สิงหาคม 2548
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
30 สิงหาคม 2548

**อาบ๊วย** โดย บอนนี่

“อาบ๊วย”

อาบ๊วยเป็นลูกของชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่มาตั้งรกรากอยู่ที่ประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ.๒๔๗๓ เตี่ยและแม่ของอาบ๊วยเป็นชาวเมืองเตียอันที่หนีภัยพิบัติทางธรรมชาติมาแสวงหาโชคที่เมืองไทย
อาบ๊วยเกิดที่จังหวัดสุพรรณบุรี เตี่ยของอาบ๊วยรับจ้างเขาเลี้ยงหมู ต่อมาเมื่ออายุได้ ๔ ขวบ เตี่ยและแม่ก็หอบอาบ๊วยเข้ากรุงเทพ เพราะเล้าหมูถูกแม่น้ำสุพรรณบุรีไหลเอ่อเข้าท่วม หมูตายเกือบหมดเล้า เตี่ยของอาบ๊วยเห็นท่าไม่ดี หากยังขืนอยู่ที่สุพรรณมีหวังอดตายกันทั้งครอบครัว จึงพากันอพยพมาหางานทำในกรุงเทพ เพราะที่นี่เป็นแหล่งงานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และแรงงานชาวจีนในสมัยนั้น ถือว่ามีน้ำอดน้ำทนดีกว่าชาติอื่น ๆ แม้แต่คนไทย

เตี่ยของอาบ๊วยได้งานทำที่ท่าเรือคลองเตย เป็นกรรมกรแบกข้าวสารขึ้นเรือ ครอบครัวจึงอาศัยเพิงไม้ผุ ๆ ที่ทำจากลังสินค้าอยู่ใกล้ ๆ ท่าเรือนั่นเอง
ทำอยู่ได้ ๓ ปี รวบรวมเงินได้ ๑๐๐ กว่าบาท เตี่ยของอาบ๊วยก็มองเห็นลู่ทางการค้า ด้วยความที่เป็นเด็กเลี้ยงหมูมาก่อนจึงคิดทำการค้าเกี่ยวกับหมู แรกทีเดียวจะซื้อเนื้อหมูมาชำแหละขายที่ตลาด แต่ก็มีเงินลงทุนไม่พอ จึงซื้อเลือดหมูจากโรงฆ่ามาต้มขายแทน

ด้วยความที่เป็นคนขยันขันแข็ง ทำงานไม่มีวันหยุด ทำให้ธุรกิจดีขึ้นเรื่อย ๆ จนพอจะขยับขยายที่อยู่อาศัยได้ เตี่ยของอาบ๊วยจึงเซ้งที่ของทางการที่ปลูกบ้านแถวให้คนจนเช่าระยะยาว พร้อมกับซื้อรถซาเล้งสีแดงคันหนึ่งสำหรับส่งเลือดหมูให้เขียงหมูและร้านอาหารในละแวกใกล้เคียง

เมื่อธุรกิจดีขึ้นจนสามารถยืนบนลำแข้งตัวเองได้อย่างมั่นคงแล้ว เตี่ยก็ส่งอาบ๊วยไปเรียนภาษาจีนที่โรงเรียนจีนแห่งหนึ่งบนถนนสี่พระยา พร้อมกับจ้างลูกมือชาวไทยคนหนึ่ง ชื่อว่า ทิดดำ เป็นคนรับส่งอาบ๊วยไปโรงเรียนและช่วยงานขายเลือดหมู

เวลาผ่านไปอีก ๓ ปี อาบ๊วยจบประถมต้นแล้ว อายุ ๑๑ ปี เตี่ยของอาบ๊วยก็คิดจะส่งอาบ๊วยไปเรียนต่อที่เมืองจีน เพราะใฝ่ฝันว่า วันหนึ่งเมื่อเก็บเงินเก็บทองได้พอสมควรแล้ว จะกลับไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่เมืองจีนบ้านเกิด
แต่การจะเดินทางกลับไปเมืองจีนในเวลานั้นไม่ง่ายนัก ต้องเดินทางโดยทางเรือเท่านั้น อาศัยว่าบ้านอยู่ใกล้ท่าเรือคลองเตย เตี่ยของอาบ๊วยจึงสอบถามไต้ก๋งเรือที่เดินทางค้าขายระหว่างไทยกับจีนเสมอว่า จะมีเรือสินค้าเดินทางไปอีกเมื่อไรและกลับเมื่อไร

ปีพ.ศ.๒๔๘๕ ขณะที่ประเทศตกอยู่ในภาวะสงคราม เงินทองที่เก็บหอมรอมริบมาได้แทบจะไม่มีค่าอะไร เพราะไม่มีใครต้องการค้าขาย สินค้าราคาแพงขึ้นหลายเท่าตัว เตี่ยของอาบ๊วยจึงถือเป็นโอกาสเหมาะที่จะไปหาโรงเรียนให้อาบ๊วยและเยี่ยมญาติที่เมืองจีน
เนื่องจากไว้ใจทิดดำมากเสมือนหนึ่งเขาคือญาติคนไทยคนเดียวที่เตี่ยของอาบ๊วยมีอยู่ จึงมอบหมายให้ทิดดำดูแลอาบ๊วยในระหว่างที่เขาและภรรยาไปเมืองจีน ซึ่งตามกำหนดการคาดว่าจะกลับมาได้ภายใน ๓ เดือน

ทิดดำเป็นคนซื่อสัตย์ และรักอาบ๊วยเหมือนน้องชายของตัวเอง เพราะเป็นคนรับส่งอาบ๊วยไปกลับโรงเรียนและเล่นกับอาบ๊วยมาตั้งแต่อาบ๊วยยังต้องให้อุ้ม

เตี่ยของอาบ๊วยฝากกิจการให้ทิดดำดูแล และมอบเงินสดจำนวน ๕๐๐ บาทไว้ให้ทิดดำเป็นค่าใช้จ่าย ซึ่งเงินจำนวนนี้บวกกับที่ทำมาค้าขายได้บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ในช่วงที่เตี่ยของอาบ๊วยไม่อยู่ สามารถใช้จ่ายได้อย่างสบาย ๆ ในช่วงเวลา ๖ เดือน

ก่อนจากไป เตี่ยเรียกอาบ๊วยมาสั่งเสีย ให้เป็นเด็กดี เชื่อฟังทิดดำ และกำชับว่า..
“อย่าลืมบทเรียนชีวิตทั้งหลายที่เตี่ยสอนไว้ ถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะนำเอาบทเรียนต่าง ๆ เหล่านั้นมาปฏิบัติ”

อาบ๊วยรับคำ ทั้งสองคนพ่อลูกกอดกันด้วยน้ำตานองหน้า เป็นครั้งแรกในชีวิตที่อาบ๊วยจะอยู่โดยไม่มีพ่อกับแม่อยู่เคียงข้างเขา
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ทิดดำเป็นชายหนุ่มอายุได้ ๒๘ ปีแล้ว เมื่อเตี่ยของอาบ๊วยจากไปได้เพียง ๒ เดือน ทิดดำก็พาผู้หญิงท้องแก่คนหนึ่งเข้ามาอยู่ในบ้าน โดยบอกอาบ๊วยว่าเป็นเมียของเขาเอง หญิงผู้นี้เป็นผู้หญิงหากินที่ทิดดำไปเที่ยวแล้วฝ่ายหญิงอ้างว่า ทิดดำเป็นพ่อของลูกในท้องและต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูเธอและลูก

ทิดดำเป็นคนซื่อ ไม่เฉลียวใจว่าจะถูกหลอกหรือไม่ เมื่อฝ่ายหญิงต้องการให้เขาเลี้ยงดูเขาก็ยินดี เพราะเขาเองก็ไม่มีภาระต้องรับผิดชอบอะไร มีแต่อาบ๊วยคนเดียวที่รับปากว่าจะดูแลให้ดีจนกว่าเถ้าแก่ของเขาจะกลับ

อาบ๊วยไม่ขัดข้องอะไร เพราะถือว่าทิดดำมีพระคุณต่อตนเองเช่นกัน และเข้าใจในความรู้สึกของทิดดำที่ต้องอยู่โดดเดี่ยว การมีคู่ครองสำหรับคนจีนถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี

อาบ๊วยตื่นนอนแต่เช้ามืดก่อนไก่ขันทุกวัน ไม่เคยขี้เกียจ ไม่เคยหลับเพลิน เพราะเรียนรู้หน้าที่ความรับผิดชอบจากบิดาของเขา ซึ่งพร่ำสอนว่า เราต้องตื่นก่อนไก่ขัน เพราะคู่แข่งของเราต้องรอให้ไก่ขันแล้วจึงตื่น เขาจึงเดินตามหลังเราอยู่หนึ่งก้าวเสมอ ๆ
ดังนั้น อาบ๊วยจึงเข้านอนแต่หัวค่ำ ใครจะชวนทำอะไรดึกดื่นจะไม่ยอมทำด้วยทั้งสิ้น เมื่อตื่นแล้วจะรีบไปปลุกทิดดำเพื่อไปรับเลือดหมูจากโรงฆ่า หากไปสายตลาดจะวายและขายเลือดหมูไม่ได้

ทิดดำงัวเงีย ตั้งแต่มีผู้หญิงมานอนด้วย ทิดดำมักมีอาการอ่อนเพลียในตอนเช้าและตื่นยากเสมอ ๆ

“ทำไมจึงตื่นเช้านัก เป็นเด็กเป็นเล็กตื่นสายหน่อยจะเป็นไร” เสียงเมียของทิดดำบ่นออกมาจากในมุ้งเมื่อเห็นอาบ๊วยมาปลุกทิดดำตั้งแต่ท้องฟ้ายังมืด

“ไม่ได้ครับ เตี่ยสอนไว้ว่า..ถ้าเราตื่นสาย ขณะที่คู่แข่งของเราตื่นเช้า เราจะเสียลูกค้าไปให้แก่เขา เพราะสินค้าเหมือนกัน ราคาเท่ากัน ผู้จะชนะได้จึงต้องแข่งขันกันให้บริการ”

อาบ๊วยและทิดดำต้องตื่นแต่เช้าไปโรงฆ่าสัตว์ทุกวัน แต่เมียของทิดดำยังคงนอนต่อไปจนสายโต่ง และลุกขึ้นมาเมื่อถึงเวลาอาหาร
หญิงสาวผู้นั้นไม่ยอมทำอะไรเลย นอกจากกินกับนอน แม้แต่งานบ้านก็เป็นหน้าที่ของอาบ๊วยและทิดดำช่วยกันทำ อาบ๊วยมิได้ว่าอะไร เพราะกลัวทิดดำโกรธ อาบ๊วยรู้ว่าทิดดำรักเมียของเขามาก

“คนท้องคนไส้ก็อย่างนี้แหละบ๊วย เหมือนคนป่วยที่ต้องการคนดูแล” ทิดดำเหมือนจะขอความเห็นใจ เพราะอาบ๊วยก็คือลูกของเจ้านาย เมื่อเจ้านายไม่อยู่ อาบ๊วยก็เสมือนเป็นเจ้านายของเขา การที่อาบ๊วยต้องทำงานหนักในขณะที่ภรรยาของเขาอยู่อย่างสุขสบายทำให้ทิดดำไม่สบายใจนัก แต่เห็นว่าอาบ๊วยยังเด็ก คงไม่ถือสาหาความอะไร

เวลาผ่านไป ๔ เดือนแล้ว เตี่ยกับแม่ของอาบ๊วยยังไม่กลับจากเมืองจีน อาบ๊วยไปยืนมองตรงจุดที่เขาเห็นเตี่ยกับแม่เดินขึ้นเรือทุกวันเป็นเวลาครั้งละนาน ๆ จนได้เวลาหุงหาอาหารแล้วจึงกลับ

ในยามที่บ้านเมืองกำลังมีศึกสงคราม มีเรือสินค้าเข้าออกที่ท่าเรือน้อยมาก ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงหวูดเรือ อาบ๊วยจะต้องวิ่งมาที่จุดที่เขากับครอบครัวต้องพลัดพรากจากกันเสมอ และทุกครั้งก็ยังคงเป็นอาบ๊วยที่ต้องเดินกลับบ้านตัวคนเดียว

แล้วในวันหนึ่ง เมื่ออาบ๊วยกลับจากท่าเรือก็ไม่พบทิดดำและภรรยาของทิดดำแล้ว ทราบจากเพื่อนบ้านว่า ทิดดำพาภรรยาของเขาไปโรงพยาบาลแล้วเพราะภรรยาของเขาเจ็บท้อง

ทิดดำเคยบอกว่าจะให้หมอตำแยมาทำคลอดที่บ้านเพราะเสียเงินน้อยกว่า เขาไม่อยากใช้เงินที่เถ้าแก่ให้ไว้เพราะวันหนึ่งจะต้องหมดไป หากยังค้าขายได้ไม่ดีเช่นนี้ แต่เมื่อถึงวันกำหนดคลอดจริง ทิดดำกลับต้องพาภรรยาของเขาไปโรงพยาบาล เพราะภรรยาของเขาไม่ต้องการคลอดลูกที่บ้าน
อาบ๊วยไม่รู้หรอกว่า จะต้องเสียเงินไปเท่าไรกับการทำคลอด เขาไว้ใจทิดดำเสมอ และแม้จะต้องเสียเงินไปทั้งหมดที่มี อาบ๊วยก็ไม่ได้อาทรร้อนใจอะไรนัก เขาหวังเพียงให้ทิดดำกลับมาบ้านโดยสวัสดิภาพ ไม่ว่าจะมีผู้หญิงคนนั้นกลับมาด้วยหรือไม่ก็ตาม
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ลูกของทิดดำเป็นเด็กผู้ชาย แรกที่เห็น อาบ๊วยยังรู้สึกแปลกใจ เพราะเด็กมีผิวสีขาวเหมือนอาบ๊วย ไม่เหมือนทิดดำหรือเมียของทิดดำที่มีผิวสีดำคล้ำเลย
อาบ๊วยเก็บงำความรู้สึกแปลกใจไว้ ไม่แสดงออกมาให้ทิดดำรู้ แม้ว่าเขาจะยังเป็นเด็กแต่ก็ไม่เด็กเกินไปจนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขาจดจำคำสั่งสอนตอนหนึ่งของเตี่ยได้ว่า.. เรื่องภายในครอบครัว อะไรที่แก้ไขได้ให้พูด แต่อะไรที่แก้ไขไม่ได้ จงอย่าได้ปริปาก
ทิดดำรักเด็กคนนี้มากและไม่ว่าสายตาของคนอื่นจะมองอย่างไร เขาก็ไม่เคยแสดงท่าทีระแวงสงสัยว่า เด็กชายคนนี้จะไม่ใช่ลูกของเขา

ตอนนี้อาบ๊วยมีหน้าที่เพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งแล้ว คือ ต้องดูแลเด็กในตอนกลางคืนด้วย ภรรยาของทิดดำไม่ต้องการให้ลูกนอนอยู่ด้วยในเวลากลางคืน เพราะเด็กทารกเอาแต่ร้องไห้ ทำให้เธอนอนไม่หลับ
อาบ๊วยถูกดุด่าว่า และบางครั้งถูกจิกหัวตีด้วย ถ้าปล่อยให้เด็กส่งเสียงร้องในตอนกลางคืน ภรรยาของทิดดำเป็นคนอารมณ์ร้าย แม้ทิดดำจะพยายามห้ามปรามแต่เธอก็ไม่ยอมฟัง ยังจะเอามีดอีโต้ไล่ฟันทิดดำอยู่บ่อย ๆ จนทิดดำต้องวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง

ทิดดำได้แต่ยืนมองอาบ๊วยถูกตี เขาไม่อาจช่วยเหลืออะไรอาบ๊วยได้ ต้องรอจนภรรยาของเขาตีอาบ๊วยจนพอใจแล้ว เขาจึงเดินเข้าไปหาแล้วก้มลงไปหาอาบ๊วย กอดอาบ๊วยไว้แนบอก ให้อาบ๊วยร้องไห้กับหน้าอกของเขาจนกว่าอาการเจ็บปวดของอาบ๊วยจะบรรเทา เขารู้สึกว่าที่หน้าอกของเขาชุ่มไปด้วยน้ำตาของอาบ๊วยทุกครั้งที่ผละออกมา

เหตุการณ์ยังคงดำเนินอยู่เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้งหลัง ๆ นี่ ทิดดำไม่ได้เข้ามาปลอบประโลมอาบ๊วยแล้ว คงปล่อยให้อาบ๊วยทรุดตัวร้องไห้อยู่กับพื้นจนกระทั่งหยุดไปเอง

อาบ๊วยกลายเป็นเด็กขวัญอ่อน หวาดผวาไปทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเด็กร้อง ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะเป็นลูกของทิดดำหรือไม่ใช่ หน้าตาของอาบ๊วยไม่เคยว่างเว้นรอยฟกช้ำดำเขียวเลย บางครั้งเมื่อส่องดูกระจก อาบ๊วยยังนึกสงสัยว่า หน้าตาที่แท้จริงของเขาเป็นอย่างไร เพราะมันเปลี่ยนไปแทบทุกครั้งที่เขามองดูกระจก

ตอนนี้อาบ๊วยไม่อาจตื่นก่อนไก่ขันได้อีกแล้ว เขาเริ่มนอนไม่เป็นเวลาและตื่นไม่เป็นเวลา ธุรกิจขายเลือดหมูที่พอมีรายได้มาจุนเจือบ้างก็ขาดหายไป ลูกค้าขาประจำหนีไปซื้อเจ้าอื่นหมดเพราะทิดดำมาส่งเลือดหมูช้าเกินไป และเป็นที่แปลกใจจนลูกค้าต้องถามไถ่กันทุกรายว่า อาบ๊วยหายไปไหน ทำไมไม่มาด้วย

ทิดดำไม่เข้าใจว่า อาบ๊วยทนอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร บางครั้ง เขาอยากให้อาบ๊วยหนีออกจากบ้านไปเสีย เขาเคยเรียกอาบ๊วยมาพูดคุยเรื่องนี้ด้วย พร้อมกับบอกว่า จะมอบเงินที่เหลือให้ทั้งหมด ให้อาบ๊วยแอบหนีไปในตอนดึก แต่อาบ๊วยไม่ตกลง เขาบอกว่า ยอมถูกทุบตีอยู่ที่นี่ดีกว่า เพราะที่นี่คือบ้านของเตี่ย เตี่ยเคยสอนเอาไว้ว่า..คนจีนถือว่าบ้านเป็นใหญ่ ตายในบ้านจะตายอย่างมีความสุขกว่าตายข้างนอกบ้าน ดีกว่าหนีไปแล้ววันหนึ่งเตี่ยกับแม่กลับมาแล้วไม่เห็นหน้าเขา เตี่ยกับแม่จะต้องเสียใจ เหมือนกับที่เขาเสียใจที่ไปรอที่ท่าเรือแล้วไม่เห็นหน้าเตี่ยกับแม่

“แต่ฉันทนเห็นเจ้าถูกตบตีทุกวัน ๆ อย่างนี้ไม่ได้ ถึงอย่างไรเจ้าก็เปรียบเสมือนนายจ้างของฉัน”

“เตี่ยเคยสอนไว้ว่า เกิดเป็นคนต้องอดทน อดทนต่อความเจ็บปวด และอดทนกับความผิดหวัง หากผมไม่อดทนแล้ว ก็เหมือนเป็นคนสิ้นหวังไปเสียแล้ว คนสิ้นหวังย่อมไม่มีความหวัง แต่คนรอความหวัง ย่อมยังไม่สิ้นหวัง ตอนนี้ผมยังไม่สิ้นหวังนี่ครับ ผมยังหวังอยู่ว่า อาเตี่ยกับอาแม่ะ (คำเรียกแม่ในภาษาจีน) จะต้องกลับมาในวันหนึ่ง”
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

วันนี้ครบ ๑ ปีแล้วที่เตี่ยกับแม่ของอาบ๊วยจากไป ไม่มีข่าวคราวจากพวกเขาเลย อาบ๊วยนึกไปในทางที่ดีเสมอว่า พวกเขายังปลอดภัยดี แต่มีธุระจำเป็นที่ต้องทำ ไม่อาจกลับมาได้ตามสัญญา ภรรยาของทิดดำสาบแช่งเตี่ยกับแม่ของอาบ๊วยเสมอ ๆ ว่า พวกเขาคงตายไปแล้วบ้าง ทหารญี่ปุ่นจับตัวไปทรมานบ้าง แต่ที่ทำให้อาบ๊วยต้องแอบร้องไห้คนเดียวคือ เธอบอกว่า เตี่ยและแม่ของอาบ๊วยไม่กลับมาเพราะลืมอาบ๊วยแล้ว พวกเขามีลูกคนใหม่ต้องเลี้ยงดู และมีความสุขด้วยกันอยู่ที่เมืองจีนแล้ว

ทิดดำกลายเป็นคนกลัดกลุ้ม หงุดหงิดและมักชอบเก็บตัว ตกเย็นก็ทานแต่เหล้า ไม่สนใจทำการค้าแล้ว และไม่สนใจทำงานบ้านอีกแล้วด้วย งานบ้านและงานเลี้ยงดูเด็กทั้งหมดตกอยู่กับอาบ๊วยคนเดียว อาบ๊วยที่กลายเป็นเด็กผอมโซ เนื้อตัวเขียวช้ำไปหมด
จากลูกชายเถ้าแก่ ที่เสมือนเจ้านายของบ้าน กลายเป็นขี้ข้าของคนในบ้าน มีเพียงทิดดำคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ดุด่าและลงมือลงไม้กับอาบ๊วย ตอนนี้แม้แต่เจ้าเด็กตัวเล็กยังทุบตีอาบ๊วยอยู่บ่อย ๆ เวลาที่ถูกขัดใจ

แต่อาบ๊วยยังอดทน ต้องอดทนกับความผิดหวังให้ได้ตามที่เตี่ยของเขาสอน ขณะที่เขานอนก่ายหน้าผากแล้วนึกถึงว่า ทำไมบทเรียนเรื่องความอดทนบทนี้มันยากจังเลย แต่เมื่อนึกถึงตอนนี้ ก็ให้นึกถึงคำสอนอีกบทหนึ่งของเตี่ย เมื่อครั้งที่เขายังเรียนหนังสือ เขาเคยถามเตี่ยว่า

“ทำไมบทเรียนบทนี้มันยากจังเลยครับเตี่ย”

เตี่ยของอาบ๊วยตอบว่า
“บทเรียนมันยากเสมอแหละ สำหรับคนที่ไม่อดทน”
อาบ๊วยได้ยินดังนั้นก็เข้าใจและจดจำคำสอนนั้นเรื่อยมา

อาบ๊วยเป่าเทียนให้ดับ เขาต้องรีบนอนเสียแต่ตอนนี้ก่อนที่เด็กชายที่นอนอยู่ข้าง ๆ ตัวเขาจะตื่นขึ้น
..ไม่มีคืนใดเลยที่อาบ๊วยจะไม่นึกถึงหน้าเตี่ยกับแม่ของเขา
..ไม่มีคืนใดเลยที่อาบ๊วยจะไม่ฝันร้ายว่าเตี่ยกับแม่ของเขาประสบเคราะห์กรรมที่หนักหนาสาหัสจนไม่อาจกลับมาได้
..ไม่มีคืนใดเลยที่อาบ๊วยจะไม่นึกน้อยใจที่เตี่ยกับแม่ของเขามีความสุขกับน้องคนใหม่จนลืมเขาเสียแล้ว
และ
..ไม่มีคืนใดเลยที่อาบ๊วยจะนอนหลับอย่างมีความสุข
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

เวลาผ่านไปอีกหนึ่งปีแล้ว ยังไม่มีวี่แววใด ๆ ว่าเตี่ยกับแม่ของอาบ๊วยจะกลับมาหาอาบ๊วย แต่อาบ๊วยก็ยังหวังอยู่ ว่าจะมีวันที่เป็นจริง วันที่เตี่ยกับแม่ของเขาจะกลับมาหาเขาอีก

สงครามสงบลงแล้ว ชาวบ้านพากันออกมาไชโยโห่ร้องกันเต็มถนน สินค้าที่ตลาดขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ผู้คนเอาเงินที่เก็บฝังไว้มาหว่านซื้อของกันใหญ่ พ่อค้าคนไหนมีสินค้าอยู่ในมือ เชื่อได้เลยว่ามีคนซื้อแน่นอน เพราะผู้คนอัดอั้นกับการใช้เงินมาเป็นปี ๆ แล้ว ถึงเวลาที่พวกเขาจะกิน จะใช้อย่างฟุ่มเพือย ใครมีเงินมีทองที่ฝังไว้กับดินก็ขุดออกมาใช้ ไม่มีใครอยากเก็บเงินไว้ในนั้นอีก

คงมีแต่คนที่บ้านอาบ๊วยเท่านั้นที่ไม่มีเงินไปใช้จ่ายกับเขา เพราะได้ใช้จ่ายไปหมดแล้ว และไม่เคยหามาเพิ่มอีกเลย ของใช้ในบ้านที่พอมีราคา ก็ถูกทิดดำเอาไปขายเพื่อแลกข้าวและอาหารหมดแล้ว

“ฉันจะกลับไปทำงานหาเงินอีก ตอนนี้คนกำลังมีเงินมีทอง”
ภรรยาของทิดดำกล่าวกับทิดดำในเย็นวันหนึ่ง อาบ๊วยก็นั่งอยู่ไม่ไกลนัก ได้ยินคนทั้งสองโต้เถียงกันอยู่พักใหญ่ แต่ในที่สุด ทิดดำก็จนปัญญาที่จะห้ามปรามเนื่องจากตนเองก็หมดหนทางที่จะหาเงินมาจุนเจือครอบครัวได้
“ฉันพอจะทำงานเลี้ยงเธอกับลูกได้ แต่ฉันไม่มีเงินเหลือพอเลี้ยงคน ๔ คน”

คำพูดทิ้งท้ายของภรรยาทิดดำ ทำให้อาบ๊วยต้องสะบัดหน้าไปทางอื่น หัวใจของเขาห่อเหี่ยวไปจนฟอด เขากลายเป็นส่วนเกินของบ้านนี้ไปแล้ว ตอนนี้เขาไม่มีครอบครัวแล้ว ทิดดำไม่ใช่คนในครอบครัวของเชา แต่ทิดดำเป็นคนในครอบครัวของผู้หญิงและเด็กคนนั้น เตี่ยเคยสอนเขาในบทเรียนสุดท้ายก่อนที่จะจากไปว่า ข้าเก่าเต่าเลี้ยง ถึงอย่างไรก็ไม่เท่าเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงวันเดียว เขาเพิ่งเข้าใจบทเรียนนี้ในวันนี้นี่เอง

ภรรยาของทิดดำหายไปในตอนกลางคืนและกลับมารุ่งเช้าพร้อมกับเงินจำนวนหนึ่ง เพียงพอค่าอาหารตลอดทั้งวันนั้น และหายตัวไปอีกหลังอาหารเย็น อาบ๊วยเห็นทิดดำนั่งคอตกก็คิดจะเข้าไปปลอบใจ แต่ทิดดำรีบเดินหนีไปเสีย และหายลับไปในความมืด คงทิ้งให้ทั้งบ้านเหลือเด็กชายอยู่สองคน คนหนึ่งเก็บงำความทุกข์ของทุกคนเอาไว้มากมาย กับอีกคนหนึ่ง ไม่รับรู้ความทุกข์ใครอื่นเลยนอกจากของตัวเอง
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~
.
เพียง ๓ เดือนให้หลัง ภรรยาของทิดดำก็มีเงินเก็บมากมาย อาบ๊วยสังเกตเห็นเข็มขัดนากเส้นใหม่ และกำไลข้อมือวงใหม่ ลูกชายของเธอได้กินนมผงยี่ห้อดีที่สุดที่คนมีเงินเขาซื้อให้ลูกกิน มีเสื้อผ้าสวย ๆ และของเล่นมาฝากเจ้าตัวน้อยแทบทุกวัน
ชีวิตที่ดีขึ้นทันตาเห็นนี้ มิได้เกิดขึ้นกับทิดดำ หรืออาบ๊วยด้วยเลย ภรรยาของทิดดำไม่ยอมให้ทิดดำถูกเนื้อต้องตัวเธออีก หาว่าทิดดำสกปรกและตัวเหม็น พลอยจะทำให้เธอต้องเสียลูกค้าไปด้วย ส่วนอาบ๊วยก็ยังต้องทำงานบ้านทุกอย่างและเลี้ยงลูกของเธอ จะมีดีขึ้นบ้างก็ตรงที่ เธอไม่ได้ทุบตีอาบ๊วยทุกวันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว คนเราเวลามีเงินมีทอง มีความสุข ก็มักจะมีอารมณ์ดีขึ้น สุขภาพจิตดีขึ้น ภรรยาของทิดดำก็อยู่ในข่ายนี้เช่นกัน

และแล้ววันหนึ่ง
อาบ๊วยตื่นขึ้นมาในตอนเช้าและพบว่า ที่ข้างตัวของเขาไม่มีเจ้าเด็กตัวน้อยนอนอยู่ข้างเคียงเหมือนทุกวัน เขารีบลุกจากที่นอนแล้วเดินตามหาไปทั่วบ้านแต่ก็ไม่พบ ไม่เพียงแต่ไม่พบเจ้าตัวน้อย แต่อาบ๊วยไม่พบใครเลยในบ้าน
อาบ๊วยออกมานั่งรอที่หน้าบ้าน เขาหวังว่าทิดดำคงไม่ทิ้งเขาไปอย่างไม่บอกกล่าวเช่นนี้ แต่ความหวังก็ยังเป็นเพียงความหวังที่ไม่สมหวังอยู่นั่นเอง อาบ๊วยรอจนมืดค่ำแล้ว ก็ยังไม่เห็นมีใครกลับมาบ้าน

เมื่อผ่านไปแล้ว ๓ วัน อาบ๊วยจึงแน่ใจแล้วว่า ทุกคนหนีเขาไปหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวทิดดำ หรือแม้แต่ เตี่ยกับแม่ของเขา คงไม่มีใครกลับมาอีกแล้ว อาบ๊วยนั่งร้องไห้อย่างขมขื่นกับชีวิตที่ไม่เคยสมหวังของตนเอง
บทเรียนของเตี่ยสอนให้มีชีวิตอยู่โดยมีความหวัง แต่ บทเรียนของเดี่ยไม่เคยสอนให้รอความหวังที่ไม่มีวันเป็นจริง

อาบ๊วยกลับมาตื่นก่อนไก่ขันอีกครั้ง เขาไปที่โรงฆ่าสัตว์ทุกเช้ามืดเหมือนเมื่อก่อน แต่ไม่ได้ไปซื้อเลือดหมูมาต้ม เพราะเขาไม่มีเงินติดตัวเลย เขาไปรับจ้างทำความสะอาดเล้าหมู มีหมูในเล้ารอเชือดอยู่หลายสิบตัว ทุกตัวถูกส่งมาที่นี่ในตอนค่ำคืนเพื่อรอการเชือดในตอนเช้ามืด หมูในเล้าที่รอเวลาถูกเชือดจะรู้ตัวและร้องไห้คร่ำครวญ พวกมันร้องไห้อย่างสิ้นความหวังแล้ว เพราะไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น พวกมันก็ต้องถูกเชือดอยู่ดี
อาบ๊วยยกมือที่ชุ่มด้วยเหงื่อขึ้นปาดน้ำตาด้วยความสงสารหมู ถึงเขาจะร้องไห้อย่างไร ก็ร้องอย่างคนมีความหวัง ไม่ใช่ร้องอย่างสิ้นความหวังเหมือนหมูพวกนั้น

อาบ๊วยเอาเงินที่ได้จากการทำความสะอาดเล้าหมูมาแบ่งเป็นสองส่วน ครึ่งหนึ่งเอาไว้ซื้อข้าวสารกรอกหม้อและเครื่องอุปโภคบริโภค ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง ใส่ถุงกระดาษแล้วซ่อนไว้หลังตู้เสื้อผ้า อาบ๊วยหวังว่าจะเก็บเงินจำนวนหนึ่งเพื่อนำไปซื้อเลือดหมูมาต้มขายเหมือนที่เตี่ยเคยทำ

ทุก ๆ วันเมื่อกลับจากโรงฆ่าสัตว์แล้ว อาบ๊วยจะหุงข้าวไว้สามชามเสมอ ชามหนึ่งสำหรับตัวเอง อีกสองชามสำหรับเตี่ยกับแม่ หากท่านกลับมาในวันนั้น จะได้มีข้าวกินในทันที แต่ถ้าเตี่ยกับแม่ไม่กลับมา สองชามที่เหลือก็สำหรับทิดดำกับครอบครัว หากพวกเขากลับมาในวันนั้น จะได้มีข้าวกินในทันที แต่หากไม่มีใครกลับมาเลยในวันนั้น อาบ๊วยก็จะกินข้าวชามที่สองในมื้อกลางวัน และชามที่สามในมื้อเย็น โดยจะไม่หุงข้าวเพิ่มอีกเลยในวันนั้น

อาบ๊วยทำงานที่โรงฆ่าสัตว์อยู่ ๓ เดือนก็มีเงินเก็บพอที่จะซื้อเลือดหมูมาต้มแล้ว ขณะที่กำลังนั่งนับเงินในถุงกระดาษอยู่นั้นเอง ประตูหน้าบ้านก็ถูกเปิดออก อาบ๊วยรีบเก็บเงินใส่กระเป๋าแล้ววิ่งไปที่หน้าประตู ชายคนหนึ่งยืนพิงขอบประตูในลักษณะรีรอที่จะเข้ามา อาบ๊วยร้องออกมาด้วยความดีใจ

“ทิดดำ!”

พออาบ๊วยวิ่งไปถึงตัว ทิดดำก็ทรุดตัวลงกับพื้น อาบ๊วยต้องเข้าไปประคอง ร่างกายของทิดดำอ่อนปวกเปียก กางเกงที่ใส่ก็หลวมโพลกเพลก ที่เป้ากางเกงมีรอยเปื้อนเป็นคราบ อาบ๊วยค่อย ๆ ประคองทิดดำเข้าไปในบ้านแล้วหาหมอนมาให้หนุนศีรษะ

“ทิดดำเป็นอะไรไป” อาบ๊วยร้องถาม เห็นทิดดำหน้าตาซีดเซียว ซูบไปจากที่เห็นครั้งสุดท้าย แต่ยังมีสติดีอยู่

“ฉัน..ป่วย..ป่วยเป็น..อหิวาต์” ทิดดำพูดกระท่อนกระแท่น นัยน์ตาปรือเหมือนใกล้จะหลับ

“แล้วผมจะช่วยทิดดำได้อย่างไร” อาบ๊วยเคยได้ยินชื่อโรคนี้มาแล้ว แต่ไม่รู้ว่าอาการเป็นอย่างไร คนที่โรงฆ่าสัตว์กลัวกันมาก พวกเขาบอกว่า ลูกค้าเขียงหมูต่อว่ามามากมายว่า โรงฆ่าไม่สะอาดทำให้แมลงวันตอมเนื้อหมู และแพร่เชื้ออหิวาต์ไปที่เขียงหมู

ทิดดำส่ายศีรษะไปมาช้า ๆ
“ฉัน..ฉันรู้ตัว..ว่าคงไม่รอด พวกเขาพอรู้ว่าฉันเป็นอหิวาต์ก็ไล่ฉันออกจากบ้าน” ทิดดำกล่าวอย่างขมขื่น คำว่าพวกเขาเป็นใคร อาบ๊วยไม่อยากถาม แต่เป็นห่วงอาการของทิดดำมากกว่า

“ผมจะพาทิดดำไปหาหมอ” อาบ๊วยรู้ว่าทางที่ดีที่สุดคือส่งทิดดำไปหาหมอให้เร็วที่สุด

“แต่..ฉัน..ฉันไม่มีเงิน” ทิดดำกล่าวพร้อมกับหลับตาลง

“ผมมี ผมเก็บเงินเอาไว้นิดหน่อย พอแก่ค่ายารักษาทิดดำ” อาบ๊วยเสนอความช่วยเหลืออย่างเต็มใจ ทั้งที่ไม่รู้ว่า จะต้องเสียเงินค่ารักษาพยาบาลโรคนี้เท่าไร แต่ชีวิตของทิดดำมีคุณค่าสำหรับเขามากกว่าเงินที่เก็บหอมรอมริบไว้มากนัก

“อย่า..อย่าเสียเงินเสียทองเพราะ..เพราะฉันเลย อาบ๊วย ..ฉันมันคนไม่ดี ฉันมันคนเนรคุณ” ทิดดำกล่าวด้วยน้ำตานองหน้า เขาเพิ่งรู้ซึ้งในตอนนี้เองว่า ใครคือครอบครัวที่แท้จริงของเขา ทันทีที่ผู้หญิงคนนั้นรู้ว่า เขาเป็นโรคอะไรเธอก็ผลักไสเขาไปเสียให้พ้น เพราะโรคนี้เป็นโรคติดต่อร้ายแรง และเธอรู้ว่า เขาอยู่ในอาการที่ไม่อาจเยียวยาได้แล้ว
“อาบ๊วยรู้อยู่ตลอดเวลาใช่ไหม..ว่า..ว่าเด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกของฉัน” ทิดดำจ้องหน้าอาบ๊วยตาไม่กระพริบ อาบ๊วยจำต้องสารภาพ เขาผงกศีรษะให้ทีหนึ่ง
“เธอไม่พูด เพราะ..เพราะเธอกลัวฉันจะเสียใจใช่ไหม” ทิดดำยังไม่ยอมละสายตาที่จ้องมองอาบ๊วย อาบ๊วยผงกศีรษะอีกทีหนึ่งแล้วก้มหน้านิ่ง
“อาบ๊วย..ฉัน..ฉัน..” ทิดดำเริ่มพูดตะกุกตะกัก อาบ๊วยกำมือของเขาแน่น
“ฉัน ขอโทษ” พูดจบ ทิดดำก็หลับตาลง เขายังมีสติอยู่ แต่ไม่อาจมองหน้าอาบ๊วยได้อย่างเต็มตาเพราะความละอายใจในการกระทำของตัวเอง

“ผม..ผมจะไปซื้อยามาให้ทิดดำนะ ร้านขายยาคงรู้จักโรคนี้” อาบ๊วยทำท่าจะผละไป แต่ทิดดำรั้งข้อมือไว้

“ไม่..ไม่ต้อง อาบ๊วย ฉันแค่..แค่อยากกลับมาที่นี่ เพื่อขอโทษเธอและขอตายที่บ้านนี้”

“ไม่..ไม่ ทิดดำต้องไม่ตาย ผมมีเงิน ผมจะไปซื้อยาให้ทิดดำกิน เราจะเริ่มต้นใหม่ ทำการค้าด้วยกันอีกครั้ง ซื้อเลือดหมูมาต้ม ทิดดำยังจำได้ใช่ไหม? ผมไปทำงานล้างเล้าหมูที่โรงฆ่า ตอนนี้..ดูสิ มีเงินแยะเลย” อาบ๊วยเอามือล้วงกระเป๋าแล้วหยิบเศษเหรียญออกมาแผ่ให้ทิดดำดู แต่มือของเขาสั่นระริก เหรียญเงินตกกระจายไปตามพื้น อาบ๊วยหยิบเงินมาชูให้ทิดดำดู เขากลั้นน้ำตาแห่งความดีใจไม่อยู่ มันไหลออกมาอาบแก้มแล้วหยดลงใต้คาง

ทิดดำเอื้อมมือที่สั่นเทามาหยิบเหรียญบนพื้นแล้ววางลงบนมือของอาบ๊วย
“เธอเก่งมาก..มัน..มันเป็นของเธอ ของเธอคนเดียว” ทิดดำยิ้มทั้งน้ำตา อย่างน้อยที่สุดเขาก็ตายตาหลับ อาบ๊วยไม่มีทางอับจน เพราะเขาเป็นเด็กดีและเชื่อฟังคำสั่งสอนของบิดา

“ทิ้งฉันไว้ตรงนี้เถอะ แล้วอย่ามาใกล้ฉัน เธอจะติดโรคนี้ได้ง่าย ๆ ถ้าฉันตายเธอไปแจ้งเทศบาลให้เขามารับศพฉันไปเผาทิ้ง มีคนตายมากมายที่ที่ฉันจากมา เทศบาลบรรทุกไปเผาทิ้งที่นอกเมือง” ทิดดำเห็นเหตุการณ์อันสยดสยองนั้นมากับตา เขาเป็นคนหนึ่งที่ไปแจ้งเทศบาลมาเก็บศพเพื่อนบ้านไปเผา

“ผมจะอยู่กับทิดดำ ผมไม่ทิ้งทิดดำไปไหนหรอก แต่ตอนนี้ผมต้องไปหาซื้อยามาให้ทิดดำแล้ว” อาบ๊วยเอามือป้ายตา แกล้งทำใจให้เข้มแข็งเข้าไว้ ในใจของเขายังคงตั้งความหวังเอาไว้ว่าทิดดำจะรอด

“ทำไม..ทำไมเธอไม่ทิ้งฉัน ทำไมจึงดีกับฉันอีก”

“อาเตี่ยเคยสอนเอาไว้ว่า..หากใครมีบุญคุณต่อชีวิตของเราแม้วันเดียว เราอาจต้องตอบแทนเขาแม้ชั่วชีวิต ผมถือว่าทิดดำมีบุญคุณกับผม เลี้ยงดูผมมาตั้งแต่เล็ก เมื่อไม่มีเตี่ยกับแม่อยู่ ทิดดำก็เป็นคนดูแลผมมาตลอด” อาบ๊วยกล่าวจบก็หันหน้าไปทางอื่น แล้วรีบวิ่งไปที่ประตู
“ผมจะไปซื้อยามารักษาทิดดำ ทิดดำอย่าเพิ่งตายนะ” อาบ๊วยกล่าวเสียงเครือ แล้วร้องไห้โฮวิ่งออกไป

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง อาบ๊วยก็กลับเข้ามา เขาชูยาในถุงให้ทิดดำดูด้วยความยินดี แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ เขาก็พบว่า ทิดดำสิ้นใจตายเสียแล้ว อาบ๊วยทิ้งถุงยาลงกับพื้น กอดศพทิดดำแล้วร้องไห้ปานจะขาดใจ

อาบ๊วยเรียกเทศบาลมาเก็บศพของทิดดำตามที่ทิดดำได้สั่งเสียไว้ เขายืนมองรถขนศพที่แออัดไปด้วยศพของคนที่ตายด้วยโรคเดียวกันด้วยความเศร้าใจ คนมีชีวิตเท่านั้นที่เลือกทางเดินได้ คนตายแล้วเลือกไม่ได้ สุดแต่คนเขาจะเอาไปทิ้งขว้างที่ไหน

หลังจากทิดดำตายไปได้ ๔ วัน อาบ๊วยก็มีอาการท้องเดินทั้งวันทั้งคืนจนไม่สามารถไปทำงานได้ เขาลุกขึ้นลุกลงระหว่างห้องส้วมและห้องนอนครั้งแล้วครั้งเล่า หนักเข้าก็นอนฟุบอยู่ที่หน้าห้องส้วมนั่นเอง ไม่มีใครช่วยเหลืออาบ๊วยได้เพราะบ้านนี้ไม่มีใครอื่นนอกจากอาบ๊วย ตอนนี้อาบ๊วยกำลังจะหลับ เขาไม่ได้ง่วงนอนสักนิด แต่เขาไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะยกเปลือกตาขึ้นต่างหาก เขาเริ่มหายใจหอบแรงไม่อาจหายใจด้วยจมูกอย่างเดียวได้ แม้ตายังไม่ปิดสนิท แต่ภาพเบื้องหน้าของเขาก็มืดลงทุกขณะ ก่อนที่ความมืดมิดจะครอบครองสติสัมปชัญญะทั้งหมด อาบ๊วยก็มโนภาพเห็นเตี่ยกับแม่เดินมาหาเขา ทั้งสองมีสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรงเหมือนตอนที่จากไป เขาเอื้อมมือออกไปหมายไขว่คว้ามือของคนทั้งสองแต่ก็เอื้อมไม่ถึง

“อาบ๊วย เจ้าจำบทเรียนของเตี่ยไม่ได้หรือ เตี่ยสอนว่าอย่างไร” เสียงเตี่ยดังก้องโสตประสาทเหมือนพูดอยู่ในหัวสมองของอาบ๊วย

“จำได้ครับเตี่ย ผมจำได้ทุกบทเลย แต่บทเรียนของเตี่ยไม่ได้สอนให้คนสมหวังเลยนี่ครับ บทเรียนของเตี่ยสอนให้มีชีวิตอยู่กับความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า” อาบ๊วยพูดเหมือนตัดพ้อ

“อดทนไว้ ลมหายใจคือความหวัง ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจ เจ้ายังมีความหวัง” เสียงเตี่ยดังก้องอีก คราวนี้เหมือนจะดุ

“ไม่..ไม่..ผมไม่อยากอดทนแล้ว หากผมไม่ตั้งความหวัง ผมก็จะไม่ผิดหวัง ผมกำลังจะตายอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว” อาบ๊วยกล่าวอย่างไม่ใยดี เขาเห็นเตี่ยกับแม่ส่ายศีรษะด้วยความผิดหวัง แล้วภาพของคนทั้งสองก็ค่อย ๆ เลื่อนไกลออกไป ๆ เมื่อภาพของคนทั้งสองลับตาไป อาบ๊วยก็มองเห็นแต่ความมืดมิด
~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~

ไม่เคยมีครั้งใดในชีวิตที่อาบ๊วยจะหลับได้ยาวนานเช่นนี้ เป็นเหมือนการพักผ่อนเพื่อทดแทนกับความลำบากตรากตรำอันแสนสาหัสในช่วงที่ผ่านมา ไออุ่นที่มือข้างหนึ่งทำให้เขารู้สึกตัว และค่อย ๆ เผยอเปลืกตาขึ้นอย่างช้า ๆ ภาพที่ลางเลือนเหมือนมโนภาพก่อนหน้านี้ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้น ๆ

“เตี่ย..แม่ะ..” อาบ๊วยร้องเรียก เขาจับมือของใครคนหนึ่งไว้ได้แล้ว เขาจะไม่ยอมปล่อยอีกอย่างเด็ดขาด

“อาบ๊วย ตื่นแล้วหรือ เจ้านอนหลับไปสองวันสองคืนเชียวนะ” เสียงของแม่กล่าว อาบ๊วยได้ยินชัดเจนที่สุด มันไม่ใช่ความฝันหรือนี่

“ผม..ผมอยู่ที่ไหน” อาบ๊วยมองไปรอบ ๆ เป็นสถานที่ที่เขาไม่คุ้นเคยมาก่อน แขนอีกข้างหนึ่งของเขามีสายสีขาวใสโยงไปยังขวดน้ำเกลือที่แขวนอยู่

“เจ้าอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬา เรากลับมาบ้านพบเจ้านอนสลบอยู่กับพื้น จึงรีบพามาโรงพยาบาล” เตี่ยกล่าวพร้อมกับเอามือลูบศีรษะด้วยความเอ็นดู นานแค่ไหนแล้วที่อาบ๊วยไม่ได้รับสัมผัสเช่นนี้

“เตี่ยกับแม่ะกลับมาไม่ได้เพราะติดสงคราม เรือสินค้าไม่ยอมออกจากท่า เราสองคนต้องอาศัยปลูกผักปลูกหญ้ารอคอยเวลาไปวัน ๆ พอสงครามสงบแล้วจึงโดยสารมากับเรือสินค้า โชคดีที่มาทันเวลาพอดี ไม่งั้นเจ้าตายอยู่ในบ้านแล้ว” อาเตี่ยเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง

“เจ้ารอดมาได้เพราะความอดทนโดยแท้อาบ๊วย หมอบอกว่า เป็นคนอื่นตายไปนานแล้ว” แม่ของอาบ๊วยกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาเพิ่งสังเกตว่า ที่เอวของแม่กระเตงเจ้าหนูน้อยที่หน้าตาละม้ายกับเขาทีเดียว

“นี่อาตี้ของเจ้า อาตี้เกิดที่เมืองจีน ตอนนี้อายุ ๘ เดือนแล้ว” แม่ของอาบ๊วยแนะนำเด็กที่อยู่ในวงแขน พยายามหันหน้าเจ้าหนูน้อยให้มองมาทางอาบ๊วย

“เฮ้..อาตี้ สวัสดีอาตี้” อาบ๊วยทักทายแล้วยิ้มให้น้อง ผู้หญิงคนนั้นพูดถูก เตี่ยกับแม่มีความสุขอยู่ที่นั่นพร้อมกับน้องคนใหม่ แต่เธอพูดผิดที่ว่า เตี่ยกับแม่จะไม่กลับมาแล้ว

“เรากลับมาไม่มีเงินติดตัวกันเลยสักแดงเดียว ก็อาศัยเงินในถุงกระดาษนี่แหละพาเจ้ามาส่งที่นี่ และซื้อหาอาหารให้พวกเรา” อาเตี่ยชูถุงกระดาษเก็บเงินที่อาบ๊วยคุ้นตาดีให้ดู อาบ๊วยยิ้มออกมาได้ เป็นรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจที่ไม่เคยปรากฏแก่เขาเลยในชีวิต เขาดีใจที่รอดชีวิตมาได้ ดีใจที่ได้พบหน้าเตี่ยกับแม่อีกครั้งและดีใจที่ได้น้องชายจริง ๆ ของเขา
ทุกสิ่งทุกอย่างในวันนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มี บทเรียนของเตี่ยในวันนั้น
~~~~~~~~~~จบ~~~~~~~~~~~~

จงตั้งความหวังในชีวิต สำหรับปี พ.ศ.๒๕๔๖ ใช้ความอุตสาหะ อดทน ทำความหวังนั้นให้เป็นจริง




Create Date : 30 สิงหาคม 2548
Last Update : 10 มีนาคม 2549 11:42:33 น. 3 comments
Counter : 532 Pageviews.  

 





ว้าว .. ยาว แฮะ ..

ขอไปทำงาน ป๊อบแป๊บ นะคะ ..

ส่งงานแล้ว จะรีบกลับมา อ่าน ..



สัญญา ค่ะ ..









โดย: foreverlovemom วันที่: 21 พฤษภาคม 2558 เวลา:10:34:06 น.  

 




อ่าน จบแล้วค่ะ ..

อ่าน ทุกๆตัวอักษร ทีเดียว ...


..


ยิ่งอ่าน ..

ก็ ยิ่ง พิศวง ..

งง ในความเป็นตัว ผู้เขียน ..

ทั้ง 3 เรื่องที่อ่าน .. ฉีก กันไป คนละทิศละทาง .. เหมือน คนละคน เขียน ..


..


และ ผู้เขียน รู้ ลึก .. รู้ จริง .. ทั้ง 3 เรื่อง ..


มึน ..

คนเขียน เป็นใคร ??

ทำไม ถึงได้ เก่ง ฉกาจ ปานนี้ คะ ??









หลังไมค์ ...




โดย: foreverlovemom วันที่: 22 พฤษภาคม 2558 เวลา:0:09:32 น.  

 


โดย: *bonny วันที่: 23 พฤษภาคม 2558 เวลา:11:30:13 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

*bonny
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




[Add *bonny's blog to your web]