เมียงมองเมียนมาร์ ผ่าน Man-Ba-Le ( มัณฑะเลย์ พุกาม อินเล ) ตอนที่ 1/2
พม่า หรือเมียนมาร์ หลังทยอยเปิดประเทศ ก็เป็นอีกหนึ่งประเทศเพื่อนบ้านที่เที่ยวเองได้ง่ายๆ ไม่ต้องง้อทัวร์ โดยเฉพาะเมืองที่เปิดพร้อมให้ท่องเที่ยวแล้วแต่ละเมือง อย่างเช่นมัณฑะเลย์นั้นวีซ่าก็ไม่ต้องแล้ว สายการบินราคาประหยัดก็มีให้บริการบินตรงแล้ว ระยะเวลาบินกันชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึง คนไทยนิยมไปเที่ยวกันมากขึ้น ผมเองเพิ่งมีโอกาสได้มาคราวนี้ อ่านรีวิวมาเยอะก็ทำให้กล้าตัดสินใจมาเองในที่สุด และเมื่อมองดูไฟล์ทบินแล้ว นิ้วก็จิ้มไปที่มัณฑะเลย์ ชอบตั้งแต่ชื่อแล้ว ฟังดูดีมีเสน่ห์ เป็นจุดเริ่มต้นทำความรู้จักพม่า หรือเมียนมาร์ และไหนๆ แล้วก็พ่วงบาแกน หรือพุกาม กับทะเลสาบอินเลด้วยเสียเลย ด้วยทริปสั้นๆ 6 วัน 5 คืน เดินทางเมื่อปลายเมษาที่ผ่านมา กลับมาพร้อมข้อมูลอัพเดท บันทึกการเดินทาง และแผนที่พวงใหญ่มาฝากเช่นเดิม
เตรียมตัวก่อนไป - No visa - เตรียมเงินดอลล่าร์ไปแลกเงินจ๊าดที่นั่น ( บอกร้านแลกดอลล่าร์ว่าขอแบงค์สำหรับไปพม่า เขาจะจัดแบงค์ใหม่เอี่ยมไร้รอยพับให้ ) - อัตราแลกเปลี่่ยน 1 ดอลล่าร์สหรัฐ USD = 1350 จ๊าด Kyat (MMK) หรือ 1 บาท = 38.88 จ๊าด (เรท ณ วันที่ 20 พค. 2560) ดูลิงค์อัตราแลกเปลี่ยนได้ ที่นี่ - ปลั๊กไฟ ทุกโรงแรมที่ผมเข้าพักปลั๊กไฟแบบไทยเสียบได้หมด ไม่ต้องพกอแด๊ปเตอร์ รู้จักปลั๊กไฟพม่าที่ ลิงค์นี้ - เวลาพม่าช้ากว่าไทยครึ่งชั่วโมง ถ้าไทยเจ็ดโมงเช้า พม่าก็หกโมงครึ่ง - ประกันเดินทางเพื่อความอุ่นใจ ผมซื้อประกันของแอ๊กซ่า ลิงค์ประกัน - การจองตั๋วรถบัสวิ่งระหว่างเมือง ทุกโรงแรมที่ผมเข้าพักมีบริการช่วยจองตั๋วให้เราพร้อมกำชับบริษัทรถบัสให้มารับเราที่โรงแรมได้เลย และส่งเราที่โรงแรมปลายทางเช่นกัน สะดวกดีไม่ต้องวุ่นวายใจที่ขนส่ง หรือจะจองตั๋วบัสออนไลน์ก็ได้เช่นกัน ลองดูที่สองลิงค์นี้ - ทั้งมัณฑะเลย์ พุกาม อินเล มีสนามบินบินถึงระหว่างกันหมด ห่างไม่สะดวกนั่งบัสสามารถซื้อตั๋วบินโดยให้ทางที่พักต่อสายซื้อตั๋วให้ได้เช่นกัน - ภาษาในการสื่อสาร คนพม่าใช้ภาษาอังกฤษได้ดี เราไปฟุตฟิตฟอไฟกับเค้าได้เลยไม่ต้องท่องศัพท์พม่า
สิ่งที่ได้เรียนรู้จักพม่าทริปนี้ - ชาวเมียนมาร์ยิ้มง่าย อัธยาศัยดี ไม่ฉวยโอกาสกับนักท่องเที่ยว - สาวพม่าปะแป้งทานาคากันแทบทุกคน - วัยรุ่นพม่าเลือดไม่ร้อน ไม่ค่อยกินเหล้าสูบบุหรี่ และหลายๆ คนนิยมเคี้ยวหมาก - ชาวเมียนมาร์นิยมใส่ชุดประจำชาติมาก และชุดของสุภาพสตรีก็ยิ่งดูยิ่งสวย เซ็กซี่ เหมือนคู่แฝดคนละฝากับชุดอ๋าวหญ่ายของสาวเวียด - พม่าขับรถกันช้า ( อาจจะเพราะถนนที่จำกัดความเร็ว ) - ซิมเนทที่ใช้สัญญาณแรงตลอดทริปไม่มีปัญหา - เมืองมัณฑะเลย์ไฟดับง่าย ฝนตกฟ้าคะนองนิดเดียวเดี๋ยวก็ดับ - ชาวเมียนมาร์พร้อมใจกันประหยัดแอร์มาก ตั้งแต่แอร์ในสนามบิน แอร์ในรถบัสประจำทาง แม้แต่แอร์ในแท๊กซี่ที่เหมา พวกเค้าจะเปิดเพียงให้ไม่รู้สึกร้อนเท่านั้น - พม่าเป็นดินแดนที่มีเจดีย์จำนวนมาก มากมายมหาศาล จนน่าจะถือเป็นแชมป์โลกไปโดยไร้คู่แข่ง - เบียร์พม่าอร่อยและถูกกว่าเบียร์ไทย
- อาหารพม่าพอกินได้ ละม้ายไทย ต่างกันนิดหน่อย
เอาล่ะ พร้อมแล้วก็ปะปะ ไปกัน อ้อ ขอเรียกทริปนี้ว่า มองเมียนมาร์ผ่าน Man. Ba. Le. Day1 เพราะมีไฟล์ทบินตรง สู่มัณฑะเลย์ การตัดสินใจเสียทีที่จะไปสัมผัสพม่าครั้งแรกจึงเริ่มขึ้น ทางก็แค่พันโล บินก็แค่ชั่วโมงกับอีกเศษของชั่วโมง ไฟล์ทบินก็มีทุกวัน วันหนึ่งก็ตั้งสองรอบ วีซ่าก็ไม่ต้องขอ ทัวร์ก็ไม่ต้องง้อ ค่าเครื่องก็ไม่ได้แพงอย่างที่คิด เที่ยวนี้ผมใช้บริการแอร์เอเชียที่มีไฟล์ทบินตรงสู่มัณฑะเลย์ทุกวัน ไปวันละสองรอบ กลับวันละสองรอบขาไปเลือกไฟล์ทเช้า ส่วนขากลับเลือกไฟล์ทเย็น วางแผนไฟล์ทบินไปกลับแบบนี้เพื่อให้ได้ยืดเวลาอยู่ในพม่าให้นานที่สุด ให้สมกับที่ได้วันหยุดมา
10:50 น. take off แผนการเที่ยวถูกกำหนดขึ้นในใจคร่าวๆ เอาตามคนมาเที่ยวมัณฯ เค้านิยมเที่ยวกัน และเค้าควบเมืองไหนบ้าง ก็เลยได้เส้นทางทริปตามนี้ มัณฑะเลย์ บาแกน (พุกาม) และทะเลสาบอินเล เส้นทางแบบสามเหลี่ยม กลายเป็นที่มาของชื่อทริปนี้ว่า เมียนมาร์ Man. Ba. Le. ระยะทางรวมจริงหลังจบทริปหนึ่งพันกิโลเศษ
อาหารบนไฟล์ทที่ผมซื้อไว้ล่วงหน้าเป็นเนื้อปลาแซลมอน กินเสร็จก็นั่งกรอกใบตม.(arrival card) กับใบที่ระบุว่ามีสิ่งของต้องสำแดงหรือไม่ (declaration form) ซึ่งก็ติ๊กถูกที่ green channel เพื่อบอกว่าไม่มีอะไรสำแดง แล้วก็ติ๊ก no no เพื่อบอกว่าไม่ได้นำเงินเข้าเกิน 10,000 ดอลล่าสหรัฐ และไม่มีพวกเครื่องอัญมณี เป็นอันเรียบร้อย
เที่ยงห้าสิบตามเวลาประเทศไทยเราก็มาถึง ณ ท่าอากาศยานนานาชาติมัณฑะเลย์ เวลาท้องถิ่นที่นี่ก็คือ เที่ยงยี่สิบ ได้เวลาปรับนาฬิกาถอยหลัง มองไปสุดขอบฟ้าช่างเวิ้งว้าง ว่างเปล่า ไม่มีตึกหรือสิ่งปลูกสร้างใดๆ ปรากฎ เนื่องจากความเจริญยังขยายมาไม่ถึงที่นี่ นับเป็นสนามบินที่ตั้งอยู่บนความเวิ้งว้างอย่างแท้จริง ตัวสนามบินตั้งอยู่นอกเมืองห่างใจกลางเมืองมัณฑะเลย์มาทางทิศใต้ราวๆ 35 กิโลเมตร สนามบินแห่งนี้จัดเป็นสนามบินที่ใหญ่และทันสมัยที่สุด 1 ใน 3 แห่งของเมียนมาร์
หลังจากผ่านตม. รอรับกระเป๋าแล้วก็ตรงออกมาด้านนอก ภายในอาคารผดส.ขาเข้า ก็จะเจอเคาว์เตอร์เซอร์วิสต่างๆ เรียงกันไปเป็นตับ มีทั้งร้านสะดวกซื้อเล็กๆ อยู่ซ้ายสุด ร้านจำหน่ายซิมเนทสองร้าน ร้านแลกเงินสองร้าน ร้านขายตั๋วรถบัสเข้าเมืองกรณีไม่ต้องการออกไปเรียกแท็กซี่ก็ซื้อตั๋วตรงนี้ได้เลย ราคาจะถูกกว่าแท๊กซี่พอควร ดูเหมือนตารางเวลาออกรถจะทุกครึ่งชั่วโมง เราซื้อตั๋วบัสไม่ทันรถเพิ่งออก ไม่อยากนั่งรอเลยออกไปเรียกแท๊กซี่ อันเนื่องมาจากมัวแต่ต่อคิวแลกเงินและซื้อซิม
เลือกซิม ในส่วนของซิมนั้นเราเลือกร้านนี้ OOREDOO ผมเลือกแพ๊ค 1.5 GB อายุใช้งาน 1 อาทิตย์ ราคา 2500 Ks + ค่าซิมอีก 1500 Ks เป็นทั้งหมด 4,000 Ks เนทที่ได้มาเหลือๆ ครับ อยู่ 6 วันใช้ไม่หมด ราคานี้ถูกกว่าอีกร้านนึงซึ่งห่างกันพอสมควร ดูรายละเอียดแพ๊คอื่นได้ท้ายรูปนี้แต่ว่าร้านนี้รับเฉพาะเงินจ๊าดนะครับ (ส่วนอีกร้านที่สีฟ้าๆนั่นผมไม่รู้ว่ารับเฉพาะเงินจ๊าดเหมือนกันหรือเปล่า ดังนั้นให้ตรงไปแลกเงินก่อนครับจะได้ไม่เสียเวลาจนตีตั๋วรถบัสเข้าเมืองไม่ทันเหมือนเราน้องสาวคนสวยคนนี้จะเป็นเพื่อนร่วมทริปผมไปตลอดทาง ชักชวนมาเพราะว่างตรงกัน
ที่ด้านออกมานอกอาคารผดส.ขาเข้า ก็จะเจอเหล่าแท๊กซี่ทันที เรทราคาไม่ต้องต่อครับ ตามป้ายเลย เข้าเมืองมีทั้งแบบแชร์ที่นั่งคือครบ 7 คนออก คิดคนละ 4,000 Ks หรือ 3 USD ถ้าไม่อยากรอจนเต็มก็เหมาจ่ายเหมาได้ในราคา 20,000 Ks ต่อคัน อีกแบบหนึ่งคือแบบเหมาคันเล็กหน่อย เป็นเก๋งซาลูน นั่งได้ 3 คน ราคาเหมาคันๆ ละ 15,000 Ks หรือ 12 USD ที่นี่เราเจอนักท่องเที่ยวไทยสองคนกำลังจะเรียกแท๊กซี่อยู่พอดี 2+2 รวมกันเป็นสี่ ก็เลยแชร์แท๊กซี่กันแบบแรก คือไม่ต้องรถครบ 7 คน หารกันไปเลย 20,000 Ks ออกคนละ 4,000 แต่ได้เก๋งเล็กซาลูนแทนนะครับ ไม่ใช่รถ 7 ที่นั่ง ซึ่งราคาน่าจะเป็น 15,000 Ks เหมาคัน ก็ไม่ว่ากันครับ ราคานี้ก็ถือว่าโอเคแล้ว ส่งถึงโรงแรม ส่วนใครจะต่อรองให้พาทัวร์เลยก็ได้ครับ ราคาที่ผมอ่านๆ มาจากรีวิวส่วนใหญ่คือเหมาทัวร์ครึ่งวัน พาทัวร์สถานที่ต่างๆ ในมัณฑะเลย์ แล้วตกค่ำก็พาไปส่งโรงแรมหรือท่ารถเพื่อเดินทางต่อไปเมืองอื่นเช่น พุกาม หรืออินเล ราคาจะอยู่ที่ 55,000 Ks
ในแผนที่จะเห็นว่าเส้นทางจากสนามบินเข้าเมืองจะผ่านเมืองอังวะ สะพานไม้อูเบ็ง แห่งเมืองอมรปุระ ถ้าคุณตกลงเหมารถเที่ยวทันทีที่ออกจากสนามบิน สองที่นี้อาจเป็นตัวเลือกให้อยู่ในแผนเที่ยววันแรกไปได้ สำหรับมัณฑะเลย์นั้นสถานที่นิยมชม Sunset จะมีอยู่ด้วยกันสองที่ มัณฑะเลย์ ฮิลล์ กับสะพานไม้อูเบ็ง
จากสนามบิน สู่ ตัวเมืองมัณฑะเลย์ บ่ายครึ่งเราถึงได้ฤกษ์ออกจากสนามบิน ใช้เวลาไป 40 นาที กับระยะทาง 38 กิโลก็ถึงที่พัก ที่พักเราถึงก่อนเพื่อนร่วมทางที่ร่วมแชร์แท๊กซี่ ดังนั้นเราจึงลงก่อน แท๊กซี่ก็ตระเวนส่งที่เหลือต่อไป และนี่คือ 79 Living Hotel จองผ่าน agoda มา ราคาห้องละ 611 บาทต่อคืน จองไว้สองห้อง นอนกันคนละห้องนะครัช อันนี้ดูเรทติ้งอันดับหนึ่งใน tripadvisor ตอนหาข้อมูล ได้คะแนนดีทั้งด้านความประทับใจในการบริการ ใกล้ตลาด และทำเลกลางเมือง และมี free WiFi ด้วย เข้ามาติดต่อก็ปรากฎว่าจริงตามนั้น พนง.เซอร์วิสมายด์สูงมาก ตั้งแต่คนเปิดประตู พนง.ต้อนรับ ยันคนทำความสะอาดห้องเลย แนะนำครับ
วิวแถวโรงแรมรับกุญแจแล้วก็กดลิฟท์ขึ้นมาโยนกระเป๋าเข้าห้องก่อน ดีลแท๊กซี่ของโรงแรมไว้แล้้วนัดไว้อีกครึ่งชั่วโมงเริ่มเที่ยว วิวหน้ารร. ถนนสาย 79 ที่มาของชื่อโรงแรม ดีนะไม่ไปพักบนถนน 69 ไม่งั้นไม่กล้าจอง! ตัวรร.ตั้งอยู่ใกล้ๆ สถานีรถไฟมัณฑะเลย์พอดี ตึกสีฟ้าขาวนั่นถนนลาดชันนั่นคือทางขึ้นสถานี
ภายในห้อง เตียงใหญ่นอนสบาย เฟอร์มีมนต์ขลังเรโทรดี ราคาเมื่อเทียบกับสภาพห้องที่เห็นแล้วถือโอเคเลย ว่าไปโรงแรมที่เมืองมัณฑะเลย์นี้ราคายังย่อมเยาว์อยู่มาก
และโรงแรมที่พักก็มีอยู่มาก ภาพแสดงโรงแรมและราคาในย่าน Central Mandalay
เริ่มเที่ยว บ่ายสามกว่าๆ เราก็ออกเที่ยว คนขับซึ่งก็เป็นไกด์ในตัว แท๊กซี่ของโรงแรม ทริปนี้ผมได้แท๊กซี่สองคน คนนี้ชื่อนายเย่ อีกคนชื่อนายโย่วได้ที่พุกาม นายเย่กะนายโย่ว แหม่ ชื่อคล้องกันซะ ผมก็บอกนายเย่ว่าอยากไปไหนและสิ้นสุดที่ไหน นายเย่ก็ขับพาไปตามเส้นทางสีฟ้าๆ ในแผนที่ แล้วไปจบที่มัณฑะเลย์ ฮิลล์เพื่อรอชมตะวันตกดิน เราข้ามพระราชวังมัณฑะเลย์ไป เนื่องจากดูเวลาแล้วไม่พอ พุ่งตรงไปวิหารชเวนันดอว์เป็นแห่งแรก
สำหรับเรทราคาค่าเหมาแท๊กซี่เที่ยวของทางโรงแรมเป็นตามนี้
มัณฑะเลย์ round day trip - มัณฑะเลย์ด้านเหนือ 7 ที่ พระราชวัง, ชเวนันดอว์, อทูมาชิ, กุโสดอว์, Sandamuni Pagoda, Kyauktawgyi Pagoda และมัณฑะเลย์ ฮิลล์ 35,000 Ks - มัณฑะเลย์ด้านใต้ 5 ที่ ชเวอินบิน, มหามัยมุนี, Marble Carving, Tapastary work and wood carving และ Gold Leaf making 35,000 Ks
มัณฑะเลย์รอบนอก - 3 เมืองเก่า round day trip เมืองสะกาย, กรุงอังวะ และอมรปุระ ( ชมอาทิตย์ตก ที่สะพานไม้อูเบ็ง ) 40,000 Ks - 4 เมืองเก่า round day trip มิงกุน, สะกาย, อังวะ, อมรปุระ 55,000 Ks
โปรแกรมชมแค่อาทิตย์ขึ้นหรือตก ที่มัณฑะเลย์ ฮิลล์ 18,000 Ks โปรแกรมชมแค่อาทิตย์ขึ้นหรือตก ที่สะพานไม้อูเบ็ง 18,000 Ks
ชั่วอึดใจเดียวเราก็มาถึงที่แรก วิหารชเวนันดอว์ ห่างรร. แค่ 6 โล นายเย่ลงมาพาตรงไปซื้อบัตร ใครที่ต้องการเที่ยว 5 ที่นี้ - พระราชวังมัณฑะเลย์
- วิหารชเวนันดอว์
- วัดอทูมาชิ
- วัดกุโสดอว์
- วัดSandamuni
ต้องซื้อบัตรทุกคน ซื้อหนเดียวที่ไหนก็ได้ ใช้ได้ 5 วัน เข้าได้ที่ละครั้ง จากนั้นนายเย่ก็ทำการนัดแนะ ว่าเที่ยวเองนะ เที่ยวเสร็จตรงออกมาตรงนี้ตรงนั้นนะ จะจอดรถรออยู่ ว่าแล้วก็เลยต้องถ่ายทะเบียนรถไว้หน่อยกันหารถไม่เจอ น้องไอซ์ก็ได้ทีสิครับตรงรี่ไปขอถ่ายกะไกด์นายเย่ทันที ดูยิ้มเข้าสิ หมั่นไส้ 555 ทั้งทริปไม่มีถ่ายคู่กะเราเล้ย ใช่ซี่เราไม่หล่อ อิอิ จ่ายค่าบัตรกันไปคนละ 10000 Ks
จุดเที่ยวแรก วิหารชเวนันดอว์ Shwenandaw Monastery วิหารสร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง แล้วหุ้มด้วยทองคำอีกที แต่ปัจจุบันทองด้านนอกลอกหมดแล้ว แต่ด้านในยังงามอร่ามทองนี่เป็น the must see แห่งแรกเลยที่ผมตั้งใจจะมาให้เห็นกับตา แต่ว่ามายามบ่ายแบบนี้มุมแสงจะแยงตาหน่อยใครอยากได้รูปสวยตามแสงให้มาเช้านะครับถือเป็นวัดที่สวยงามมากๆ โชว์ฝีมืองานแกะสลักไม้ของช่างพม่า วัดนี้สร้างขึ้นปีค.ศ. 1878 หรือ 139 ปีมาแล้ว ย้อนไปเมื่อคราวสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองมัณฑะเลย์โดนถล่มด้วยระเบิดอย่างหนัก พระราชวังถูกถล่มยับ สิ้นสุดยุคราชวงศ์ไปกับราชธานีแห่งสุดท้ายของพม่า (นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมตัดโปรแกรมพระราชวังออกไปก่อนด้วย เนื่องจากเวลาไม่พอและรู้ว่าพระราชวังปัจจุบันคือสร้างขึ้นใหม่เกือบทั้งหมดทดแทนที่ถูกระเบิดเสียหายไป) เป็นโชคดีมากที่วัดหรือวิหารชเวนันดอว์แห่งนี้รอดพ้นจากระเบิดคราวนั้น
ที่นี่ยังมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า Golden Palace Monastery หรือแปลเป็นไทยเพราะๆ ก็พระราชมณเฑียรทอง
พระภิกษุจีวรสีแดงคล้ำ
ทุกวันในพม่าต้องถอดรองเท้าเข้า บางวัดอาจใส่ถุงหิ้วเข้าไปได้ บางวัดห้ามหิ้วเข้า
ยอดสถาปัตยกรรมงานแกะสลักไม้ วิหารชเวนันดอว์ ทั้งที่รู้ว่าเวลาเที่ยววันนี้มีน้อย เมื่อเทียบกับที่ที่ตั้งใจจะแวะเที่ยวยังมีอีกเยอะ แต่แวะที่แรกก็อดไม่ได้ที่จะค่อยๆ เดินมองมุมงามไปเรื่อยๆ เวลาสำหรับเที่ยวที่อื่นก็ยิ่งงวดลง
งานประติมากรรมนูนต่ำและนูนสูงบนบานประตูลวดลายและรูปแกะสลักแต่ละบานแทบไม่มีซ้ำ
หนูน้อยชาวเมียนมาร์
ยืนเทียบสเกลกับขนาดของวิหารหน่อย ผนังวิหารทุกด้านสวยมาก
ภายในวิหารที่ยังคงสีทองคำอยู่ เทียบกับด้านนอกที่หลุดลอกเหลือเพียงเนื้อไม้สักทอง
เดินเที่ยวเข้ามาชมด้านในบ้าง
ไม่ได้พกขาตั้งกล้องเข้ามา ภาพเลยสั่นๆ หน่อย นี่ประคองวางกับพื้นแล้ว ในนี้แสงค่อนข้างน้อย รูปนี้ f 8 speed 2.5 sec กลั้นหายใจเต็มปอด
แม่ค้านั่งขายของที่ระลึกอยู่นอกรั้วหน้าชเวนันดอว์
จุดเที่ยวที่ 2 วัดอทูมาชิ Atumashi Kyaugdawgyi
อยู่ติดๆ กับชเวนันดอว์เลย เดินไม่กี่ก้าวถึง นายเย่ออกรถยังไม่ใส่ไม่ถึงเกียร์ 3 ก็เบรคแล้ว เก่าแก่กว่าชเวนันดอว์ สร้างขึ้นก่อนยี่สิบเอ็ดปี ความสำคัญก็คือเป็นที่เก็บรักษาพระไตรปิฏกของหลวง นี่สวยแปลกแตกต่างไปจากชเวนันดอว์เลยนะเนี่ย ชเวนันดอว์เป็นไม้ ที่นี่เป็นปูน คำว่า Atumashi แปลว่า ความงดงามอันไร้ที่ติ
ตะกี๊ที่แรกไม่ได้แบกขาตั้งมา ที่ที่สองนี่เลยแบกติดตัวมาด้วย เดินเข้าไปภายในอทูมาชิกว้างๆ โล่งๆ แต่ไม่มีอะไรจูงใจให้ถ่าย ไหนๆ แบกมาแล้วเลยตั้งกล้องถ่ายตัวเองซะหน่อย
ซ้าย: เด็กหนุ่มน้อยชาวเมียนมาร์เดินตามพ่อเข้ามาเที่ยว เห็นกล้องที่ผมกำลังตั้งรีโมทอยู่ ก็เลยมาเล่นกับกล้อง อ่ะ มามา แอ๊คค้างไว้นั่นเลยลุงจะขอถ่ายหน่อย ขวา: อากาศร้อน แวะอุดหนุนเครื่องดื่มเย็นๆ สักป๋องกะแม่ค้าสาวน้อยที่ช่วยคุณแม่ขายเครื่องดื่มอยู่ข้างรั้ววัดอะทูมาชิ
สาวๆ วัยรุ่นวัยใสชาวเมียนมาร์ สองพวงแก้มปะแป้งทานาคา
จุดเที่ยวที่ 3 วัดกุโสดอว์ Kuthodaw Pagoda
tho ออกเสียงเป็นโส ผมละงงจริงๆ โสก็โส นายเย่พาโฉบมาวัดนี้อีกวัดก่อนจะบึ่งขึ้นเขาวัดกุโสดอว์เป็นวัดที่เก็บพระไตริฎก 84,000 พระธรรมขันธ์ลงบนหินอ่อนกว่า 729 แผ่น ถือเป็นวัดที่มีพระไตรปิฎกเล่มใหญ่ที่สุดในโลก สร้างขึ้นในปีเดียวกันกับอทูมาชิ คือปี ค.ศ. 1857 หรือ พ.ศ. 2400ภาพนี้คือทางเข้าที่สวยงาม
หนุ่มสาวเดินเล่นกันภายในวัด
น้องแมววัดวิวภายในบริเวณวัด
ตัวเจดีย์กุโสดอว์ ที่อยู่ตรงกลางสุดของวัด มีชาวเมียนมาร์นั่งสวดมนต์ภาวนาอยู่ทุกมุม
ต้นไม้ใหญ่ข้างเจดีย์แผ่กิ่งก้านสาขาลำเขื่องจนต้องค่ำด้วยเสา เสาไม้ที่ค้ำลงลักปิดทองสวยดี
แผนที่แสดงจุดที่เราแวะเที่ยวได้ทั้งหมดของ day1 สี่แห่งเท่านั้น เรียงลำดับตามนี้
- 1 วิหารชเวนันดอว์ - 2 วัดอทูมาชิ - 3 วัดกุโสดอว์ - Sandamuni Pagoda แวะไม่ทัน - และ 4 มัณฑะเลย์ ฮิลล์ กำลังจะแวะเป็นจุดต่อไป
จุดเที่ยวที่ 4 มัณฑะเลย์ ฮิลล์ Mandalay Hill
ขณะนี้เราอยู่บนมัณฑะเลย์ ฮิลล์แล้ว นี่คือภาพทางเดินขึ้นมา แต่เราขับรถขึ้นมากันนะฮะ ขี้เกียจเดิน ทางเดินเท้าขึ้้นมานี่มีหลายทาง จากด้านทิศใต้สองทาง เหนือหนึ่งทาง และจากฟากตะวันตกอีกหนึ่งทาง
ซื้อบัตรเพื่อที่จะขึ้นไปภายในวัดชูตองพญา วัดที่สวยที่สุดและอยู่บนยอดสุดของเขามัณฑะเลย์ค่าบัตรคนละ 1,000 Ks.
มัณฑะเลย์ ฮิลล์ จุดหมายสุดท้ายของวัน จุดที่หมายมั่นจะมานั่งรอชมแสงสุดท้าย โดยเก็บสะพานไม้อูเบ็งไว้เป็นจุดชมตะวันในวันถัดไป มาก่อนเวลาดวงอาทิตย์ตกครึ่งชั่วโมง ดูเวลาทำการบ้านมาอย่างดี แต่แล้วก็หงายเงิบ เมฆขอบฟ้าเดือนเมษา เยอะซะจนดวงตะวันลับกลีบเมฆหายไปตั้งแต่ก้าวแรกที่เราก้าวเข้ามา กร่อย
ข้างบนนี้สวยดี ลมโกรก เย็นสบาย คนขึ้นมาชมวิวกันหนาตา จะถ่ายภาพเลี่ยงคนต้องหามุมพอสมควร ท่ามกลางเส้นสายลายวิจิตรศิลป์อันงดงามของ Su Taung Pyae Pagoda
สักพักเมื่อตะวันลับไปแล้ว ฟ้าเริ่มเปลี่ยนสี เส้นสายลายวิจิตรศิลป์อันงดงามของ Su Taung Pyae Pagoda ก็เริ่มมีไฟประดับเปิดขึ้น
นั่งรับลมเย็นๆ ไป อาบบรรยากาศก่อนฟ้ามืด
ที่บน Su Taung Pyae นี้ผมถือโอกาสจะลองปล่อยโดรนที่เพิ่งถอยมา ว่าจะมาลองบินวนรอบๆ และเก็บภาพมุมสูง แต่พอกางใบเตรียม taking off จนท.พนง. บนนี้ก็รีบวิ่งมาร้องห้ามไม่อนุญาตให้บิน ก็เลยชวดไปอย่างน่าเสียดาย ความจริงก่อนเดินทางมาผมได้ลองอ่านกฏจาก เวปนี้ แล้ว และพยายามเมลติดต่อของใบ permit แต่อีเมล์ทางการพม่าที่ให้ไว้ตีกลับ เลยตัดสินใจเอาโดรนมาก่อน บินได้ไม่ได้ว่ากันทีหลังภาพนี้เป็นหอสูงที่ภายในคือลิฟท์สำหรับคนที่ไม่ต้องการเดินและไม่ได้ขับรถขึ้นมา
ระหว่างทางเดินกลับลงมาลานจอดรถ ผ่านวัดอีกวัดนึงอยู่ใต้ Su Taung Pyae นิดหน่อย แสงสุดท้ายน้ำเงินเข้มตัดกับเจดีย์สีทองสุกสว่างเลยเก็บภาพอีกภาพนึงก่อนเก็บขาตั้งกล้อง
นายเย่พากลับมาส่งถึงโรงแรม เป็นอันสิ้นสุดทริปวันแรก จ่ายค่าทริปที่เคาว์เตอร์รร. เป็นเงินทั้งหมด 25,000 Ks แทนที่จะเป็น 35,000 Ks เนื่องจากรายการของเรานั้นไม่เต็มลิสเก็บของไว้ในห้องเสร็จก็ว่าจะชวนกันไปเดินเล่นตลาด หาของกิน อยู่ไม่อยู่ฝนห่าใหญ่ก็เทลงมา เลยผูกปิ่นโตดินเนอร์ในห้องอาหารรร.ไปเลยสำหรับมื้อแรกในมัณฑะเลย์ ฝนตกหนัก ลมแรง และไฟในเมืองก็ดับ พนง.รร. บอกว่าที่เมืองนี้ฝนตกไฟดับเป็นเรื่องปกติ ยังดีว่าสักพักไฟฟ้าสำรองของทางรร.ก็ทำงาน
จบ Day1 ไปอย่างได้เที่ยว 4 ที่แบบไม่เหนื่อยไม่เร่งรีบเกินไป แม้จะเก็บไม่ได้หมดอย่างที่ตั้งใจไว้ในแพลน
Day2 Good morning Mandalay
เช้าวันใหม่อากาศแจ่มใส มองออกไปนอกหน้าต่างห้องพักบนชั้น 4 79 Living Hotel บนถนนสาย 79th ถนนสายเล็กๆ ริมแนวรถไฟ มองเห็นมัณฑะเลย์ ฮิลล์อยู่ลิบๆ ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมนี้ไประยะทางขีดเส้นตรงได้ 4 กิโลเมตร ถ้าขับรถไปก็ 8 โล
เมื่อเช้ามืดว่าจะแบกขาตั้งกล้องไปกางถ่ายแสงทไวไลท์เช้าๆ มุมรอบนอกกำแพงพระราชวัง ระยะทางมันเดินไปไม่ไกลนักหรอก ไปกลับกิโลครึ่ง แต่มืดๆ แบบนี้บนถนนที่ดูเหมือนซอยเปลี่ยวๆ แบบถนนสาย 79th หน้ารร.แบบนี้ บ่องตงๆ ว่าสะพรึงอยู่เหมือนกัน เพราะกว่าจะเดินทะลุถนนใหญ่ได้ต้องเดินฝ่าไป 600 เมตร กลัวเจอมิจฉาชีพที่ยังไม่หลับนอนกันเดี๋ยวงานกร่อย อันที่จริงเช้าวันแรกของนักท่องเที่ยวไทยแทบทุกคนที่ผมอ่านรีวิวมาคือจะต้องตื่นตั้งแต่ตีสามกว่าๆ เพื่อไปสถานที่ที่เป็นบุญยิ่งนักหากได้ไปสักครั้ง นั่นคือไปชมพิธีล้างพระพักตร์องค์พระมหามัยมุนี 1 ใน 5 มหาบูชาสถานของชาวเมียนมาร์ ที่จะมีขึ้นทุกวันเวลาตีสี่ ที่วัดมหามัยมุนี แต่รายการนี้ผมขอบายครับ ตื่นไม่ค่อยไหว
ข้อดีของทำเลถนนสาย 79th ข้อนึงก็คือข้างหนึ่งของมันเป็นแนวรางรถไฟซึ่งบังตาไปด้วยสีเขียวๆ สบายตาของแนวต้นไม้ใหญ่ และถ้าเดินเลี้ยวไปถนนเส้นถัดไปนิดเดียว สาย 80th ก็จะเป็นแหล่งเจริญ ย่านของกินของช้อป
ได้เวลาเก็บอุปกรณ์ เตรียมตัวมองเมียนมาร์วันที่สอง แพลนวันนี้ถูกกำหนดขึ้นคร่าวๆ ว่าจะเก็บสี่เมืองบริวารรอบๆ นอกเมืองมัณฑะเลย์ ไล่ตั้งแต่ -เมืองมิงกุน ( Mingun )-เมืองสะกาย ( Sagaing )-กรุงอังวะ ( Innwa )-และเมืองอมรปุระ ( Amarapura )ตั้งใจว่าจะล่องเรือบนแม่น้ำอิรวดีทวนน้ำขึ้นไปหามิงกุน แต่แล้วพอเสนอแผนให้แก่นายเย่ ก็ถูกค้านตกไปทันที ว่าเป็นไปได้ยากที่จะรวบครบทุกที่หากเลือกไปกลับมิงกุนด้วยวิธีล่องเรือ ต้องตัดมิงกุนทิ้ง เพราะเรือเที่ยวแรกคือ 9 โมงเช้า กว่าจะกลับมาก็เกือบบ่าย ไปอีกสามเมืองที่เหลือไม่น่าทัน ไม่ก็เลือกไปทางรถ แม้จะไกลหน่อยแต่เป็นไปได้มากกว่า
ปะ ไปกัน แปดโมงเช้าได้เวลาเดินทาง เราตัดสินใจตัดทางเรือเลือกทางรถ ท่าทริปเหมารถวันนี้ทั้งหมด มิงกุน สะกาย อังวะ อมรปุระ จบที่ชมตะวันตกดินที่สะพานอูเบ็ง 55,000 Ks กินข้าวชาวเสร็จลงมาข้างล่างรร. ก็เจอนายเย่มารอแล้ว
สะพานข้ามแม่น้ำอิรวดี Irrawaddy Bridge
ระยะทางจากในเมืองไปถึงมิงกุนเราขับไปตามเส้นสีฟ้านะครับ 40 กิโลเมตรโดยประมาณ จะเห็นว่าเส้นทางบังคับให้ต้องอ้อมวกออกจากเมืองมัณฑะเลย์ไปทางใต้ ผ่านเมืองอมรปุระ (ที่เราจะแวะกลับมาตอนเย็นที่สะพานอูเบ็ง) แล้วตัดข้ามแม่น้ำอิรวดีด้วยสะพานข้ามแม่น้ำ Irrawaddy Bridge ตรงนี้มีสะพาน 2 สะพานคู่ขนานกันอยู่ห่างๆ ด้านเหนือคือสะพานอิรวดี (บางคนเรียกสะพานสะกาย) ส่วนอีกสะพานด้านใต้คือสะพานอังวะ Innwa Bridge ครึ่งชั่วโมง หรือ 17 กิโล นายเย่ก็ขับพาเรามาถึงสะพานข้ามแม่น้ำอิรวดี โครงสร้างมันใหญ่โตอลังดี ทอดข้ามแม่น้ำอิรวดีตอนแคบๆ ที่โคตรกว้าง ตอนแรกว่าจะให้หยุดรถลงไปถ่าย แต่เปลี่ยนใจเมื่อรู้สึกตัวว่าได้ลั่นชัตเตอร์เก็บมุมที่ดีพอควรเข้าการ์ดแล้ว
แม่น้ำอิรวดี แม่น้ำสายนี้ยาววกว่า 2,210 กิโลเมตร ข้ามมาจากเหนือสุดของพม่าในมณฑลยูนนาน ไหลเป็นแม่น้ำสายหลักสุดของประเทศ ก่อนไปออกทะเลอันดามัน ยาวกว่าแม่น้ำเจ้าพระยา 6 เท่า ยาวเป็นครึ่งหนึ่งของความยาวแม่น้ำโขง
เรื่องความกว้างมหึมาไม่ต้องพูดถึง แค่ตรงหน้าเมืองมิงกุนก็กว้างตั้งครึ่งกิโลแล้ว บางตอนกว้างเกิน 4 กิโลเมตรก็มี เกาะแก่งมากมายเต็มสายน้ำ นี่ถ้าล่องเรือทวนน้ำขึ้นมาถึงมิงกุนก็ใช้ระยะทางเพียง 8 กิโลเมตรเท่านั้น ขาไปทวนน้ำขากลับตามน้ำ ทำเวลาไปกลับน่าจะราวๆ สองชั่วโมง ช่วงตอนของถนนที่หลังจากข้ามสะพานมา เส้นทางวกขึ้นเหนืออีกที วิ่งไปทางฝั่งซ้ายของอิรวดี ทางช่วงนี้ได้วิวแม่น้ำมุมสูง สวยและแลดูน่าครั่นคร้ามต่อความใหญ่โตของแม่น้ำอิรวดีมาก ในภาพคือเรือนักท่องเที่ยวที่แล่นมาจากเมืองมัณฑะเลย์
เกือบสองชั่วโมง! นายเย่จึงขับพาเรามาถึงมิงกุน เฮ้ย เอาเข้านี่ใช้เวลานั่งเรือไปกลับได้เลยนะ นานแท้กับระยะทางเพียง 40 โล นี่ขนาดออกก่อนเวลาเรือตั้งชั่วโมงยังมาถึงไล่ๆ กัน
เกวียนเทียมวัว สำหรับบริการนักท่องเที่ยวนำเที่ยวชมเมืองมิงกุน
ขนมข้าวโพดแผ่นชุดแป้งทอด หน้าตาคล้ายถั่วแผ่นบ้านเราแต่ใหญ่กว่า แป้งบางกว่าข้าวโพดชุบแป้งบ้านเรา อร่อยกว่า กรอบกว่า เลือกกินที่ทอดเสร็จใหม่ๆ นะครับ อร่อยกว่าเยอะ ขายอยู่ริมแม่น้ำ นางแบบเราเห็นเข้าก็ตรงไปอุดหนุนลองชิม
ข้าวโพดแผ่นในมือยังไม่หมดชีก็ช้อปผ้าโสร่งต่อละ ผ้าโสร่งพม่าเรียกว่า ลองยี ( longyi ) ลองยีของผู้ชายเรียกว่า ปะโซ ( Pasoe ) ส่วนของผู้หญิงจะเรียกว่า ทะเมง ( Htameing ) ถ้าจะเรียกรวมๆ ก็เรียกลองยีราคาแถวนี้เรียกมาให้ต่อไปครึ่งๆ เลย ผืนชมพูในภาพต่อได้มา 5,000 Ks หรือ 125 บาท ส่วนผืนดำๆ ที่แม่ค้าถือก็ราคาเท่ากัน ส่วนที่แขวนเรียงๆ อยู่บางผืนก็ถูกกว่า 2,000 Ks ก็มี แล้วแต่เนื้อผ้า เจ้านี้ก็ยังไม่ใช่เจ้าที่ถูกสุด หน้าเจดีย์มีถูกกว่า อ่ะ อุดหนุนเรียบโร้ยเที่ยวต่อได้สิบโมงฝ่าแล้วววว
แต่ว่าตอนนี้ผมนี้รำคาญพวกที่ล้อมหน้าล้อมหลังมาก คนที่หากินกับนักท่องเที่ยวที่นี่รู้จักนักท่องเที่ยวไทยอย่างดี เดินไปฝากรองเท้าก็ร้องถามแล้วว่า Thai people! แล้วก็เดินตามเป็นปลิงเลย พยายามเสนอขายของบูชาพระบ้าง เสนอเป็นมัคคุเทศก์บ้าง เดินตามแนะนำนั่นนี่ ปฏิเสธไปก็เท่านั้น แม่ก็ไม่ลดความพยายามในการเดินตามง่ายๆ ซึ่งตลอดทริป 6 วันก็หน้าเจดีย์มิงกุนนี้เท่านั้นล่ะครับที่จะรู้สึกโดนตามตื๊อ ที่อื่นไม่ใคร่จะเจอแล้ว
เสียค่าธรรมเนียมกันก่อนนะครับ คนละ 5,000 Ks
จุดเที่ยวที่ 5 เจดีย์มิงกุน Mingun Pagoda หรือ Mingun Pa Hto Daw Gyi
นี่คือเจดีย์ที่สร้างไม่เสร็จ เจดีย์ที่จะสูงใหญ่ที่สุดในโลกถ้าสร้างเสร็จ เจดีย์จักรพรรดิ์ถึงละ เจดีย์มิงกุน ซากอิฐที่มีความสูงถึง 50 เมตร นี่ขนาดแค่ฐานเจดีย์ ถ้าสร้างเสร็จเห็นว่าจะสูงถึง 152 เมตร
ผมมาเพื่อสิ่งนี้ บนนั้น บนยอดซากอิฐ ผมหวังจะมาเดินขึ้นไป ไปมองวิวแม่น้ำอิรวดีบนนั้น และไปชมเจดีย์องค์ขาวๆ ชินพิวเม่มุมสูง และเผื่อจะได้บินโดรนรอบๆ นี้ด้วย หลังจากผิดหวังจากมัณฑะเลย์ ฮิลล์เมื่อวาน แต่แล้ว ป้ายแดงๆ ปลายบันไดนั่นก็คือสุดเขตที่อนุญาตให้เดินขึ้นไปถึง ถัดจากนั้นไปคือห้ามเข้า อันเนื่องมาจากความเสียหายของเจดีย์มิงกุนคราวแผ่นดินไหวใหญ่เมื่อหลายปีก่อนนั่นเองครับ ที่ทำให้เกรงว่าขึ้นไปแล้วอาจเกิดอันตราย
ไหนๆ ก็ไม่ได้ขึ้นนะครับ ยืนเท่ๆ มุมข้างๆ นี้สักภาพก็ละกัน
ต้นไม้ใหญ่ ที่สวยแปลกตา ที่ลานจอดรถหน้าเจดีย์มิงกุนมีต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสวยมาก ร่มรื่น อันที่จริงมีต้นแปลกตาต้นนี้ยังมีให้เห็นอีกหลายต้นแถวนี้
จุดเที่ยวที่ 6 ระฆังมิงกุน Mingun Bell
ระฆังยักษ์ สร้างมาให้คู่บารมีกับเจดีย์ยักษ์ เจดีย์สร้างไม่เสร็จ แต่ระฆังเสร็จ สูง 3.7 เมตร เส้นรอบวง 10 เมตร หนัก 87 ตัน! ที่เห็นเพลาตันขนาบสองข้างนั่นคือเสาค้ำ
ภายในระฆัง ( มีคนมือบอนสลักชื่อเยอะไปหน่อย )
ต้นไม้ใหญ่สวยแปลกตาอีกต้นที่เหมือนกะต้นที่อยู่ลานจอดหน้าเจดีย์มิงกุน
แม่ค้าข้าวโพดต้มหน้าระฆังยักษ์
ไอศกรีมโคน สีโคนโหดไปนิด
นี่ก็ข้าวโพดฝัก ทูนหัวมาเร่ขาย ถ่ายไม่ทันตอนทูนอยู่บนหัว
จุดเที่ยวที่ 7 เจดีย์ชินพิวเม (เมี๊ยะเต็งดาน) Hsinbyume Pagoda ที่ถูกขนานนามว่า ทัชมาฮาลแห่งลุ่มน้ำอิรวดี
นี่เลยมุมโดรน คือเดินทางมามิงกุนเนี่ยอยากมาเห็นที่นี่มากกว่าเจดีย์ยักษ์อีก สร้างเมื่อพ.ศ.2359 เป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักที่สร้างโดยพระเจ้าบากะยีดอว์ หลานของพระเจ้าปดุงผู้สร้างเจดีย์ยักษ์ สร้างไว้เพื่อระลึกถึงพระมหาเทวีชินพิวเม มเหสีที่ถึงแก่พิราลัยก่อนวัยอันควร และผมก็ได้บินโดรนครั้งแรกที่นี่ ซื้อมาได้อาทิตย์เดียวซ้อมบินอยู่ที่บ้านไม่ถึงชั่วโมง ตื่นเต้นสะเปะสะปะ ตอน take off ถ้าแหงนหน้ามองตามไม่ทันก็ฟากโครมเข้ากะสายไฟฟ้าละ
เป็นเจดีย์ที่ออกแบบได้ขาวสวยเด่นเป็นเอกลักษณ์มาก ไม่มีคล้ายหรือซ้ำแบบที่ไหน คุ้มค่าที่ได้มาเห็นมาก แม้จะแลดูโทรมๆ ไปบ้าง สร้างด้วยหลักจักรวาล สร้างให้องค์เจดีย์เป็นศูนย์กลางจักรวาลอยู่ตรงกลางเปรียบเป็นยอดเขาพระสุเมรุ ที่เชื่อกันว่าคือแกนกลางจักรวาล แล้วก็สร้างล้อมรอบด้วยสิ่งต่างๆที่ออกแบบด้วยหลักว่าให้เป็นขุนเขาเป็นมหาสมุทรตามหลักไตรภูมิ
ดินแดนแห่งสีขาว
มาเที่ยวที่นี่ใส่สีสดๆไว้นะครับ อย่าใส่ขาวเด็ดขาดเดี๋ยวกลมกลืนจนมองไม่เห็น อิอิ
ยืนเท่ๆ ก่อนจากมิงกุน มุ่งหน้าย้อนทางเก่าไปต่อที่สะกายใกล้เที่ยงแล้ว
ออกจากมิงกุนมา 30 นาที ก็มาถึงเมืองสะกาย ระยะทางห่างมาเพียง 20 กิโลเมตร นายเย่ก็ผ่อนคันเร่งที่เร่งไม่ค่อยไวอยู่แล้วพาเลี้ยวมาเจอสิ่งนี้ หือ! คือไร ไม่อยู่ในโพย
จุดเที่ยวที่ 8 สถานศึกษาพุทธศาสนาระดับนานาชาติ Sitagu International Buddhist Academy
นายเย่พามาแวะชมเจดีย์สวยงามแปลกตาอีกแห่งที่อยู่ใจกลางพื้นที่
จากนั้นเราก็ขับรถขึ้นเขาสะกาย Sagaing Hill ( อ่านยังไงก็ไม่เป็นสะกาย ถ้าจะอ่านให้เป็นต้องไม่ออกเสียง ng ภาษาพม่าไม่ค่อยมีตัวสะอด เวลาทับศัพท์เป็นภาษาอังกฤษอักษรตัวท้ายๆ จึงมักเป็น silent letter )
จุดเที่ยวที่ 9 วัดอูมินตง U Min Thonze Caves
แปลเป็นไทยว่าวัด 30 ถ้ำ สร้างอยู่บนยอดเขาสะกาย อันเป็นส่วนปลายสุดยอดเทือกเขาสะกาย ที่ทอดตัวขนาบแม่น้ำอิรวดีฝั่งซ้าย ยาวตั้งแต่มิงกุนลงมาถึงตรงนี้ ตรงนี้ไม่ใช่จุดที่สูงที่สุดนะครับสูงจากระดับน้ำทะเลเพียงสองร้อยกว่าเมตร จุดสูงสุดนั้นประมาณ 400 เมตรอยู่ด้านหลังเจดีย์ยักษ์มิงกุนนั่นเอง
ชื่อ 30 ถ้ำ ก็คงมาจากลักษณะสถาปัตยกรรมเด่นของภาพที่เห็นนี่นะครับ คือจะเป็นประตูทางเข้าคล้ายถ้ำ 30 ช่องแบบนี้ และภายในก็มีองค์พระพุทธรูปประดิษฐานเรียงรายกันเป็นครึ่งวงกลมกว่า 45 องค์
แป้งทานาคา ที่อูมินตงก็เหมือนกับแทบทุกๆ วัดที่เชิงทางขึ้นจะเรียงรายไปด้วยร้านรวงขายของต่างๆ ระหว่างกลับลงมาเจอร้านขายไม้ทานาคา ก็เลยตรงเข้าไปอุดหนุนเสียหน่อย ตั้งใจจะซื้ออยู่แล้ว ครกในภาพไม่เกี่ยวนะครับ แต่ที่เกี่ยวคือที่คล้ายๆ ครก แต่ลักษณะเป็นแผ่นจานแบนๆ นั่นคือแทนฝนไม้ทานาคา ให้แม่ค้าสาธิตฝนๆ ดูเสียหน่อยว่าใช้งานยังไง เค้าว่ากันว่าสะกายเนี่ยแหละคือแหล่งของทานาคาแท้ งั้นก็ต้องซื้อที่นี่เลย
น้องไอซ์ได้ทานาคามาแล้ว ซื้อแบบเป็นท่อนไม้มาเลย จากนั้นก็สอยปิ่นปักผมมาอีกอันนึง
จุดเที่ยวที่ 10 วัดซุนโอปงงาซิน Soon U Ponya Shin Pagoda
ถัดลงมาทางใต้ของอูมินตงระยะทางกิโลเมตรเดียว บนอีกยอดเขาหนึ่งสูงไล่ๆ กันแต่สูงกว่าหน่อยนึง ตรงนี้เป็นที่ตั้งของวัดอีกวัดชื่อ Soon U Ponya Shin Pagoda มีเจดีย์ซุนโอปงงาซินที่สวยงามและมีพระพุทธรูปในโบสถ์ที่สวยงามอยู่ในวัดนี้ด้วย
วัดนี้เก็บค่าถ่ายภาพด้วยนะครับ for one camera 300 Ks. และ for one video camera 500 Ks
จ่ายเลยครับ อย่าลังเล ถูกกว่าทุกที่ที่มีเรียกเก็บเงินแล้ว คุ้มด้วย เพราะนอกจากวัดจะสวยทั้งภายในภายนอกแล้วรอบเจดีย์ยังเป็นจุดชมวิว
วิวแม่น้ำอิรวดีมองจากลานชมวิวกว้างขวางของวัดทาง ด้านทิศตะวันออกยาวเลยไปด้านทิศใต้มองเห็นแนวแม่น้ำอิรวดี และเห็นไกลถึงสะพานข้ามแม่น้ำอิรวดีทั้ง 2 สะพานที่อยู่คู่กันด้วย และที่เด็ดกว่านั้นคือฉากหน้าเป็นทุ่งทะเลเจดีย์น้อยๆ ผุดเป็นดอกเห็ดเป็นวิวที่สวยงามมาก
นอกจากนี้ด้านทิศตะวันตกก็ยังมองเห็นเจดีย์ที่อยู่กลาง Sitagu International Buddhist Academy ที่เราแวะไปก่อนขึ้นมาบนเขาสะกายนี้
แผนที่แสดงที่เที่ยวรอบเขาสะกาย กรุงอังวะ และสะพานไม้อูเบ็งแห่งทะเลสาบตองตะมาน จะเห็นว่าอยู่ใกล้ๆ กันหมด นี่จำใจทิ้งหนึ่งสถานที่ที่ไม่น่าทิ้งนั่นคือ เจดีย์นมนาง หรือเจดีย์กองมูดอว์ ซึ่งเป็นเจดีย์ทรงกลมแบบสิงหล สีทองสวย (เมื่อก่อนสีขาว) กลมเหมือนนมนางจนเป็นที่มาของชื่อ ซึ่งระยะทางห่างจาก ซุนโอปงงาซินไปเพียง 9.5 กิโล ไปกลับก็ 19 โล แต่เวลาเราไม่พอ! เพราะว่าตอนนี้บ่ายสามแล้ว ยังเหลืออีกสองจุดหมายปลายทางที่วางไว้ยังนั่นคืออีกสองราชธานีเก่า กรุงอังวะและอมรปุระที่ต้องไป
สะพานอังวะ Innwa Bridge สะพานข้ามแม่น้ำอิรวดี
เราใช้เวลาลงจากเขาสกายมา 2.5 กิโล คนละทางกับขาขึ้น ขับไปอีก 5 กิโลก็ข้ามฝั่งกลับไปอีกฟากแม่น้ำด้วยสะพานอังวะ สะพานนี้เป็นทั้งสะพานรถยนต์ข้ามและสะพานรถไฟ มองเห็นสะพานอิรวดีที่ใหญ่กว่า ขนานอยู่ใกล้ๆ ทางทิศเหนือ
ว่าจะไปนั่งรถม้าเที่ยวกรุงอังวะ แต่ข้าวเที่ยงยังไม่ตกถึงท้องเลยร้องบอกนายเย่พาแวะหาข้าวกินหน่อย นายเย่เลยลงสะพานปั๊บก็เลี้ยวรถเข้ามาในถนนสายเล็กๆ วิ่งมาจนทางตันก็เห็นว่ามีร้านอาหารซ่อนตัวอยู่ ทำเลไม่น่าจะตั้งร้านได้เลย แต่สังเกตเห็นแท๊กซี่จอดกันเยอะ ก็นั่งกินกันร้านนี้ครับ วิวดีทีเดียวเชียว ฝรั่งนั่งกันอยู่ก่อนแล้วหลายคนในร้านนี้
อาหารที่สั่งมากิน ส่วนใหญ่รสชาติก็กินได้ อร่อยคล้ายอาหารไทย แต่เมนูไข่เจียวออกมันมากไปหน่อย น้ำมันเยิ้มจนไม่กิน อาหารมาค่อนข้างช้า จนกว่าจะกินเสร็จกันก็สี่โมงครึ่ง ระหว่างกินก็เพิ่งรู้โดยนายเย่บอกว่าท้ายร้านเป็นท่าน้ำเล็กๆ มีเรือรับจ้างพายข้ามฟาก ฟากตรงข้ามก็คือกรุงอังวะนั่นเอง
ค่าเรือข้ามฟาก 1,200 Ks ส่วนค่านั่งรถม้าเที่ยวรอบกรุงอังวะ 4,000 Ks
ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง คำนวณเวลาแล้วกลัวว่าจะไปสะพานอูเบ็งชมพระอาทิตย์ตกไม่ทันเลยตัดกรุงอังวะไป
การจราจรติดขัดนิดหน่อย เนื่องจากเจอวัวฝูงใหญ่ถูกไล่ต้อนปิดซอยอยู่พักนึง รอร่วมสิบนาทีกว่าจะพ้นทาง ระหว่างรอก็ทำไรล่ะ พรอทเทรดสิครับรออะไร
จุดเที่ยวที่ 11 ทะเลสาบตองตะมาน และสะพานไม้อูเบ็ง Taungthaman Lake and U Bein Bridge จุดยอมนิยมชมวิวทั้ง Sunrise และ Sunset
และแล้วก็มาถึง จุดรอชมตะวันตกยอดฮิตอันดับหนึ่งของมัณฑะเลย์ หากจากที่เรานั่งกินข้าวริมกรุงอังวะมา 8 โลเอง แหม่ รู้งี้นั่งม้าซะก็ดี นึกว่าไกล ห่างจะกลางเมืองมัณฑะเลย์ก็แค่สิบโลเช่นกัน ถือว่าใกล้ๆ ห้าโมงเศษเอง อีทีนี้ก็เวลาเหลือเยอะเลย
สะพานไม้อูเบ็ง มุมมองจากฟากฟ้า ไหนๆ เวลาก็เหลือเยอะแล้ว จัดการลองบินโดรนซะเลย ไฟล์ทที่สอง take off ทีเดียว หวือ หายไปในอากาศ มองไม่เห็นตัวลำทันที ได้แต่มองผ่านหน้าจอควบคุม สะพานไม้อูเบ็งมุมมองจากฟากฟ้า
บินหวือเดียวก็ต้องเอาเครื่องลงเพราะสัญญาณร้องบอก full memory โถ!
พรอทเทรดเล่น นั่งรับลมเล่นไปเพลินๆ รอตะวันตก
ชมวิวไปเรื่อยเฉื่อย
เดินไปถึงกลางสะพานมีศาลาในศาลามีขายของกินก็เลยซื้อกินรองท้อง
เหลือบไปมองตะวันอีกทีแดงแล้ว ตายแล้ว ทันมั้ย ต้องตั้งกล้องข้างล่างสะพาน!
ตรงศาลามีบันไดลงจากสะพานไป ซึ่งจะเป็นเกาะกลางทะเลสาบ เลยก้าวฉับๆ ลงมกางตั้งกล้อง แต่จับภาพตะวันไม่ทัน เพราะพอลงมาถึงตรงนี้ไข่แดงก็โดนสะพานบังแล้ว โถชีวิต
Sunset ณ สะพานไม้อูเบ็ง สิ้นสุด day 2
จบตอน 1/2 รอพบกับตอนหน้า พุกามและทะเลสาบอินเลครับ
Create Date : 24 พฤษภาคม 2560 |
|
5 comments |
Last Update : 24 พฤษภาคม 2560 14:23:06 น. |
Counter : 4860 Pageviews. |
|
|
|