเพียงใดด้วย หากมนุษย์กำลังโทสะแรงกล้า หรือกำลังมีวิบากมืดคลุมจิตมิดเม้นให้เห็นผิดรุนแรง แม้เทวดาฤทธิ์มากก็ดลใจไม่ไหว

พื้นที่ส่วนต่าง ๆ ของโลกไม่เหมือนกัน ถ้าบุญไม่พอก็อยู่ไม่ได้ หรือมีเทวดาดลใจให้ไปอยู่ที่อื่นที่เหมาะกับวาสนาบารมีของแต่ละคน โดยที่เทวดาไม่จำเป็นต้องเป็นเทวดาประจำตัวแต่อย่างใด
ผ่านเข้าไปในเขตวัด ก็คงเคยรู้จักกับกระแสความอบอุ่นสว่างไสว ปลอดโปร่งอันนั้นอาจเป็นคลื่นจิตของวิญญาณชั้นสูงปน ๆ กัน ทั้งมนุษย์ทรงศีล ทั้งเทวดา

สรุปคือนอกจากคำว่า ‘เทวดาประจำตัว’ ซึ่งคุ้น ๆ กันแล้ว ยังมี ‘เทวดาประจำที่’ อีกด้วย รูปแบบความเกี่ยวข้องกันระหว่างเทวดากับมนุษย์อาจมาทั้งในรูปของการดลใจ การปกป้อง ตลอดจนการสะกิดเตือนตรง ๆ

หากจู่ ๆ คุณรู้สึกมึนงง หรือรู้สึกเหมือนถูกบล็อกความคิดให้ตีบตัน โดยเฉพาะขณะต้องทำบุญหรือทำบาปอันขัดแย้งกับตัวตนเดิมมาก ๆ ก็เป็นไปได้ครับว่ามีความเกี่ยวข้องกับภูตผีปีศาจหรือเทวดานอกตัว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเหตุภายใน

วิญญาณที่ผูกกรรมสัมพันธ์บางอย่างกับมนุษย์ ต้องคอยติดตามมนุษย์นั้นมีอยู่จริง แต่เป็นกรณีที่เกิดขึ้นได้น้อย คือต้องเป็นเหตุผลพิเศษจริงๆ เช่น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอธิษฐานผูกติดกับอีกฝ่าย อำนาจการอธิษฐานที่แรงพอจะทำตัวเป็นเสมือนเชือกโยงให้ต้องติดตามไปทุกหนทุกแห่ง เมื่อหมดกำลังส่งของแรงอธิษฐาน หรือเมื่อฝ่ายมนุษย์เปลี่ยนแปลงตนเองเป็นคนละคน ‘เงาตามตัว’ ก็จะจำไม่ได้ ต้องหายไปตามหนทางของเขาเองครับ



โดย: เนเเวอร์แลนด์ (เนเวอร์แลนด์ ) วันที่: 23 กันยายน 2552 เวลา:19:51:42 น.  

ใจรัก Jairuk Channel
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 91 คน [?]








ติดตามดูต่อที่YouTube

ใจรักJairukChannel



ติดตามดูต่อที่Facebook

ใจรักJairukChannel



แนะนำให้ชม

บัวหิมะ
บัวหิมะ
วิธีเลี้ยงบัวหิมะ
เกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน
บั้งไฟพญานาคที่ไปดูมา
ติดอันดับTOP Page Views
อาหารและการดูแลสุขภาพ ผู้ป่วยมะเร็งและคนทั่วไป
เที่ยวขอนแก่น
Michael Jackson
คอนเสิร์ตบอย Peacemaker
คลิปเจ้าขุน
การกลับมาของX Japan

ท่องเที่ยว

UFOที่เคยเห็น
บั้งไฟพญานาคที่ไปดูมา
หาดใหญ่และปัตตานี
ไข่มุกอันดามัน
อะ พีพี
เกนติ้ง
กัวลาลัมเปอร์
หาลิงเข้าถ้ำทะเลภูเขาเลยจ้า นอนดูหมอกที่ปราจีนบุรี
เที่ยวปราจีนบุรีต่อ
เลยจะถึงไหมละนี่
พักค้างแรมที่เลย
เลยจนเกือบถึงลาว
ขุดกรุเขื่อนป่าสัก
บึงแก่นนคร ขอนแก่น
พระธาตุขามแก่น
เดินทางไปลพบุรี
กินข้าวอิงภูชัยภูมิ
ลาว เวียงจันทร์
ลาว2
ปิดทริปเที่ยวลาว
ล่องเรือเจ้าพระยา
รถไฟลอยฟ้า ฟ้า ไทย
รถไฟใต้ดินไทย
ทะเลน้ำจืดหาดวังโกขอนแก่น บ้านปราสาทโคราช
วังน้ำเขียวโคราช
ชอปปิ้งหนองคาย
ตัวเมืองขอนแก่น
น้ำผุดทับลาว ชัยภูมิ
สนามหลวง2
ไปดูงานศิลป
สายน้ำกับปลาที่ไปปล่อย
งานExpro
เขื่อนอุบลรัตน์
เที่ยวป่าวัดพรไพรวัลย์
ล่องแพอ่างเก็บน้ำห้วยไร่
ทะเลหมอกภูพานน้อย
วัดเจดีย์ชัยมงคล
ครั้งหนึ่งที่เคยโบกรถ
น้ำหนาว,เพชรบูรณ์
พระพุทธชินราช,พระธาตุลำปางหลวง
น้ำพุร้อน,วัดร่องขุ่น
มหาลัยแม่ฟ้าหลวง,น้ำตกก้างปลา
เวียงแก่น,ภูชี้ฟ้า
ดอยแม่สลอง
อุทยานฯขุนแจ
สวนโลกราชพฤกษ์
วัดเจดีย์7ยอด,วัดเจดีย์หลวง
ดอยสุเทพ,ทุ่งสแลงหลวง
โครงการครูบ้านนอก
วัดหลวงพ่อโตใหญ่ที่สุดในโลก
ที่พักปากช่อง
เลย-ลาว-ท่าลี่
ถึงระยองแล้วจ้า
ทะเลตอนเช้า
งานเที่ยวภาคใต้






Friends' blogs
[Add ใจรัก Jairuk Channel's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.