01 ... สิ่งนึงที่ดูแล้วเซนต์รีจิส จะมีเหนือกว่าโรงแรมอื่นๆคือ จิตวิญญาณและที่มาที่ไปในตัวตนของ รีจิสครับ เดี่ยวจะทยอยเล่าไปเรื่อยๆ ตามที่ได้รู้มาน่ะครับ เริ่มจากทำเลที่ตั้งของ St.Regis นั้นถือว่ายอดเยี่ยมครับอยู่ติดกับ BTS ราชดำริ ซึ่งทางโรงแรมก็ได้ทำทางเชื่อมพิเศษไปโผล่ที่ชั้นสองของโรงแรมได้เลยด้วย เวลาฝนตกก็ไม่ต้องกลัวเปียก เดินเข้าโรงแรมไปได้เลย

02 ... ตรงนี้จะเป็นส่วนของล็อบบี้โรงแรม สีที่ใช้ในการตกแต่งจะเป็นสีเอิร์ทโทน ใช้สีอ่อนและเข้มตัดอารมณ์กันไป งานออกแบบจะไม่ได้หวือหวามากเน้นไปทางเรียบๆ แต่จะมีเรื่องลวดลายเส้นโค้งประดับมาช่วยเพิ่มอารมณ์

04 ... สำหรับเคาเตอร์เช็คอินนั้นเราต้องขึ้นลิฟท์ไปที่ชั้น 12 ครับ การแยกเคาเตอร์เช็คอินออกมาต่างหาก ก็จะช่วยลดความวุ่นวายของแขกบริเวณล็อบบี้ครับ พอขึ้นมาชั้นบนแล้วให้ความสงบและเป็นส่วนตัวมากๆ

05 ... ใกล้กับเคาเตอร์เช็คอินจะมีบันไดวน แสนคลาสสิคขึ้นไปห้องฟังชั่นจัดเลี้ยงครับ ผมแว้บๆ เข้าไปแอบถ่ายรูปมาด้วยเพื่อป็นไอเดีย ห้องนี้ใช้ชื่อว่า Astor Ballroom ครับ ขนาด 515 ตรม.(16 m* 32 m) เมื่อเปิดแบบเต็มพื้นที่ (สามารถแบ่งเป็นสามห้องเล็กน่ะครับ)  เป็นห้องแนวสี่เหลี่ยมผืนผ้า ข้อด้อยของห้องบอลรูมที่นี่โดยส่วนตัวคือเพดานของห้องจะไม่ค่อยสูงเท่าไหร่ ไม่ถึง 5 เมตร ดีด้วย ผมกำลังนึกถึงช็อตเจ้าสาวโยนดอกไม้ ถ้าโยนแรงๆ อาจจะลอยขึ้นไปกระแทกเพดานได้เหมือนกันน่ะ แต่จุดเด่นที่ดีมากๆ แล้วคือเป็นห้องบอลรูมที่ด้านข้างเป็นกระจกใสครับ ยามหัวค่ำก็จะได้วิวด้านนอกแสงสวยมากๆ

07 ห้องพักที่จองมาในตอนแรกคือ Deluxe Room  ครับ แต่ตอนเช็คอินสงสัยทราบว่าเราเป็นสมาชิก SPG และห้องคงว่างเยอะ เลยอัพเกรดให้พักห้อง Grand Deluxe ซึ่งมีขนาดห้องที่กว้างกว่าเดิมครับ จะอยู่ที่ 50 กว่า sqm.

08 ห้องพักทั้งหมดของเซนต์รีจิส มีทั้งสิ้น 176 ห้อง และ 51 ห้องสวีท ไฮไลท์จะเป็นห้อง Caroline Astor Suite 15 ห้องและ John Jacob Astor Suite 13 ห้อง และมีห้องที่แพงที่สุด ใหญ่ที่สุดคือ Royal Suite 1 ห้องซึ่งกว้างกว่า 250 sqm โอ้ววว จะกว้างขวางไปไหน

09  ... เซนต์ รีจิสก็ผสมผสานเอาความคลาสสิคของงานออกแบบ รวมกับดีไซน์ในยุคปัจจุบัน และจิตวิญญาณของเอเชียเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ห้องน้ำก็เป็นแบบเปิดโล่งได้ตามสมัยนิยม ซึ่งส่วนตัวแล้วเดี๋ยวนี้ก็ชอบห้องน้ำแบบนี้ไปแล้วครับ ทำให้ห้องกว้างขวางขึ้นและไม่อึดอัดดี

10 ... โทนของห้องน้ำใช้เป็นสีขาวแบบสวยอย่างเรียบหรูจริงๆ ประตูด้านใน รูปด้านบนนั่นเป็นห้องสำหรับธุระหนักน่ะครับ เป็นการลดปัญหาเรื่องกลิ่นไม่พึงประสงค์จากการเป็นห้องน้ำแบบเปิดโล่ง ซึ่งถือว่าออกแบบมาได้ดีมากๆ

11 ... ภาพของห้องแบบรวมๆครับ ... งานตกแต่งทำให้แน่นและลงตัวดี เตียงนอนก็หลับและนุ่มแสนสบายเหลือเกินครับ

จริงๆ แล้วนอกเหนือจากความหรูหราและความสะดวกสบายของโรงแรม ประวัติศาสตร์การเกิดขึ้นของตำนาน เดอะ เซนต์ รีจิส ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจมากๆครับ แบรนด์เซนต์ รีจิสซึ่งมีชื่อเดียวกับทะเลสาบในตอนเหนือของรัฐนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ถูกกำเนิดโดยตระกูล Astor มาตั้งแต่ปี 1904 ซึ่งนับจนถึงปัจจุบันก็ร้อยกว่าปีแล้วครับ ไม่น่าเชื่อว่าพึ่งจะเป็นครั้งแรกที่แบรนด์นี้มาอยู่ในเมืองไทย ถ้าใครดูหนังเรื่อง Titanic แล้วพอจะจำได้   จะมีฉากนึงที่โรสพาแจ็ค มางานเลี้ยงในเรือแล้วเดินแนะนำคนดัง และเซเลบริตี้ในสังคมชั้นสูงสมัยนั้น ที่โรสบอกแจ็คว่า ... นั่นไง คุณ จอห์น จาค็อบ แอสเตอร์ ชายที่รวยที่สุดบนเรือไททานิค

บทพูดในภาพยนตร์ระดับตำนานของเจมส์ คาเมรอน เลือกจะใส่บทบรรยายเช่นนั้นลงไป นั่นจึงน่าจะบอกได้ถึงความร่ำรวยของตระกูลนี้ได้อย่างดี John Jacob Astor IV เป็นผู้ที่ได้แรงบันดาลใจการสร้างแบรนด์ เดอะ เซนต์ รีจิส นี้มาจากคุณแม่ของตัวเอง นางชื่อว่า Caroline Astor ซึ่งในยุคต้น ศตวรรษ 20 เป็นดั่งท่านผู้หญิงในสังคมชั้นสูงของอเมริกา ซึ่งรักในงานเลี้ยงสังสรรค์ งานเลี้ยงฉลองที่เลิสหรูอลังการ นั่นเป็นจุดที่ จอห์น จาค็อบเล็งเห็นและได้แรงบันดาลใจ ถ่ายทอดออกมาเป็นโรงแรมเซนต์รีจิสแห่งแรกของโลกที่อเมริกา เป็นโรงแรมที่ให้ทุกๆ คน ทุกชนชั้น สามารถมาใช้ชีวิตดั่งอยู่ในสังคมชั้นสูง สามารถมานั่งจิบไวน์ในบาร์ที่เลิศหรู ได้ง่ายๆ