เมื่อเท้ามันคัน อะไรมันๆ จะเกิดขึ้น
Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2555
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
26272829 
 
13 กุมภาพันธ์ 2555
 
All Blogs
 
จดความจำในวัยเด็ก หลังจากสามสิบปีผ่านไป




จุดประสงค์แรกเริ่มเดิมทีเลยที่ผมเริ่มเขียนบล็อกเมื่อหลายปีที่แล้ว ก็เพื่อบันทึกความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ก่อนที่จะลืมมันไป เพราะคนเรามีเรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นมากมายในชีวิต แค่วันหนึ่งก็มีตั้งไม่รู้กี่เรื่องแล้ว น่าจดจำแต่จำไม่ค่อยได้บ้าง อยากลืมแต่จำติดตาบ้าง

มนุษย์ก็เหมือนคอมพิวเตอร์ละครับ ไม่ใช่ว่ามีความจำไม่จำกัดซะที่ไหน คอมพิวเตอร์ยังดีเสียกว่า ความจำเต็มก็หาความจำใหม่มาใส่แทนได้

ที่ผ่านมาเรื่องที่ผมเขียนเตือนความจำตนเองส่วนใหญ่เป็นเรื่องการเดินทางไปไหนต่อไหน หนึ่งก็เพราะมีเหตุการณ์ประทับใจ น่าสนใจ น่าเอามาเล่าต่อ เพราะสิบปีหลังจากนี้ ก็คงจำได้ไม่หมดหรอกว่าเราไปไหนมาบ้างและเกิดอะไรขึ้นบ้าง สองก็เพราะพอเขียนๆ ไปมันกลับเป็นประโยชน์ต่อผู้คนที่กำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับที่นั้น ๆ ดีครับ ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่นบ้าง แม้ไม่มากมายอะไรแต่ก็ช่วยเพิ่มจำนวนบุญที่ผมไม่ค่อยได้ทำได้บ้าง อันนั้นด้วยเหตุการณ์พาไปนะ

มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะเขียนเก็บไว้อ่านยามที่อายุมากขึ้นหรือยามที่ความจำไม่ดีแล้ว แม้ตอนนี้ยังพอนึกออกแต่ก็ลืมๆ ไปหลายเรื่องแล้ว ไม่เขียนเก็บไว้มีหวังสูญหายไปกับกาลเวลาแน่ๆ ตั้งใจเขียนเก็บไว้อ่านคนเดียวนะครับ แต่ก็แชร์ไว้ล่ะ เผื่อใครอ่านแล้วจะเป็นแรงบันดาลใจให้บันทึกเก็บไว้บ้าง

ผมจะบันทึกความประทับใจในวัยเด็กของผม เอาตั้งแต่จำความได้เลยแล้วกัน มีหลายอย่างซึ่งก็ไม่ได้เป็นเหตุการณ์ที่น่าประทับใจอะไร แต่ผมอดยิ้มไม่ได้ทุกทีที่นึกถึง มันอาจจะไม่ประทับใจในความหมายทั่วไป แต่ประทับใจในความหมายของผม ของเด็กที่โตมาในครอบครัวที่มีฐานะไม่ดีนัก เป็นลูกคนเล็ก มีพี่ชายหนึ่งคนและมีพ่อแม่อย่างละคน

การแสดงความรักในครอบครัวเราไม่มีกอดจูบ หอมแก้มหรือบอกรักอะไรทำนองนั้น แม้ในปัจจุบันนี้ เวลาผมกลับบ้านก็ไม่ได้แสดงออกถึงความรักอย่างออกหน้าออกตากับเตี่ยและแม่ (เห็นผมเรียกเตี่ยคงทราบนะครับว่าผมมีเชื้ออิตาเลี่ยน) แต่เรารู้ดีว่าเราดีใจที่ได้เจอเขาและพวกเขาก็ดีใจที่ได้เจอเรา สรุป คือ บ้านนี้รักกันมากครับ แต่ไม่แสดงออก อย่างดีก็พากันออกไปทานข้าวนอกบ้าน คุยไร้สาระจิปาถะไปเรื่อย

เอาเป็นว่าบันทึกเรื่องจดความจำในวัยเด็กของผมเป็นการแสดงออกถึงความรักและความเคารพต่อบุพการีทางหนึ่งก็แล้วกัน ปัจจุบัน ท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ครับ แต่ร่างกายก็เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา ฟันเริ่มโยกคลอน ปวดโน่นปวดนี่ เหงาคิดถึงลูกหลานบ้าง แต่สภาพความเป็นอยู่ถือว่าสบายมากแล้ว

ความทรงจำเกี่ยวกับเตี่ย

- ก่อนอื่น ขอเกริ่นเรื่องเตี่ยนิดนึงครับว่าเตี่ยเป็นพ่อของผมแต่ติดเล่นการพนันมาตั้งแต่หนุ่มๆ เล่นชนิดที่ว่าหามรุ่งหามค่ำในบางครั้ง การพนันทุกชนิดเล่นเป็นหมด แต่ไม่เคยรวย มรสุมหนี้สินหลายครั้งในบ้านก็เกิดจากเตี่ยนี่ละครับ แต่เราก็ผ่านมาได้ ปัจจุบันนี้ เตี่ยเกษียณราชการนานแล้ว แต่ยังไม่หยุดเล่น ตอนนี้ไม่มีใครว่าอะไรแล้ว คงเป็นความสุขเพียงไม่กี่อย่างในชีวิตเตี่ยและคงขาดจากกันไม่ได้ แม้กระนั้น อย่างหนึ่งที่รับรู้ได้ตั้งแต่โตมา คือ ถึงตัวเองจะเกเรแค่ไหน ลูกห้ามเกเรเด็ดขาด ส่วนเรื่องเรียนกับความสุขของลูกไม่เคยปฏิเสธ ไม่มีก็ไปหาหยิบยืมมาให้จนได้ทุกทีไป

- ตอนเด็กๆ เราอยู่จังหวัดนครศรีฯ ซึ่งสมัยนั้นการได้ไปเที่ยวหาดใหญ่ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก นั่งรถไฟกันสี่ห้าชั่วโมงเลย เตี่ยพานั่งรถไฟไปเยี่ยมญาติและไปเที่ยวสวนน้ำพาสว่าง ซึ่งมีสไลเดอร์เหมือนกรุงเทพฯ ไปแล้วผมก็ไม่กล้าเล่นหรอกเพราะกลัว นั่งแช่น้ำดูคนอื่นเล่นไป ปัจจุบันห้างนี้ไม่น่าจะมีอยู่แล้วนะ

- ตอนเรียนโรงเรียนประถม ถ้าใครรุ่นราวคราวเดียวกับผมจะจำได้ว่ามีพวกบริษัทขายหนังสือมาขายหนังสือหน้าโรงเรียน โดยจะมาแจกรายชื่อหนังสือพร้อมแจ้งราคาก่อนล่วงหน้าสองสามวัน ผมจะเอารายชื่อยาวๆ นั้นไปให้เตี่ยทุกครั้ง และเตี่ยก็จะให้ซื้อหนังสือที่ผมชอบทุกครั้งไป หนังสือส่วนใหญ่ที่ผมซื้อตอนนั้นเป็นพวกความรู้ทั่วไป ที่สุดในโลก หนังสือสอนมายากล

- ทุกครั้งที่ไปรับผลการเรียนที่โรงเรียน เตี่ยจะพยายามขอยืมมอเตอร์ไซค์เพื่อนบ้านพาผมไปรับที่โรงเรียนและถ้าผลการเรียนดี จะแวะร้านเครื่องเขียนที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดในตอนนั้น ชื่อร้านพิทยาภัณฑ์ เตี่ยจะให้ผมซื้อเครื่องเขียนเป็นรางวัลเรียนดี เช่น ดินสอกดที่มีหัวเป็นรูปการ์ตูน ยางลบกลิ่นผลไม้ กล่องดินสอรูปยานอวกาศ ไม้บรรทัดม้วนได้ เป็นต้น

- ตอนประถม ผูกรถบัสที่ทำงานเตี่ยไปส่งที่โรงเรียนทุกวันและผมไปรอรถแต่เช้า จึงได้นั่งริมหน้าต่างเป็นประจำ จนมีเพื่อนหัวโจกอันพาลคนหนึ่งที่มาต่อคิวทีหลังแต่แย่งที่นั่งริมหน้าต่างผมตลอด ผมสู้เขาไม่ได้เลยไปบอกเตี่ย เตี่ยจึงไปจัดการเคลียร์ให้ หลังจากนั้นนั่งสบาย ไม่มีใครกวน

- มีครั้งหนึ่ง ผมอยู่ดีไม่ว่าดี นั่งดูทีวีอยู่ แมวที่เลี้ยงไว้ที่บ้านเดินผ่านมา เอาเท้าไปเตะปากมัน โดนฟันมันจิ้่มเข้านิดนึงจึงมีเลือดซึมออกมา เตี่ยผมตกใจและทำเป็นเรื่องใหญ่มาก วิ่งไปยืมรถเพื่อนบ้านมาขับพาผมไปส่งโรงพยาบาล พาเข้าไปหาหมอในห้องไอซียูเลย ผมตกใจเพราะความตกใจของเตี่ยเนี่ยแหละ

- ตอนอยู่ ป. 6 เป็นครั้งแรกที่ได้ยินคำว่าคอมพิวเตอร์เข้ามาในตัวจังหวัด จำได้ว่าวันนั้นเตี่ยยืมรถเพื่อนมารับถึงโรงเรียนและพาไปดูร้านตัวแทนจำหน่ายคอมพิวเตอร์เจ้าแรกในเมือง เป็นห้องแถวเล็กๆ อยู่ข้างโรงเรียน หน้าตาคอมพิวเตอร์ตอนนั้น ไม่รู้เรียกระบบปฏิบัติการอะไร เป็นจอเล็กๆ ตัวอักษรสีเขียว เวลาพิมพ์ดังติ๊ดๆ ถามคนขายก็ยังบอกได้ไม่ถนัดนักว่าใช้ทำอะไรได้ ยิ่งถามราคาซึ่งก็เป็นหมื่นในตอนนั้น ก็ยิ่งหมดปัญญา แต่เตี่ยคงอยากให้เห็นว่านี่คือคอมพิวเตอร์ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ของยุคนั้น

- ตอนนั้นรายการโต้วาทีของคุณกรรณิการ์ทางช่อง 9 มั้ง ดังมากๆ ใครๆ ก็รู้จักไปทั่วบ้านทั่วเมือง พวกอาจารย์จตุพล อาจารย์ผาณิต อาจารย์อภิชาติ ครั้งหนึ่งเขาเดินทางมาเปิดแสดงที่จังหวัด จำได้ว่าตั๋วแพงมาก แต่เตี่ยก็ไปหาซื้อมาให้ผมกับพี่ชายคนละใบ และยืมมอเตอร์ไซค์เพื่อนไปรับไปส่งเรียบร้อย

- มีครั้งหนึ่งตอน ป.5 ผมไม่ได้ทำงานฝีมือส่งหนึ่งชิ้น คือ ร้อยมาลัย ซึ่งผมทำไม่เป็นและตอนนั้นคุณน้าข้างบ้านซึ่งเป็นครูก็ไม่อยู่ช่วย อาจารย์ประจำชั้นมีหนังสือเรียกผู้ปกครองมาพบ จำได้ว่าเตี่ยมาถึงโรงเรียนทั้งลมทั้งฝนเลย หลังจากคุยกับอาจารย์เสร็จ เรียกผมออกไปนอกห้องและด่าผมตรงนั้นเลย ต่อหน้าเพื่อนในห้อง จำได้ว่าอายเพื่อนมาก
 
- งานประจำจังหวัดที่ดังที่สุดในตอนนั้นและตอนนี้ก็คงเหมือนเดิม คือ งานเดือนสิบ เตี่ยกับแม่จะต้องพาพวกเราไปเดินดูงานอย่างน้อยหนึ่งคืน จำได้ว่าเป็นอะไรที่ตั้งตารอและตื่นเต้นมากตอนเด็กๆ เพราะเตี่ยจะอนุญาตให้ซื้อของเล่นราคา 29 บาทมาตรฐานคนละ 1 ชิ้น และจะมีร้านรับถ่ายรูปที่มีฉากหลังเป็นภาพวิวทะเลหัวหินที่ถ่ายแล้วอีกสองวันค่อยมารับ เป็นภาพขาวดำคลาสสิกมาก

- วันหนึ่งเตี่ยพาผมกับพี่ชายเดินไปทางหลังบ้านพัก เดินไปไกลหลายกิโลจนเราเริ่มงงว่าจะพาไปไหนและเตี่ยก็ไม่ยอมบอกอะไรเลย พอไปถึงปรากฎว่ามันเป็นบ่อทรายที่เขาขุดทรายไปใช้และปล่อยให้น้ำท่วมตามธรรมชาติ เป็นแอ่งน้ำที่ใสน่าเล่นเป็นอย่างมาก พวกเราดีใจดำผุดดำว่ายเล่นน้ำอยู่เป็นชั่วโมงโดยมีเตี่ยคอยเฝ้าดูอยู่ห่างๆ หลังจากนั้น เราแอบปั่นจักรยานหนีไปเล่นเองหลายครั้ง
 
- เมื่อก่อนเตี่ยชอบไปเล่นเปตองที่สนามเปตองแห่งหนึ่งแถวบ้าน มีเพื่อนทหารเล่นกันมากมายทุกวัน ผมชอบไปเตร็ดเตร่อยู่แถวนั้น ไม่ใช่ว่าชอบเล่นหรืออะไรนะ แต่เพราะเขามีขนมขายและเตี่ยมักจะซื้อให้เรากินด้วย ด้วยความซนผมทำมือตัวเองติดอยู่ในซี่ระแนงไม้ไผ่ที่เขาทำเป็นโรงเรือนปลูกกล้วยไม้ เอาไม่ออกอยู่เป็นชั่วโมง คนเดินผ่านไปผ่านมาก็ไม่บอกเขาแค่หันไปยิ้มให้เพราะอายและกลัวโดนดุ จนกระทั่งเตี่ยเดินผ่านมาเข้าห้องน้ำ ผมจึงบอกเตี่ย เตี่ยเอามือดึงซี่ไม้ไผ่หักออกผมจึงเอามือออได้ และก็ไม่ได้โดนดุอะไร 
 
- เนื้อกระป๋องของทหาร อาหารขึ้นเหลาของพวกเรา เนื่องจากเตี่ยเป็นทหารวันดีคนดีเตี่ยก็จะเอาเนื้อกระป๋องของทหาร กระป๋องสั้นๆ สลากสีเขียวรูปทหารสามคนถ้าจำไม่ผิด กลิ่นแรงๆ มีรสกระเทียมและพริกไทย ซึ่งเตี่ยอาจได้รับแจกมาหรือใครให้มา ได้มาไม่บ่อยนัก แต่ทุกครั้งที่ได้มาพวกเราจะดีใจกันมาก ทั้งที่จะว่าไปแล้วรสชาติไม่ได้ดีอะไร แต่มันเป็นของแปลก ไม่มีทั่วไปในสมัยนั้น และเนื่องจากแม่ไม่ทานเนื้อและไม่ให้เอาเนื้อเข้าบ้าน การที่เตี่ยเอาเนื้อกระป๋องมาแอบไว้กินกับผมและพี่ชายจึงเป็นอะไรที่เลอค่าและน่าตื่นเต้นมาก

- เตี่ยจะเลี้ยงไก่ไว้ในพื้นที่หลังบ้าน ซึ่งเป็นพื้นที่แคบๆ แต่ไม่ได้เลี้ยงแบบปล่อย เลี้ยงแบบใส่กรงไม้ระแนงตีเอง ไก่โผล่ออกมาได้แต่หัวตอนมาจิกอาหารกิน ตอนเด็กๆ ผมไม่อยากเข้าไปหลังบ้านเลยเพราะเหม็นขี้ไก่มาก และกลัวไก่จิกทั้งๆ ที่มันอยู่ในกรง พอถึงช่วงตรุษจีนไก่เหล่านี้ก็หายไป และก็จะมีไก่เด็กชุดใหม่มาอยู่แทน 
 
 
ความทรงจำเกี่ยวกับแม่

- ขอเกริ่นเกี่ยวกับแม่ด้วยครับ แม่เป็นคนไม่มีความรู้ เป็นผู้หญิงในครอบครัวใหญ่สมัยก่อน เรียนได้แค่ ป.4 ก็ต้องออกมาช่วยงานที่บ้าน แต่แม่อ่านออกเขียนได้ปกติ แม่ยังเคยคุยโม้ว่าถ้าไม่ถูกออกจากโรงเรียนเสียก่อน ป่านนี้คงได้ทำงานดีๆ แล้ว เพราะแม่เรียนเก่งมากในชั้นเรียน ที่พวกเรารู้มาตลอด คือ แม่ทำงานหนัก เก็บเงินเก่ง เลี้ยงลูกด้วยไม้เรียว เกเรเป็นโดนฟาด จนผมอยู่ ม.4 แล้ว ยังโดนแม่ตีร้องไห้งอแงอยู่เลย เด็กสมัยนี้คงไม่รู้จักไม้เรียวแล้วมั้ง

- ตอนเด็กๆ แม่จะเป็นคนพาผมไปส่งที่รถบัสผูกของที่ทำงานเตี่ยตอนเช้าทุกวัน แล้วจะป้อนข้าวผมด้วยชามทัปเปอร์แวร์สีเหลืองที่ฝาเป็นสีขาวขุ่น กับข้าวส่วนใหญ่เป็นไข่เจียว พอรถมาก็จะเอาชามวางไว้ตรงขื่อของศาลาและเดินไปส่งผมที่รถ ไม่รู้ทำไมจำได้ติดตาเลย

- แม่ขายของหลายอย่าง ก่อนจำความได้แม่บอกเคยขายผ้าชิ้นแบบให้ผ่อนชำระ ต่อมาผมเริ่มจำความได้แล้ว ขายครีมออยออฟอูลานหนีภาษีเอามาจากหาดใหญ่และยาลูกกลอนแก้ริดสีดวงของคุณลุง ยาลูกกลอนนี้ผมคุ้นเคยเพราะต้องนั่งรถสองแถวไปรับของให้แม่ตั้งแต่เด็กๆ เลย นั่งรถสองสามต่อ แบกมาหนักมาก บางทีเจอคนที่นั่งรถสองแถวด้วยกัน เขาสงสารช่วยซื้อยาหรือให้เงินกินขนมบ้าง กลับมาถึงบ้านแม่ให้ค่าจ้างอีก 20 บาท ยาคุณลุงตอนนี้เป็นที่รู้จักมากแล้ว

- จินตนาการว่าเป็นเด็กที่ผูกรถไปโรงเรียนทุกวัน วันไหนแม่บอกว่าจะไปรับที่โรงเรียนเนี่ยดีใจมากๆ ก็ไม่รู้ทำไม ส่วนใหญ่แม่จะพาแวะทานข้าวในเมืองก่อนกลับบ้านมั้ง จำได้ว่าวันหนึ่งแม่บอกว่าจะไปรับ ผมตื่นเต้นรอทั้งวันเลย ข้าวกลางวันก็ทานไม่ลง

- ตอนเด็กๆ ผมจะตื่นกลางดึกจนเป็นนิสัย ประมาณเที่ยงคืนหรือตีหนึ่ง เป็นอยู่นานหลายปี ตื่นมาร้องหิวนม ทั้งๆ ที่่เลิกกินนมไปแล้ว แม่ก็จะลงไปชงโอวัลตินมาให้ดื่มหนึ่งแก้วหรือวันไหนโอวัลตินหมดก็เอาน้ำเปล่าขึ้นมาให้กินแทน แล้วก็หลับต่อได้ปกติ

- ตอนนั้นที่บ้านยังไม่มีทีวีดู ต้องไปเกาะหน้าต่างบ้านคนอื่นดูการ์ตูน ทีวีขาวดำด้วยนะสมัยนั้น วันหนึ่งพี่ชายกับผมไปเกาะดูบ้านเพื่อน เพื่อนมันทะเลาะกับพี่ชายปิดหน้าต่างไม่ให้ดูหนีบมือพี่ชายผมเจ็บร้องไห้กลับบ้านกันสองคน แม่เสียใจมาก วันรุ่งขึ้นไปซื้อทีวีสี 24 นิ้วยี่ห้อ National มาเลย เป็นทีวีสีเครื่องแรกในละแวกนั้น คราวนี้ใครๆ ก็มาดูทีวีบ้านผม

- ครั้งหนึ่งเพื่อนแม่ชวนไปกรุงเทพฯ บอกว่าไปเที่ยว แม่หายไปประมาณเกือบเดือน พวกเราก็ยังเล็ก ทิ้งไว้ให้อยู่กับเตี่ย ตอนนั้นร้องไห้หาแม่ทุกวัน หลังจากกลับมา แม่เล่าให้ฟังว่าเพื่อนแม่ไม่ได้ชวนไปเที่ยว แต่ให้ไปช่วยงานที่ร้านขายข้าวแกง จะกลับมาแม่ก็กลับไม่ถูก ไปไหนก็ไปไม่ถูกในกรุงเทพฯ เลยจำใจต้องอยู่จนกว่าเขาจะพากลับ แม่โกรธเพื่อนมากและคิดถึงพวกผม ร้องไห้ทุกวันเหมือนกัน

- ครั้งหนึ่งแม่เดินทางไปปาดังเบซาร์ชายแดนมาเลเซียกับรถของที่ทำงานเตี่ยจัดไป จำได้ว่ากลับมาซื้อขนมกับเครื่องใช้ไฟฟ้ามามากมาย ขนมที่จำได้ติดตา คือ เจลลี่ที่เป็นรสผลไม้ต่างๆ ใส่มาในถ้วยพลาสติกแพ็คละ 6 ถ้วย ที่จำได้คงเป็นเพราะความตื่นเต้นที่ได้เห็นขนมแปลกใหม่

- แม่พาเราสองคนไปเที่ยวเกาะสมุยกับพวกเพื่อนๆ แม่ที่เหมารถกันไป จำได้ว่าบนเรือเฟอร์รี่แม่เมาเรือหนักมาก อ้วกตลอดทางเลย แต่ใจนึงคงกลัวพวกเราซึ่งกำลังซนจะปีนป่ายแล้วตกเรือไป จึงยอมฝืนทนเดินตามเราตลอด
 
- สมัยประถมมีเสื้อนักเรียนจำกัดและเนื่องจากผมโตช้า จึงใส่เสื้อชุดเดิมอยู่หลายปี จะมีตัวออกงานอยู่ตัวเดียว ไว้ใส่เวลามีงานที่โรงเรียน ส่วนที่เหลือปกเสื้อขาดทุกตัว รวมทั้งชื่อที่ปักไว้สีจางหมดเพราะไฮเตอร์ จึงต้องคอยเอาปากกาเมจิกสีน้ำเงินแต้มตลอด วันไหนฝนตกใส่ เสื้อเลอะสีน้ำเงินเป็นทางเลย 
 
- ตอนอนุบาลไหนจำไม่ได้ โรงเรียนจัดงานเดินพาเหรดโดยให้เด็กอนุบาลแต่งตัวเป็นพ่อมดแม่มด ที่บ้านหาผ้าคลุมสีดำและหมวกให้ไม่ได้ ตอนแรกจะใช้ผ้าขาวม้าของเตี่ยแต่มันสกปรก แม่เลยเอาผ้าถุงคุณยายที่เป็นลายตาๆ มาให้คลุมไปแทน เป็นพ่อมดที่ดูประหลาดที่สุดในขบวนพาเหรด จำได้ว่าอายมาก เลิกงานแล้วทิ้งผ้าถุงไปเลย
 
- เนื่องจากแม่เคยเรียนตัดเย็บเสื้อผ้า ตอนเรียนวิชา กพอ. ในช่วงสอนทำอาหาร ผมจึงมีผ้าคลุมกันเปื้อนที่แม่ตัดเย็บให้และดูดีกว่าของคนอื่นใส่ จึงชอบวิชานี้มากเป็นพิเศษเพราะไม่มีใครมองเห็นเสื้อนักเรียนคอปกขาดหรือสีหมึกปักชื่อที่จางหาย  
 
- เล่นซนกับเพื่อนๆ ในบึงหน้าบ้าน โดนหลอดแก้วนิออนในบึงบาดที่ขายาวตั้งแต่ตาตุ่มยันเข่า เลือดออกเยอะมาก เพื่อนหามไปส่งไว้ที่บ้านแต่ไม่มีใครอยู่ นอนรอแม่กลับมาจนเลือดแห้ง แม่กลับมาตกใจมากถามว่าโดนอะไร ไม่กล้าบอกว่าโดนหลอดนีออนบาดเพราะฟังดูน่ากลัว เลยบอกว่าสังกะสีบาดแทน แม่มารู้ตอนหลังถามว่าถ้างูพิษกัดจะกล้าบอกมั้ย  
 
- มีเสื้อกันหนาวสีเขียวแปร๋นตัวหนึ่งที่แม่รักมาก เก็บรักษาเอาไว้อย่างดีเพราะไม่ค่อยได้ใช้ เนื่องจากปัจจุบันอากาศแถวบ้านมีแค่ร้อนกับฝนตก แม้กระดุมจะผลัดไปหลายชุดแล้วแต่แม่ก็ยังเพียรซ่อมและเก็บไว้อย่างดีในตู้เสื้อผ้า มันเป็นเพียงสิ่งของไม่กี่อย่างที่เตี่ยซึ่งเป็นคนไม่โรแมนติกเลยซื้อให้แม่สมัยแต่งงานกันใหม่ๆ แม่จึงมีความทรงจำที่ดี 
 
- แม่จะตื่นเช้ามาใส่บาตรทุกวันตั้งแต่ผมเริ่มจำความได้ ตอนนี้ก็ยังคงใส่บาตรอยู่ มีน้อยครั้งมากที่อยู่บ้านแล้วไม่ได้ใส่บาตร แม่ก็จะรู้สึกผิดทุกครั้งไป แม่มีเรื่องล้อผมเรื่องใส่บาตรหนึ่งเรื่อง บอกว่าครั้งหนึ่งตอนผมเด็กๆ คงไม่เกิน 5 ขวบ แม่เจียวไข่ใส่บาตร โดยมีผมนั่งเฝ้าตลอด แต่พอแม่เอาไข่ใส่บาตรและพระเดินออกไปเท่านั้นแหละ ผมร้องไห้โวยวายจะกินไข่พระให้ได้เลย แม่บอกว่าร้องลั่นว่า จะกินไข่พระ จะกินไข่พระ อยู่แบบนั้น พระที่เพิ่งเดินออกไปท่านคงเดินอมยิ้ม 
 
- แม่จะพูดเสมอว่าตัวเองเป็นคนเรียนเก่ง แม้จะมีโอกาสได้เรียนถึงแค่ ป.4 เห็นท่าจะจริง เพราะตอนเด็กๆ จำได้ว่าแม่รับหนังสือชีวิตจริงเป็นประจำ จนกองโตเท่าภูเขาเลากา แม่จะอ่านทุกหน้าทุกคอลัมน์และอ่านอยู่หลายปี เรียกว่าใช้เวลาว่าง ซึ่งมีค่อนข้างเยอะ เป็นประโยชน์มากๆ แม้ปัจจุบันนี้ การอ่านหนังสือก็ยังคงเป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่งของแม่   
 
- ตอนเรียนประถมเดินผ่านร้านแขกขายของที่ระลึกทุกวัน เขาขายตะเกียงอันเล็กราคา 65 บาท ซึ่งถือว่าแพงมากในตอนนั้นที่ลูก 3 เม็ดบาท เฝ้าเพียรพยายามมองทุกวัน เดินผ่านหรือนั่งรถผ่านก็จะแหงนมอง รู้ว่าไม่ใช่ของใช้ประโยชน์อะไรได้และคงไม่ได้ซื้อเพราะเป็นเด็กไม่มีเงิน จนวันนึงเดินผ่านกับแม่เลยลองบอกแม่ตรงๆ ว่าอยากได้ ไม่มีเหตุผลอื่น คิดว่าจะต้องโดนด่าแน่ๆ ปรากฏแม่พาเข้าไปซื้อในร้าน แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่เอา
 
- ตอนเด็กๆ เพราะเป็นคนใต้ อาหารที่แม่ปรุงหากเป็นแกงแล้วจะต้องมีรสชาติเผ็ดจัดเสมอ โตขึ้นอีกนิดอยากลองทานแกงเผ็ดๆ ที่ผู้ใหญ่เขากินกันบ้าง กินแต่อาหารจืดๆ ก็เบื่อ แม่เลยจัดให้ แกเอาปลาในแกงส้มเผ็ดล้ำของแกไปล้างน้ำแล้วเอามาให้เราผมกินดูครับ เราเรียกมันว่า ปลาเผ็ดล้างน้ำ แรกๆ ก็ยังเผ็ดอยู่ หลังๆ ก็ไม่ต้องล้างมาก จนวันหนึ่งจึงสำเร็จวิชาสามารถกินได้โดยไม่ต้องล้างน้ำและกลายเป็นคนติดกินเผ็ดตั้งแต่เด็กมาจนปัจจุบัน แม้ปัจจุบันทั้งแม้และผมจะเพลาทานเผ็ดลงบ้างแล้วเนื่องจากโรคกระเพาะซึ่งน่าจะเป็นโรคประจำครอบครัวมากกว่าประจำตัว แต่พอเห็นอาหารรสเผ็ดจัดจ้านจะต้องน้ำลายสอทุกทีไป

- ตอนเด็กๆ แม่ส่งไปเรียนเตรียมอนุบาลที่โรงเรียนอนุสรณ์ (ปัจจุบันไม่น่ามีอยู่แล้ว) เพราะคนข้างบ้านสอนอยู่ที่นั่น จำอะไรไม่ได้มากนัก เพราะเตรียมอนุบาลคงจะประมาณ 2-3 ขวบ จำได้แค่ว่ามีรถบัสรับส่งทุกวัน เพราะโรงเรียนอยู่ในเมือง ห่างจากบ้านประมาณ 7 กม. อยู่ดีๆ วันหนึ่งจำได้ลางๆ ว่ารถเสียหรือรถประสบอุบัติเหตุอะไรสักอย่าง แล้วพื้นตรงกลางรถก็มีรูกลมๆ เบ้อเร่อ ตอนนั้นกลัวตกไปในรูนั้นมาก  

- ที่บ้านไม่มีตู้เย็นใช้จนกระทั่ง ป.6 ตอนเป็นเด็กก็ทะโมนใช่ย่อย ไปวิ่งเล่นหลังเลิกเรียนกับพี่ชาย มีเหงื่อไคล สกปรกเลอะเทอะทุกวัน และก็จะหิวน้ำ ซึ่งถ้าวิ่งกลับไปที่บ้านก็ไม่มีน้ำเย็นกินแน่ๆ ผมกับพี่ชายก็จะแวะบ้านป้าวันที่ติดกันก่อน และเข้าไปดื่มน้ำที่ป้าวันกรอกใส่กล่องนมผงตราหมีสมัยก่อนที่เป็นกระป๋องอลูมิเนียม ซึ่งน้ำในตู้เย็นของป้าวันจะเย็นเจี๊ยบ ช่วยดับกระหายของพวกเราได้เป็นอย่างดี ก็จะทำให้พื้นบ้านป้าวัน รวมทั้งกระป๋องใส่น้ำดำเขลอะเลอะเปื้อนอยู่ทุกครั้งไป แต่ป้าวันก็ไม่เคยว่าอะไรพวกเราเลย จนโตมาป้าวันและพวกเราต่างก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่ครอบครัวเราก็ยังหาโอกาสขับรถไปเยี่ยมเยียนป้าวันอยู่เรื่อย  
 
 
***เท่าที่นึกได้ครับ จะมาเติมอีกเรื่อยๆ***


 



Create Date : 13 กุมภาพันธ์ 2555
Last Update : 3 เมษายน 2563 15:34:51 น. 4 comments
Counter : 4821 Pageviews.

 
ขออนุญาติแอบอ่านบันทึกนะคะ
ว่าจะไม่เม้นแล้วเชียวแต่อดสงสัยไม่ได้ แหะๆ

* (เห็นผมเรียกเตี่ยคงทราบนะครับว่าผมมีเชื้ออิตาเลี่ยน)
ที่จริงเป็นคนจีน แต่ที่เขียน เล่นมุขใช่มั้ยค๊ะ (ไม่เก็ทค่ะ--*)


โดย: แม่น้องลุกแก้ว (skyandsky ) วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:11:44:12 น.  

 
ครับใช่มุข คืออยากเป็นอิตาเลี่ยนแต่ตาตี่ไง


โดย: จขบ. IP: 41.81.219.14 วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:17:35:15 น.  

 
น่ารักอะกุ๊กไก่ อ่านแล้วน้ำตาจะไหล เธอพูดถึงสวนน้ำที่หาดใหญ่ ทำให้เราจำได้ว่าเราก็เคยไป เราก็ไม่ได้ลงเล่นน้ำ แต่จำได้ว่าได้กินไอติมที่โรยด้วยเม็ดสีๆ ตอนนั้นตื่นเต้นและดีใจที่สุด


โดย: ลูกปู IP: 118.173.65.121 วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:13:06:52 น.  

 
โอ๋ครับ คนเขียนๆ ไปก็น้ำตาจะไหล คิดถึงที่บ้านเหมือนกัน ยังมีความทรงจำตอนเด็กหลายอย่างเกี่ยวกับหาดใหญ่ ยังนึกไม่ออก


โดย: จขบ. IP: 41.212.103.41 วันที่: 5 มีนาคม 2555 เวลา:21:09:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Thaisoloclub
Location :
Rome Italy

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 32 คน [?]




Friends' blogs
[Add Thaisoloclub's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.