Bloggang.com : weblog for you and your gang
บทตั้งของวิธีเจริญสติ
ดังตฤณ
บทตั้งนี้มีไว้เพื่อให้ทราบว่าจะเอาประโยชน์อะไรจากการเจริญสติตามวิธีของพระพุทธเจ้า ตลอดจนเข้าใจชัดๆกันแต่แรกว่าการเจริญสติคือการเอาสติไปรู้อะไรบ้าง จะได้ไม่ไขว้เขวออกนอกทางในภายหลัง
วิธีเจริญสติของพระพุทธเจ้านั้น เป็นไปเพื่อพบบรมสุขอันมหัศจรรย์ การจะรู้จักรสสุขอันมหัศจรรย์นั้น จิตต้องแปรสภาพเป็นดวงไฟใหญ่ล้างผลาญเชื้อแห่งทุกข์ให้สิ้นซาก ไม่หลงเหลือส่วนให้กลับกำเริบเกิดเป็นทุกข์ทางใจขึ้นได้อีก
จิตที่สว่างเป็นไฟใหญ่ล้างกิเลสนั้น คือภาวะแห่งการบรรลุมรรคผล เราไม่อาจบรรลุมรรคผลด้วยการควบคุมดินฟ้าอากาศหรือร่างกายภายนอกให้เป็นไปในทางใดๆ ทางเดียวที่จะทำได้คือเจริญสติ เพื่อพัฒนาจิตให้อยู่ในสภาพที่มีกำลัง มีความผ่องใส เป็นอิสระไม่หลง ติดกับ เหยื่อล่อทั้งหลาย กระทั่งแก่กล้าพอจะยกระดับปฏิวัติตนเอง หมุนทวนกลับจากวังวนอุปาทานขึ้นสู่สภาพหลุดพ้นที่เด็ดขาด
หลุดพ้นจากอะไร? หลุดจากสิ่งที่นึกว่าเป็นตัวเรา หลุดพ้นจากความเกาะเกี่ยวที่ไร้แก่นสารทั้งปวง สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงให้กำหนดรู้นั่นแหละ คือสิ่งที่เรากำลังเกาะเกี่ยว โดยนึกว่าเป็นเรา หรือสำคัญมั่นหมายว่าเป็นของเรา
สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงให้กำหนดรู้มีอยู่ ๔ ประการ ได้แก่
๑) กายในกาย
หมายถึงให้รู้ส่วนใดส่วนหนึ่งของความเป็นกาย เช่น ขณะนี้หลังงอหรือหลังตรง รู้เพียงเท่านี้ก็ได้ชื่อว่ามีสติเห็นองค์ประกอบหนึ่งของกายแล้ว และเมื่อรู้เช่นนั้นได้ก็ให้ตามรู้ตามดูต่อไป ว่าจะมีสิ่งใดให้เห็นภายในขอบเขตของกายได้อีก เช่นในกายนั่งหลังตรงหรือหลังงอนี้ กำลังต้องการลากลมเข้า หรือระบายลมออก หรือหยุดทั้งลมเข้าและลมออกสงัดนิ่งอยู่
ถ้าเพียรรู้กายในกายได้เสมอๆ ก็ย่อมเกิดสติเห็นตามจริงว่ากายไม่ใช่เรา ไม่ว่าจะส่วนย่อยหรือส่วนใหญ่โดยรวม เราจะรู้สึกอย่างที่กายปรากฏให้รู้สึก ไม่ใช่หลงยึดว่ากายเป็นเราอย่างที่กิเลสมันบงการให้ยึด และในความไม่ยึดกายนั่นเอง จิตย่อมคลาย มีความผ่องใสไม่เป็นที่ตั้งของความโลภโมโทสันและความเศร้าโศกทั้งหลาย
๒) เวทนาในเวทนา
หมายถึงให้ทราบความรู้สึกหนึ่งๆ เช่น ขณะนี้กำลังสบายหรืออึดอัด รู้เพียงเท่านี้ก็ได้ชื่อว่ามีสติเห็นหนึ่งในความรู้สึกแล้ว และเมื่อรู้เช่นนั้นได้ก็ให้เฝ้าตามรู้ตามดูต่อไป ว่าจะมีสิ่งใดให้เห็นภายในขอบเขตของความรู้สึกสุขทุกข์ได้อีก ไม่จำกัดว่าต้องดูภาวะใดภาวะหนึ่งของเวทนาเพียงอย่างเดียว
ถ้าเพียรรู้เวทนาในเวทนาได้เสมอๆ ก็ย่อมเกิดสติเห็นตามจริงว่าเวทนามีอยู่หลากหลาย และเหล่าเวทนาก็ไม่ใช่เรา ไม่ว่าจะสบายหรืออึดอัดเพียงใด เราจะรู้สึกอย่างที่เวทนาปรากฏให้รู้สึก ไม่ใช่หลงยึดว่าความสบายเป็นของเรา กับทั้งไม่หลงยึดว่าความอึดอัดเป็นเรื่องที่ต้องรีบกำจัดทิ้งไปจากเรา และในความไม่ยึดเวทนานั่นเอง จิตย่อมคลาย มีความผ่องใสไม่เป็นที่ตั้งของความโลภโมโทสันและความเศร้าโศกทั้งหลาย
๓) จิตในจิต
หมายถึงให้รู้ภาวะของจิตในขณะหนึ่งๆ เช่น ขณะนี้กำลังสงบนิ่งหรือขัดเคืองรำคาญ รู้เพียงเท่านี้ก็ได้ชื่อว่ามีสติเห็นภาวะของจิตขณะหนึ่งแล้ว และเมื่อรู้เช่นนั้นได้ก็ให้เฝ้าตามรู้ตามดูต่อไป ว่าจะมีสิ่งใดให้เห็นภายในขอบเขตของความเป็นจิตได้อีก ไม่จำกัดว่าต้องดูภาวะใดภาวะหนึ่งของจิตเพียงอย่างเดียว
ถ้าเพียรรู้จิตในจิตได้เสมอๆ ก็ย่อมเกิดสติเห็นตามจริงว่าจิตมีอยู่หลากหลาย และบรรดาจิตก็ไม่ใช่เรา ไม่ว่าจะอยู่ในภาวะสงบนิ่งหรืออยู่ในภาวะขัดเคืองรำคาญ เราจะรู้สึกอย่างที่จิตปรากฏสภาพให้รู้สึก ไม่ใช่หลงยึดว่าความสงบนิ่งควรเป็นสภาพดั้งเดิมของจิตเรา กับทั้งไม่หลงยึดว่าความขัดเคืองรำคาญต้องไม่เกิดขึ้นกับจิตของเรา และในความไม่ยึดจิตนั่นเอง จิตย่อมคลาย มีความผ่องใสไม่เป็นที่ตั้งของความโลภโมโทสันและความเศร้าโศกทั้งหลาย
๔) ธรรมในธรรม
หมายถึงให้รู้สภาพธรรมต่างๆในแต่ละขณะ เช่น ขณะนี้ระลอกความคิดผุดขึ้นหรือดับลง รู้เพียงเท่านี้ก็ได้ชื่อว่ามีสติเห็นสภาพธรรมในแต่ละขณะแล้ว และเมื่อรู้เช่นนั้นได้ก็ให้เฝ้าตามรู้ตามดูต่อไป ว่าจะมีสิ่งใดให้เห็นภายในขอบเขตของสภาพธรรมต่างๆได้อีก ไม่จำกัดว่าต้องดูภาวะใดภาวะหนึ่งของสภาพธรรมเพียงอย่างเดียว
ถ้าเพียรรู้ธรรมในธรรมได้เสมอๆ ก็ย่อมเกิดสติเห็นตามจริงว่าธรรมมีอยู่หลากหลาย และปวงธรรมก็ไม่ใช่เรา ไม่ว่าสิ่งที่ผุดขึ้นขณะนี้หรือสิ่งที่ลับล่วงไปแล้ว เราจะรู้สึกอย่างที่ธรรมปรากฏสภาวะให้รู้สึก ไม่ใช่หลงยึดว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ผุดขึ้นเป็นเรา กับทั้งไม่หลงยึดว่าสิ่งที่ลับล่วงไปแล้วเคยเป็นเรา และในความไม่ยึดธรรมนั่นเอง จิตย่อมคลาย มีความผ่องใสไม่เป็นที่ตั้งของความโลภโมโทสันและความเศร้าโศกทั้งหลาย
จากความรู้สึกว่ากาย เวทนา จิต ธรรมไม่ใช่เรา จะพัฒนาจนกลายเป็นความรู้ชัดว่าไม่มีสิ่งใดเป็นเรา และเมื่อรู้ชัดอย่างต่อเนื่องย่อมคลายจากอาการยึดทั้งปวง เมื่อคลายจากอาการยึดทั้งปวงย่อมลิ้มรสความว่าง ว่ายอดเยี่ยมกว่ารสทั้งปวงปานใด
รู้ลมหายใจ
ขั้นแรกของการฝึกมีสติอยู่กับกาย
การเริ่มปฏิบัติที่ง่ายที่สุด คือการเข้าไปรู้สิ่งที่มีติดตัวอยู่แล้ว และปรากฏให้รู้อยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องดัดแปลง ไม่ต้องสร้างใหม่ นั่นก็ได้แก่ลมหายใจ การฝึกมีสติอยู่กับลมหายใจนับเป็นบาทฐานของการฝึกมีสติอยู่กับกายเสมอๆ
ลมหายใจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับลงอยู่ตลอดเวลา ทว่าเพียงบางขณะเท่านั้นที่เราเข้าไปรู้สึกถึงลมหายใจ เช่นเมื่อเหนื่อยหอบต้องหายใจถี่ หรือเมื่อถอนใจโล่งอกเมื่อเรื่องร้ายๆผ่านไปเสียได้ นอกนั้นลมหายใจมีก็เหมือนไม่มี เพราะไม่เคยเป็นที่สนใจรับรู้
การฝึกรู้ลมหายใจให้ได้เรื่อยๆนับเป็นความแปลกใหม่ แน่นอนว่าแรกๆเมื่อยังไม่คุ้นก็อาจทำไม่ค่อยถูก จับจุดไม่ค่อยถนัด หรือกระทั่งอึดอัดได้ ต่อเมื่อฝึกสั่งสมประสบการณ์จนกระทั่งเริ่มมีใจรักที่จะอยู่กับลมหายใจ เห็นลมหายใจเป็นเครื่องเล่นของสติ ถึงเวลานั้นสติจะตั้งรู้อยู่อย่างผ่อนคลาย และกลายเป็นศูนย์กลางของความรู้สึกตัวอย่างสำคัญ
การฝึกรู้ลมหายใจทำได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนดังนี้
๑) ตั้งกายตรงดำรงสติมั่น
เมื่อเริ่มฝึกช่วงแรกสุดควรอยู่ในที่สงัดสบาย มีสติไม่เหนื่อยล้า ขอให้สังเกตว่าถ้าส่วนหลังตั้งตรงจะช่วยสนับสนุนให้เกิดความรู้สึกถึงลมหายใจชัดเจนกว่าเมื่อหลังงอ กล่าวอย่างย่นย่อเพื่อให้จำง่ายคือเมื่อใดอยู่ในที่ปลอดคน ขอให้สังเกตว่ากำลังหลังตรงหรือหลังงอ เพียงเท่านั้นก็จะเกิดสติพร้อมรู้ตัวขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว และถ้าสตินั้นดันหลังให้ตั้งตรงโดยไม่ฝืน ก็นับเป็นสติพร้อมรู้สึกถึงลมหายใจในทันที จะปิดตาหรือเปิดตาไม่สำคัญ สำคัญที่ให้แน่ใจว่าจิตไม่ซัดส่ายเพราะการเคลื่อนของดวงตาเป็นพอ
๒) มีสติหายใจออก
ลากลมหายใจเข้าสบายๆ แต่อย่าเพิ่งกำหนดรู้ เพราะถ้ารีบตั้งสติกำหนดลมเข้าเสียแต่แรก คนส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับสายลมเข้าจนกลายเป็นเพ่งจับแรงเกินไป จึงอึดอัดคัดแน่น หรือมีกายกำเกร็งด้วยความคาดหวังเร่งรัดให้เกิดความสงบทันที แต่หากลากลมหายใจเข้าจนสุดแบบผ่อนพัก แล้วจึงกำหนดสติรู้ลมขณะผ่อนออก ก็จะไม่รีบรีดลมจนท้องเกร็ง และรู้สึกว่าลมหายใจเป็นสิ่งถูกเห็นได้ง่าย ขอให้จำไว้ว่าถ้าสบายขณะรู้สึกถึงลมหายใจออก แปลว่ามีสติขณะหายใจออกแล้ว
๓) มีสติหายใจเข้า
เมื่อผ่อนลมหายใจออกหมด ขอให้สังเกตว่าร่างกายต้องการหยุดลมนานเพียงใด เมื่อสังเกตจะทราบว่าร่างกายไม่ได้ต้องการลมเข้าทันที แต่จะมีช่วงหยุดพักหนึ่ง เมื่อรู้สึกถึงช่วงพักลมนั้นได้ตามจริง ก็จะเกิดความผ่อนคลายสบายใจ และสำคัญที่สุดคือพอร่างกายต้องการลมเข้าระลอกต่อไป ก็จะเกิดสติรู้ขึ้นเอง โปรดจำไว้ว่าการรีบดึงลมเข้าก่อนความต้องการของกายไม่ถือว่าเป็นสติ แต่นับเป็นความอยาก และขอให้สังเกตด้วยว่าอาการทางกายที่เกื้อกูลกันกับลมเข้าได้ดีที่สุด คืออาการที่หน้าท้องค่อยๆพองออกทีละน้อยกระทั่งลมสุดปอด
๔) รู้ทั้งลมยาวและลมสั้น
ช่วงลมหายใจแรกๆที่กำหนดสติรู้ ขอให้สังเกตว่าจะมีความลากเข้ายาว ผ่อนออกยาวได้อย่างสบาย ลมยาวเป็นสิ่งถูกรู้ได้ง่าย แต่เมื่อชักลมยาวได้เพียงครั้งสองครั้ง ร่างกายก็จะต้องการลมสั้นลง ซึ่งก็ต้องตั้งสติมากกว่าเดิมจึงรู้ได้ สติจะขาดตอนหรือไม่จึงมักอยู่ที่ช่วงลมสั้น หากยังรักษาสติไว้ได้ก็จะเกิดความรู้ต่อเนื่อง เมื่อฝึกจนไม่มีความอยากบังคับเอาแต่ลมยาว กับทั้งไม่เหม่อลอยขณะหายใจสั้น ก็นับว่าฝึกข้อนี้ได้สำเร็จ อุบายง่ายๆคือควรรู้สึกถึงช่วงลมหยุดให้ดีๆ อย่ารีบร้อนเร่งรัดลมเข้า ให้กายเป็นผู้บอกว่าจะเอาลมเข้าเมื่อไร สมควรยาวหรือสั้นแค่ไหน เท่านี้จะช่วยได้มาก
๕) เห็นว่าจิตเราเป็นผู้รู้ลม
ให้สำรวจเสมอๆว่าเราเพ่งจ้องลมแรงเกินไปหรือเปล่า หากเพ่งไปข้างหน้าแรงเกินพอดี ก็จะพบว่าความรับรู้ทั้งหมดมีขนาดเท่าๆกับลมหายใจ เป็นความรับรู้แน่นๆคับแคบไม่สบาย แต่หากเฝ้ารู้อยู่เบื้องหลัง ก็จะพบว่าความรับรู้มีขอบเขตกว้างเกินลมหายใจเข้าออก เช่นรู้สึกถึงท่าทางที่นั่งอยู่ด้วยว่ากำลังหลังงอหรือหลังตรง ในสภาพจิตที่รับรู้สบายๆได้เกินลมหายใจนั้น เราจะเห็นตนเองเป็นผู้รู้ทั่วถึง คือทราบลมแบบต่างๆอย่างเท่าเทียมกัน ไม่เพ่งเฉพาะขาเข้า ไม่รู้ชัดเฉพาะตอนยาวเหมือนเมื่อก่อน
๖) ระงับความกวัดแกว่งทางกาย
ให้เท่าทันเมื่อมีความกระดุกกระดิกทางกาย ไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่ง เมื่อเท่าทันอาการกระดุกกระดิกส่วนใดส่วนหนึ่ง ก็ย่อมเห็นกายโดยรวมว่ามีความนิ่ง ในความนิ่งนั้นรู้อยู่เห็นอยู่ว่าลมกำลังออก กำลังเข้า หรือกำลังหยุดอยู่ เหมือนกายเป็นฐานที่ตั้งอันมั่นคงของลมหายใจที่เริ่มประณีต จิตก็จะพลอยระงับไม่กวัดแกว่งตามกายยิ่งๆขึ้นไปด้วย
๗) เพียรต่อเนื่องจนเกิดภาวะรู้ชัด
เมื่อทำมาตามลำดับจะรู้สึกตื่นตัวขึ้นเรื่อยๆ กายกับจิตทำงานรับกันกระทั่งเกิดภาวะรู้ชัด เปรียบเหมือนช่างกลึงผู้ชักเชือกอย่างฉลาดและขยัน เมื่อชักยาวก็รู้ชัดว่าชักยาว เมื่อชักสั้นก็รู้ชัดว่าชักสั้น สติที่ต่อเนื่องขึ้นเรื่อยๆย่อมก่อให้เกิดพลังรับรู้ไม่ขาดสาย ถึงจังหวะนี้จะรู้สึกว่าเรามีสองตัว ตัวหนึ่งเป็นรูปธรรมคือลมเข้าออกปรากฏชัดอยู่ตรงหน้า ส่วนอีกตัวหนึ่งเป็นนามธรรมคือจิตที่ตื่นตัว เต็มไปด้วยความพร้อมรู้กระจ่างใสอยู่ทุกขณะ
๘) พิจารณาลมโดยความไม่เที่ยง
ให้พิจารณาลมหายใจโดยความเป็นของไม่เที่ยง เช่นมันมาจากภายนอก เข้ามาสู่ภายใน แล้วต้องคืนกลับออกไปสู่ความว่างภายนอกเหมือนเดิม หรืออาจมองว่าลมเข้าออกขณะก่อนก็ชุดหนึ่ง ลมเข้าออกขณะนี้ก็อีกชุดหนึ่ง ไม่เหมือนกัน เป็นคนละตัวกัน เห็นอย่างไรให้พินิจไปเรื่อยๆอย่างนั้น แก่นสำคัญของการเห็นคือรู้สึกชัดว่าลมหายใจไม่เที่ยง ไม่ใช่อันเดิมแล้วก็แล้วกัน
๙) พิจารณาความระงับกิเลสเพราะรู้ลมอยู่
เมื่อรู้จักลมหายใจของตนเองดีพอ เราจะรู้สึกถึงลมหายใจของคนอื่นแม้เพียงมองด้วยหางตา และเห็นว่าไม่ต่างกันเลยกับของเรา นั่นคือมีออกแล้วมีเข้า มีเข้าแล้วมีออก สักแต่เป็นภาวะพัดไหวครู่หนึ่งแล้วหยุดระงับลงเหมือนๆกันหมด ถึงตรงนี้เราจะเกิดภาวะความรู้สึกขึ้นมาอีกแบบหนึ่ง แตกต่างไปจากสามัญ นั่นคือลมหายใจมีอยู่ก็สักว่าเพื่อระลึกรู้ และตราบใดที่จิตอยู่ในอาการสักแต่ระลึกรู้ ตราบนั้นย่อมไม่เกิดอาการทะยานอยาก ปราศจากความถือมั่นในอะไรๆในโลกชั่วคราว
เพียงด้วยขั้นแรกของการฝึกมีสติอยู่กับกายนี้ เราก็จะได้ความเชื่อมั่นขึ้นมาหลายประการ ประการแรกคือไม่ต้องออกเดินทางไปไหน เพียงกำหนดใจเข้ามาภายในกาย ดูแต่ลมหายใจ ก็ยุติความทะยานอยากอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ได้แล้ว
ประการที่สอง เมื่อดูลมหายใจเป็น เราจะได้ราวเกาะของสติชั้นดีที่มีติดตัวอยู่ตลอดเวลา ตราบใดยังมีลมหายใจ ตราบนั้นเราได้แหล่งเจริญสติเสมอ ไม่ต้องเปลืองแรงเดินทางไปไหน
และอีกประการที่สำคัญและไม่ควรนับเป็นประการสุดท้าย เราจะได้ความเข้าใจว่าที่ลมหายใจมีความเหมาะสมสำหรับผู้เริ่มต้นฝึกเจริญสติ ก็เพราะเราสามารถใช้เป็นเครื่องตรวจสอบสติได้อย่างชัดเจน ว่ากำลังอยู่กับปัจจุบันอย่างถูกต้องหรือผิดพลาด เนื่องจากลมหายใจมีได้เพียงสามจังหวะ คือเข้า ออก และหยุด ไม่มีนอกเหนือไปจากนี้ หากขณะหนึ่งๆเราบอกไม่ถูกว่าลมกำลังอยู่ในจังหวะไหน ก็แปลว่าสติของเราขาดไปแน่ๆ และเมื่อรู้ว่าสติขาด ก็จะได้รู้ต่อว่าควรนำกลับมาตั้งไว้ตรงไหนด้วย
Create Date : 16 ตุลาคม 2550
Last Update : 21 กันยายน 2553 16:54:34 น.
6 comments
Counter : 838 Pageviews.
Share
Tweet
4 ข้อที่พระพุทธเจ้าท่าสั่งให้กำหนดรู้ นี่ใช่ สติปัฏฐาน 4 ใช่ไหมครับ จำได้ตอนที่ก่อนจะถือศีลทุกครั้ง ต้องท่องว่า กาย เวทนา จิต ธรรม น่ะครับ
ผมเองเมื่อก่อนปฏิบัติธรรมบ่อยมากเลยครับ เน้นสาย พอง-ยุบ ปัจจุบัน ทำงานแล้ว ไม่มีเลยครับ โอกาสที่จะไป
และสุดท้าย เมื่อไหร่ คำว่าไม่มีเวลา มันจะไปจากตัวผมซะทีหนอ 55555
โดย: null (
เข็มขัดสั้น
) วันที่: 16 ตุลาคม 2550 เวลา:16:06:55 น.
กำลังทำอยู่จ้า
โดย:
maxpal
วันที่: 16 ตุลาคม 2550 เวลา:16:21:16 น.
กำลังพยายาม แต่มันยากจัง เมี้ยว
โดย:
แพนด้ามหาภัย
วันที่: 16 ตุลาคม 2550 เวลา:16:54:30 น.
ปุ๊ก ช่วงนี้สติไม่ค่อยอยู่กะเนื้อกะตัวพอดี 555 แต่ช่วงที่ได้ไปยุวพุทธ เราว่าเราได้อยู่กะตัวเองมากๆ ปีนี้ยังไม่ได้ไปยาวๆเลย ไปแค่ 3 - 4 วัน เหมือนยังไม่ค่อยได้อะไร จะหมดปีแย้ว ไม่รู้จะมีเวลาได้ไปปฏิบัติธรรมอีกอะป่าว อยู่บ้านแล้วจิตใจมันวุ่นวายเหลือเกิน 555
โดย: eeh (
คิตตี้น้อยสีชมพู
) วันที่: 16 ตุลาคม 2550 เวลา:17:10:41 น.
คือว่า เดี๋ยวกลับมาอ่านน้า
พอดีง่วงมากค่ะ
โดย:
Piterek
วันที่: 16 ตุลาคม 2550 เวลา:21:15:58 น.
ชอบเป็นพิเศษตรง 9 ข้อด้านล่าง มีเคล็ดที่เป็นประโยชน์ทุกข้อเลย
"นั่นคือลมหายใจมีอยู่ก็สักว่าเพื่อระลึกรู้ และตราบใดที่จิตอยู่ในอาการสักแต่ระลึกรู้ ตราบนั้นย่อมไม่เกิดอาการทะยานอยาก ปราศจากความถือมั่นในอะไรๆในโลกชั่วคราว"
ชอบตรงนี้ด้วย เห็นด้วยว่าใช่เลย เป็นเช่นนี้จริงๆ
โดย:
อะไรคือสิ่งหายาก แต่ไม่มีค่า
วันที่: 16 ตุลาคม 2550 เวลา:22:46:25 น.
ชื่อ :
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
Hobbit
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [
?
]
ตามรอยพระอริยะ
หลวงพ่อชา สุภัทโท
พระโพธิญานเถระแห่งหนองป่าพง
ฺประมวลธรรมเทศนา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
อ่านออนไลน์ได้ที่นี่ค่ะ
ขอบคุณครูซุปเคมากนะคะที่ส่งให้ (-/l\-)
http://www.supkcenter.com
Music
Playlist
at
MixPod.com
Group Blog
My Smile - - คัดรอยยิ้มให้ชีวิต~
My Healthy Plan - - คัดสุขภาพ~
My Kitchen - - คัดเมนู~
My Merit Diary - - คัดความดีงาม~
My Inspiration~ - - คัดแรงบันดาลใจ
My Tag - - คัด Tag
My Etc. - - คัดชีวิตจิปาถะ~
My Drawing - - คัดลายเส้น~
My International songs - - คัดเสียงเพลงนานาชาติ~
My Thai songs - -คัดเสียงเพลงสัญชาติไทย~ (Private)
My Recycle Bin - - คัดออกจากใจ~ (Private)
My Emotional Stories - - คัดอารมณ์คำ~ (Private)
My Investment - - คัดการบ้านการลงทุน (Private)
My Sati - - คัดการเจริญสติ~ (Private)
My Japanese Lesson - - คัดบทเรียนภาษาญี่ปุ่น~
<<
ตุลาคม 2550
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
16 ตุลาคม 2550
บทตั้งของวิธีเจริญสติ
All Blogs
ไปเป็นลูกโยคี...ตอนที่ 4 : รูปแบบการปฏิบัติ
ไปเป็นลูกโยคี...ตอนที่ 3 : ระเบียบปฏิบัติตนและตารางการปฏิบัติ
ไปเป็นลูกโยคี...ตอนที่ 2 : ที่พัก การเดินทาง และอาหาร
ไปเป็นลูกโยคี...ตอนที่ 1 : รายละเอียดของหลักสูตรฯ และการสมัคร
โอวาทครั้งสุดท้ายของอาจารย์มั่น
จิตวิทยาแห่งการอยู่คนเดียว
รวมสถานที่ปฏิบัติธรรมยอดนิยม
รายชื่อสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดที่เข้าร่วมโครงการปฏิบัติธรรม ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
กฎระเบียบและข้อควรปฏิบัติของนักบวชเนกขัมมบารมีที่วัดสังฆทาน
กิจวัตรประจำวันของนักบวชเนกขัมมบารมีี วัดสังฆทาน
ขั้นตอนการบวชชีพราหมณ์ / เนกขัมมะที่วัดสังฆทาน และการลาสิกขา
วิธีการติดต่อขอบวชชีพราหมณ์ /เนกขัมมบารมี ที่วัดสังฆทาน
บวชชีพราหมณ์ / เนกขัมมบารมีที่วัดสังฆทาน : ความหมายและอานิสงส์ของการบวช
☺ทำบุญบ้านครูน้อย☺
เดี่ยวได้ไม่ต้องเหงา
"เป็นอะไรกันล่ะ จึงมานั่งร้องไห้"
ด่าเขา...เขานิ่ง...กรรมชิ่งกลับมาเข้าตน
♥◘ You get what you give ◘♥
เสียงธรรมเทศนาหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช - - งานบุญกฐิน ณ สวนสันติธรรม 28 ตุลาคม 2550
พระขันธปริตร - - บทสวดป้องกันอันตรายจากสัตว์มีพิษ
วิมุตติคือความหลุดพ้น - - หลวงปู่ขาว อนาลโย
บาปกรรม และการรักษาศีล ....หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
บทสวดจุลชัยยะมงคลคาถา วัดป่าเชิงเลน
วจีกรรมทางอินเตอร์เน็ตมีผลมากแค่ไหน
ธรรมะจากหลวงพ่อปราโมทย์ ปราโมชโช
เมื่อฉันเริ่มต้นทำทานด้วยเงินเพียง ๒ บาท
☼ ท่าน ว.วชิรเมธี พูดเรื่องกฎแห่งกรรม ในรายการตาสว่าง ☼
☼☺ ธรรมะจากแม่ ☺☼
วิธีเจริญเมตตา พระมิตซูโอะ คเวสโก
ความจริงของชีวิต
บทตั้งของวิธีเจริญสติ
วางใจอย่างไร เมื่อถูกใส่ร้าย
*+*We are the world*+*
เพื่อนแนะนำให้ฉันไปทำ......"เสน่ห์ยาแฝด".......
ปฏิบัติธรรม...ง่ายนิดเดียว
แสวงหาคนจริงใจแต่ไม่เคยเจอ ต้องทำบุญอย่างไรถึงจะได้เจอคนจริงใจ?
คำพ่อแม่สอน
เอาหูไปรองเกี๊ยะเขาทำไม
ทำอย่างไรจึงจะเลิกโกรธได้เสียที
รู้ทุกข์ก่อนจึงรู้สมุทัย
Friends' blogs
whitelady
sailamon
กิน ๆ เที่ยว ๆ
แม่บ้านณ.โตเกียว
aston27
soulfighter
Omiya
pingpii
tk_station
Beee_bu
nokira
beer87
LilyAi
กระต่ายลงพุง
d.. diary
HoneyLemonSoda
tokei/tookei
Arnie
~Just Relax~
UnEdiTED
Kana Jan
ใบไม้ร่วงในป่าใหญ่
maip
งาขาว
li_goro
poivang
kaoim
PokDin
Chicky POP
Complicatedgirl
MuHN
nature-delight
น้องผิง
อั๊งอังอา
รื่นรมย์
bonbini
babybonus
Groof&Jeab
พื้นที่สีเขียว
Cooking_For_Love
LonelyLily
katase
umasa_ib
มันอยู่ในปอด
wimzaa
ordinary_hero
JbJp
J-Nap
ยุ่งชะมัด..สัตวแพทย์
Sweety_man
beebah
a r i t s u m e m o o n
เข็มขัดสั้น
Top27
I.Brother
ลูกสน
แพนด้ามหาภัย
Piterek
Second impact
Karz
akikonoh
Unravel
กาน้ำชากะเชี่ยนหมาก
KruFiat
Hobbit
SnowPatrol
the Vicky
khunz
หม๋องแหม๋ง
ชีริว
Still Alive
everything on
ซซ
ค่ำคืนหน้าหนาว
kannar
imuya
ห่วงใย
นายนิรันดร์
toor36
อะไรคือสิ่งหายาก แต่ไม่มีค่า
นางสาวดุ่บดั่บ
Jevanni
ฝากเธอ
sorry about that
psak28
นางไม้หน้า3
JewNid
thaispicy
ทุเรียนกวน ป่วนรัก
prezcot
littlebitlittlemore
catt.&.cattleya..
Johann sebastian Bach
maczy
hedgehog
NLG
Fullgold
KOok_k
thattron
นายแมมมอส
postmaker
คิตตี้น้อยสีชมพู
the grinning cheshire cat
rebel
bagarbu
อุ้มสี
Jannyfer
Denon
Neilnuch_T
COCOSWEET
a_mulika
Yushi
พีพีคุง
Q.NUH
มดทิพย์
deco_mom
fuku
บลูยอชท์
FreakGirL
buma_ka
Jiji&Kaka
Mint@da{-
ม่วนน้อย
BoOKend
redistuO
อาคุงกล่อง
ชะเอมหวาน
ellaper
myover
granun
esprit_pawin
กะว่าก๋า
สวยตลอดกาล
punkygals
mutcha_nu
adaytrip
apple juice
หมวยเกี๊ยะA2
ChaleenaP
ถ่านหินจำศีล
อะไรคือสิ่งหายาก แต่ไม่มีค่า
Webmaster - BlogGang
[Add Hobbit's blog to your web]
Links
สิ
นิตยสารธรรมะใกล้ตัว
3yen
getterTu
Happy Now
สวดมนต์ถวายพระพรในหลวง
พี่นก
Prinzessin auf der Erbse
แปลงหน่วย
พระธรรมเทศนาหลวงพ่อปราโมทย์
ฟังธรรมออนไลน์
รูปฮาๆ
Icy
Citecclub
นะ-พง
คุณ annie
Art Pad
GPEN
Diet
บ้านสุขภาพ
ฟังเพลง
ฟังเพลงผ่านmp3
กัลยาณธรรม
ธรรมสากัจฉา 1
ธรรมสากัจฉา 2
ธรรมสากัจฉา 3
ธรรมสากัจฉา 4
ห้องสมุดธรรมะ
smartdhamma
anucsf
VieTrio
คำสอนอุบาสกดังตฤณ
คุณวิลาศินี
Do What I Like
World Wide Gourmet
น้องขวัญ
รวม D-Clip หลวงพ่อปราโมทย์
รวมสื่อหลวงพ่อปราโมทย์
มุนิน
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
ผมเองเมื่อก่อนปฏิบัติธรรมบ่อยมากเลยครับ เน้นสาย พอง-ยุบ ปัจจุบัน ทำงานแล้ว ไม่มีเลยครับ โอกาสที่จะไป
และสุดท้าย เมื่อไหร่ คำว่าไม่มีเวลา มันจะไปจากตัวผมซะทีหนอ 55555