Group Blog
 
<<
มีนาคม 2559
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
29 มีนาคม 2559
 
All Blogs
 
ธรรมะเพื่อการละวางวางอัตตาตัวตน








เป็นการถ่ายทอดกฎธรรมชาติจากผู้รู้ ซึ่งเป็นผู้ทรงภูมิปัญญาจากดวงดาวอื่นเป็นผู้ถ่ายทอดข้อมูลเหล่านี้โดยตรงจึงมิได้เป็นการเขียนขึ้นเองโดยความเข้าใจของบุคคลใด บุคคลหนึ่ง
ระบบได้เป็นผู้ถ่ายทอดกฏธรรมชาติในหนังสือเล่มนี้







1

https://www.youtube.com/watchv=5O7G6l4CjO4


–คนต่างจากแบบฟอร์มอื่น เพราะมีปัญญา คิดรู้ได้เอง มีสติยั้งคิด พิจารณา จึงสามารถพิจารณาธรรม บรรลุธรรมได้
-แบบฟอร์มสัตว์ก็เป็นแบบนั้น มองสัญชาตญาณเป็นแบบนั้น ธรรมชาติของมัน ถ้าช่วยบางสิ่งไม่ได้ก็ต้องปล่อยวาง เห็นความเป็นไปของธรรมชาติ จิตจะได้ไม่หดหู่ เศร้าหมอง จะได้ไม่อคติสิ่งรอบตัว


กลไกธรรมชาติกำหนดกฎเกณฑ์ธรรมชาติมีแบบฟอร์มของแต่ละลักษณะเฉพาะของแต่ละแบบฟอร์มทำอะไรไว้บันทึกไว้ว่าควรไปอยู่แบบฟอร์มไหน เช่น สัตว์ชนิดใด คนต่างจากแบบฟอร์มอื่นเพราะคิดเองได้ ควบคุมอารมณ์ได้ จึงบรรลุธรรมได้ การเกิดเป็นคนนั้นยาก
ถ้าเข้าใจแบบฟอร์มของสิ่งที่ได้เกิดมาอย่าไปเกลียด อาฆาต ให้เข้าใจเป็นไปตามสัญชาติญาณของแบบฟอร์มนั้น ช่วยเท่าที่จะช่วยได้ แต่ถ้าบางสิ่งที่ไม่สามารถช่วยได้ก็ต้องปล่อยวาง เห็นความเป็นไปของธรรมชาติ จิตจะได้ไม่หดหู่เศร้าหมอง เราจะได้ไม่อคติกับสิ่งรอบตัวอันนี้ชอบไม่ชอบ อันนี้ดีกว่าสิ่งนี้ ให้เข้าใจกลไกของธรรมชาติเกิดมาตามกรรม ให้เข้าใจสิ่งที่มันเป็น



2

https://www.youtube.com/watch?v=Qai1oexmdME


-อยู่กับธรรมชาติอย่าไปตั้งความหวังมันจะเป็นอย่างโน้น อย่างนี้ ตามที่เราต้องการ เพราะตั้งความหวังเมื่อไหร่ ความผิดหวังก็รออยู่เมื่อนั้น
-อย่าไปเปรียบเทียบ เพราะจะนำไปเปรียบเทียบเทียบสองสิ่ง ทำให้ไม่พอใจ ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติเหตุปัจจัย เป็นไปตามกลไก มองเห็นเป็นเช่นนั้นเอง
-คิดแต่สิ่งที่รื่นรมย์ อย่าเครียด เพราะสารที่ไม่ดีต่อร่างกายหลั่งออกมา ทำให้วิตกกังวลมากเกินไป เครียดรุนแรง ซึมเศร้ารุนแรงไป ก็ต้องจ่ายยาควบคุมสมองให้สมดุล เพื่อลดเครียด หดหู่ กังวล ทุกข์กายใจ ส่วนหนึ่งก็จากสารที่หลั่งออกมา
-ปฏิบัติธรรม เพื่อจะไม่ทุกข์ คิดดี ทำดี จะสงบเย็นอิ่มเอิบในจิตใจ สดชื่นแจ่มใส อารมณ์ดีมีสุข
ถ้าพยาบาทมุ่งร้าย คิดแต่เอาเปรียบคนอื่นตลอดเวลา จะมีแต่ทุกข์ร้อนรน สารด้านลบจะหลั่งออกมา
จะอารมณ์ทุรนทุราย ร้อนรน วิตกกังวลตลอดเวลา ถ้าหลั่งมากจะทำร้ายคนอื่นได้ หรือเศร้าคิดฆ่าตัวตายได้
-ความสุข มันขึ้นอยู่กับกลไกหลั่งสารเคมีนั่นเอง มองอารมณ์ความจริง ไม่ไปห้าม บังคับ แค่มองดูอารมณ์ ตามกลไกขันธ์ 5 แค่ดูอารมณ์แล้วตัดเลย ไม่ใช่ของเรา เมื่อไม่สนใจมันก็ดับเร็ว
สักแต่ว่าร่างกาย สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่าความคิด สักแต่ว่าอารมณ์เท่านั้น นั่นคือ การปฎิบัติ สติปฎิฐาน 4 นั่นเอง ฝึกแยกขันธ์ ดูขันธ์


ทุกอย่างไม่มีข้อเปรียบเทียบ ไม่มีคนรวยคนจน แต่เป็นไปตามธรรมชาติ แต่ละบุคคล ตามเหตุปัจจัยที่ผลักดันไปตามกลไก ถ้าเราเข้าใจจะไม่มีการแบ่งแยก ถ้าเราเข้าใจธรรมชาติ สิ่งมาปรุงแต่งอารมณ์ก็จะน้อยลง ถ้าเห็นมันก็เป็นอย่างนั้นแหละก็จะเห็นความเป็นธรรมชาติ เราหงุดหงิดกับสิ่งรอบข้าง เพราะเราปรุงแต่งอารมณ์ ให้คิดแต่สิ่งที่รื่นรมย์ อย่าเครียดจะผลิตสารเกิดอันตรายกับร่างกายหลั่งออกมา ทำให้เกิดความวิตกกังวล ถ้าวิตกกังวลมากเกินไปคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่ามากเกินไป ทำให้เกิดอาการซึมเศร้าหดหู่

ทางธรรมะให้คิดทางกุศล เพื่อเราจะได้ไม่ทุกข์ จะมีความสุข คิดดี ทำดี พูดดี ปรารถนาดี เมตตาสงสาร จะหลั่งสารเอนโดรฟิล ให้สดชื่นอิ่มเอิบสดใส มีความสุข
แต่ถ้าพยาบาทโกรธ วิตกกังวลมุ่งร้ายจะมีแต่ความทุกข์ หาวิธีแก้แค้นต่างๆ คิดด้านลบ จะไปกระตุ้นด้านลบในสมองหลั่งออกมา ส่งผลด้านลบ ทำให้ร้อนรน ทุรนทุราย วิตกกังวลตลอดเวลา คับแค้นใจ จะรุนแรงมีมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่ปริมาณสารเคมีที่หลั่งออกมา ถ้ามากไปจะอาละวาดทำร้ายผู้อื่นได้ หรือเศร้าโศกเสียใจจนถึงฆ่าตัวตาย
ถ้าคิดพยาบาทมากเกินไปก็จะคลุ้มคลั่งต้องส่ง รพ.ประสาทรักษา

เมื่อคิดพยาบาทให้คิดเมตตาเขา คิดอภัย คิดริษยาคิดยินดีกับเขาดีกว่า ให้คิดด้านบวกสารอารมณ์ด้านดีขึ้นจะมีแต่ความสุข อิ่มเอิบในจิต สงบร่มเย็นมนอารมณ์ เมื่อบ่อยเข้าจิตจะบันทึกอัตโนมัติ เมื่อเกิดอะไรขึ้นจิตก็จะเห็นอกเห็นใจ ให้อภัย ไม่โกรธ จะอารมณ์ดีเป็นนิจ ผู้ที่ปฎิบัติธรรมจิตขั้นสูงจะสงบมีเมตตา

คนที่ฉุนเฉียว โกรธง่าย วิตกกังวล มีแต่ความเศร้าหมอง คิดแต่จะเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นตลอดเวลา จะไปกระตุ้นสารเคมีตลอดเวลา เขาจะมีแต่ความทุกข์ตลอดเวลา คิดดีจิตใจก็สบาย คิดร้ายริษยา พยาบาทก็ทุกข์ใจ ความสุขความทุกข์เป็นสิ่งที่เราเลือกได้ คิดดีผลก็ดีเป็นไปตามกฎกลไกธรรมชาติที่วิทยาศาตร์พิสูจน์ได้

คนรวยกินกับคนจนกินเมื่อมีความพอใจเท่ากันก็มีความสุขเท่ากัน เป็นกลไกของสารเคมีที่หลั่งออกมา ความรวยความจนไม่ได้ชี้ถึงความสุขความทุกข์ คนรวยก็ยังมีความทุกข์อยู่ คนที่แค่พอมีพอกินหรือคนที่รู้จักพอเขาก็สุขได้ซึ่งบางคนอาจจะสุขได้มากกว่าคนรวยบางคนด้วยซ้ำไป ความสุขความสงบต้องทำเอาเองทางจิต ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ปฎิบัติธรรมจึงมีความสุขความสงบ

ดังนั้น ต้องมองให้เห็นมองให้ทะลุในกลไกธรรมชาติ ความสุขความทุกข์เกิดขึ้นที่ไหน เกิดได้อย่างไร และใช้วิธีการใดจัดการ
เราควรมองผู้อื่นด้วยจิตคิดดีเมตตากรุณาเพื่อสารเคมีดีอย่างเดียวหลั่งออกมา เราก็จะสุขได้

อารมณ์ที่ปรุงแต่งด้วยสารเคมี ถ้าแค่ขันธ์ห้าอย่างเดียวมันไม่รู้สึกอะไรไปด้วยหรอก เพราะมีแค่หน้าที่ตามสารเคมีแต่เพาะมันมีจิตมโนวิญญาณคู่มาด้วย ความจริงมันไม่ได้ติดกัน แต่เรายึดว่าเป็นตัวเราของเราเป็นตัวเชื่อมดักให้ติดกัน และความไม่รู้เป็นตัวอุปทานรองรับอารมณ์นั้นเสมอร้อนรน หงุดหงิด แจ่มใส อารมณ์เสีย
ซึ่งแท้จริงไม่มีใครมีมีอารมณ์นั้นเลยมันแค่ปรุงแต่งเท่านั้นเอง

ความจริงมันก็แค่สักแต่ว่าอารมณ์ มันก็แค่ความคิด เราก็แค่คิดอะไร มองมันเฉยๆได้ อยากคิดอะไรก็คิดไป แต่พอตามความคิดกังวลปั๊บอุปทานก็สร้างความคิดกังวลมาทันที จึงมีตัวเรากังวลไม่สบายใจ ซึ่งเราเราเลือกจะเป็นผู้ดูแกเป็นแค่ความคิด หรือเลือกเรามีตัวตนไปตามความคิดกังวลนั้น แต่ว่าเวทนาอารมณ์มันปล่อยวางยากกว่าความคิด เพราะมีความรู้สึกเป็นตัวเรามากที่สุด

วางอารมณ์ว่ายากแล้ว ปล่อยวางความคิดความรู้สึกยากกว่า มันเป็นการปรุงแต่งเองของขันธ์5 มันไม่จำเป็นต้องมีใครรองรับเวทนาหรืออารมณ์ มันยาก ค่อยๆละควายึดติดไปทีละน้อย เพื่อละอุปะทานขันธ์5

ดังนั้นการรับรู้อารมณ์แค่รับรู้ก็ได้ อารมณ์ซึมเศร้าเกิด ก็แค่รับรู้ว่ามันเกิดอย่าไปสนใจมัน ให้มองเห็นสภาวะอารมณ์ตามความเป็นจริง เราก็จะมองอารมณ์เฉยๆได้ ไม่ไปห้ามบังคับให้มันหาย เพราะเมื่อเรามองเห็นเราก็จะมีวิธีจัดการณ์อารมณ์นั้นได้โดยไม่ต้องทุกข์ เช่น ของหาย ถ้าเรายึดติดเราก็เศร้าหมอง ถ้าเรามองมันก็เป็นอย่างนี้แหละ เป็นแค่กลไกของขันธ์5 ไม่ยึดติดเลยความทุกข์ซึมเศร้าก็จะไม่มี ไม่ส่งต่อไปเวทนา ให้จิตมันมีปัญญาห่างจากขันธ์ห้า ให้จิตเป็นแค่ผู้ดูผู้รู้ขันธ์5 มันจะไม่ทุกข์เลย ไม่รับอารมณ์เวทนามารวมกัน ไม่ต้องคิดมีตัวเราของเรามาเป็นอุปะทาน สุขทุกข์

เมื่อมีเราจึงมีเราที่มีสุขทุกข์เกิดขึ้น ดังพระพุทธทาสภิกขุกล่าวว่า ตัวกูตัวสู ที่พอเมื่อไหร่เกิดขึ้นเมื่อนั้น ถ้ามีสติทันความคิดอารมณ์ก็จะไม่มีตัวบุคคล สัตว์ เราเขาเกิดขึ้นมาเลย จะสุขจะทุกข์ก็มองไปตามนั้น ก็แค่ดูอย่าตกใจ คิดไม่ดีอะไรอย่าไปส่งเสริมว่าเราคิดไม่ดี เวทนาก็เหมือนกันดูมันเฉยเหมือนดูความคิด หดหู่ วิตก เบื่อ ร้อนรุ่ม โกรธ ก็อย่าไปให้ความสำคัญมัน ก็เห็นเป็นเช่นนั้น อย่าไปทุกข์กับมันมัน มันเป็นอารมณ์ของขันธ์5ไม่ได้เป็นอารมณ์ของเราเลย

เมื่อจิตไม่เข้าไปจับ ไม่ยอมรับอารมณ์ของเรา เราก็แค่เป็นผู้ดูก็จะไม่ทุกข์ ถึงอารมณ์มันไม่ดับยังมีอยู่แต่ไม่ทุกข์ เพราะแค่มอเห็นแค่ดูไม่นานมันก็หายไปเอง "เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป" ทำบ่อยก็จะรู้ทันอารมณ์มากขึ้น จิตก็จะไม่ไปยุ่งกับความรู้สึกนั้น อารมณ์มันก็จะไม่อยู่นานก็จะเปลี่ยนเอง เมื่อเราไม่สนใจมันก็เปลี่ยนใหม่ มันเป็นกลไกของธรรมชาติ ต้องทันอุปทานที่มักจะทำให้เราทุกข์ เพราะเอาไปยึดติดกับตัวกูของกู
ให้แยกขันธ์ซ้อนขันธ์
สักแต่ว่า ร่างกาย
สักแต่ว่า ได้ยิน
สักแต่ว่า ความคิด
สักแต่ว่า อารมณ์
ซึ่งก็คือการปฎิบัติในสติ สติปัฏฐาน 4 (กาย เวทนา จิต ธรรม) นั่นเอง



3

https://www.youtube.com/watch?v=_qFaGK3yGRA


-อดีต อนาคต ใช้ปัจจุบันคิด ปัจจุบันจัดการได้ อดีตแก้ไขไม่ได้ อนาคตแก้ไขได้ เพราะ ไม่มีอนาคตจริง มีแต่ปัจจุบันคิดถึงอนาคต อย่าฟุ้งซ่านกับอนาคต
-เขาว่าเรา เขาไปแล้ว เขาอาจลืมแล้ว แต่เรายังเอามาคิด
-สุขทุกข์ไม่มีจริง เป็นเพียงการปรุงแต่งความคิด ให้สารเคมีสมองหลั่งออกมา
เป็นเพียงผู้ดูมันปรุงแต่ง ไม่ต้องไปดับยิ่งคิดดับมันยิ่งฟุ้ง ดู รู้ เข้าใจ วางเฉย ปล่อยวาง
เดี๋ยวมันก็ผ่านเลยไป เป็นการรู้ทันขันธ์ 5 รู้ปัจจจุบัน
-โลกคือละคร รับหลายบทบาท
-กลัวจะ....มองออกไปภายนอก ไม่ได้มองภายใน ความกลัวก็คือความคิด ที่กำลังคิดว่ากลัวอยู่ มันไม่ได้มีความกลัวอยู่จริง เมื่อเราปล่อยวางความคิด ก็ไม่มีความกลัว เมื่อรู้ทันความคิด ก็รู้ทันความกลัว อย่าไปกลัวความคิด(มันเป็นการคิดซ้อนคิดอีกชั้นนึง)
ถ้าคิดนานจะเร่งสารเกิดอารมณ์หวาดหวั่น สะดุ้งผวา ขันธ์จะใจเต้น หวาดระแวง วิตกกังวล สะดุ้ง จึงเป็นคนเหมือนทุกข์ แต่จริงๆไม่มีอะไร แค่คิดๆ สัญญาที่บันทึกไว้เจอสิ่งนี้คิดแบบนี้ หลั่งสารมากไปอาจเป็นลม
ตั้งหลักให้ดี มีสติให้ทัน มองเข้าไป พอใจสั่นมองกลัวอะไร กลัวจริงรึ มันก็ความคิดปรุงแต่งในหัวเรา รู้เข้าใจขันธ์ 5 ปล่อยวาง ว่างจากการปรุงแต่งในความวุ่นวาย
ถ้าแก้ไขไม่ได้ ทำตัวให้ทุกข์ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร
ทะยานอยากไม่ได้ดังหวังก็ทุรนทุราย หาทางออกจากทุกข์ไม่เจอ


การเวียนว่ายตายเกิดซ้ำ
เกิดบ่อยๆเป็นทุกข์หลายภพหลายชาติ ดิ้นรนเกิด เรียน ทำงาน แก่งแย่งชิงดี เก็บสะสมทรัพย์ พบคนรัก แต่งงาน มีลูก เร่งทำงานหาเงินเก็บออม 60 ปีเกษียณ ลูกโตหมดแล้ว เฮอออ ได้พักสักที พอ 80 ปีก็ตายซะแล้ว ก็พักแค่ 20 ปี
ถ้าเกิดใหม่เป็นคนอีกก็วนวัฎจักรเดิมๆ นี่ไม่รวมเจ็บป่วย สุข ทุกข์ ผิดหวัง ไม่นับไปเกิดเป็นสัตว์ ยิ่งถ้าเกิดไม่พบธรรมะยิ่งเสียชาติเกิดแต่ละชาติ

แต่คิดว่าเกิดใหม่คนใหม่เรื่องใหม่ จึงกอบโกยเงินทอง ตายไปก็เอาไปไม่ได้

ปัจจุบันต้องรู้เท่าทันและวางลง เราก็จะได้ความว่างในปัจจุบัน
แม้แต่คิดเรื่องอดีตไม่ดีก็เป็นปัจจุบันที่คิดในหัวให้เราทุกข์ในปัจจุบัน
อดีตแก้ไขไม่ได้ ปัจจุบันแก้ไขได้ถ้ารู้เท่าทันความคิด อนาคตแกไขได้ เพราะไม่มีจริง อนาคตคือปัจจุบัน เพราะปัจจุบันกำลังคิด ดังนั้น อนาคตจึงไม่มี มีแต่ปัจจุบันกำลังคิดถึงอนาคต เมื่อผ่านไปความคิดอนาคตก็เป็นอดีตไปแล้วมันซ้อนกันอยู่

ถ้าคิดเรื่องปัจจุบันปล่อยวางปัจจุบัน อดีต อนาคต ก็ช่างมัน มันก็จะทำอะไรไม่ได้เพราะมันเป็นความคิดในหัวเราแค่ตอนนี้ เพราะอดีตอนาคตมันรวมอยู่ในปัจจุบันในความคิดของเรา ให้ปล่อยวางในปัจจุบัน ถ้ารู้ทันขันธ์ 5 ก็รู้ทันทั้งโลกทั้งจักรวาล ไม่ต้องเสาะหาที่ไหน เหตุเกิดที่ไหนก็เกิดที่นั่น เขาว่าเรา เขานินทาเราเขาก็ไปแล้ว แต่เหตุที่เกิดอยู่ในความคิดที่ปรุงแต่ง ว่าเราทำไม นินทาเราทำไม คิดไปเรื่อย ร้อนอกร้อนใจ ความทุกข์อยู่ข้างในไม่รู้ คิดแต่จะไปดับข้างนอกเปลี่ยนคนอื่นให้คิดเหมือนเรา อย่าเข้าใจเราผิด ต้องออกไปถามหาสาเหตุ เรียกมาถาม เอาเรื่องเอาราว มันเสียเวลา แต่ถ้าเปลี่ยนข้างในไม่เหนื่อยไม่เสียเวลา เขาไปแล้ว 2 ชม. ความคิดยังวนเวียนในหัวเราในขันธ์ 5 ให้ครุ่นแค้นทำร้ายเรามากที่สุดคืออารมณ์ขันธ์5 ของเรา ความคิดก็ปรุงใหม่ทุกครั้งที่คิด เหมือนหายใจมีอุปะทานดักเกาะตัวเราทุกข์ทันที ถ้ารู้ทันสุขก็แค่ความคิด ทุกข์ก็แค่ความคิดวนเวียนในหัวเรา มันไม่มีจริงแต่เป็นการปรุงแต่งออกมากระตุ้นสารหลั่งออกมา เป็นแค่ผู้ดูความคิด คิดอะไรไม่ต้องไปดับยิ่งดับมันยิ่งฟุ้ง เป็นแค่ดูความคิดว่ามันปรุงแต่งอะไร แล้วก็วางเฉย อย่าไปยุ่งกับมัน รู้ เข้าใจ ปล่อยวาง เดี๋ยวมันก็ผ่านเลยไป (เป็นการรู้เท่าทันปัจจุบัน)

โลกคือละคร
ถ้ายังอยู่ในวัฎจักรสงสาร ก็แสดงหลายบทบาท เป็นลูก พี่น้อง สามี ปู่ ฯลฯ ถ้าเราเกิดแสนชาติ เราก็จะมีภรรยานับแสนๆ มีลูกเป็นแสนๆ ฯลฯ และบทบาทมีหลายแสนครั้ง ไม่นับบทอื่น เจ้านาย ลูกน้อง ค้าขาย คนมียศ จึงมีอารมณ์มากมายในหลายบท แล้วบทไหนเป็นบทจริง พอตายวิญญาณออกจากร่างบทนั้นก็จบ

ทุกบทมีความวุ่นวาย ไม่มีบทจริงๆมันเป็นธรรมชาติเป็นสิ่งสมมุติตามเหตุปัจจัยที่ยังเวียนว่ายตายเพราะยิ่งมีอุปะทานตัวเราของเรา อวิชชาความไม่รู้ ดึงดิน-น้ำ-ลม-ไฟกลับมาเวียนว่ายตายเกิด ทำให้ความความยึดมั่นถือมั่นตัวเราของเรา ของเขา คนรอบข้างจึงมีอิทธิพลกับเรา ต้องคิดว่าทุกสิ่งคือสิ่งสมมุติ

เราเขามาแสดงบทบาทในโรงละคร ของจริงไม่มีทุกอย่างล้วนเป็นธรรมชาติที่ปรุงแต่งว่าเรามีตัวตนดิน-น้ำ-ลม-ไฟ ดึงมาเกิด จึงเกิดร่ำไป ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีแต่ปัจจุบันกำลังทำอยู่ตัวตนก็จะไม่เกิด ธรรมะจึงให้อยู่กับปัจจุบันที่เหลือให้ขันธ์5 มันดำเนินไป ถ้าเราไม่ยึดติดในบท ไม่หลงใหลเพราะเดี๋ยวก็แสดงไปเรื่อยๆ เริ่มไม่มีคนจริงๆ ตัวเขาเริ่มลดยึดติดในขันธ์ 5 จึงช่วยปล่อยวางได้ในระดับหนึ่งในกลไกธรรมชาติห่วงเขานินทา ลาภ ยศ สรรเสริญ สมบัติ ต้องใช้ปัญญา

ความกลัวตีกรอบให้เราอยู่ในวัฎสงสาร อย่าทำอย่างนั้น อย่าทำอย่างนี้ กลัวเขาว่านินทา ห่วงรูป ขันธ์กลัวอันตราย กลัวเกิด แก่ เจ็บ ตาย กลัวหาย จิตหวาดระแวง กลัวไม่รัก กลัวหาว่าเพี้ยน สารพัดวุ่นวาย ให้แก้ที่ตัวเรา ต้องรู้ทันอารมณ์ของขันธ์5 ความกลัวคือความคิด คิดว่ากลัวอยู่ มันไม่ได้กลัวอยู่จริงแต่เป็นความคิดว่ากลัว เมื่อปล่อยวางความคิดก็ไม่มีความกลัว อย่ากลัวความคิดที่มันคิดกลัว เมื่อเราเห็นความคิดกลัวอีกแล้วห่วงโน่นนี่ กังวลนี้ ถ้าปล่อยให้ความคิดนานจะไปกระตุ้นหลั่งสารให้หวาดหวั่น สะดุ้ง หวาดผวา ขันธ์5ก็ใจจะเต้น หวาดระแวง สะดุ้ง แต่แท้ที่จริงไม่มีอะไร แค่คิดๆๆด้วยสัญญาเคยบันทึกไว้ ถ้าเจอสิ่งนี้กลัวสิ่งนี้ เช่น กลัวงู ทุกอย่างมาจากความคิด ให้ตั้งหลักให้ดี เรากลัวอะไร กลัวจริงหรือ สาเหตุจากอะไร เมื่อเห็นก็จัดการอารมณ์ได้มีสติจัดการความทุกข์ขันธ์ 5 มีสติ มีปัญญา พิจารณา ปล่อยวาง รู้(ภาวะมากระตุ้นตอนนั้น) เข้าใจ(มันเป็นกลไกขันธ์5ปรุงแต่งอย่างนี้ธรรมดา) ปล่อยวาง (มันเป็นของมันอย่างนั้นแหละเป็นเรื่องธรรมดา) เดี๋ยวมันก็ดับอย่ายึดมั่นตัวเราเป็นทุกข์ทุกข์เป็นของเราเท่านั้นก็พอ

ความทุกข์อันที่จริงมันไม่มี มีแต่เหตุปัจจัยปรุงแต่งให้สารเคมีหลั่งออกมาเกิดปฎิกิริยาตามนั้นทุกอย่าง เป็นกลไกเมื่อตากระทบรูปรับมาสัญญาจำได้ ปรุงแต่งออกมาชอบไม่ชอบ หลั่งสารเคมีออกมาเกิดเวทนาคืออารมณ์ขณะนั้น ไปรับว่าขันธ์5 สุข ทุกข์ เป็นของเราปรุงแต่ง มันไม่สนว่าเราจะสุขทุกข์ เราไม่รับเอาสุขทุกข์ของมัน รู้เท่าทันมันสุขทุกข์ก็จะไม่เกิด เราไม่รับเอา ธรรมชาติคือความว่างจากการปรุงแต่ง ทุกอย่างก็ดำเนินไปเหมือนเดิม เหมือนเราตัดวงจรระเบิดมันก็ไม่เกิดเป็นธรรมชาติ

ที่ผ่านมาเราถูกสอนให้ผิดเพี้ยนธรรมชาติมีตัวเราของเราของทุกอย่างมีจริง เขาว่าเราต้องโกรธ ของพังต้องเสียดาย ของหายต้องกังวล ไม่รู้สึกรู้สาถือว่าผิดปกติเพราะเรายอมรับกติกาสังคมขันธ์ 5 เราก็จะ งง ทำไมเรารู้สึกเฉยๆเมื่ออุปะทานขันธ์5ออกไปแล้วเราไม่อยู่ในวงจรความทุกข์ ไม่ว่าใครจะคิดว่าพระอาทิตย์หันไปทิศไหนเหนือ ใต้ ออก ตก มันก็ขึ้นทางนั้นอยู่ดี ไม่จำเป็นต้องแก้ภายนอกให้แก้ในจิตของเรา
อริยสัจ4
ทุกข์ เมื่อมีความคับข้องใจ ขุ่นเคืองใจ หดหู่ ไม่สบายใจ อึดอัด ขัดเคือง คับแค้นใจ บีบรัดให้วิตกกังวล เป็นทุกข์ทั้งสิ้น หากไม่รู้ว่าทุกข์ก็จะวนอยู่ในวงกลมนั้นหาทางออกไม่ได้
สมุทัย ถ้าเห็นว่าทุกข์หาสาเหตุการทุกข์เพราะอะไร ห่วงงาน เขาว่านินทา กลัวไม่ได้ ก็จะมีการจัดการทุกข์ได้
นิโรธ การดับทุกข์เมื่อเจอสาเหตุก้แก้ปัญหาหลายแบบ ปฎิบัติธรรมพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง อริยมรรคมีองค์8 ก็จะละทางขันธ์5 ให้น้อยลง
มรรค
หากแก้อะไรไม่ได้ การทำตัวเองให้เป็นทุกข์ก็ไม่เกิดประโยชน์อันใด ใช้ธรรมะพิจารณาปล่อยวางยึดมั่นถือมั่นในขันธ์5 ก็จะจากจางไปเรื่อยๆจนความทุกข์ก็จะไม่มี




4

https://www.youtube.com/watch?v=zoZOsvMS72w


-อวิชชา คือ ไม่เข้าใจในธรรมชาติ ไปยึดตัวตน ยึดมั่น ถือมั่นเป็นของตน
-สติรู้ทันขันธ์ 5 ยากเพราะเราคิดว่าเราเป็นผู้คิดทั้งที่จริงมันปรุงแต่งไปแล้วมันปรุงตามที่กระทบ เมื่อเขาไม่ตามใจมันก็น้อยใจ มันปรุงตามที่มันบันทึกเห็นแฟนก็หวง เรายังไม่ทันรู้ตัวมันปรุงไปแล้ว ว่าเป็นอารมณ์เรา
-ต้องมีสติทันขันธ์ 5 ไม่อุปทานเป็นของเราก็ยาก ยังส่งจิตด้านนอกของคนอื่น ขึ้นลงตามการตัดสินใจตนเอง ทั้งที่พวกเขาเป็นไปตามเหตุแต่ละปัจจัยของแต่ละบุคคล กระเสือกกระสนตามแต่ละวิบากกรรมของแต่ละคน เหตุใดเราไปเสียเวลาเอาเขามาพิจารณาให้ทุกข์เพิ่มอีกเล่า แค่ทุกข์ภายในของเราขันธ์ 5 คอยแต่จะปรุงแต่งใส่มาให้ก็มากพอแล้ว
-ผู้รู้จะไม่ส่งจิตตัดสินภายนอก จะดูแค่ภายในว่าเกิดภาวะอะไรในแต่ละขณะ แล้วเพียรให้รู้ทันขันธ์ ในปัจจุบันก็จะเบาบางทุกข์ในปัจจุบัน
-ผู้ไม่รู้ก็ส่งจิตออกนอกไปรับเรื่องทุกสรรพสิ่งให้ขันธ์ 5 มันปรุงแต่งมากเข้าไปอีก จึงทุกข์ เครียด ไม่สบายกายใจไปแบกภาระทุกข์คนอื่นเข้ามา
-แค่ถ้าเห็นว่าเขาก็เป็นของเขาอย่างนั้นเอง ตามเหตุปัจจัยของเขาเหล่านั้น ความวุ่นวายไปพิจารณาคนอื่น แทนที่จะพิจารณาขันธ์ 5 ของตนเองคนเดียวก็เสียเวลามาก ถ้ามีหลายคนก็ยิ่งเสียเวลาพิจารณาคนอื่นมากไปอีก เพราะมัวแต่ส่งจิตออกนอกพิจารณาคนอื่น ก็มีแต่จะอึดอัด ขัดข้อง ไม่ถูกอกถกใจ ละวางการปรุงแต่ง ถ้าไม่พิจารณาคนอื่นก็จะไม่มีอคติคนอื่นดี ชั่ว
-แบบฟอร์มมนุษย์แบบฟอร์มเดียวออกจากทุกข์ได้ เพราะมีสติปัญญาไตร่ตรอง


5

https://www.youtube.com/watch?v=FZhH10be8Cg


-อดีต ที่ผ่านมาแล้ว ถ้าทุกข์ก็ทุกข์หวนอาลัยในอดีต อดีตไม่มี มันหายไปแล้ว จบไปแล้ว ผ่านเลยไปแล้ว
-อนาคต สิ่งที่ยังมาไม่ถึงมีแต่คาดคะเนตามจินตนาการ ทุกข์เพราะคาดคะเน กลัว วิตกกังวลล่วงหน้า วางแผนสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ทุกข์กันไป
-ปัจจุบัน สิ่งที่กำลังดำเนินอยู่ ทุกข์ปัจจุบันที่กระทบขันธ์ในขณะนั้น เช่น นั่งนานเมื่อย
ถ้ารู้เห็นเข้าใจก็จัดการได้ ทุกข์เดี๋ยวนี้ ปรุงแต่งเดี๋ยวนี้ ทำปัจจุบันให้ทุกข์เอง อย่าไปเยื่อใย
-อย่าไปรื้อฟื้นความรู้สึกเดิมๆ เพื่อให้มันปรุงปัจจุบันนี้ จะทุกข์ขณะนี้ วันนี้
มันจึงไม่มีอดีต อนาคต มีแต่ปัจจุบัน ปัจจุบันสำคัญสุด เพราะ อดีต อนาคตมันไม่มีจริง ปล่อยวางได้ ก็ดับทุกข์ได้ในปัจจุบัน
-สักแต่ว่าคิด อย่าตามความคิดความฟุ้งซ่าน อย่าให้ความสำคัญมันจะพาไปทุกข์
-สักแต่ว่าเห็น มันไม่สำคัญพอ ที่เราจะสุขทุกข์กับมัน
-สักแต่ว่าจำได้ พออายุมากมันก็ลืม
-สุข ทุกข์ในอารมณ์ในความรู้สึกเท่านั้น



6

https://www.youtube.com/watch?v=aYHsgtyzEoY


-เรียกว่า สุข ไม่มี มีแต่ทุกข์มากทุกข์น้อย
-โลกเป็นโรงละคร ผู้กำกับทำบทไว้แล้ว เพื่อให้สอดคล้องสถานการณ์ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ฉากละคร ฉากละครถูกเปลี่ยนเพื่อให้เห็นเป็นอนิจจังความไม่เที่ยง บทเรียนชีวิตเป็นเพียงบทละครตามที่มนุษย์ต้องเล่นตามวิบากกรรม ผลสุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรแม้แต่ตัวตนที่ยึดมั่นถือมั่น ชีวิตดำเนินอยู่ด้วยการประคองชีวิตแล้วดำเนินไม่ประมาท
-ยึดมากสะสมมาก ความหนักก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
-การปล่อยวางไม่ใช่ปล่อยปละละเลย แต่เป็นการวางจากภายใน เข้าใจวิบากกรรม
-กฎแห่งกรรม ทำอย่างไรได้อย่างนั้น การให้อภัยการให้ความเมตตาควรทำ เพราะ ไม่จมกับความทุกข์ที่เกิดจากความคิด อารมณ์ ขุ่นเคือง ร้อนรน พยาบาท อาฆาต หนักอึ้งเกิดขึ้นในขณะนั้น สารเคมีก็หลั่งอารมณ์ก็ขุ่นมัว
-ไม่มีอะไรเป็นของใคร เป็นของธรรมชาติ ทุกอย่างต้องคืนสู่ธรรมชาติทั้งหมด เป็นอุปทานที่เกิดตามเหตุปัจจัย จึงเห็นผิดเป็นตัวเราของเรา มีได้เกิดได้แต่อย่าไปยึดมัน ยึดมากก็ทุกข์มากไม่ยึดไม่ทุกข์ จึงมีคนทุรนทุรายอยากได้อยากมี เมื่อไม่ได้ก็อุปทานทุกข์กันไป อวิชชาทำให้เปรียบเทียบ
-หากมีการเถียงกัน ให้ดูเข้าไปในจิต ถ้าโมโห โทสะ ร้อนรุ่ม ควรจัดการจิตก่อน ไม่ต้องไปจัดการภายนอก


ทุกข์มากทุกข์น้อย ยึดมั่นถือมั่นในขันท์ 5 ตัวตนเป็นของตน นรกน่ากลัวกว่าภัยพิบัติ
กฎแห่งกรรมทำอย่างไรไรได้อย่างนั้น การให้อภัย การเมตตาควรทำ เพราะไม่จมกับความทุกข์และอารมณ์นั่นเอง คิดร้ายสารเคมีรุ่มร้อนก็หลั่งออกเป็นทุกข์
ยึดมาก ทุกข์มาก ยึดน้อยทุกข์น้อย ไม่ยึดไม่ทุกข์




7

https://www.youtube.com/watch?v=yOuZ2ST_qYc


อวิชชา คือ ไม่รู้จริงตามธรรมชาติ รู้ผิดไปจากธรรมชาติ ไม่รู้จริงของสัจธรรม มีความเห็นแตกต่างไปจากกธรรมชาติ ไม่มีผิด ไม่มีถูก ธรรมชาติก็ยังเป็นอย่างนั้นเอง มีแต่อุปทานที่แบ่งแยก อวิชชา เห็นผิดจากธรรมชาติ มีสมมุติตัวตน เช่น ชื่อ ตำแหน่ง
-การปฎิบัติธรรมของกลุ่มประสานงานเพื่อเตือนภัย(เขากะลา) เน้นวิปัสสนาเป็นหลัก คือ เห็นจริงตามธรรมชาติโดยใช้ปัญญา ตัดอุปทานขันธ์ 5 จึงไม่มีรูปแบบให้ยึดติด ต้องปฎิบัติแบบนั้นแบบนี้
-ทุกสิ่งเกิดมาจากเหตุปัจจัยที่สะสมไว้ แต่มีเหมือนกันคือเวลาเท่ากัน คนสนุกก็ว่าเร็ว คนทุกข์ก็ว่าเวลาช้า เมื่อไม่เป็นไปตามต้องการก็ทุกข์ หนึ่งนาทีที่จะเลือกจะเลือกสุขหรือทุกข์









ที่มา

https://ufokaokala.blogspot.com/2012/11/blog-post_2174.html







Create Date : 29 มีนาคม 2559
Last Update : 9 ธันวาคม 2563 16:54:04 น. 0 comments
Counter : 2599 Pageviews.

ใจรัก Jairuk Channel
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 91 คน [?]








ติดตามดูต่อที่YouTube

ใจรักJairukChannel



ติดตามดูต่อที่Facebook

ใจรักJairukChannel



แนะนำให้ชม

บัวหิมะ
บัวหิมะ
วิธีเลี้ยงบัวหิมะ
เกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน
บั้งไฟพญานาคที่ไปดูมา
ติดอันดับTOP Page Views
อาหารและการดูแลสุขภาพ ผู้ป่วยมะเร็งและคนทั่วไป
เที่ยวขอนแก่น
Michael Jackson
คอนเสิร์ตบอย Peacemaker
คลิปเจ้าขุน
การกลับมาของX Japan

ท่องเที่ยว

UFOที่เคยเห็น
บั้งไฟพญานาคที่ไปดูมา
หาดใหญ่และปัตตานี
ไข่มุกอันดามัน
อะ พีพี
เกนติ้ง
กัวลาลัมเปอร์
หาลิงเข้าถ้ำทะเลภูเขาเลยจ้า นอนดูหมอกที่ปราจีนบุรี
เที่ยวปราจีนบุรีต่อ
เลยจะถึงไหมละนี่
พักค้างแรมที่เลย
เลยจนเกือบถึงลาว
ขุดกรุเขื่อนป่าสัก
บึงแก่นนคร ขอนแก่น
พระธาตุขามแก่น
เดินทางไปลพบุรี
กินข้าวอิงภูชัยภูมิ
ลาว เวียงจันทร์
ลาว2
ปิดทริปเที่ยวลาว
ล่องเรือเจ้าพระยา
รถไฟลอยฟ้า ฟ้า ไทย
รถไฟใต้ดินไทย
ทะเลน้ำจืดหาดวังโกขอนแก่น บ้านปราสาทโคราช
วังน้ำเขียวโคราช
ชอปปิ้งหนองคาย
ตัวเมืองขอนแก่น
น้ำผุดทับลาว ชัยภูมิ
สนามหลวง2
ไปดูงานศิลป
สายน้ำกับปลาที่ไปปล่อย
งานExpro
เขื่อนอุบลรัตน์
เที่ยวป่าวัดพรไพรวัลย์
ล่องแพอ่างเก็บน้ำห้วยไร่
ทะเลหมอกภูพานน้อย
วัดเจดีย์ชัยมงคล
ครั้งหนึ่งที่เคยโบกรถ
น้ำหนาว,เพชรบูรณ์
พระพุทธชินราช,พระธาตุลำปางหลวง
น้ำพุร้อน,วัดร่องขุ่น
มหาลัยแม่ฟ้าหลวง,น้ำตกก้างปลา
เวียงแก่น,ภูชี้ฟ้า
ดอยแม่สลอง
อุทยานฯขุนแจ
สวนโลกราชพฤกษ์
วัดเจดีย์7ยอด,วัดเจดีย์หลวง
ดอยสุเทพ,ทุ่งสแลงหลวง
โครงการครูบ้านนอก
วัดหลวงพ่อโตใหญ่ที่สุดในโลก
ที่พักปากช่อง
เลย-ลาว-ท่าลี่
ถึงระยองแล้วจ้า
ทะเลตอนเช้า
งานเที่ยวภาคใต้






Friends' blogs
[Add ใจรัก Jairuk Channel's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.