Group Blog
มีนาคม 2552

1
2
3
4
6
7
10
11
12
13
14
15
16
18
19
20
21
22
23
24
27
28
30
 
 
All Blog
ทำบุญอย่างไรให้ได้ผล!
หลังจากที่อาตมากลับมาจากสวนโมกข์ก็รู้สึกปลื้มปีติกับการได้ปฏิบัติธรรมเป็นอย่างยิ่ง และเพิ่งรู้ว่าการนั่งหลับตาทำสมาธิเฉย ๆ นั้นแสนเหนื่อยยากลำบากขนาดไหน แต่เขาว่ากันว่าคนเราทำสมาธิเพียงชั่วเคี้ยวหมากแหลกได้บุญมากกว่าคนที่ให้ทานเป็นประจำและรักษาศีลอย่างเคร่งครัดเสียอีก อืม ฟังอย่างนี้แล้วก็อยากจะสะสมบุญบารมีโดยนั่งสมาธิวันละ 5 นาทีเหลือเกิน ถึงอย่างนั้นก็ต้องทำบุญอย่างอื่นด้วยนะ อาตมามีเกร็ดความรู้ดี ๆ มาฝากดังต่อไปนี้

วิธีสะสมบุญบารมี(อย่างย่อ)

1.) ทาน

การให้ทานนั้นได้บุญมากน้อยตามเหตุและปัจจัย คนทำบุญหนึ่งล้านบาทด้วยเงินค้ายาเสพติดย่อมได้บุญไม่เท่าคนทำบุญเพียงสิบบาทที่บริสุทธิ์และให้ด้วยใจใสสะอาด ประกอบกับเป็นการทำบุญที่ไม่เบียดเบียนตัวเอง(ไม่ใช่ให้ทานไปแล้วไม่มีเงินกินข้าว)หรือทานที่ให้เกิดจากการที่เราไปเชือดปลาดุกมาให้พระฉัน ก็จะได้บาปมาไม่คุ้มกับบุญ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจิตใจของเราด้วยว่าก่อนให้ทานนั้นเรามีจิตใจบริสุทธิ์หรือไม่ ขณะทำทานเรามีจิตใจบริสุทธิ์หรือไม่ และหลังให้ทานเรามีจิตใจบริสุทธิ์หรือไม่ หากทั้งสามอย่างครบถ้วนก็จะได้บุญสูงขึ้นไปอีก แต่ถ้าเราทำได้ไม่ครบตามที่บอกมาก็อาจส่งผลให้ชาติหน้าเกิดเป็นมนุษย์ที่มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

ก่อนให้ทานใจบริสุทธิ์อย่างเดียว : พวกคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด แต่ต่อไปอาจจะลำบากยากแค้นเพราะบุญหมด

ขณะให้ทานใจบริสุทธิ์อย่างเดียว : วัยกลางคนจะรวยรุ่งพุ่งแรง แต่อาจจะเป็นคนที่เกิดมาต้องกระ กระสนบ้าง และช่วงสุดท้ายของชีวิตอาจจะลำบากบ้าง เป็นต้นฯ


นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับการทำบุญกับใคร?


ให้ทานสัตว์ร้อยครั้งไม่เท่าให้ทานมนุษย์ครั้งเดียว ให้ทานมนุษย์ร้อยครั้งไม่เท่าให้ทานคนถือศีลห้าเคร่งครัดเพียงครั้งเดียว ซึ่งจะเรียงด้วยอัตรา 100 : 1 ไปเรื่อย ๆ ดังต่อไปนี้


สัตว์ < มนุษย์ < มนุษย์ถือศีล 5 < ศีล 8 < สามเณร < สมมติสงฆ์ < พระโสดาบัน < พระสกิทาคามี < พระอนาคามี < พระอรหันต์ < พระปัจเจกพุทธเจ้า < พระพุทธเจ้า < ถวายสังฆทานในงานที่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน < ร่วมทำบุญถวายวิหารทานหรือสร้างสิ่งของสาธารณะ เช่น โบสถ์ วิหาร ศาลาท่าน้ำ < ธรรมทาน < อภัยทาน


เพราะฉะนั้นในฝ่ายทาน การให้อภัยทานจึงได้บุญสูงสุด ใครเคยก่อกรรมทำเวรกันไว้ มีคนยืมเงินไปแล้วไม่คืน เพื่อนหักหลัง เพื่อนมองหน้ากันไม่ติด หากอโหสิให้แก่กันได้ก็จะดีมาก ๆ เลย แต่ต้องอโหสิให้ด้วยกาย วาจา ใจที่บริสุทธิ์นะ ไม่ใช่ปากว่าอย่างแต่ใจคิดอีกอย่าง อภัยทานในครั้งนั้นก็จะถือว่าไม่สมบูรณ์ได้บุญไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย


2.) ศีล

เรียงด้วยอัตรา 100 : 1 แบบเดิมกับทาน ดังต่อไปนี้

อภัยทาน < ศีล 5(ขำ ๆ) < ศีล 5(เคร่ง) < ศีล 8(ขำ ๆ) < ศีล 8(เคร่ง) < บวชสามเณรถือศีล 10 ไม่เคยขาดหรือด่างพร้อย 100 ปีไม่เท่ากับบวชเป็นภิกษุสงฆ์เพียงวันเดียว ซึ่งถือว่าการบวชพระนั้นได้บุญบารมีมากที่สุด


อานิสงส์ของการรักษาศีล 5 มีดังต่อไปนี้(กรณีได้เกิดเป็นมนุษย์ชาติต่อ ๆ ไป)


- ปาณาติปาตา : พลานามัยแข็งแรง ไม่มีโรคภัย อายุยืนยาว ไม่มีเคราะห์จากอุบัติเหตุ ใครอยากอายุยืนเคร่งครัดกับศีลข้อนี้เสีย ตบยุง ฆ่ามดใครว่าไม่บาป มันบาปทั้งนั้นแหละ แต่หนักเบาก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราฆ่าด้วยนั่นเอง


- อทินนาทานา : เกิดในตระกูลร่ำรวย ทำมาค้าขึ้น ไม่เจอไฟไหม้ น้ำท่วมหรือโจรภัย ซึ่งศีลข้อนี้ไม่เพียงแต่ไม่ลักทรัพย์นะ แต่รวมถึงการไม่คอรัปชั่น การไม่กู้หนี้ยืมสิน การหมกเม็ดรับใต้โต๊ะ การไม่ค้ากำไรเกินควร การไม่เล่นการพนันอีกด้วย


- กาเมสุมิจฉาจารา : ประสบโชคดีในความรัก ไม่อกหักรักคุด มีเมียเมียไม่มีชู้ มีผัวผัวไม่เจ้าชู้ ครั้นมีบุตรธิดาก็ว่านอนสอนง่ายไม่ตกเป็นเหยื่อของพวกชอบทำอนาจาร แถมลูกที่เกิดมาจะเป็นอภิชาตบุตรอีกด้วย การรักศีลข้อนี้รวมไปถึงการไม่มีกิ๊กด้วยนะ จากที่อ่านหนังสือมาเขาบอกว่ากระเทยหรือเพศที่สามนั้นเป็นผลมาจากชาติก่อน ๆ ประพฤติศีลข้อนี้บกพร่องเป็นอันมาก(เขาว่านะ...อาตมาไม่ได้ว่าเอง)


- มุสาวาทา : มีสุ้มเสียงไพเราะชวนฟัง มีโวหารไหวพริบในการเจรจาพาที คำพูดน่าเชื่อถือ ว่ากล่าวสั่งสอนบุตรธิดาหรือลูกศิษย์ลูกหาให้อยู่ในโอวาทได้ดี ทั้งนี้รวมไปถึงการไม่พูดเพ้อเจ้อ ส่อเสียด ติฉินนินทาใครด้วย(แต่หลัก ๆ ก็คือไม่พูดปด) คาดว่าพวกนักร้อง พิธีกรหรือนักพูดคงปฏิบัติศีลข้อนี้ดีในชาติก่อน


- สุราเมระยะ : มีสมอง สติปัญญาเป็นเลิศ ความคิดแจ่มใส ความจำดี สติไม่เลอะเลือน ไม่วิกลจริต ไม่ปัญญาทรามหรือปัญญานิ่ม ลูกไม่ปัญญาอ่อน ทั้งนี้นอกจากไม่ดื่มสุราแล้ว ยังรวมไปถึงของมึนเมาทุกชนิด จำพวกบุหรี่ก็โดนหางเลขด้วย



Special Tips : รู้หรือไม่ว่าการฆ่าตัวตายบาปมากขนาดไหน? แน่นอนว่าบาปมาก ๆ และจะต้องรับผลกรรมคือ ต้องตกนรกถึง 500 ชาติ และถ้ากลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็จะต้องฆ่าตัวตายอีก 7 ชาติจึงจะหมดเวรหมดกรรม เพราะฉะนั้นขอให้วิธีนี้ไม่อยู่ในทางเลือกของการแก้ปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้นนะครับ


3.) เจริญภาวนา

ขอไม่กล่าวถึงการวิปัสนากรรมฐานเพราะยากเกินไป แต่จะพูดถึงสมถกรรมฐาน ซึ่งมีการนั่งสมาธิ เดินจงกรม โดยการจะทำการเจริญภาวนาให้สำเร็จต้องรักษาศีลให้ดีเสียก่อน เพราะศีลเป็นฐานให้เราเจริญภาวนาได้ง่ายขึ้น ว่ากันว่าการเจริญภาวนาเพียงชั่วไก่กระพือปีกหรือชั่วช้างกระดิกหู(ชั่วเคี้ยวหมากแหลก) จะได้บุญมากกว่าการรักษาศีล 227 ข้อของพระภิกษุสงฆ์เสียอีก ซึ่งหากเราตายตอนที่ "จิตสงบ" หรืออยู่ในสมาธิพอดี จะส่งผลให้อย่างน้อยได้ไปเกิดในเทวโลก* ชั้นหนึ่งคือชั้นจตุมหาราชิกา หากยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันสูงสุดจะเกิดในชั้นที่สองคือชั้นดาวดึงส์ แต่หากขณะกำลังจะตายมีจิตคิดห่วงลูกหลาน เงินทองหามายังใช้ไม่หมด จิตอาฆาตแค้นคู่อริ(กล่าวคือมี โทสะ , โลภะ , โมหะต่าง ๆ อยู่ในใจ) ก็จะไปเกิดในทุคติเป็นมาร เปรต อสุรกาย เดรัจฉาน เพราะฉะนั้นอย่างเรา ๆ หากไม่เคยฝึกสติเลยไม่มีทางไปเกิดในเทวโลกแน่ อย่างมากสุดคงได้เกิดเป็นมนุษย์อีกชาติ เช่น ตอนเรากำลังจะตายแหล่มิตายแหล่อยู่ในห้องไอซียู ลูกหลานมากระซิบข้างหูว่า "อะระหัง สัมมา..." เราก็นึกได้แค่ว่าอะไรหัง ๆ(เพราะไม่เคยฝึกสติหรือสมาธิมาก่อน) แต่หากเราเคยเจริญภาวนาเราก็จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร สวดได้แม้ในใจเพราะเรามีสติ มีส่วนส่งให้ไปเกิดในเทวโลกได้เป็นอันมาก



* เทวโลกมีทั้งหมด 20 ชั้น เว้นแต่ชั้นที่ 12-16 จะเป็นชั้นสำหรับพระอนาคามีบุคคลโดยเฉพาะ ส่วนชั้นที่ 20 มีอายุยาวนานถึง 84,000 มหากัป โดยในกัปหนึ่งเปรียบเทียบกันว่า ใน 100 ปีจะมีเทวดาเอาผ้าเนื้อละเอียดมาลูบภูเขาสูงใหญ่สักครั้งหนึ่ง จนกว่าที่ภูเขาจะราบเตียนเสมอพื้นดิน นั่นเรียกว่า 1 กัป(นานมาก) ส่วนพวกเรา ๆ หากประพฤติปฏิบัติดีพอ และเจริญภาวนาสม่ำเสมอจะได้ไปเกิดในพรหมโลกชั้น 1 ถึง 3 เป็นอย่างมาก แต่ต้องมีหิริโอตตัปปะ(ความละอายเกรงกลัวต่อบาป)ด้วย เพราะถ้าศีล 5 กับมนุษยธรรม 10 เป็นสิ่งที่พึงมีในมนุษย์ หิริโอตตัปปะก็เป็นสิ่งที่พึงมีในเทวดาทั้งหลาย



การนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมนั้นทำได้ง่ายมากและไม่ต้องเสียเงินทองแม้แต่บาทเดียวจึงถือว่าเป็นการทำบุญที่ลงทุนน้อยสุดแต่ได้กำไรสูงสุด อย่างไรก็ตาม เราก็ต้องเก็บเล็กผมน้อยบุญด้วย ไม่ใช่เอะอะนั่งสมาธิมันลูกเดียว ชาติหน้าอาจจะเกิดเป็นคนมีปัญญาก็จริงแต่อาจไม่มีกะตังค์จะใช้ ก็ได้นะจะบอกให้ เพราะฉะนั้นทำบุญทำทานทำ ๆ ไปเถอะแล้วแต่โอกาสจะเอื้ออำนวย 5 บาท , 10 บาท แต่ใจบริสุทธิ์ก็ได้บุญมากแล้ว



ทำบุญอย่าเลือกมาก...ให้มาก , ทำมากดีกว่าเยอะ!!!


สุดท้ายจะฝากเคล็ดการนั่งสมาธิกับเดินจงกรม เอาแบบง่าย ๆ วันละ 5 นาทีก็พอ


นั่งสมาธิ - กำหนดจิตอยู่กับลมหายใจ หายใจเข้ากำหนด "พอง - หนอ" ให้พอดีกับลมหายใจ หายใจออกก็กำหนด "ยุบ - หนอ" (หรือจะ "พุท - โธ" ก็ตามแต่จะถนัด)


เดินจงกรม - เดินเป็นเส้นตรงไม่ต้องไกลมาก เดินช้า ๆ และกำหนดคล้าย ๆ กับการนั่งสมาธิ คือ "ขวา-ย่าง-หนอ" และ "ซ้าย-ย่าง-หนอ" เมื่อเดินไปสุดทางก็หันกลับแล้วเดินใหม่



กล่าวคือ การเจริญภาวนาทั้งสองวิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด และเป็นการฝึกสติของเรานั่นเอง ในชีวิตประจำวันหากกำหนดอะไรได้ก็กำหนดไว้ในใจ เดินไปไหนก็ "ซ้ายหนอ ขวาหนอ" โดนมีดบาดก็กำหนด "เจ็บ - หนอ" วางกุญแจก็กำหนด "วาง - หนอ" มั่นใจได้เลยว่าจะทำให้โรคขี้ลืมของเราหายไป เพราะสติมันอยู่กับสิ่งที่กระทำไม่ใช่ความเคยชิน ไม่ต้องทำตลอดเวลาก็ได้ แต่ถ้านึกได้ก็ทำแล้วกันนะ


อ้อ...อย่าลืมอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้ญาติเราที่ล่วงลับกับเจ้ากรรมนายเวรด้วยนะ

ปล.เกร็ดความรู้นี้เรียบเรียงใหม่ จากหนังสือ "วิธีสร้างบุญบารมี" และ "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" ขอให้เป็นธรรมทานแด่เพื่อนสนิทมิตรสหายทุกผู้นาม...สาธุ


ที่มา //writer.dek-d.com/BraveHeart/story/view.php?id=270664



Create Date : 31 มีนาคม 2552
Last Update : 31 มีนาคม 2552 15:23:14 น.
Counter : 776 Pageviews.

0 comments

Mimi-jaiko
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 28 คน [?]