ที่ใดมีธรรมะ...ที่นั่นจะพบกับทางออกของชีวิต ^_^
Group Blog
 
<<
มีนาคม 2560
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
7 มีนาคม 2560
 
All Blogs
 
10. ทำสมาธิปลดกรรม



 

“ทำสมาธิปลดกรรม”

 

และรักษาโรคเวรโรคกรรม

 

                “ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า”  ผลบุญที่เกิด

 

จากการทำสมาธินั้นลดกรรมได้จริง  (ยกเว้นกรรม

 

หนักบางประเภทที่ไม่มีทางจะปลดกรรมลดกรรมได้)

 

ผลบุญที่เกิดจากการทำสมาธินั้นถือเป็นอีก

 

หนึ่งช่องทางในการติดต่อเข้าไปขออโหสิกรรม

 

จึงเรียกกันแบบให้เข้าใจง่ายๆ  ว่า  “สมาธิแก้กรรม”

 

                การทำสมาธินี้เป็นการกระทำอีกช่องทางหนึ่ง

 

ในกรณีที่เจ้ากรรมนายเวรที่มีชีวิต  เราไม่

 

สามารถติดต่อกับเขาได้  หรือในกรณีที่เขายัง

 

ไม่ยอมอโหสิกรรมให้เราต่อหน้าหรือลับหลัง

 

เป็นการส่งกระแสบุญไปให้กับจิตเขาโดยตรง

 

                และเป็นการทำสมาธิภาวนาสำหรับ

 

เจ้ากรรมนายเวรที่ไม่มีชีวิตเหลือเพียงดวงจิตเป็น

 

วิญญาณ  ซึ่งมีทางเดียวคือจิตต่อจิตเท่านั้น

 

การขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรนั้น  หลายท่าน

 

อาจจะเคยได้ยินว่า  เราทุกคนนั้นทำได้ด้วยตนเอง

 

และสามารถกระทำแทนผู้อื่นได้แต่ต้องเป็นคน

 

ในสายเลือดเดียวกัน  ทั้งบุพการีพ่อแม่  และพี่น้อง

 

ที่ใกล้ชิด

 

                แต่ที่สำคัญจะมาถึงจุดที่ขออโหสิกรรมนี้ได้

 

ตัวเราเองนั้นต้องมีฐานบุญที่ดีก่อน  ที่ต้อง

 

มาจากการสร้างบุญให้เป็นของตนเอง  ที่ถูกหลัก

 

ทาน  ศีล  และภาวนา  ซึ่งเป็นบันไดสามขั้นแห่งการ

 

สร้างบุญบารมี

 

                โดยต้องเริ่มจากบันไดขั้นที่หนึ่งคือ

 

การทำทาน  บันไดขั้นที่สองคือศีล  แล้วจึงจะมา

 

ถึงเรื่องของการทำสมาธิภาวนาที่เป็นบันไดขั้นที่สาม

 

ซึ่งอยากจะอธิบายให้เข้าใจกันง่ายๆ  ว่าการ

 

ทำสมาธินั้นจะอยู่ในขั้นตอนที่สาม  เป็นเรื่องของ

 

การภาวนานั่นเอง

 

                ก่อนที่เราจะทำสมาธิหรือภาวนาได้นั้น

 

ภายในใจของเราควรจะตั้งให้มั่น  ต้องดำรงตน

 

เป็นผู้ให้ก่อน  คือการทำทาน

 

                เพราะถ้าใจเราเป็นผู้ให้แล้ว  การที่เราจะทำ

 

อะไรต่อไปมันจะง่ายในทุกเรื่อง  ในมันเปิด

 

มันพร้อมแล้วที่จะไปขอโทษ  ทั้งเจตนา  ทั้งหนี้ที่เป็น

 

ทั้งต้นและดอกเบี้ย  ด้วยช่องทางและฐานบุญที่

 

ดีพร้อม

 

                และโดยเฉพาะในเรื่องของการทำสมาธิเพื่อ

 

รวมจิตเพื่อจะให้เดินทางไปขออโหสิกรรมต่อ

 

เจ้ากรรมนายเวรมันเป็นขั้นตอนที่สามแล้ว  อยากจะ

 

เปรียบเทียบว่าเหมือนเป็นบันได  3  ขั้นที่จะต้อง

 

ปีนขึ้นไปเพื่อให้ถึงจุดเป้าหมาย  เพื่อให้การขอ

 

อโหสิกรรมสำเร็จลงได้

 

                “ต้องบอกว่าไม่มีทางลัดโดยเด็ดขาด

 

ตั้งแต่เริ่มจากหนึ่งการทำทาน  สองคือ

 

รักษาศีล  จึงจะมาถึงขั้นที่สามคือการทำ

 

สมาธิภาวนาได้

 

                มีหลายคนไปทำโดยไม่รู้หลักวิชาถึงกับจิต

 

วิปลาสไป  เพราะไม่มีสองขั้นที่เป็นฐานบุญรองรับ

 

มาถึงก็จะก้าวมาทำขั้นสูงสุดคือสมาธิเลยซึ่ง

 

มันเป็นไปไม่ได้  รถที่วิ่งโดยไม่มีน้ำมันเป็น

 

เชื้อเพลิงส่งกำลังนั้น  มันจอดอยู่กับที่เฉยๆ

 

ขยับเขยื้อนไปไม่ได้  จิตที่ไม่มีฐานบุญเป็นกำลัง

 

ก็ส่งมันไปไหนไม่ได้ทั้งสิ้น

 

                ครูบาอาจารย์ท่านเตือนไว้เสมอว่า  เมื่อใน

 

ขณะที่เรานั่งสมาธินั้นเจ้ากรรมนายเวร  สัมภเวสี

 

ต่างๆ  วิญญาณเร่ร่อนพเนจรในภูมิพัก  เขาเห็น

 

ก็พยายามที่จะเข้าขัดขวางในบุญที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะ

 

ด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม"

 

                “ถ้าเราไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง

 

ไม่มีบุญเป็นฐานคอยปกป้องแล้ว  อาจจะ

 

ถึงขั้นสติแตกได้  เรื่องนี้ต้องระมัดระวัง

 

เป็นอย่างยิ่ง”

 

                อีกประการหนึ่งคนเราก็ยังมีหลายระดับ

 

จิตวิญญาณก็เช่นเดียวกันก็มีหลายๆ  อย่างด้วย

 

คนมีความชอบมีความพึงพอใจไม่เหมือนกัน

 

ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งได้อธิบายถึงเรื่อง

 

หลักการทำสมาธิในการไปขออโหสิกรรมต่อ

 

เจ้ากรรมนายเวรไว้ว่า

 

                “ควรทำทุกวันและทำได้ทั้งเช้า  กลางวัน

 

มืดค่ำแค่ไหนก็ทำได้  แต่ที่สำคัญก่อนที่

 

จะทำสมาธินั้น

 

                ไม่ว่าจะนั่ง  นอน  ยืนหรือเดินก็ตาม

 

ให้นึกถึงบุญกุศลที่เคยทำมาเท่าที่นึกได้

 

ทั้งหมดเสียก่อน

 

                วิธีการทำสมาธิอย่างง่ายๆ  ทำอย่างไร?”

 

                เริ่มต้นด้วยการนั่งขัดสมาธิตัวตรงแบบ

 

ไม่ต้องเกร็งร่างกาย  เอาขาขวาทับขาซ้าย  ถ้าหาก

 

ไม่ถนัดก็สามารถนั่งเก้าอี้ในอิริยาบถสบายๆ  ก็ได้

 

เอามือขวามาทับมือซ้ายหลับตาเบาๆ  โดยไม่ต้อง

 

บีบเปลือกตาหรืออย่ากดเน้นลูกนัยน์ตาเพราะ

 

จะทำให้ไม่สะดวกในการทำสมาธิ

 

                ในบทนี้จะใช้ตัวอย่างในสายพุทโธ  (มีวิธีการ

 

บริกรรมคำภาวนามากมายให้เลือกตรงกับจริต

 

ตามบุญของตน)

 

                เริ่มจากภาวนาว่า  “พุท”  เมื่อหายใจเข้า

 

บริกรรมภาวนาว่า  “โธ”  เมื่อหายใจออก

 

ต้องพยายามให้มีสติจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าและออก

 

                ค่อยๆ  ภาวนาไปเรื่อยๆ  จนเมื่อจิตนิ่งไม่ได้

 

คิดอะไรแล้วจึงค่อยหยุดบริกรรมแล้วนั่งต่อไป

 

เรื่อยๆ  แต่ถ้าจิตมันเริ่มคิดซัดส่ายออกไปถึงเรื่อง

 

อื่นๆ  ก็ให้รีบกลับมาบริกรรมคำภาวนานี้ใหม่

 

จนกว่าจิตจะนิ่งเช่นเดิม

 

                ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า  ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า

 

พยายามกำหนดลมเข้าออกให้ทันเท่านั้น

 

การเจริญภาวนาบทนี้จะต้องทำติดต่อกันไปเรื่อยๆ

 

จึงจะได้ผล  ไม่ใช่ว่าทำครั้งหนึ่งแล้วหยุดไปตั้ง

 

อาทิตย์สองอาทิตย์  หรือตั้งเดือนจึงทำอีก  อย่างนี้

 

ไม่ได้ผล  ต้องทำบ่อยๆ  ติดต่อกันไป

 

                การนั่งสมาธิด้วยการภาวนาอยู่เช่นนี้

 

จิตก็จะนิ่งอยู่ที่ลมหายใจ  ก็ถือว่าเป็นสมาธิซึ่งเป็น

 

พื้นฐานของการชำระจิตให้สะอาดที่อยู่ในกมล

 

สันดานของแต่ละคน  เมื่อจิตอยู่นิ่งแล้วก็เกิด

 

ความง่ายที่จะทำให้สะอาดเพราะรู้ว่าจิตอยู่

 

ตรงไหน  จากนั้นจึงค่อยใช้  “การเจริญภาวนา”

 

เป็นการซักฟอกให้สะอาดหมดจดในชั้นต่อไป

 

                “บันไดขั้นที่สองคือการเจริญภาวนา  (เจริญ

 

ปัญญา  เจริญวิปัสสนา)”  การเจริญภาวนาหรือ

 

การเจริญปัญญานั้นต่างไปจากความเป็นสมาธิ

 

ตรงที่สมาธิเป็นเพียงการทำใจให้สงบนิ่งอยู่กับ

 

สิ่งใดสิ่งหนึ่งแต่เพียงอารมณ์เดียวแน่นิ่งอยู่

 

อย่างนั้นโดยไม่ได้นึกคิดอะไร

 

                แต่การเจริญปัญญา  (คำพระท่านว่า

 

“วิปัสสนา”)  ไม่ใช่แค่ทำให้จิตใจตั้งมั่นอยู่กับ

 

สิ่งใดสิ่งหนึ่งเท่านั้น

 

                “การเจริญปัญญานั้นเป็นการคิด

 

“ใคร่ครวญ”  เพื่อหาเหตุผลในสภาวะที่

 

เป็นธรรมและเป็นความจริง”

 

                เป็นการพิจารณาลงไปให้ลึกในรายละเอียด

 

ในแต่ละสรรพสิ่งว่า  สิ่งทั้งหลายในโลกนี้เป็นสิ่งที่

 

ไม่เที่ยงแท้  เกิดขึ้น  ตั้งอยู่  แล้วก็ดับไป  (อนิจจัง)

 

ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นทุกข์  (ทุกขัง)  คือทุกอย่างเป็น

 

สภาพที่ไม่อาจทนอยู่ในสภาพเดิมได้  เกิดขึ้นแล้ว

 

ไม่อาจทรงตัวต้องเปลี่ยนแปลงไป

 

                ทำให้อารมณ์เกิดความเปลี่ยนแปลงไปตาม

 

วัตถุซึ่งก่อให้เกิดความทุกข์ตามมา  และสุดท้าย

 

คือทุกสิ่งไม่มีตัวตนและไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนหรือเป็น

 

ของของใครใดๆ  ทั้งสิ้น  (อนัตตา)

 

                ยกตัวอย่างเช่นบทบริกรรมกรรมฐานที่ว่า

 

เกสา  (ผม)  โลมา  (ขน)  นะขา  (เล็บ)  ทันตา  (ฟัน)

 

ตะโจ  (หนัง)  และตะโจ  ทันตา  นะขา  โลมา

 

เกสา  ทวนกลับไปกลับมาอย่างนี้เป็นการทบทวน

 

พิจารณาว่า  ทั้งผม  ขน  เล็บ  ฟัน  และหนังของ

 

คนเรานั้นมีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ  เกิดขึ้นแล้ว

 

ก็ร่วงหล่นผุพังหรือเหี่ยวไปทั้งสิ้น  ไม่มีอะไร

 

ที่ยั่งยืนเลยแม้แต่น้อย  จึงไม่ใช่สาระสำคัญที่

 

เราควรจะไปยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใด

 

                เพราะแม้แต่ร่างกายของตนเองยังมี

 

การเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ  สิ่งอื่นๆ  ในโลกนี้ก็

 

เช่นเดียวกัน  ย่อมเกิดขึ้น  ตั้งอยู่  และดับไป

 

                เมื่อใดก็ตามที่เราพิจารณาสิ่งต่างๆ  รอบตัว

 

ให้เป็นไปตามที่กล่าวมานี้ได้ก็ถือว่าได้ทำการ

 

ชำระจิตให้หมดจดจนบริสุทธิ์แท้  เพราะจิตใจ

 

สามารถยอมรับสภาพความจริงทั้งหลายและ

 

ความเป็นไปทั้งหลายของโลกได้อย่างแท้จริง

 

“หลวงปู่ชา”  ท่านเมตตาสอนไว้ว่า

 

                “....เมื่อเราใช้จิตที่ฝึกดีแล้วพิจารณารูปนาม

 

อยู่อย่างนี้  ให้รู้แจ้งแน่ชัดว่าไม่เที่ยง  เป็นทุกข์

 

เป็นอนัตตา  ปัญญารู้เท่าทันสภาพความเป็นจริง

 

ของสังขารที่เกิดเป็นเหตุให้เราไม่ยึดถือหรือ

 

หลงใหล

 

                เมื่อเราได้อะไรมาก็มีสติ  ไม่ดีใจจนเกินไป

 

เมื่อของสูญหายไปก็ไม่เสียใจจนเกิดทุกขเวทนา

 

เพราะรู้เท่าทันเมื่อประสบความเจ็บไข้หรือได้รับ

 

ทุกข์อื่นๆ  ก็มีการยับยั้งใจ  เพราะอาศัยจิตที่ฝึก

 

มาดีแล้ว  เรียกว่ามีที่พึ่งทางใจเป็นอย่างดี

 

                สิ่งเหล่านี้เรียกได้ว่าเกิดปัญญารู้ทันตาม

 

ความเป็นจริง  ที่จะเกิดปัญญาเพราะมีสมาธิ

 

สมาธิจะเกิดเพราะมีศีล  มันเกี่ยวโยงกันอยู่อย่างนี้

 

ไม่อาจแยกออกจากกันไปได้...”

 

                หลังจากทำสมาธิเจริญภาวนาเกิดบุญใหญ่แล้ว

 

ให้อธิษฐานรวมบุญก่อนเพราะเป็นการรวมบุญ

 

ทั้งหมดที่เราทำในครั้งนี้  และให้กล่าวดังนี้

 

คำอุทิศบุญเพื่อขออโหสิกรรมของตนเอง

 

                “ถึงเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย  คนใกล้ตัว

 

สัตว์ใกล้ตัว  เทวดาใกล้ตัว  โดยเฉพาะ........................

 

(คนหรือสัตว์  หรือใครก็ตามที่เรารู้ว่าเป็นเจ้ากรรม

 

นายเวรของเรา  ถ้ารู้ชื่อด้วยยิ่งดี  เพราะเป็นการ

 

ส่งบุญ  อุทิศบุญให้โดยตรงเลย)

 

                บัดนี้ข้าพเจ้า.....................................................

 

(กล่าวชื่อเรา  ถ้ามีการเปลี่ยนชื่อให้ใช้ชื่อเดิม

 

เพราะเจ้ากรรมนายเวรเขาตามเราที่จิตไม่ได้ตามชื่อ

 

ที่เปลี่ยนใหม่  ต่อให้เปลี่ยนไปอีกร้อยชื่อ  ไปเกิด

 

อีกร้อยชาติเขาก็จำได้  ตามถูกแน่นอน)

 

                ได้ทำสมาธิสร้างบุญกุศลใหญ่เพื่อสำนึก

 

ถึงความผิดที่ได้กระทำต่อท่านทั้งปวง  และรู้สึก

 

เสียใจต่อการกระทำแบบนั้น

 

                บัดนี้ในชาตินี้ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลที่

 

ข้าพเจ้าเคยทำมาตั้งแต่อดีตชาติ  ชาติปัจจุบัน

 

และบุญอันเกิดจากการทำสมาธินี้  และที่จะมี

 

ต่อไปในอนาคตเพื่อชดใช้ให้ท่าน

 

                ขอให้ท่านมารับและอนุโมทนาในบุญกุศล

 

ของข้าพเจ้า  หากท่านพึงพอใจในบุญกุศลนี้

 

ขอให้ท่านให้อโหสิกรรมต่อข้าพเจ้า  ซึ่งข้าพเจ้าก็ให้

 

อโหสิกรรมต่อท่านทุกเรื่องทุกเหตุ  ไม่มีเวรกรรม

 

ต่อกันอีกตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป  และโปรดถอนตัว

 

ในอุปสรรคต่างๆ  เรื่องร้ายต่างๆ  ที่เกิดขึ้นกับ

 

ข้าพเจ้า  โดยเฉพาะในเรื่อง........................(เรื่องที่เรา

 

อยากจะหลุดพ้น  เช่น  ปัญหาเรื่องเงิน  เรื่องงาน

 

โรคเวรโรคกรรม  ฯลฯ)

 

                และให้อานิสงส์แห่งบุญทั้งปวงนี้เป็นพลัง

 

แห่งบุญที่ช่วยปรับภพภูมิของท่านให้สูงขึ้น  สุขขึ้น

 

ท่านที่กำลังมีทุกข์ก็ขอให้มีสุข  ท่านที่สุขอยู่แล้ว

 

ก็ขอให้สุขยิ่งๆ  ขึ้นไปเถิด”

 

คำอุทิศบุญเพื่อขออโหสิกรรมให้ผู้อื่น

 

(ได้เฉพาะพ่อแม่  ลูก  ญาติพี่น้อง

 

ที่มีสายเลือดเดียวกันเท่านั้น)

 

                “ถึงเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย  คนใกล้ตัว

 

สัตว์ใกล้ตัว  เทวดาใกล้ตัว  โดยเฉพาะ..................

 

(คนหรือสัตว์  หรือใครก็ตามที่เรารู้ว่าเป็นเจ้ากรรม

 

นายเวรของเรา  ถ้ารู้ชื่อด้วยยิ่งดี  เพราะเป็นการ

 

ส่งบุญ  อุทิศบุญให้โดยตรงเลย)

 

                บัดนี้ข้าพเจ้า.............................................

 

(กล่าวชื่อเรา  ถ้ามีการเปลี่ยนชื่อให้ใช้ชื่อเดิม

 

เพราะเจ้ากรรมนายเวรเขาตามเราที่จิตไม่ได้ตามชื่อ

 

ที่เปลี่ยนใหม่  ต่อให้เปลี่ยนไปอีกร้อยชื่อ  ไปเกิด

 

อีกร้อยชาติเขาก็จำได้  ตามถูกแน่นอน)

 

                ได้ทำสมาธิสร้างบุญกุศลใหญ่แทน...............

 

..............................(เอ่ยชื่อคนที่เราทำแทนให้)

 

เพื่อสำนึกถึงความผิดที่ได้กระทำต่อท่านทั้งปวง

 

และรู้สึกเสียใจต่อการกระทำแบบนั้น  บัดนี้ในชาตินี้

 

ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลที่ข้าพเจ้าเคยทำมาตั้งแต่

 

อดีตชาติ  ชาติปัจจุบัน  และบุญอันเกิดจากการ

 

ทำสมาธินี้  และที่จะมีต่อไปในอนาคตเพื่อชดใช้

 

ให้ท่านแทน..............(เอ่ยชื่อคนที่เราทำแทนให้)

 

ขอให้ท่านมารับและอนุโมทนาในบุญกุศลของ

 

ข้าพเจ้า

 

                หากท่านพึงพอใจในบุญกุศลนี้  ขอให้ท่าน

 

ให้อโหสิกรรมต่อข้าพเจ้า  ซึ่งข้าพเจ้าก็ให้อโหสิกรรม

 

ต่อท่านทุกเรื่องทุกเหตุ  ไม่มีเวรกรรมต่อกันอีก

 

ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป  และโปรดถอนตัวใน

 

อุปสรรคต่างๆ  เรื่องร้ายต่างๆ  ที่เกิดขึ้นกับ..

 

...............................(เอ่ยชื่อคนที่เราทำแทนให้)

 

โดยเฉพาะในเรื่อง...............(เรื่องที่เราอยากจะ

 

หลุดพ้น  เช่น  ปัญหาเรื่องเงิน  เรื่องงาน  โรคเวร

 

โรคกรรม  ฯลฯ)

 

                และให้อานิสงส์แห่งบุญทั้งปวงนี้เป็นพลัง

 

แห่งบุญที่ช่วยปรับภพภูมิของท่านให้สูงขึ้น  สุขขึ้น

 

ท่านที่กำลังมีทุกข์ก็ขอให้มีสุข  ท่านที่สุขอยู่แล้ว

 

ก็ขอให้สุขยิ่งๆ  ขึ้นไปเถิด”

 

                ****การทำสมาธิจะได้ผลดีขึ้นหลายเท่า

 

หลังทำต่อจากการสวดมนต์ในทุกวัน  ถ้าอยาก

 

จะให้ดีขึ้นเร็วพลัน  ควรสวดมนต์ทั้งเช้าและ

 

ก่อนนอน  ทำสมาธิต่อท้ายจะได้อานิสงส์บุญ

 

มากขึ้น  เพราะการสวดมนต์ถือว่าเป็นการสร้างบุญ

 

สร้างความเป็นมงคลให้กับตนเองที่ดีอยู่แล้ว

 

จากหนังสือปาฏิหาริย์..เชื่อมบุญ..ปลดกรรม..ชีวิตดีฉับพลัน

 

โดย  ธ.ธรรมรักษ์

 

พิมพ์ที่  บริษัท  ส.เอเชียเพรส  (1989)  จำกัด

 

จัดทำโดย  สำนักพิมพ์เสบียงบุญ  ในโครงการบุญ  ธ.ธรรมรักษ์

 




Create Date : 07 มีนาคม 2560
Last Update : 7 มีนาคม 2560 17:38:33 น. 0 comments
Counter : 1259 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

นาคสีส้ม
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




วัตถุประสงค์ของ blog นี้ :

เนื่องจากส่วนตัวเป็นคนชอบได้หนังสือธรรมะมาจาก
ที่ต่างๆ และมักชอบซื้อมาอ่านเป็นประจำเสมอ
เลยทำให้หนังสือกองเต็มบ้านมากมาย
เวลาจะนำไปบริจาค ก็มักจะเสียดาย เพราะ
บางครั้ง บางที ก็หยิบเล่มเก่าๆมาอ่านอีกรอบ
เวลาใครมาขอรับบริจาคอะไรต่างๆ
มักจะหวงไว้ ไม่ค่อยส่งต่อหนังสือให้ใคร

จนมาคิดว่า ไม่ควรจะหวงไว้
เพราะเนื้อหาค่อนข้างมีประโยชน์
นำมาปรับใช้ในชีวิตได้เป็นอย่างดี
เลยอยากจะแบ่งปันความสุขให้คนอื่นๆ

เลยจัดทำ blog นี้ขึ้นมาค่ะ
ไว้เก็บรวบรวมเนื้อหาที่ได้อ่านแล้ว
มาเก็บไว้ที่นี่ ส่วนหนังสือก็จะนำไปบริจาค
ให้คนอื่น ได้ใช้ประโยชน์ต่อไปค่ะ

สำหรับเล่มไหนที่เพื่อนๆคิดว่าสนุก
ก็สามารถแนะนำได้นะคะ ^__^
Friends' blogs
[Add นาคสีส้ม's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.