Imagination is more important than knowledge
Group Blog
 
 
มกราคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
9 มกราคม 2553
 
All Blogs
 
1984 อ่านครั้งแรก



มีนักเขียนหลายๆคนที่จินตนาการโลกอนาคตไว้หลายรูปแบบ และหนึ่งในตัวอย่างที่จะยกในวันนี้คือมุมมองในหนังสือที่มีชื่อว่า 1984 แต่งโดย George Orwell

George Orwell แต่งหนังสือเรื่องนี้ในปี1949 ช่วงยุคสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง โดยจินตนการไปถึงปี 1984
หนังสือเรื่องนี้ไม่ใช่หนังสือนิยายวิทยาศาสตร์ทั่วไปที่กล่าวว่า เทคโนโลยีจะก้าวหน้าเป็นเช่นไร

แต่สิ่งที่สื่อมาในหนังสือคือ อารยธรรมของมนุษยชาติที่เปลี่ยนแปลง
ในหนังสือนั้นกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของนานาชาติที่ลดเหลือเป็นสามประเทศใหญ่ๆ

สามประเทศนี้ต่างสู้รบกันตลอด
ในชีวิตแต่หล่ะวันนั้นมีการป่าวประกาศในวิทยุบอกกกล่าวถึงให้ทุกคนร่วมสู้เพื่อชาติ

แต่สิ่งที่สื่อออกมานั้น เป็น"ความมจริง"ที่"เปลี่ยนแปลงได้"
ตัวละครเอกของเรื่องนั้นมีหน้าที่ในแต่หละวัน กำหนด "ความจริง" ที่บอกกล่าวออกมาในสื่อต่างๆ

บางวันเราอาจสู้กับประเทศนี้ แต่วันพรุ่งนี้เรากับจับมือร่วมกับประเทศเดียวกันนี้ เป็นหน้าที่ที่ตัวเองต้องคอยกำหนดความจริง

บางวันหน้าประวัติศาสตร์ก็เปลี่ยนแปลงได้ ด้วย"ความจริง" ใหม่ที่กำหนดขึ้นมา หนังสือเรียนเล่มเก่าก็ถูกเผาทิ้งไม่เหลือร่องรอย

ยิ่งกว่านั้น ในหนังสือเรื่อง 1984 นี้ "ความจริง"ในความทรงจำของผู้คนก็เปลี่ยนแปลงได้!

"ความจริง"ทั้งหลายที่กล่าวถึงนั้นล้วนเป็น"นามธรรม"ที่มีอยู่ในความคิดของเรา
เราเลือกที่จะเลือกว่า"ความจริง"เป็นอย่างไร และในบางครั้งเราก็สามารถที่จะเลือกให้มี "ความจริงสองอย่าง" อยู่ได้ โดยเลือกที่จะหยิบเอาอันใดอันนึงตามแต่ความเหมาะสมของเรา

ถ้าผู้ปกครองประเทศสามารถ กำหนด"ความจริง"นี้ได้ เขาก็สามารถมีอำนาจอันสมบูรณ์ไปตลอดกาล

ผมรู้จักหนังสือเล่มนี้ได้ เพราะได้ยินว่า Thom yorke ของ Radiohead ผู้แต่งเพลง 2 +2 = 5
ซึ่งคำกล่าวว่า " 2 + 2 = 5" ก็เป็นประโยคนึงในหนังสือ 1984 ที่กล่าวถึงสภาพ"ความจริง"ของจิตที่สามารถทำให้พูดออกมาได้ว่า
Two plus Two makes Five.

นอกจากนี้ชื่อรายการเรียลิตี้โชว์ Big brother ก็มีที่มาจากหนังสือเล่มนี้เช่นกันที่กล่าวบนโปสเตอร์เตือนว่า
"Big brother is watching you" พี่ชายใหญ่นี้กะลังเฝ้าดูคุณอยู่ อย่าเล่นตุกติกไรน่ะ

เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบ แม้นจะเข้าใจได้สัก 80% (ศัพท์อังกฤษบางคำก็ยากแต่ขี้เกียจเปิดดิกหมด) ก็เลยขอเขียนบล๊อกนี้ว่า "1984 อ่านครั้งแรก"
เพราะคิดว่าอาจจะตั้งใจอ่านอีกสักรอบในอนาคต

ความคิดเห็นส่วนตัวนั้นคือ
ความจริงที่มีอยู่นั้นคือสิ่งที่เราเลือกจะเชื่อ โดยมีพื้นฐานจากว่า ความจริงแบบไหนที่ให้ประโยชน์กับเรามากสุด
เคยได้ยินว่า มนุษย์เรานั้นทำประโยชน์เพื่อตนเอง สิ่งนั้นเกิดมาจากสัญชาตญาณภายใน
คนเราเห็นแก่ตัวนั้น ลึกๆนั้นมันมาจากจิตสำนึกของเราเอง
ผู้คนในยุค 1984 ในหนังสือนั้นก็มี"ความสุข?"กับ"ความจริง"ที่โดนควบคุมโดยผู้ปกครอง ด้วยสุดท้ายแล้วจิตใจเขาเลือกจะเชื่ออะไร

ตัวหนังสือนั้นจะสื่อถึงอารมณ์ในแง่ลบ และ ด้านมืด อาจจะทำให้ผู้อ่านไม่เบิกบานใจนัก
แต่หนังสือวรรณกรรมเล่มนี้ที่มีอิทธิพลไปทั่วโลกนี้ไม่ลองอ่านสักครั้งจะดีหรือ?

(ฉบับไทยมีการแปลโดย รัศมี เผ่าเหลืองทอง และ อำนวยชัย ปฏิพัทธ์เผ่าพงษ์ ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2525[3] และตีพิมพ์ครั้งล่าสุดเมื่อ พ.ศ. 2550)


Create Date : 09 มกราคม 2553
Last Update : 9 มกราคม 2553 8:45:45 น. 12 comments
Counter : 1217 Pageviews.

 
ว่าจะอ่านหลายทีแล้ว แต่ไม่ได้อ่านสักที


โดย: cottonbook วันที่: 9 มกราคม 2553 เวลา:20:55:36 น.  

 
น่าสนใจ
"มนุษย์เรานั้นทำประโยชน์เพื่อตนเอง สิ่งนั้นเกิดมาจากสัญชาตญาณภายใน
คนเราเห็นแก่ตัวนั้น ลึกๆนั้นมันมาจากจิตสำนึกของเราเอง"
ถ้าเราจะให้มนุษย์มองเห็นถึงการทำประโยชน์เพื่อคนอื่น ที่เกิดมาบนโลกใบเดียวกันล่ะ เราจะโน้มน้าวจิตเขาอย่างไร?


โดย: Moonoi <(^ 00 ^)> (Mumu Moonoi ) วันที่: 10 มกราคม 2553 เวลา:11:20:19 น.  

 
ตอบ คุณMoonoi

ผมก็ไม่ทราบว่าจะทําอย่างไรดี

ก็ได้แค่คิดว่า

เราก็ต้องทําให้เขารู้สึกว่าความสุขของผู้อื่นคือความสุขตัวเองด้วย
เหมือนเราเห็นเพื่อนเรามีความสุข พ่อแม่เห็นลูกประสบความสําเร็จ
ความสุขนั้นท้ายที่สุดแล้วก่อให้เกิดความสุขของตนได้



โดย: นายสารพัด IP: 126.251.46.206 วันที่: 10 มกราคม 2553 เวลา:12:38:45 น.  

 
ผมเชื่อว่าเราเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้
(บางทีตัวเราเองยังเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ยากเลย)

และผมก็เชื่ออีกว่าถ้าเราทำประโยชน์เพื่อคนอื่นอย่างจริงใจ
จนถึงจุดหนึ่งเราก็จะอิ่มสุข อิ่มแปล้จนคนอื่นรอบข้างก็รู้สึกอิจฉา
และท้ายที่สุดเค้าจะเริ่มทนไม่ไหวและเริ่มทำประโยชน์ให้ผู้อื่นบ้าง ...

:D


โดย: มีน IP: 58.9.209.18 วันที่: 10 มกราคม 2553 เวลา:21:38:35 น.  

 
ถ้าเราจะทำประโยชน์ให้คนอื่น ก็เพื่อว่ามนุษย์เราต้องการได้การยอมรับจากผู้อื่น

เท่านั้นเอง สุดท้ายมันก็คือต้องการให้ผลประโยชน์กลับมาที่ตัวเรา


โดย: นายสารพัด IP: 124.38.68.212 วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:8:18:36 น.  

 
-อ่านไปแล้วเหมือนกันครับ เล่มนี้ แต่ ผม อ่านจากเล่มแปลครับ ,แต่ที่มาของการอ่านเล่มนี้ ผม มีที่มาจาก ฮารูกิ มูราคามิ ศาสดาหนังสือของ ผม ครับ
.
.
อ่านแล้วเครียดและกดดันครับ แต่ทุกสิ่งล้วนตั้งอยู่บนความสุขครับ อ่านจบแล้วก็ถอนหายใจ เห็นใจ วินสตัน ครับ คิดว่าหากเป็นเราจะทำเยี่ยงไร -
.
ปล. ผม มีรีวิว เล่มนี้ไว้ที่บล็อคเหมือนกันนะครับ ลองแวะไปแลกเปลี่ยนกันนะครับ


โดย: i.am.Victor วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:10:00:30 น.  

 
ตอบ นายสารพัด

ฉันชอบคำคอบของคุณ ที่ตอบคุณ Moonoi
แต่คำตอบข้างล่างถัดมา ดูเหมือนการให้ จะถูกมองอยู่เพียงด้านเดียว...ผลประโยชน์...

การให้มีหลายรูปแบบโดยมีความจริงใจเป็นองค์ประกอบสำคัญ ซึ่งผู้รับเองสามารถรับรู้ได้ และก่อให้เกิดการยอมรับตามมา

เพียงรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปากของผู้รับ เท่านั้นก็สุขใจแล้วสำหรับผู้ให้บางคน


โดย: ผ่านมา ผ่านไป... IP: 203.159.94.10, 203.159.12.200 วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:12:26:47 น.  

 
ถ้าคนเรามองทุกอย่าง คือ ความว่าง (ตามธรรมะ หรือ ธรรมชาติ)
ไม่มีตัวเรา หรือ ของเรา
เราจะทำทุกอย่างไปตามหน้าที่ ไม่มีเพื่อตัวเรา หรือ ของเรา
เพราะทุกอย่างในโลกนี้คือ ความว่าง ......


โดย: โลกจะเป็นสุข เพราะ อนัตตา IP: 125.27.234.2 วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:17:29:19 น.  

 
ไม่ค่อยเข้าใจคำตอบที่สองของพี่ป่านสักเท่าไหร่

เคยมีคนบอกว่า ...
ถ้าเราทำประโยชน์ให้คนอื่น สิ่งที่จะได้ทันทีก็คือ"ความสุข"ที่ได้จากการให้
และถ้าหลังจากนั้นจะมีผลตอบแทนอย่างอื่นกลับมา มันก็คงทำให้เรามี"ความสุข"ที่ได้จากการรับ

ความสุขจากการรับถือเป็นกำไร
แต่แค่ความสุขที่ได้จากการให้ก็ทำให้เราสุขใจ จนลืมเก็งกำไรแล้วครับ


โดย: มีน IP: 61.90.73.37 วันที่: 11 มกราคม 2553 เวลา:21:59:15 น.  

 
ครับ ประเด็นเรื่องความสุขจากการให้ นี่ผมเข้าใจในสิ่งที่มีนคิดครับ (ตอนนี้อาจคุยออกจากประเด็นของรีวิวหนังสือเล่มนี้ไปหน่อย)


โดย: นายสารพัด IP: 124.38.68.212 วันที่: 12 มกราคม 2553 เวลา:20:39:15 น.  

 
ยังไม่ได้อ่านครับ
แต่ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว
ขอบคุณที่มาเล่าให้ฟังนะครับ
ต้องไปหามาอ่านสักที


โดย: กลับมาแล้วเหรอ เก่งมาก ๆ เลย วันที่: 17 มกราคม 2553 เวลา:5:07:26 น.  

 
ตอนเรียน ethic อาจารย์ให้การบ้าน ประมาณว่า "จงอธิบายความดีที่เราคิดว่าดี กับความดีที่เป็นจริงตามธรรมชาติ" ตอนนั้นโง่มากเลย ไม่รู้จัก ความแตกต่างระหว่าง subjective กับ objective

แต่ตอนนี้พอจะเข้าใจว่า 'ความจริง ความงาม ความดี' เป็น objective

ส่วน ความสุข ที่กล่าวมาทั้งหมดมันเป็น subjective -ขึ้นอยู่ที่คนตีความว่ะ


โดย: nutch IP: 115.67.166.157 วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:20:23:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นายสารพัด
Location :
Nagoya Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




โอ้ว จ๊อด มันยอดมาก
Friends' blogs
[Add นายสารพัด's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.