เที่ยวสนุก กินอร่อย นอนสบาย บายทราเวลรูทคลับ
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2553
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
1 ธันวาคม 2553
 
All Blogs
 

เที่ยวเท่ห์เท่ห์แบบเสน่ห์เมืองน่าน

ผมมีเรื่องราวจากทริป เที่ยวแบบเท่ห์เท่ห์กับเสน่ห์เมืองน่าน มาเล่าสู่กันฟัง ทริปนี้ผมได้มีโอกาสพาลูกทัวร์ไปเยือนน่านอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้ไปมานานเหมือนกัน ครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสพาพี่ๆ เพื่อนๆ ไปน่าน ตอนนั้นน่านยังไม่ได้ดังมากมายนักสำหรับนักท่องเที่ยว เนื่องจากเมืองน่านเป็นเมืองเงียบสงบ และค่อนข้างตัน เพราะติดชายแดนลาว ผมโดนตั้งคำถามมากมายว่าพาพวกเค้ามาเที่ยวน่านทำไม แต่หลังจากที่พวกพี่ๆ เพื่อนๆ หลายคนได้พบกับความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ ที่พวกเค้าได้พบเจอ หรือจะเป็นวัดวาอาราม มากมาย ที่คล้ายๆ กับหลวงพระบาง หรือใครจะเลือกการผจญภัยกับสายน้ำว้า ก้อมีให้ลองเล่นดู

แต่ตอนนี้เมืองน่านได้เปลี่ยนไปพอสมควร แต่ก้อยังคงความสมบูรณ์ของธรรมชาติ วัฒนธรรม ที่ยังมีอะไรมากมายให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชม

ทริปนี้ออกเดินทางกันเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม นี้ และเดินทางกลับถึงกรุงเทพฯ เที่ยงคืนวันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม ผมมีภาพบรรยาศตลอดทริปการเดินทางมาฝาก ลองไปดูกันครับ

จุดหมายแรกของทริปนี้คือ ไปดูทะเลหมอกที่ ดอยเสมอดาว อยู่ที่อุทยานแห่งชาติศรีน่าน อำเภอนาน้อย แต่ด้วยความที่ ชาวคณะพร้อมกันช้ากว่ากำหนดการที่กำหนด ทำให้เดินทางถึง ดอยเสมอดาว ฟ้าก้อสว่างแล้ว แถมหมอกยังไม่มีให้ชม แต่เอานะ ดูความสวยงามอย่างอื่นไปก่อน

Photobucket

อุทยานแห่งชาติศรีน่าน มีพื้นที่ประมาณ 583,750 ไร่ หรือ 934 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่อำเภอเวียงสา อำเภอนาน้อย และอำเภอนาหมื่น เทือกเขาสลับซับซ้อนที่วางตัวในแนวเหนือ-ใต้ ขนานกันทั้งทางทิศตะวันตก และตะวันออกแบ่งพื้นที่ออกเป็นฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก สองฝั่งแม่น้ำเป็นป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรังใน เขตเทือกเขาประกอบด้วยป่าดิบเขา ป่าดิบแล้ง ป่าสนเขา พบสัตว์ป่าหายากหลายชนิด เช่น นกยูงซึ่งมี อยู่หลาย ฝูง เสือดาว เสือดำ หมี กวาง หมาป่า และหมาใน มีสัตว์ป่าหลายชนิดที่สำคัญ คือ ช้างป่า วัวแดง และกระทิง ซึ่งจะอพยพไปมาระหว่างเขตติดต่อประเทศไทย-สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

ผาหัวสิงห์
เป็นหน้าผามีรูปร่างหมือนสิโตนอนหมอบหันหน้าไปทางทิศตะวันออกสามารถมองเห็น ทิวทัศน์ ได้ 360 องศา ทิศเหนือมองเห็นตัวอำเภอเวียงสา ทิศใต้มองเห็นทิวเขาเป็นแนวยาว ทิศตะวันออกมองเห็นผาชู้ แม่น้ำน่าน ทิศตะวันตกมองเห็นตัวอำเภอนาน้อยเกือบทั้งหมด และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกจุดหนึ่ง มีเส้นทาง เดินสำรวจ ธรรมชาติ ให้ผู้รักการปีนป่ายและการผจญภัยได้

Photobucket

หลังจากนั้น ผมก้อพาชาวคณะไปทานอาหารเช้าที่อุทยานแห่งชาติศรีน่าน ซึ่งอยู่เลยดอยเสมอดาวขึ้นไปอีกหลายกิโลเมตร ที่อุทยานแห่งชาติจะมี ผาชู้ให้ปีนปาย

ผาชู้
มีลักษณะเป็นผาหินขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านกลางขุนเขาเขียวขจีหลายแสนไร่ บริเวณเชิงผาชู้เป็นที่ตั้งที่ทำการ อุทยานฯ ในฤดูหนาวสามารถมองเห็นทะเลหมอกได้จากยอดผาชู้ และเมื่อหมอกจางลง จะมองเห็นลำน้ำน่าน ทอดตัวคดเคี้ยวอยู่ที่ปลายผืนป่า ผาชู้เป็นสถานที่ตั้งเสาธงที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ต้องร้องเพลงชาติ 12 จบกว่าจะเชิญธงชาติขึ้นสู่ ยอดเขา ซึ่งสายเสาธงมีความยาวกว่า 200 เมตร จากพื้นถึงยอดผาชู้เป็นจุดชม พระอาทิตย์ขึ้นระยะทางประมาณ 2 ก.ม.ช่วงใกล้ขึ้นถึงยอดจะเป็นหินแหลมคมจึงต้องเตรียมรองเท้าผ้าใบที่ใส่ กระชับไปด้วยเพื่อความสะดวกในการปีนป่าใช้เวลาในการเดินไป-กลับ ประมาณ 1 ชั่วโมง ผู้ที่ประสงค์จะเดินขึ้น ยอดผาชู้ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่นำทางที่อุทยานฯ

ตำนานผาชู้
กล่าวว่า เจ้าเอื้องผึ้งซึ่งเป็นคู่รักกับเจ้าจันทน์ผา จำใจต้องแต่งงานกับเจ้าจ๋วง เจ้าเอื้องผึ้งเสียใจที่ไม่ได้แต่งงานกับ คนที่ตัวเองรัก จึงตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดจากหน้าผา เจ้าจันทน์ผาตามมาพบว่า เจ้าเอื้องผึ้งได้กระโดด หน้าผาไป้แล้ว จึงกระโดดหน้าผาฆ่าตัวตายตามคนรักตกไปอยู่ใกล้กัน และเจ้าจ๋วงได้เห็นหญิงที่ตนรักกระโดด หน้าผาไป จึงรู้สึก เสียใจและตัดสินใจกระโดดหน้าผาตามลงไปด้วยแต่กระเด็นห่างออกไปด้วยความรัก แท้ ระหว่างเจ้าเอื้องผึ้งและเจ้าจันทน์ผา ในชาติต่อมาเจ้าเอื้องผึ้งจึงเกิดเป็นดอกกล้วยไม้เกาะอยู่ใต้ต้นจันทน์ผา และเจ้าจ๋วงก็เกิดเป็นต้นสนณ จุดที่ตกไปนั้นเอง ( “จ๋วง” เป็นภาษาเหนือแปลว่าต้นสน “เอื้องผึ้ง” แปลว่ากล้วยไม้) หน้าผาแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า “ผาชู้” นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

Photobucket

อ่านตำนานของผาชู้แล้วก็เศร้าใจ แต่เสาดินนาน้อย ปฏิมากรรมธรรมชาติอันมหัศจรรย์ก็รอพวกเราให้สัมผัสเช่นกัน

Photobucket

เสาดินนาน้อย หรือ ฮ่อมจ๊อม ครอบครัวเดียวกันกับแพะเมืองผี จ.แพร่ และ ละลุ จ. สระแก้ว เป็นเนินดิน ถูกกัดเซาะจนสึกกร่อน เป็นการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาที่ธรรมชาติสร้างขึ้นอย่างหนึ่งที่ ทำให้ปรากฏแท่งดินผสมหินลูกรังรูปร่างคล้ายเจดีย์ และปราสาทหรือรูปต่างๆ ตามที่ผู้พบเห็นจะจินตนาการปั้นแต่ง

Photobucket

ถัดไปจากเสาดินนาน้อยไปไม่ไกลประมาณ 700 เมตร จากทางเข้า ก็จะเจอปฏิมากรรมธรมชาติอีก 1 แห่ง ที่คล้ายๆ กัน สาเหตุที่เรียกว่าคอกเสือก็เพราะในอดีตชาวบ้านใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่ล้อม ดักฆ่าเสือเพื่อไม่ให้มากิน วัว ควาย ของชาวบ้าน ด้วยความเหมาะสมด้านสภาพภูมิประเทศ ซึ่งเมือเสือหลุดเข้าไปแล้วก็ยากที่จะกระโจนออกมาได้ เพราะเป็นเสาดินสูง ๆ เป็นกำแพงหลาย ๆ ชั้น

Photobucket

จุดหมายต่อไปในโปรแกรมคือ ขุนสถาน แต่ด้วยความที่ไปตอนนี้ก้อไม่มีอะไร ก้อเลยปรึกษากันว่า เข้าตัวน่านดีกว่ามั้ย สรุปก้อคือไปโร้ดคร้าบ ระยะทางจาก คอกเสือไปนานก้อประมาณ 70 กิโล ก้อประมาณ 1 ชั่วโมงครับ

เมื่อเดินทางถึง ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ผมก้อเรียกใช้บริการรถรางของ ศศิดารารีสอร์ท ที่พักที่จะนอนกันคืนนี้ นั่งเที่ยวชมเมืองน่าน

Photobucket

กำแพงเมืองน่าน เป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ที่สำคัญแห่งหนึ่งของเมืองน่าน สร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยเจ้างัวผาสุม เมื่อ พ.ศ.๑๙๖๙ ต่อมา พ.ศ.๒๐๖๐ เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่แม่น้ำน่านเปลี่ยนเส้นทางเจ้าสุมนเทวราชจึงโปรดให้ย้าย เมืองไปตั้งที่บริเวณดงพระเนตรช้าง (บ้านพระเนตรในปัจจุบัน) ต่อมาเจ้าอนันตวรฤทธิเดช จึงโปรดให้ย้ายเมืองกลับมาตำแหน่งเดิม และสร้างกำแพงขึ้นใหม่ตามแนวเดิม ตัวเมืองที่สร้างในครั้งนั้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตัวกำแพงก่ออิฐถือปูน ซุ้มประตูเป็นทรงเรือนยอด ตัวประตูเป็นไม้ มีการเปิด-ปิดตลอดเวลา โดยมีนายประตูเป็นผู้รักษาอาชญา และมีบทลงโทษสำหรับผู้ปีนป่ายกำแพงหรือรื้อกำแพงเมือง อาชญานี้ยกเลิกไปเมื่อครั้งเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ เป็นเจ้านครน่าน กำแพงเมืองที่สร้างขึ้นมี

ประตูทั้ง ๔ ทิศดังนี้

ทิศตะวันออก มีประตูชัยซึ่งเป็นประตูที่เจ้าผู้ครองนครและเจ้านายฝ่ายในใช้ในการเสด็จ ล่องชลมารคสู่พระนครรัตนโกสินทร์ และประตูน้ำเข้มซึ่งคงเป็นประตูท่าน้ำ สำหรับการใช้ติดต่อค้าขายและเข้าออกสู่แม่น้ำน่านของประชาชนทั่วไป ต่อมาในสมัยเจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้านครน่านองค์สุดท้ายได้โปรดให้รื้อแนวกำแพงด้านตะวันออก เพื่อนำอิฐบางส่วนไปสร้างเป็นสะพานกรุงศรีทอดข้ามแม่น้ำน่านเก่า (คลองหลวง)ในปี พ.ศ. ๒๔๗๓ และได้มีการตัดถนนสุมนเทวราชขึ้นไปตามแนวของกำแพงเมืองด้านตะวันออกนี้ใน สมัยต่อมา

ทิศเหนือ ประกอบด้วยประตูริมหรือประตูอุญญาณ ในแต่เดิมนั้นคงมีเพียงประตูเดียวต่อมาใน พ.ศ.๒๔๕๐ ได้มีการเจาะช่องประตูเพิ่มขึ้นอีก ๑ ช่อง คือประตูอมร อยู่ใกล้ตำแหน่งสี่แยกอมรศรี เพื่อให้พระยาอมรฤทธิดำรงข้าหลวงประจำเมืองในสมัยนั้นเดินเข้า-ออก

ทิศตะวันตก มีประตูปล่องน้ำ ซึ่งเป็นประตูที่ใช้ในการระบายน้ำจากบริเวณภายในตัวเมืองด้านเหนือซึ่งเป็น ที่ลุ่มน้ำ ออกสู่คูเมืองด้านนอก ประตูดังกล่าวนี้ตั้งอยู่ในบริเวณถนนมหาวงศ์ตรงจุดที่ปรากฏซากกำแพงซึ่ง เหลืออยู่ในปัจจุบันเพียง ๕๐ เมตร เท่านั้น

ทิศใต้ มีประตูเชียงใหม่และประตูท่าลี่สำหรับให้ราษฎรที่อยู่ในเมืองและนอกเมืองไปมาหาสู่กันได้

ปัจจุบันกำแพงเมืองน่านที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์มีความยาวเพียง ๒๕ เมตร และสูง ๕ เมตร เท่านั้นเป็นแนวกำแพงด้านทิศตะวันตกและทิศเหนือ บริเวณถนนมหาวงศ์เชื่อมต่อกับถนนอนันตวรฤทธิเดชกรมศิลปากรได้บูรณะ ปฏิสังขรณ์แนวกำแพงดังกล่าวและส่วนที่ชำรุดทรุดโทรมได้ทั้งสิ้น ๔๑๕ เมตร เมื่อพ.ศ.๒๕๓๖ และได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของชาติโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๖๑ ตอนที่๖๔ ลงวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๓๗

ความสำคัญต่อชุมชน
กำแพงเมืองน่านเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่บอกถึงความมั่นคงของรัฐเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในลุ่มแม่น้ำน่านที่สามารถปกครองตนเองได้ แม้ต้องยอมอ่อนน้อมต่อหัวเมืองอื่นหลายครั้ง แต่เมืองน่านก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนไว้ได้เป็นอย่างดี

ลักษณะทางสถาปัตยกรรม
ปรากฏหลักฐานกำแพงก่ออิฐทั้งอิฐสี่เหลี่ยมและอิฐบัว แนวกำแพงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าด้านยาวทอดไปตามลำน้ำน่าน ความสูงจากระดับพื้นดินปกติซึ่งเป็นส่วนฐานของกำแพงถึงพื้นเชิงเทิน สูงประมาณ ๓.๘๐เมตร กำแพงกว้างประมาณ ๓.๕๐ เมตร เชิงเทินมีขนาดกว้าง ๒.๒๐ เมตร ทอดยาวไปตลอดตามความยาวของแนวกำแพง เหนือเชิงเทินประดับด้วยกำแพงใบเสมาคาดด้วย เส้นลวด ๒ ชั้น ความสูงประมาณ ๑ เมตรเหนือแนวกำแพงเป็นรูปใบเสมารูปสี่เหลี่ยมตัดมุมบน ๖๐ องศา ทั้งสองด้าน ใบเสมากว้าง ๐.๘๐ X ๑.๐๐ X๑.๒๐ เมตร ตรงมุมกำแพงทั้ง ๔ ด้าน ก่อป้อมและมีปืนประจำป้อมป้อมละ ๔ กระบอก ที่ประตูก่อเป็นซุ้มประกอบด้วยใบทวารแข็งแรง

Photobucket

บ้านหลังนี้ คือบ้านที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองน่าน

Photobucket

หลังจากนั้น ผมก้อพาลูกทริป เดินทางเข้าที่พัก อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้ากันซะหน่อย หลังจากเหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวัน แล้วเราก้อนัดกันว่า เวลาสักประมาณ ห้าโมงครึ่ง เราจะมาดูบรรยากาศยามเย็นในตัวเมืองน่านกัน ก่อนทานอาหารเย็น ลองไปดูบรรยากาศกันนะครับ

จากนั้นมาดูบรรยากาศยามค่ำคืน วัดพระธาตุช้างค้ำ

Photobucket

กับอีกมุม ด้านหน้าครับ

Photobucket

รูปนี้เป็นรูปสี่แยกตรงบริเวณ วัดภูมินทร์

Photobucket

ภายในอุโบสถ สวยงามมากมาย

Photobucket

หลังจากนั้น ผมก้อลูกทริปเดินทางไปทานอาหารเย็น กันที่ร้านสุริยาการ์เด้นท์ ร้านอาหารริมแม่น้ำน่าน หลังจากที่อิ่มท้องกันแล้ว พวกเราก้อมีภาระกิจต้องมาปล่อยโคมลอยยี่เป้งกันที่รีสอร์ท ไปดูบรรยากาศกันดีกว่าครับ

Photobucket

หน้า Lobby

Photobucket

พวกเราทยอยกันจุดโคมลอย ถามว่าทำไมต้องลอยกัน

“โคมลอย” นิยมลอยกันในเทศกาลลอยกระทง ทางภาคเหนือเรียกว่าประเพณี “ยี่เป็ง” เป็นประเพณีลอยกระทงของชาวล้านนา ซึ่งหมายถึงวันเพ็ญเดือน 2 เป็นการนับเดือนตามจันทรคติ โดยคำว่า “ยี่เป็ง” เป็นภาษาเหนือ “ยี่” แปลว่า สอง และคำว่า “เป็ง” ตรงกับคำว่า “เพ็ง” หรือ “เพ็ญ” หมายถึงพระจันทร์เต็มดวง คือวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 2 นั่นเอง

โคมลอย ที่คนท้องถิ่นล้านนาส่วนใหญ่เรียกติดปากว่า “ว่าว” สามารถแบ่งย่อยได้สองประเภท ได้แก่ โคมลอยกลางวัน (ว่าวโฮม-ว่าวควัน) กับโคมลอยกลางคืน (ว่าวไฟ) โดยโคมที่ใช้ลอยกลางวันนั้น จะใช้กระดาษที่มีสีสันจำนวนหลายสิบแผ่นในการทำ เพื่อให้เห็นในระยะทางไกลแม้จะอยู่บนท้องฟ้า จะมีการตกแต่งด้วยการใส่หาง หรือขณะที่ทำการปล่อยมักใส่ลูกเล่นต่างๆเข้าไปด้วย เช่นใส่ประทัด ควันสี เครื่องบินเล็ก ตุ๊กตากระโดดร่ม เป็นต้น บางท้องที่นิยมใส่เงินลอยขึ้นไปอีกด้วย วิธีการปล่อย จะต้องใช้การรมควันให้เต็มโคม เมื่อได้ที่แล้วจึงปล่อย

ส่วนโคมลอย ที่ใช้ลอยกลางคืน นิยมใช้กระดาษสีขาว เนื่องจากจะโปร่งแสงเมื่อลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว ขนาดก็จะย่อมกว่าโคมลอยกลางวัน วิธีการปล่อยจะใช้เชื้อไฟ หรือขี้ไต้ จุดเพื่อให้ความร้อนส่งโคมลอยขึ้นบนฟ้า จะมีการเพิ่มเติมดอกไม้ไฟน้ำตก ดาวตก ประทัด เพื่อเพิ่มสีสันอีกด้วย

กุศโลบาย ของการจุดโคมลอยปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้า ก็เพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณีบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ รวมทั้งเชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ ให้ประสพแต่สิ่งดีงาม สร้างความสามัคคี และที่สำคัญเป็นการอนุรักษ์ประเพณีอันดีงามที่สืบทอดมาแต่ครั้งปู่ย่าตายาย

Photobucket

Photobucket

Photobucket

วิธีการปล่อยโคมลอย มีดังนี้

1. จัดเตรียม โคมลอยพร้อมใส้มา 1 ชุด
2. คลี่ปลายลวดที่ผูกติดกับตัวใส้ออกมาทั้ง 4 ด้าน
3. ผูกปลายลวดทั้ง 4 ด้านกับ เส้นลวดที่ตัวโคมลอย
4. เทคนิคการทำให้ติดไฟง่ายขึ้น โดยการฉีกมุม 4 ด้านเพื่อให้แตกออกนิดหน่อย
5. จับตัวโคมให้อยู่แนวตั้งตึง แล้วจุดทั้ง 4 ด้าน
6. รอให้แรงดันความร้อนมากขึ้น สักประมาณ 2-3 นาที
(อาจจะเร็วกว่านี้หรือช้า ขึ้นอยู่วิธีการจุดแต่ละคน และการลุกใหม้ของใส้โคมลอย)
7. การปล่อย ควรให้โคมลอยดัน ลอยตัวขึ้นเอง หากแรงดันไม่พออย่าพึ่งปล่อยจนกว่าจะลอยเองได้
เท่านี้ก็สนุกกับการปล่อย โคมลอยแล้ว สามารถทำได้ง่ายๆ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ แต่มีข้อควรคำนึงอยู่อย่างคือ ไม่ควรปล่อยในขณะที่มีลมพัดแรง ๆ อาจทำให้ การลอยตัวเสียสมดุลได้

Photobucket

หลังจากนั้น ก้อเข้านอนพักผ่อน พร้อมรับกับการท่องเทียววันใหม่อีกครั้ง

เช้ามา มันต้องหาอะไรรองท้องกันก่อน กาแฟ น้ำสัปปะรด หรือน้ำส้ม ขนมปังปิ้ง

Photobucket

แสงยามเช้า ณ ห้องอาหารสวยงามนัก ขอกดชัตเตอร์ซะหน่อย

Photobucket

หลังจากที่ทานอาหารเช้าอิ่มกันแล้ว ก้อเช็คเอ้าท์ ออกเดินทางกันต่อ

จุดหมายแรก คือ วัดพระธาตุเขาน้อย ซึ่งอยู่ใกล้กับที่พักเลย

วัดพระธาตุเขาน้อย นมัสการพระธาตุเก่าแก่ ชมเมืองน่านจากมุมสูง

จาก ตัวเมืองน่านใช้เส้นทางเดียวกับวัดพญาวัด แต่เลยไปอีกราว 2 กม. ขึ้นเขาไป ก็จะถึงยอดเขาน้อยซึ่งเป็นที่ตั้งของวัด วัดพระธาตุเขาน้อย เป็นปูชนียสถานที่สำคัญและเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของ จ.น่าน สันนิษฐานว่ามีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพระธาตุแช่แห้ง ตั้งอยู่บนดอยเบาน้อย สูงจากระดับน้ำทะเล ประมาณ 240 ม. หน้าวัดมีทางขึ้นเป็นบันไดนาค 303 ขั้น

ทางรถขึ้นถึงตัววัด เมื่อขึ้นไปยืนบนยอดเขา จะมองเป็นทิวทัศน์ของเมืองน่าน ได้อย่างชัดเจน ตามประวัติ พระธาตุองค์นี้ สร้างโดยมเหสีรองของพญาภูเข็ง เจ้าผู้ครองนครน่าน เมื่อราวพุทธศตวรรณที่ 20 เจ้าผู้ครองนครน่าน อีกหลายองค์ต่อมา ได้บูรณปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุ โดยตลอด จนกระทั่งมีการบูรณะครั้งใหญ่ ในสมัยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ ในปี พ.ศ. 2449-2454 โดยช่างชาวพม่า ชื่อหม่องยิง

กรมศิลปากรได้ทำการสำรวจและขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อปี พ.ศ.2523 ด้วยความเป็นวัดที่อยู่บนเขาสูง จึงเป็นจุดชมทิวทัศน์ ที่สวยงาม อยู่ตรงลานปูน พระพุทธรูปปางลีลาองค์ใหญ่ คือพระพุทธมหาอุตมมงคมนันทบุรีศรีเมืองน่าน สร้างเมื่อปี พ.ศ.2542 ถีอเป็นจุดเดียวที่เห็นเมืองน่านจากมุมสูง เราจะเห็นขุนเขา น้อยใหญ่ ตั้งทะมึนโอบล้อมเมืองน่าน เป็นฉากหลัง จุดนี้ยังแสดงให้เราเห็นชัด ถึงลักษณะการตั้งเมือง ของทางภาคเหนือ ที่มักเลือกทำเลที่ตั้ง บนที่ราบลุ่ม และหุบเขาด้วย

Photobucket

มองมุมไหน พระพุทธรูป ก้อโดดเด่นเป็นสง่ายิ่งนัก

Photobucket

บรรยากาศเมืองน่าน ยามเช้าดูแล้วสบายตา แล้วทำให้สบายใจไม่น้อยเลยทีเดียว

Photobucket

ภาพนี้เป็นตัวพระธาตุครับ

Photobucket

หลังจากนั้นเราก็เดินไปสู่วัดพระธาตุแช่แห้งปูชนียสถานที่สำคัญและเก่าแก่ของจังหวัดน่าน และ วัดประจำปีเกิดของคนเกิดปีเถาะ

Photobucket

กับภาพอีกมุมหนึ่ง

Photobucket

ภายในพระอุโบสถ

Photobucket

Photobucket

หลังจากนั้น ก้อเดินทางไปยัง อำเภอบ่อเกลือ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองน่านประมาณ 109 กม. ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1169 ไปยัง อำเภอสันติสุข ตลอดทางเป็นทางวิ่งบนไหล่เขา วิวสวยงามมากนัก แต่ก้อเสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดูเลย ก่อนเข้าตัวอำเภอบ่อเกลือ ผมได้พาชาวคณะไป ศูนย์ภูฟ้า ของสมเด็จพระเทพฯ ลองไปชมบรรยากาศกัน

Photobucket

ที่ศูนย์ภูฟ้า แห่งนี้มีห้องพักให้นอนด้วย และก้อมีอาคารสัมมนาพร้อมครบครัน

Photobucket

หลังจากนั้น ท้องพวกเราก้อร้องกันค่อยข้างดัง หันมามองนาฬิกา โอ้แม่เจ้าบ่ายสองแล้ว ไปทานอาหารกลางวันกันดีกว่า

มื้อนี้มีนัดที่ ร้านอาหารปองซา ที่บ่อเกลือวิวน่านรีสอร์ท ลองไปดูบรรยากาศกันดีกว่า

Photobucket

บรรยากาศมองจากด้านนอก ก่อนเข้าร้านอาหาร

Photobucket

Photobucket

Photobucket

ภายในร้านอาหารคร้าบ ตอนนี้ค่อนข้างเงียบ อาจจะเป็นเพราะ ลูกค้าทานกันไปหมดแล้ว

Photobucket

ลุยกันเลยดีกว่า อาหารมื้อนี้ ขอบอกว่าอร่อยมากม้าก

Photobucket

Photobucket

ของหวานจานนี้ก้ออร่อยไม่แพ้กัน

Photobucket

หลังจากอิ่มกันแล้ว ตอนแรกว่าจะไปน้ำตก ก้อกลัวมืด ไปบ่อเกลือ คนทำเกลือ ก้อไปเกี่ยวข้าวกัน สรุปมุ่งหน้าไป ปัวดีกว่า ที่พักคืนนี้ ภาพด้านล่างเป็นบรรยากาศที่อำเภอปัวครับ

Photobucket

เช้ามาผม ปลุกชาวคณะกันตั้งแต่ตีสี่ เพื่อกลับไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิวเส้นทางไปบ่อเกลือ ผมมีภาพสวยๆ มาฝากครับ

แสงแรกครับ ลงจากรถแถบไม่ทันเลย

Photobucket

พระอาทิตย์เริ่มเปล่งแสงออกมาแล้ว

Photobucket

มาแล้วครับ แสงไล่โทนมาเลย สวยงามจริงๆ

Photobucket

แสงเริ่มเปล่งประกายแล้ว

Photobucket

ระเบียงจุดชมวิว ที่รอคอยนักท่องเที่ยวให้มาถ่ายรูปกัน

Photobucket

Photobucket

เค้ามาแล้ว

Photobucket

Photobucket

หลังจากนั้น ก้อออกเดินทางกลับไปปัวอีกครั้ง เพื่อทานอาหารเช้า แล้วเก็บสัมภาระ มุ่งหน้าสู่ตัวเมืองน่านอีกครั้ง ระยะทางจากปัวไปน่านก้อประมาณ 60 กม. ทางเรียบไม่สูงชัน สามารถทำเวลาได้

จุดหมายแรกของเราในวันนี้คือ ร้าน Milk club ตอนเดินทางไปถึง เอ้าหละสิ งานเข้า ร้านปิด ก้อเลยเดินลงไปถาม ขอร้องให้เปิดหน่อย จะได้ให้ลูกค้าลงไปทานได้ เจ้าของร้านก้อใจดีเปิดให้ด้วย บอกว่าวันนี้หยุดให้พนักงานไปเที่ยวงานแข่งเรือกัน แต่ไม่เป็นไหร่ ผมสามารถเป็นลูกมือได้ เจ้าของร้านบอกไม่เป็นไหร่ สงสัยกลัวทำอะไรเค้าพัง อิอิ

ร้านอยู่ตรงปั้ม เชลล์ ถนนผากอง ตรงมาจากแยกวัดภูมินทร์ ผ่านวัดหัวข่วง คุ้มราชบุตร อยู่ตึกอาคารพาณิชย์หัวมุม

“มิลค์ คลับ” เป็นร้านนมที่เป็นความลงตัวเกิดจากแนวคิดของสองหนุ่มสองมุมอย่าง “กำธร เอกกันทา” หรือหนุ่มติ่ง สถาปนิกล้านนาร่วมสมัย ผู้คร่ำหวอดในการออกแบบโครงสร้างและงานอินทีเรียดีไซน์แนวเมืองเก่าใน จ.น่าน มากว่า 10 ปีกับอีกหนุ่มหนึ่ง คือ "สิทธิธัช ธิติกุลเกษมศักดิ์” หรือหนุ่มจิ๊ป ศิลปินรุ่นใหม่ของเมืองน่าน ซึ่งหลงใหลในความงามของศิลปะ มีผลงานประเภทจิตรกรรมที่สร้างสรรค์ออกมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อหนุ่มสถาปนิกเจ้าไอเดียกับคนรักศิลปะมาผนวกความคิดกัน จึงทำให้ร้าน “milk club” ที่สองคนเป็นเจ้าของออกมาลงตัวภายใต้การตกแต่งร้านที่เป็นคอนเทมโพรารี่เน้น ความเรียบง่ายสบายๆ

จากอาคารไม้กึ่งปูน 2 ชั้นสภาพโทรมๆ จึงถูกปรับโฉมใหม่ โดยแบ่งส่วน คือ ชั้นสองเปิดเป็นห้องเรียนศิลปะและแกลเลอรี่แสดงงาน และแบ่งอีกส่วนสำหรับใช้สอยทำออฟฟิศสถาปนิก ในชื่อว่า "ใจ๋เมือง แกลเลอรี่/อาร์คิเทค" ของหนุ่มติ่ง เพื่อลดความจำเจเจ้าของร้านจะขยันเปลี่ยนมุมจัดวางให้แปลกใหม่อยู่ตลอด
แม้ตัวร้านจะโดดเด่นไม่สนใคร แต่เจ้าของร้านก็ไม่ลืมที่จะเอื้อเฟื้อเกื้อกูลชุมชนรอบข้างให้มาทำมาค้าขาย ร่วมกัน โดยเปิดพื้นที่ส่วนนอกชายคาร้านเข้าไปเชื่อมสัมพันธ์กับแผงลอยของชาวบ้านที่ จำหน่ายอาหารรสแซบ เป็นการเชื่อมโยงวิถีชุมชนของคนน่านที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่งดงามของคน บ้านใกล้เรือนเคียงในแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย

Photobucket

สิ่งของเก่าๆ หลากหลายที่เจ้าของร้านเก็บไว้โชว์ให้ลูกค้าที่เข้ามาชมและถ่ายรูป

Photobucket

ถ้วยกาแฟ แขวนไว้ดูสวยงามดีทีเดียว

Photobucket

วันนี้ผมเลือกทานกาแฟ เอสเปรสโซ่ครับ

Photobucket

ส่วนลูกค้าก้อเลือกทาน อันนี้

Photobucket

และก้ออันนี้

Photobucket

หลังจากอิ่มท้องกันแล้ว ก็ถึงเวลาที่ไปหาความสงบของจิตใจ ไปดูสถาปัตยกรรมแห่งล้านนาของวัดวาอารามต่างๆ ในตัวเมืองน่านกัน เข้ามาตัวเมืองปุ๊บก็จะเห็นวัดตั้งอยู่ติดๆ กัน สามารถเดินชมเองได้เลยทีเดียว เริ่มจากวัดภูมินทร์ วัดที่มีชื่อเสียงของจังหวัดน่าน ตั้งอยูตรงข้ามกับศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ข้ามถนนปุ๊บถึงปั๊บ

Photobucket

ความสวยแปลกของวัดภูมินทร์ที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนเป็นหนึ่งเดียว ในประเทศไทยคือเป็นพระอุโบสถและพระวิหารสร้างเป็นอาคารหลังเดียวกัน เป็นทรงจตุรมุข ตั้งอยู่บนหลังพญานาค 2 ตัว อาคารนี้เป็นทั้งพระอุโบสถ พระวิหารและพระเจดีย์ประธาน

Photobucket

ภายในวิหารตัวตรงใจกลางพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดใหญ่สี่ องค์มียังจิตรกรรมฝาผนังอันเลื่องชื่อมากมายแสดงถึงวิถีชีวิตและความเป็น อยู่ของชาวน่านในสมัยอดีต

Photobucket

จากวัดภูมินทร์ก็ข้ามถนนมายังวัดพระธาตุช้างค้ำ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กัน วัดเก่าแก่ที่ในสมัยอดีตเป็นที่สำหรับเจ้าผู้ครองนครใช้เป็นสถานที่ประกอบ พิธีสำคัญทางพุทธศาสนาและพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา

Photobucket

Photobucket

Photobucket

เสร็จแล้ว เดินข้ามฝั่งไปยัง พิพิธภัณท์จังหวัดน่าน กับทิวต้นลีลาวดี งามไม่เบาเลย

Photobucket

หลังจากนั้น ก้อถึงเวลาทานอาหารกลางวัน มื้อนี้พาไปทาน ร้านแซบ อร่อยถึงใจ อิ่มกันแล้ว มุ่งหน้าสู่ แพร่ เพื่อไปกราบไหว้นมัสการพระธาตุช่อแฮ พระธาตุประจำปีขาล

วัดพระธาตุช่อแฮ พระอารามหลวง เป็นวัดที่ตั้งอยู่เนินเขาเตี้ย สูงประมาณ 28 เมตร องค์พระธาตุช่อแฮ เป็นเจดีย์พุกามรูปแปดเหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง ศิลปะแบบเชียงแสน บุด้วยทองดอกบวบสูง 33 เมตร ฐานสี่เหลี่ยมกว้างด้านละ 11 เมตร ลักษณะองค์พระธาตุตั้งอยู่บนฐานเขียงสี่เหลี่ยม 1 ชั้น ถัดขึ้นไปเป็นฐานหน้ากระดานแปดเหลี่ยม 3 ชั้นรองรับ ถัดไปเป็นฐานบัวคว่ำและชุดท้องไม้แปดเหลี่ยม ซ้อนลดชั้นกันขึ้นไป 7 ชั้น จากนั้นเป็นบัวระฆัง 1 ชั้น และหน้ากระดานหนึ่งชั้น จนถึงองค์ระฆังแปดเหลี่ยม ถัดขึ้นไปเป็นบัลลังค์ย่อมุมไม้สิบสองและปล้องไฉน ส่วนยอดฉัตรประดับตกแต่งด้วยเครื่องบนแบบล้านนา หุ้มด้วยทองจังโก้ตลอดทั้งองค์ มีรั้วเหล็กรอบองค์พระธาตุ 4 ทิศ มีประตูเข้าออก 4 ประตู แต่ละประตูได้สร้างซุ้มแบบปราสาทล้านนาไว้อย่างสวยงาม

Photobucket

Photobucket

Photobucket

จบลงสำหรับทริปน่านด้วยรูปภาพนี้แล้วกัน กลางเดือนมกราคม คงได้ชมรูปจากทริปน่านอีกครั้ง พร้อมดอกซากุระเมืองไทย

Photobucket






 

Create Date : 01 ธันวาคม 2553
11 comments
Last Update : 1 ธันวาคม 2553 21:10:36 น.
Counter : 4881 Pageviews.

 

โชคดีจังที่ได้เปิดมาดู เพราะว่ารูปสวยมากๆ เลยค่ะ อยากถ่ายเก่งๆ แบบนี้บ้างจัง

 

โดย: ด.ญ คณิตกร 1 ธันวาคม 2553 21:40:49 น.  

 

ภาพสวยมากๆครับ รีวิวข้อมูลได้ดีมากๆครับ เป็นประโยชน์มากๆเลยครับ
เพราะช่วงปลายเดือนธันวานี้ผมกะจะเที่ยวเหนือ โดยผ่านไปแวะที่น่านก่อนครับ
ขอบคุณภาพสวยๆและข้อมูลดีๆที่นำมาฝากครับผม

 

โดย: ZeeBlue-Melody 1 ธันวาคม 2553 23:23:48 น.  

 

น่าไปมากๆ ค่ะ

 

โดย: naruwimol 2 ธันวาคม 2553 9:40:19 น.  

 

หวัดดีครับ...

ขอบคุณที่แวะไปทักทาย...
ภาพสวย เหมาะสมแล้วที่เป็นทัวร์ลีดเดอร์

กำลังจะไปน่านอาทิตย์หน้านี้พอดี
เลยเก็บข้อมูลเสียจากตรงนี้เลย...
ชอบการเดินทางเหมือนกัน
แต่ฝีมือถ่ายภาพ ไม่ค่อยดี
เพราะสายตาเริ่มแย่

ขอ add ไว้ด้วยนะครับ

 

โดย: wicsir 3 ธันวาคม 2553 8:34:34 น.  

 

ภาพสวยค่ะ

ขอตามไปเที่ยวด้วยคนค่ะ

เคยไปมาเมื่อหลายปีก่อน แต่ไม่ได้เที่ยวเทห์ๆ นะคะ เที่ยวแบบยาจก อิอิ กางเต็นท์นอนกันตลอดไม่ได้นอนโรงแรมหรือรีสอร์ทกับเขาเลย

 

โดย: พรายชมพู 3 ธันวาคม 2553 9:56:54 น.  

 

แวะมาชมค่ะ

 

โดย: นู๋ที 3 ธันวาคม 2553 10:55:24 น.  

 

คิดถึงลมหนาวแล้ว

 

โดย: thailerd (thailerd ) 6 ธันวาคม 2553 9:27:05 น.  

 

หวัดดี ค่ะ ตาม มาเที่ยว ด้วย
ดอยเสมอ ดาวเป็นอีกที่ที่ อยากไป . เที่ยวหลาย คน ท่าจะสนุก
..ว่า จะไปภูทับ เบิก คงผิดหวังที่ไม่เห็น ทะเลหมอก ..
อยู่บ้าน เราเดาไม่ถูก เลยปลายฝนต้นหนาวช่วง ไหน มันไม่เป็นไปตาม ธรรมชาติ เลย อ่ะ ..
ขอบคุณที่ให้ข้อมูลภูทับเบิก ค่ะ ..

 

โดย: tifun 12 ธันวาคม 2553 19:44:13 น.  

 

สวยมากคะเดี๋ยวพรุ่งนี้จะไปน่านเหมือนกัน

 

โดย: pp IP: 192.168.34.12, 110.77.226.133 6 มกราคม 2554 15:27:24 น.  

 

สวยมากค่ะ 9-11 มี.ค.54 จะได้ไปเยือน เมืองน่าน แล้ว ดีใจมากค่ะ

 

โดย: สุวิภา IP: 182.52.122.103 21 กุมภาพันธ์ 2554 15:34:17 น.  

 

ไปน่านบ่อย แต่ไม่เคยรู้ว่ามีความงานที่ซ่อนอยู่มากมายที่เมืองนี้ โอกาสหน้าจะขอไปเป็นลูกทัวร์ด้วยนะค่ะ

 

โดย: star star IP: 110.164.41.240 23 เมษายน 2554 9:44:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ilovetotravel
Location :
ปทุมธานี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




เนื่องจากผมเป็นคนชอบเที่ยว และชอบถ่ายรูป ดังนั้นใน Blog นี้จะเป็นเรื่องเที่ยว การรีวิวที่พัก ซะเป็นส่วนใหญ่ และการชอบเที่ยว การชอบการบริการของผมนี่แหละเป็นจุดเริ่มต้นของการเริ่มทำทัวร์ คือไหนๆก็เที่ยวบ่อยๆแล้ว และทุกครั้งที่ผมเห็นรอยยิ้มของผู้ร่วมทริปการเดินทางของผมแล้ว แค่นี้ก้อสุขใจ

ส่วนเรื่องการบริการของทีมงานผมไม่ต้องห่วงนะครับ เราดูแลผู้ร่วมเดินทางเป็นอย่างดีแน่นอน


New Comments
Friends' blogs
[Add ilovetotravel's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.