ทางออกจากวิกฤติการณ์ในประเทศไทยเวลานี้
ใช้พุทธธรรมนำทางอย่างปางบรรพ์ ได้ช่วยกันอย่าให้โลกเป็นโกรกไฟ คำขอร้องของพุทธทาส
วงการพระพุทธศาสนาในประเทศไทยโดยเฉพาะพระภิกษุสงฆ์หากเกิดกรณีพิพาทขึ้นภายในหมู่ภายในคณะสงฆ์ ท่านผู้มีหน้าที่ปกครองดูแลโดยตรงก็อาจเรียกประชุมสงฆ์ตามพระวินัยบัญญัติอาทิ อธิกรณ์สมถะ ๗ อันมีสติวินัยเป็นต้น เพื่อชำระความให้สงบลงไปเป็นปกติสุข
ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแจ้งในบ้านเมืองเวลานี้ ผู้เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม ที่เห็นแก่ปัญหาของแผ่นดินที่เกิดขึ้นอันเป็นของส่วนรวมต่างก็รวมตัวกันเพื่อระดมสรรพทรัพยากรทางวิชาการมันสมองสติปัญญาอย่างสุดกำลัง ช่วยกันหาหนทางแก้ไขปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น อย่างขันแข็ง
โดยส่วนตัวในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ก็รู้สำนึกรับผิดชอบด้วยเช่นกัน ต่อประเทศชาติที่จะผ่านเรื่องราวร้ายๆ ต่าง ๆ ไปได้อย่างดีในเร็ววัน ได้พยายามกลับไปค้นคว้าเอกสารทางปรัชญาการเมืองของชาติตะวันตก พบว่ามีมากมายหลายสำนัก แม้ว่าผู้เขียนได้เคยศึกษาวิชาปรัชญาตะวันตกมาบ้างเช่นกัน ยิ่งอ่านลึกเข้าไปก็ยิ่งรู้สึกแปลกแยกกับตัวเองและวัฒนธรรมอารยธรรมไทยของเรายิ่งขึ้น หาหนทางออกไม่พบ จึงมาระลึกถึงวิชาสมัมนาพุทธปรัชญา เมื่อผู้เขียนได้เคยเรียนและได้รับมอบหมายให้ค้นคว้าเรื่องอธิกรณ์สมถะ ๗ โดยเฉพาะ
ประกอบกับการอ่านกวีนิพนธ์เรื่องคำขอร้องขอพุทธทาสเป็นกลุ่มแรกจากการเข้าค่ายอบรมอานาปานสติภาวนาณ สวนโมกข์ และ สวนโมกข์นนานาชาติเป็นเวลา ๑๐ วัน โดยมีท่านอาจารย์พุทธทาส เป็นผู้มีส่วนร่วมในการอบรม ในขณะที่เป็นนักศึกษาปริญญาตรี๑ และจากการสนทนาธรรมปุจฉาวิสัชชนาของผู้เขียนกับพระเถระรูปหนึ่ง ท่านปรารภถึงพระอาจารย์หลวงตามหาบัวฯ ว่า การช่วยชาติรวบรวมทองเข้าคลังหลวงนั้น ผู้เขียนคิดอย่างไร จึงตอบท่านไปโดยใจความว่า อันชาวบ้านก็ได้ช่วยเหลือจุนเจือพระสงฆ์มาตลอดมีการถวายจตุปัจจัยด้วยศรัทธามาตลอด และเมื่อถึงคราวชาวบ้านเดือดร้อน ทำไมพระสงฆ์จะทำปฏิการตอบแทนบ้างมิได้. ท่านก็ตอบว่าคำที่ผู้เขียนตอบไปนั้นพอเพียงแล้วสมบูรณ์แล้ว ไม่มีอะไรให้แสดงอีกต่อไป๑
ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงขออาราธนาพระคุณเจ้าและท่านผู้รู้ ตลอดจนปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาทั้งหลาย ให้ได้ช่วยกันกลับไปย้อนอ่านพระวินัยบัญญติที่ว่าด้วย อธิกรณ์สมถะ ๗ เพื่อให้พุทธธรรมนำทางอย่างปางบรรพ์ ได้ช่วยกันอย่าให้โลกเป็นโกรกไฟ
เอกชัย สรรพโรจน์พัฒนา
วันเสาร์ที่๑๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๗