เมื่อเท้ามันคัน อะไรมันๆ จะเกิดขึ้น
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2558
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
31 ธันวาคม 2558
 
All Blogs
 
Switzerland : the Land of My Smiles



สวัสดีครับ ก่อนเริ่มปีใหม่ 2016 หยุดหลายวัน มีเวลามานั่งเขียนเล่าทริปที่เพิ่งไปกลับมาพร้อมความประทับใจและอาการหวัด ระหว่างนอนพักรักษาหวัดอยู่บ้าน ขอใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ เขียนบล็อกเล่าประสบการณ์เที่ยวประเทศในฝันของผม และน่าจะของใครหลายคนด้วย สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศในฝันเพราะผมเป็นคนที่คลั่งไคล้หลงไหลในวิวสวยๆ มากกว่าอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ 

ตั้งชื่อบล็อกว่า สวิตเซอร์แลนด์ เดอะแลนด์ออฟมายสไมล์ นี่คืออะไรหลายอย่างที่ได้เห็นได้ทำในทริปนี้ทำให้ผมยิ้มด้วยความสุขได้แทบจะตลอดเวลา พูดง่ายๆ คือ ฟินนั่นเอง แต่ไม่ได้หมายความว่าคนสวิสยิ้มง่ายแบบคนไทยหรืออะไรนะครับ ยังบอกไม่ได้จริงๆ เพราะมีโอกาสได้ปฏิสัมพันธ์กับคนท้องถิ่นน้อยมาก แต่ถ้าจะให้เดาคงไม่เป็นมิตรเท่าคนทางอิตาลี เห็นสาวๆ สวยๆ จะเข้ามาเจ๊าะแจ๊ะทันที ถ้าการเจ๊าะแจ๊ะคือการสร้างมิตร หนุ่มอิตาเลียนสร้างมิตรเก่งทีเดียว

ผมออกเดินทางจากโรมไปสวิต (ขอเขียนถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์สั้นๆ ด้วยคำว่า สวิต ตามการสะกดที่ถูกต้องนะครับ) ด้วยสายการบินโลว์คอสต์สายหนึ่งของยุโรป ซึ่งตอนแรกจองได้ไม่ถึง 200 ยูโร แต่ดันลืมจ่ายเงิน มารู้ตัวอีกทีขึ้นไป 200 กว่ายูโรแล้ว แต่ยังรับได้กับการเดินทางในช่วงเทศกาลคริสต์มาสของฝรั่งแบบนี้ 

ข้อดีของการอยู่ในยุโรป ซึ่งประเทศต่างๆ ไม่ได้อยู่ห่างไกลกันมากและมีการแข่งขันแย่งลูกค้ากันระหว่างสายการบินราคาประหยัด คือ เราได้ไปไหนมาไหนด้วยเครื่องบินอย่างสะดวกและราคาไม่แพงเลย ยิ่งถ้าจองล่วงหน้าและไม่เลือกออพชั่นเสริมอะไรเยอะ ราคาดีจนเหลือเชื่อ หลายครั้งค่าตั๋วเครื่องบินถูกกว่าค่าแท็กซี่จากบ้านไปสนามบินเสียอีก



ผมบินสายการบิน Vueling เส้นทางโรม-เจนีวา ใช้เวลาชั่วโมง 45 นาที ไม่มีคอมเมนต์เรื่องเครื่องบินหรือบริการมากนัก เพราะบินแค่ช่วงสั้นๆ 


แม้ไม่มีอาหารเครื่องดื่มบริการฟรี แต่มีวิวเทือกเขาแอลป์ให้บริโภคอย่างเต็มอิ่ม 


สนามบินเจนีวาไม่ใหญ่โตอะไร แต่มีการบริหารจัดการที่ดี คนเดินทางผ่านไปมาทั้งท่องเที่ยว ทำงาน และประชุมจำนวนมาก จำได้ว่าตอนอยู่กรุงเทพฯ มีเพื่อนฝูงเดินทางมาประชุมที่เจนีวาอยู่เนืองๆ 


ตัวเมืองก็ไม่ใหญ่ สนามบินไม่ไกล ในเมืองไม่มีอะไร คนไม่พลุกพล่าน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะช่วงเทศกาลด้วยหรือเปล่า แต่อิตาลีที่ผมจากมา ช่วงเทศกาลนี่คนคึกคักกว่านี้มาก 


ความรู้สึกแรก เงียบสงบดี น่าอยู่ ดูปลอดภัย แต่จะเงียบไปหน่อยหรือเปล่า


เมืองเจนีวาเองก็ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวสำคัญอะไรหากเทียบกับเมืองยุโรปที่เป็นเป้าหมายการท่องเที่ยวอื่นๆ  


บ้านพักพี่ไผ่ ผู้เอื้อเฟื้อที่อยู่อาศัยตลอดระยะเวลาในสวิตเซอร์แลนด์ ต่างกับบ้านผมที่โรมโดยสิ้นเชิง ทุกอย่างใหม่ ทันสมัย ระบบอัตโนมัติแทบทั้งหมด 


บ้านผมที่โรมเป็นบ้านแต่งแบบคลาสสิก ฝาผนังเหลือง ภาพวาด ของประดับ ตู้เตียงล้วนเป็นของสะสมของเจ้าของบ้านทั้งสิ้น อยู่บ้านพี่ไผ่ได้อารมณ์เหมือนอยู่คอนโดหรูแถวใจกลางกรุงเทพฯ 


พวกเรามีเวลาเดินในเมืองประมาณครึ่งวัน โซนร้านแบรนด์เนม คนคึกคักขึ้นอีกหน่อย แต่ยังไม่ได้อารมณ์คริสต์มาสเท่าที่ควร น่าจะยังคึกคักกว่านี้ได้อีก 


ย่านช็อปปิ้งสำคัญอยู่ใกล้ Lake Geneva มีน้ำพุเป็นสัญลักษณ์ที่พวกเราไม่ได้แวะ


ถ่ายรูปสวยดีครับ พระอาทิตย์กำลังจะตกพอดี นึกถึงละครไทยหลายเรื่องที่มาถ่ายแถวนี้ 


จากการวางแผนล่วงหน้าเป็นอย่างดีของพี่ไผ่ วันรุ่งขึ้นเรากระโดดขึ้นรถไฟจากสถานีสนามบินเจนีวาเพื่อแวะเปลี่ยนเป็นรถไฟชมวิว Panorama ที่ติดโฆษณา Gstaad Mountain Rides ที่สถานี Montreux ใช้เวลาเดินทางทั้งหมดประมาณ 2.5 ชม. ค่าโดยสารเที่ยวละประมาณ 2,000 บาท 


ตลอดเวลาที่นั่งรถไฟชมวิว แม้จะมีนริสสากับพี่ไผ่เมาท์กันเป็น background music ผมก็ฟินกับวิวทิวทัศน์ตลอดเส้นทาง ถือกล้องถ่ายรูปไว้ในมือพร้อมยกตลอดเวลา


ที่เคยฝันอยากนั่งรถไฟลัดเลาะไปตามหุบเขาสวยๆ ผ่านทะเลสาบ เมืองหิมะ ทุ่งหญ้า ป่าไพร เป็นจริงแล้ววันนี้ 


แม้ปีนี้จะมีหิมะน้อยกว่าปกติ แต่ก็มีให้ถ่ายรูปได้ไม่เบื่อ 


แถมแดดที่ยังคงส่องสว่างยามสาย ทำให้วิวต้นไม้สีเขียวยิ่งเด่นชัด


วิวสวยๆ แบบนี้ พี่ไผ่กับนริสสาก็ยังคงเมาท์กันจนนาทีสุดท้าย 


มาถึงเมือง Gstaad เราเดินจากสถานีรถไฟไปโรงแรมที่จองไว้ชื่อ Posthotel Rossli เป็นโรงแรมที่ได้รับ review ดีจากเว็บไซต์จองที่พักชื่อดัง ราคาคืนละประมาณ 10,000 บาท


สถานที่ตั้งดีมาก อยู่ใจกลางเมืองเลย ติดถนน Promenade สำหรับเดินเล่นในเมือง แต่จริงๆ แล้ว เมืองมีขนาดเล็กมาก จะเลือกพักโรงแรมไหนก็คงไม่ไกลเกินไป


Receptionist ที่โรงแรม Posthotel บริการและให้ความช่วยเหลือพวกเราอย่างดีสมกับ review ที่ได้รับ 


มาถึงก็มีคำถามในใจว่าคนมาเมืองเล็กๆ ที่ล้อมรอบด้วยหุบเขาเมืองนี้ด้วยสาเหตุใด จะตั้งใจมาท่องเที่ยวอย่างพวกเราก็แลดูไม่น่าจะใช่นัก ไม่มีอะไรให้ดูขนาดนั้น


เมืองเล็กจริงไรจริง เดิน 10 นาทีก็คงรอบเมืองแล้ว 


อาหารมื้อแรกของเราที่เมืองนี้ เราฝากท้องที่ร้านที่มี review ดี ป้ายการันตีเพียบ ห่างจากโรงแรมไปประมาณ 20 ก้าว 


เป็นอาหารฝรั่งพอทานได้ พูดในฐานะคนที่ไม่อินกับอาหารตะวันตกนะครับ ประเภทที่หั่นสวยๆ ชิ้นเล็กๆ มีผักแปะมาหน่อย ราดซอสนิด สไตล์ haute cuisine คือ รับประทานได้หากไม่มีตัวเลือกอย่างอื่น แต่อร่อยถูกปากหรือเปล่าคงเป็นอีกเรื่อง  


เราทานกันคนละ 1 จาน หมดไปคนละประมาณ 3 พันบาท ลองคูณ 3 ดู


ทานกันอิ่มแล้ว พี่ไผ่ขอแยกไปพักผ่อนนอนย่อย ไม่คิดว่ามนุษย์โฮโมเซเปียนส์ยังต้องนอนย่อยอาหารอยู่อีก


ผมกับนริสสาที่อุตส่าห์บินมาไกลจากไคโรมีคำว่าคุ้มค่าตั๋วอยู่ในหัวตลอดเวลา จึงตัดสินใจเดินขึ้นเขาไปเรื่อยเปื่อย 


เดินสุ่มไปเรื่อย ทางไหนสวยก็ไปทางนั้น


ผ่านที่พักและบ้านสวยสไตล์ chalet หลายหลัง


เดินไปหลายกิโล จนเป็นที่พอใจ ได้รูป ได้เหนื่อยจนพอแล้ว จึงเดินกลับโรงแรม


หลายมุมทำให้นึกถึงหนังย้อนยุคที่ชอบออกมาฉายตอนคริสต์มาส

ที่เป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีหิมะปกคลุมขาวโพลน และมีควันพวยพุ่งออกมาจากปล่องควันอย่างนั้นเลย 


ได้รูปสวยๆ มาเพียบ กะว่าถึงโรงแรมจะรีบต่อไวไฟอัพเดทเฟสบุ๊คกันทันที


มาถึงห้องพัก สิ่งที่เห็น คือ พี่ไผ่นอนหลับปุ๋ย นี่คือสิ่งที่พี่ไผ่เลือกทำตลอดช่วงบ่ายที่ผ่านมาในเมืองที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของสวิตจริงหรือ? ความคุ้มค่าของพี่ไผ่ คือ การได้นอนหนุนหมอนขนสัตว์ปีกนุ่มๆ บนเตียงอุ่นๆ เท่านั้นหรือ? Smiley Smiley


คำว่าคุ้มค่าที่ยังวนเวียนในหัวผมและนริสสา ทำให้เราต้องรีเสิร์ชในคืนวันนั้นเพื่อหาที่ไปในเช้าวันถัดมาก่อนเดินทางกลับเจนีวา และผมได้เจอมันแล้ว


วันรุ่งขึ้นหลังจากทุกคนทานอาหารเช้าหลักสูตรเร่งรัด เรารีบเดินออกจากโรงแรมเพื่อให้มีเวลากับสิ่งที่ผมกำลังพาทุกคนไปให้มากที่สุด 


สถานีกระเช้าขึ้นไปยังยอดเขา Wispile นั่นเอง


เดินลุยอากาศหนาวในอุณหภูมิเลขตัวเดียวไปประมาณ 20 นาทีก็ถึงจุดขึ้นกระเช้า


วิวระหว่างทางก็ดีงามแล้ว 


จ่ายค่ากระเช้าคนละ 45 ฟรังก์สวิสหรือประมาณ 1,600 บาท


มีเจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลและตอบข้อสงสัยอย่างครบถ้วนก่อนปล่อยเราขึ้นกระเช้า 


เนื่องจากไม่มีใครในกลุ่มเล่นสกีมาก่อน เป้าหมายของการขึ้นกระเช้าวันนี้ คือ การเดินเล่น


กระเช้าเริ่มออกตัว วิวสูงขึ้นเรื่อยๆ เห็นเมือง Gstaad อยู่ลิบๆ 


ตอนแรกก็คุยกันเสียงดังเป็นปกติ


ยิ่งสูงกลับยิ่งคุยกันน้อยลง บางช่วงเสียวไปถึงลำไส้ใหญ่


จากต้นทางถึงสถานี Wispile ใช้เวลาประมาณ 20 นาที


ออกมาจากสถานีปุ๊บก็ทราบทันทีว่าในหน้าที่หิมะตกหนาขาวโพลน


จุดนี้เป็นจุดที่คนมาเล่นสกียอดนิยม ตอบคำถามที่ผมสงสัยว่าคนเขามาทำอะไรกันที่นี่ 


ปีนี้ถือว่ายังอุ่นอยู่ หิมะยังไม่หนาพอ มีเพียงเด็กๆ มาไถหิมะเล่นอยู่บ้าง แต่ยังไม่มีการแข่งขันกระโดดหรืออะไรแบบนั้น ซึ่งปกติเป็นเทศกาลสำคัญที่ทำให้คนรู้จัก Gstaad


ผู้เล่นสกีไม่เป็นอย่างพวกเราก็ได้แต่ถ่ายรูปเด็กๆ น่ารักไว้ดู


เช่นเคย พี่ไผ่เลือกที่จะนั่งรอพวกเราในร้านอาหารแม้รอบๆ จะมีบรรยากาศที่สวยงามชวนถ่ายรูปขนาดนี้ ปล่อยพี่ไผ่ไปอย่างสงบ


ผมกับนริสสาที่เริ่มหลงรักบรรยากาศรอบตัว ชวนกันเดินเล่น จริงๆ ก็กะว่าเดินไปไกลที่สุดเท่าที่จะไปกันได้ แม้รองเท้าที่ใส่กันมาจะไม่เหมาะกับการเดินหิมะ


สุดท้ายเดินออกมาจากร้านอาหารได้ไม่ไกลนักหรอกครับ อยากเดินไปไกลกว่านี้ แต่ด้วยสภาพหิมะและเส้นทางที่ยังไม่เป็นหน้าหนาวแบบสมบูรณ์ 100% เราต้องหยุดและหันหลังกลับเมื่อเจอป้ายห้ามเดินต่อ


แต่แค่นั้นก็เพียงพอให้กดกล้องถ่ายรูปได้เป็นร้อยๆ รูปแล้วครับ


จังหวะนี้ผมแทบจะเก็บกล้องมือถือซัมซุง S6 ของผมที่ว่าถ่ายรูปได้ดีที่สุดไปเลย


วิวจับใจแบบนี้ ต้องกล้องที่สร้างมาสำหรับถ่ายภาพเท่านั้น ผิดพลาดไปไม่มีโอกาสแก้ตัวแล้ว 


สิ่งที่เห็นอยู่รอบตัวสวยงามจริงๆ ครับ


ตบเข่าฉาด นี่แหละสวิตเซอร์แลนด์ที่ฉันตามหา


มุมนี้ วิวนี้ อากาศแบบนี้ สีแบบนี้


นั่งสงบนิ่งหลับตาพริ้มซึมซับความหมัศจรรย์ของธรรมชาติอยู่พักใหญ่ จนนริสสาเรียกให้ตื่นจากภวังค์ 


ถ้าลิเกหน่อย จะพูดว่า อยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้จัง 


แต่เมื่อนึกถึงรถไฟกลับเจนีวาเที่ยว 12.53 น. ที่รอเราอยู่ ก็ต้องลุกขึ้นเอามือปัดหิมะที่ติดกางเกง และมุ่งหน้าเดินกลับ


เดินกลับมาที่ร้านอาหารสั่งโอวัลตินหรือที่ชาวสวิสเรียกว่า Ovomaltine มาดื่มกันคนละแก้ว อากาศเย็นๆ แบบนี้รสชาติดีอย่างประหลาด


กลับลงมา ไปเอากระเป๋าที่โรงแรม แวะกินข้าวกลางวัน เดินไปสถานีรถไฟอย่างรวดเร็ว


ไม่นานรถไฟก็มา ตรงเวลาเป๊ะ วินัย ความสะอาด และการตรงต่อเวลา เป็นคุณสมบัติสำคัญอย่างหนึ่งของคน สัตว์ และสิ่งของที่นี่   


เราออกเร็วกว่าแผนเดิมของพี่ไผ่เพราะมีโปรแกรมแวะเมือง Lausanne ผุดขึ้นมาโดยการแนะนำแกมบังคับของผม


เพราะเห็นว่าเป็นทางผ่าน แถมยังเป็นเมืองพูดภาษาฝรั่งเศสที่สำคัญของสวิตเซอร์แลนด์ เป็นที่ตั้งของคณะกรรมการโอลิมปิกระหว่างประเทศ ที่สำคัญ เป็นเมืองที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่เมื่อยังทรงพระเยาว์เป็นเวลาเกือบ 20 ปี


คำนวณแล้วมีเวลาแวะประมาณ 2 ชม. ก่อนฟ้าจะมืด เราฝากกระเป๋าที่สถานีรถไฟโลซานน์ จำได้ว่าหยอดตู้ไป 9 ฟรังก์ แล้วรีบนั่งรถใต้ดินมุ่งไปใจกลางเมืองเลย


เมืองก็คึกคักใช้ได้ มีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่พอสมควร


พวกเรา (ยกเว้นพี่ไผ่ซึ่งขอรออยู่ที่ร้านหนังสือ) เดินขึ้นไปยังโบสถ์ Notre Dame of Lausanne ตั้งอยู่บนเนินเขาใจกลางเมือง


เดินรอบๆ ยังไม่ฟิน จ่ายเงินอีกคนละ 5 ฟรังก์ขึ้นไปชมวิวเมือง Lausanne จากยอดโบสถ์


ทางขึ้นช่วงที่ขลุกขลักที่สุดคงเป็นช่วงที่บันไดวนแคบและชัน แต่ดันมีคนเดินสวน ต้องเดินอย่างระวังและถ้อยทีถ้อยอาศัย 


วิวบนยอดโบสถ์คุ้มค่าข้อเข้าเสื่อม มองเห็นทะเลสาบจรดกับเทือกเขาแอลป์สวยงามมาก แม้ในบามบ่ายที่ต้องถ่ายภาพย้อนแสงแบบนี้ 


ถ้าเลือกได้ แนะนำให้ขึ้นมาชมวิวตอนเช้าจะเหมาะกว่า วิวฝั่งเลคกระทบแสงแดดไม่ควรพลาด


หลังจากนี้ก็นั่งรถไฟกลับกันแล้วครับ พี่ไผ่กับนริสสายังคงเมาท์มาราธอน ถึงเจนีวาเพลามืดเลยหาอะไรทำกินกันง่ายๆ ที่บ้านพี่ไผ่ ฝีมือพี่ไผ่บวกกับความหิวโซ ทำให้ผมเจริญอาหารฝุดๆ Smiley Smiley


นอนพักคืนสุดท้าย ตื่นมาใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์อีกหนึ่งวัน เพราะคงไม่ต่างอะไรถ้าเราจะออกไปเดินเล่นในเมืองซึ่งร้านรวงปิดหมด สู้อยู่บ้านทำงานช่าง แมนๆ เตะบอลกันครัช และเตรียมไปสนามบินดีกว่า


ขอบคุณพี่ไผ่สำหรับที่พักและความสนุกสนานบันเทิงตลอดระยะเวลาสั้นๆ ที่สวิต ประเทศอันแสนแพงสมกับเสียงลือเสียงเล่าอ้าง Smiley Smiley


และรถหรูคันนี้ที่พาไปไหนต่อไหน รวมทั้งมาส่งพวกเราถึงสนามบินก่อนเวลาเครื่องออกอย่างเฉียดฉิว เพราะ GPS ในรถอยากพาพวกเราไปชมทุ่งหญ้าหน้าหนาวก่อน Smiley Smiley












Create Date : 31 ธันวาคม 2558
Last Update : 24 มีนาคม 2561 17:45:32 น. 2 comments
Counter : 1614 Pageviews.

 
hny2016


โดย: Kavanich96 วันที่: 3 มกราคม 2559 เวลา:2:33:48 น.  

 
ตามไปเที่ยวด้วยคนนะคราบ


โดย: ทนายอ้วน วันที่: 3 มกราคม 2559 เวลา:17:14:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Thaisoloclub
Location :
Rome Italy

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 32 คน [?]




Friends' blogs
[Add Thaisoloclub's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.