เติมเต็มหัวใจด้วยถ้อยคำ



หน้านี้อยากเอาไว้เก็บถ้อยคำดีๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจค่ะ
หวังว่าเพื่อนๆที่หลงเข้ามาหน้านี้จะได้อะไรกลับไปไม่มากก็น้อยนะคะ

สำหรับหน้าแรก..ครั้งแรก
ขอยกให้กับถ้อยคำที่ปุ๊กชอบมากที่สุดอันนี้ค่ะ


"To laugh often and much;
To win the respect of intelligent people
and the affection of children;
To earn the appreciation of honest critics
and endure the betrayal of false friends;
To appreciate beauty, to find the best in others;
To leave the world a bit better, whether by a
healthy child, a garden patch, or a redeemed social condition;
To know even one life has breathed easier
because you have lived.
This is to have succeeded."


Ralph Waldo Emerson (1803 - 1882)
American Essayist & Poet








Create Date : 04 กันยายน 2550
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2551 13:38:23 น. 22 comments
Counter : 1051 Pageviews.

 
"We do not inherit the world from our ancestors. We borrow it from our children."

โลกใบนี้มิใช่มรดกตกทอดจากบรรพบุรุษ
เราหยิบยืมมาจากลูกหลานของเราต่างหาก


Native American Saying.


โดย: Hobbit วันที่: 4 กันยายน 2550 เวลา:14:48:06 น.  

 
เล่นเน็ตมาเป็นสิบปี เพิ่งโดนคนที่ไม่เคยรู้จักเป็นการส่วนตัว และไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเราเลยมาป่วนเป็นครั้งแรก ก็เป็นประสบการณ์ชีวิตที่ดี เพราะสอนให้รู้จักให้อภัยมากขึ้น และปลงว่าใครเข้าใจผิดก็ช่างเขา แต่เราอย่าหลงผิดกับอารมณ์ส่วนเกิน อย่าโกรธจนล้นก็พอ

แต่เตือนตัวเองแล้ว ก็ควรจะสำรวจตัวเองด้วยเช่นกัน

บังเอิญเจอพี่ท่านนึงเลยถามตรงๆ ว่า
จากที่รู้จักกันมา พี่คิดว่าเราสร้างภาพไหม

พี่ท่านนั้นตอบว่าไม่คิด
และยังให้ข้อคิดได้สะกิดใจเรามากว่า

"ไม่ต้องสนใจหรอก ถ้าเราไม่ได้เป็นแบบนั้น

สมมติบ้านเราทาสีขาว

คนเดินผ่านมาชี้ บอกบ้านนี้สีแดงๆ

มันบ้า หรือเราบ้า"



ขอบคุณพี่ท่านนั้นมา ณ ที่นี่ด้วยค่ะ


โดย: Hobbit วันที่: 21 กันยายน 2550 เวลา:13:09:16 น.  

 
เมื่อวันก่อนยังร้อนนอนไม่หลับ
วันนี้กลับหนาวเย็นเห็นหรือไม่ ?
ทุกสิ่งไม่เที่ยงแท้ผันแปรไป
เตรียมใจไว้ว่าชีวิตอนิจจัง..


ไม่ทราบชื่อผู้แต่ง

แต่ขอบคุณคุณนิรมลมากนะคะที่กรุณาส่งมาให้


โดย: Hobbit วันที่: 11 ตุลาคม 2550 เวลา:17:12:58 น.  

 
หนูไม่อยากเป็นอภิมหาเศรษฐี : นักโทษจำเป็น ท่ามกลางการอารักขา ทุกฝีก้าว
-- ‘ รุ่งบุญ ‘ (จาก กรุงเทพวันอาทิตย์ ใน กรุงเทพธุรกิจ ฉบับ 30 ก.ค.43 ค่ะ)




ใครๆ ก็อยากรวยล้นฟ้ากันทั้งนั้น แต่สำหรับอธีนา โอนาสซิส เด็กสาววัย 15 ปีผู้ร่ำรวยที่สุดในโลกกลับเห็นว่า เงินคือตัวการทำลายความสุขที่แท้จริงและปิดกั้นอิสระเสรีในชีวิตของเธอ แถมยังประกาศว่า ทันทีที่ได้รับมรดกก้อนมหึมาจำนวน 12 พันล้านดอลลาร์จากคริสตินา โอนาสซิส ผู้เป็นมารดา เมื่ออายุครบ 18 ปี เธอจะขอเก็บเอาไว้ใช้เพียง 20 ล้านดอลลาร์ นอกนั้นจะบริจาคให้การกุศลทั้งหมด ...อะไรทำให้เธอคิดเช่นนั้น



ทุกวันนี้ หลานสาววัยรุ่นของ อริสโทเทิล โอนาสซิส อดีตอภิมหาเศรษฐีชาวกรีกมีชีวิตดังนักโทษ ไร้อิสระเสรีที่จะไปไหนมาไหนโดยลำพังเช่นเด็กในวัยเดียวกัน โดยมีองครักษ์ ผู้แข็งขันทั้งเจ็ดตามติดเป็นเงาไปทุกย่างก้าว ด้วยเกรงว่าสาวน้อยพันล้านจะถูกลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่


ชีวิตที่อับเฉาและเดียวดายของสาวน้อยมีเพียงม้าชื่อ อาร์โค อีกทั้งสุนัขพันธุ์แลบราดอร์ชื่อ 'นิกกี' และกระต่ายเป็นเพื่อน


เดิมทีอธีนาใฝ่ฝันที่จะเป็นนักกายกรรมในละครสัตว์ แต่ขณะนี้เธอเบี่ยงเบนความสนใจไปที่การทำฟาร์มเลี้ยงม้า โดยจะย้ายบ้านไปอยู่ในฟาร์มเสียเลย เพื่อให้หลุดพ้นจากวังวนชีวิตที่ราวกับถูกสาปของคนในตระกูลโอนาซิสแม้ เธียรี รูสเซล ผู้เป็นพ่อ จะออกมายืนยันว่า ลูกสาวของเขาเป็นเด็กที่พอใจกับชีวิตที่เป็นอยู่ แต่อธีนาก็ยังวิงวอน กาบี รูสเซล มารดาเลี้ยงว่า "คุณต้องอธิบายให้พ่อเข้าใจว่า หนูไม่ต้องการเงินหลายพันล้านนั่นหรอก เพราะเท่าที่เป็นอยู่นี้ หนูก็ทุกข์ทรมานใจมากพอแล้ว หนูเหมือนนักโทษ มีองครักษ์ตามติดไม่ว่าจะกระดิกตัวไปทางไหน ทำให้บางทีหนูเองก็อดระแวงผู้คนที่อยู่แวดล้อมไม่ได้ เวลาอยู่กับเพื่อนๆ หนูก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะคบหนูเพราะเงินหรืออะไรกันแน่ ไหนจะกลัวถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่อีก"


คริส ฮัทชินส์ นักเขียนเรื่อง "อธีนา: ทายาทคนสุดท้ายของตระกูลโอนาสซิส" ให้สัมภาษณ์นิตยสาร The Enquirer ว่า "แม้แต่เวลาที่อธีนายิ้ม ตาของเธอยังฉายแววกังวลอยู่ลึกๆ เพื่อนสนิทที่สุดของเธอคือม้า สุนัขและกระต่าย คนที่เคยใกล้ชิดกับครอบครัวของเธอเล่าว่า บางครั้งสาวน้อยก็เขียนจดหมายรักกุ๊กกิ๊กแลกเปลี่ยนกับหนุ่มในละแวกใกล้เคียง แต่ไม่เคยมีหนุ่มหน้าไหนช่วยคลายความเหงาและความทุกข์ทรมานที่เกาะกุมหัวใจเธอได้เลย


"สาวรุ่นผู้น่าสงสารไม่ต้องการที่จะมีประวัติศาสตร์ซ้ำรอยกับคริสตินา โอนาสซิส ผู้เป็นมารดา ซึ่งต้องลาโลกไปก่อนวัยอันควร เมื่ออายุได้ 37 ปี ด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ในช่วงที่มีชีวิตคริสตินาได้ชื่อว่าเป็นทายาทอภิมหาเศรษฐีที่ใช้ชีวิตเปลืองมากที่สุดคนหนึ่ง เธอมีประวัติติดยาเสพย์ติดและพยายามฆ่าตัวตายครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งมีอารมณ์รุนแรงฉุนเฉียวและผ่านชีวิตคู่ที่ต้องจบด้วยการหย่าถึง 4 ครั้ง


"อธีนาอาจกลายเป็นคนที่เปล่าเปลี่ยวและหลงทางชีวิตเช่นเดียวกับแม่ของเธอก็เป็นได้" ฮัทชินส์ให้ความเห็น


แม้สาวน้อยพันล้านจะสามารถแต่งตัวให้เลิศหรูอย่างไรก็ได้ แต่เธอกลับมีรสนิยมแบบสาวรุ่นทั่วไป คือ นุ่งยีนส์ตัวโคร่ง สวมรองเท้าส้นตึกและผูกนาฬิกาพลาสติกราคาถูก ซึ่งเธออุตส่าห์ถอดนาฬิกาโรเล็กซ์ราคา 1,500 ดอลลาร์แลกกับเพื่อน


นกน้อยในกรงทอง อย่างเธอรอวันที่จะเป็นอิสระเพื่อโบยบินสู่โลกกว้างตามใจปรารถนา แม้อยากไปเต้นระบำตาม ดิสโก้เธค นัดเที่ยวเตร่กับเพื่อนฝูงใจจะขาด สาวน้อยผู้น่าสงสารก็ไม่อาจทำได้ ทั้งๆ ที่มีเงินทองกองท่วมหัวก็ตาม




ทุกวันนี้ เด็กสาวผู้ร่ำรวยที่สุดในโลกอาศัยอยู่กับบิดาและมารดาเลี้ยงภายในบ้านที่มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา เชิงเขาแอลป์สในประเทศสวิตเซอร์แลนด์


"เมื่อใดที่อธีนาออกไปนอกบ้าน จะมีคนตามไปอารักขาเธอทันที เวลาที่เธอไปขี่ม้า องครักษ์ซึ่งพกปืนอัตโนมัติก็จะขี่จักรยานภูเขาตามเธอไปไม่ให้คลาดสายตา แม้แต่เวลาที่เธอไปงานปาร์ตี้และค้างคืนที่บ้านเพื่อน ก็จะมีเจ้าหน้าคุ้มกันบ้านกันให้พรึ่บทีเดียว หลายครั้งที่แผนลักพาตัวเธอเกิดล้มเหลว แต่ก็ยังมีคำขู่ที่จะทำเช่นนั้นอยู่ อธีนาเองก็ทราบว่ามีคนจ้องประทุษร้ายเธอๆถึงได้กลัวจนประสาทจะเสียอยู่แล้ว" แหล่งข่าวใกล้ชิดเผย


ไม่เพียงแต่เท่านั้น สาวน้อยพันล้านยังไปโรงเรียนในรถเมอร์เซเดสกันกระสุน และจะมีการตรวจตราในห้องนอนของเธออย่างถ้วนถี่ทุกครั้ง ก่อนที่เธอจะนอนทุกคืน


นานวันเข้า อธีนาก็ยิ่งตระหนักว่า เงินทองทรัพย์สินมหาศาลที่เธอครอบครองอยู่ไม่อาจซื้อความสุขและความมีอิสระเสรีในชีวิตอย่างแท้จริงได้ "ถ้าหนูเผาเงินทิ้งซะ มันคงหมดปัญหา "เธอครวญกับมารดาเลี้ยง


อย่างไรก็ตาม การที่เด็กสาวไม่บูชาเงินเป็นพระเจ้าและเป็นคนติดดินนั้น คงต้องยกประโยชน์ให้แก่ผู้เป็นบิดาและมารดาเลี้ยงที่ได้พยายามอบรมสั่งสอนให้ลูกๆ รู้คุณค่าที่แท้จริงของสิ่งต่างๆ ในชีวิตมาตลอด อีกทั้งภายในคฤหาสน์ขนาดกลางหลังสีชมพูสไตล์สทัคโคที่อธีนาอาศัยอยู่ร่วมกับน้องต่างมารดาอีก 3 คนนั้นอบอวลด้วยไอรักอบอุ่นและความเข้าใจอันดีต่อกัน


เธียรีและกาบี ได้วางกฎให้ลูกๆ ทั้งสี่ปฏิบัติเป็นประจำคือ การช่วยรับผิดชอบงานบ้านตามที่ได้รับมอบหมาย รับประทานอาหารที่จัดเตรียมไว้ให้โดยไม่มีข้อแม้ และบริจาคของเล่นที่โปรดปรานแก่เด็กยากจนทุกปี


จะเห็นได้ว่า อธีนาไม่ได้รับการตามใจเป็น 'คุณหนู' จนเสียเด็กอย่างที่มารดาของเธอเคยปฏิบัติต่อเธอในอดีตเมื่อเธอยังเล็กอยู่ โดยการแสดงความรักออกนอกหน้าอย่างพร่ำเพรื่อและสิ้นเปลืองเงินทองโดยใช่เหตุ เช่นที่คริสตินาซื้อสวนสัตว์เล็กๆ ใกล้กรุงปารีสให้ลูกสาวสุดสวาทคนเดียว ไม่เพียงแต่เท่านั้น ยังชอบจัดงานปาร์ตี้โก้หรูอวดมั่งอวดมี แต่งตัวลูกด้วยเสื้อผ้าของดีไซเนอร์ชั้นนำของโลก และให้พี่เลี้ยงอุ้มไว้ตลอด ทั้งที่หนูน้อยสามารถเดินได้เองนานแล้ว


นอกจากนี้ ยังเป็นโชคดีของอธีนาที่เธอได้รับถ่ายทอดอุปนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตน สมถะ และมีน้ำอดน้ำทนมาจากอริสโทเทิล โอนาสซิส ผู้เป็นตามาไม่น้อย เมื่ออายุได้ 16 ปี เขาได้เดินทางไปเผชิญโชคในกรุงบัวโนส ไอเรส โดยมีเงินติดกระเป๋าเพียง 60 ดอลลาร์ ต้องดิ้นรนทุกอย่างเพื่อให้อยู่รอด รวมทั้งเคยทำงานในบริษัทโทรศัพท์ที่ได้ค่าจ้างเพียง 25 เซนต์ต่อชั่วโมง และเคยเข็นรถเร่ขายยาสูบตามท้องถนนมาก่อนที่จะได้เป็นอภิมหาเศรษฐีของโลกในเวลาต่อมา


เหตุผลอีกประการหนึ่งที่สาวน้อยผู้มุ่งมั่นคิดจะหันหลังให้กับกองมรดกมหึมา นั่นคือการที่เธอต้องการจะปิดฉากตำนานความโชคร้ายของคนในตระกูลโอนาสซิส รวมถึงการที่มารดาและลุงของเธอต้องถูกคร่าชีวิตไปก่อนวัยอันควร


เด็กสาวผู้มีจิตเมตตากำลังวางแผนสลัดความมั่งคั่งที่เกาะสันหลังเธออยู่ โดยจะบริจาคเงินมรดกกองโตจากผู้เป็นแม่ให้แก่มูลนิธิช่วยเหลือสัตว์ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับม้า อีกทั้งจะช่วยเหลือเด็กผู้ด้อยโอกาส ให้เงินบำรุงโรงพยาบาลและ สนับสนุนงานวิจัยค้นคว้าเกี่ยวกับยาที่รักษาเด็กเฉพาะทาง


ความตั้งใจอันประเสริฐของสาวน้อยผู้ยินดีเสียสละประโยชน์ส่วนตนอันมหาศาลเพื่อประโยชน์ส่วนรวมอย่างอเนกอนันต์จะสัมฤทธิผลหรือไม่ คงต้องรอดูกันต่อไป



เธอเป็นเด็กอายุ 15 ยังรู้จักพอ ทั้งๆ ที่มีเหลือกินเหลือใช้ไปอีกหลายชาติ คงทำให้ผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักพอ รู้สึกละอายใจกันบ้าง



โดย: Hobbit วันที่: 14 ตุลาคม 2550 เวลา:17:14:47 น.  

 
หากคิดว่าเราดี คนอื่นชั่วเมื่อใด
เราเองก็ชั่วเมื่อนั้น


Anonymous

เจอจากเว็บธรรมะ แต่ไม่ทราบว่าท่านใดเป็นคนพิมพ์ค่ะ


บางครั้งเวลาเจอคนที่เราไม่ชอบ คิดว่าเค้าไม่ดี
ประโยคนี้ก็จะผุดขึ้นมาทุกที
เค้าไม่ดียังไงก็แล้วแต่ แต่เราควรย้อนมาดูที่ตัวเราเองมากกว่า
จะไปตัดสินคนอื่นให้เสียเวลาเปล่า

ไม่มีใครดีไปตลอด ไม่มีใครชั่วไปตลอด
หากเอาเวลาไปเที่ยวตัดสินว่าใครดี ไม่ดี
เราเองก็หมดเวลาทำความดีไปโดยปริยายค่ะ


โดย: Hobbit วันที่: 14 ตุลาคม 2550 เวลา:21:49:22 น.  

 




ทุกครั้งที่เห็นรูปแม่ชีเทเรซ่า

จากอีโก้ ถือตัว เย่อหยิ่ง
จากโทสะ คิดร้าย รุ่มร้อน

ก็จะอ่อนลงทุกครั้งไป...


ถ้าถามว่าใครคือบุคคลสุดยอดของโลก
ในใจเราต้องมีชื่อท่านอยู่ 1 ชื่อแน่นอน



โดย: Hobbit วันที่: 4 พฤศจิกายน 2550 เวลา:1:35:07 น.  

 



จากกระทู้ //larndham.net/index.php?showtopic=20496&st=20
คห.ที่ 25 คุณ khomeraya ค่ะ


โดย: Hobbit วันที่: 5 พฤศจิกายน 2550 เวลา:10:11:42 น.  

 


"ใช้ชีวิตปกตินี่แหละ ถือศีล 5 ไว้ก่อน ดำเนินชีวิตธรรมดาของเรา
มีหน้าที่ทำมาหากินอะไรก็ทำมาหากินไป
ใครมีหน้าที่เลี้ยงครอบครัวเลี้ยงไป
มีหน้าที่ทำอะไรก็ทำไป

แต่ว่าคอยสังเกตจิตใจตัวเองไว้บ่อยๆ
การปฏิบัติเนี่ยถ้าเราแยกส่วนปฏิบัติออกจากการดำเนินชีวิตปกติของเรา
อย่ามาพูดเรื่องมรรคผลนิพพานเลย...
ชาตินี้ไม่ได้

ถ้ายังรู้สึกนะว่าเวลานี้เป็นเวลาปฏิบัติ เวลานี้ไม่ใช่เวลาปฏิบัติ
ถ้ารู้สึกอย่างนี้อย่าพูดถึงมรรคผลนิพพาน เป็นไปไม่ได้

แต่ถ้าเราสามารถหลอมรวมการปฏิบัติเข้าในชีวิตจริงของเราได้เนี่ย
ก็ไม่ต้องพูดเรื่องมรรคผลนิพพานนะ
ยังไงก็ต้องได้"


จากส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช
16/07/2579




โดย: Hobbit วันที่: 12 พฤศจิกายน 2550 เวลา:15:00:12 น.  

 
ชีวิตสองเส้นทางของ...กมลา สุโกศล





‘กมลา สุโกศล’ ผู้หญิงวัย 60 กว่า เจ้าของเสียงร้องที่มีเอกลักษณ์กับเพลงไทยสากลสุดฮิต ‘live and learn’ เธอบอกว่า ทุกวันนี้เธอมีสองอาชีพนั่นก็คือ ‘นักธุรกิจ’ และ ‘นักร้อง’ ซึ่งเป็นสองบทบาทที่รักและมีความสุขที่ได้ทำ สองบทบาทนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร สีสันของชีวิตสองเส้นทางนี้สร้างความสนุก...สร้างความสุข และทำให้ชีวิตสวยงามอย่างไร เรื่องราวเหล่านี้ ได้ถูกบันทึกไว้... เพื่อรอการเปิดอ่าน...


ทราบว่า คุณกมลาเกิดมาในครอบครัวที่ทำธุรกิจ

ค่ะ ทำมาตั้งแต่สมัยคุณพ่อ คุณพ่อทำหลายอย่างค่ะ ทำเครื่องไฟฟ้า ทำเครื่องเสียง...คุณพ่อจะชอบซื้อบริษัทซึ่งมันล้มเหลวมาไว้ ตอนท่านเสียก็มีอยู่สิบกว่าบริษัท ครึ่งหนึ่งทำเงินต่อได้ ที่เหลือไม่ได้เรื่อง พอคุณพ่อเสียชีวิตไปแล้วดิฉันก็ดูว่าตัวเองทำได้แค่ไหน ก็เอามาทำเฉพาะที่ทำได้แค่นั้น น้องสาวเอากิจการรถยนต์ไปทำ ดิฉันมาทำโรงแรม มี 3 โรงแรม ก็คือ โรงแรมสยามเบย์วิว โรงแรมสยามเบย์ชอว์ รีสอร์ท แอนด์ สปา ที่พัทยา แล้วก็โรงแรมสยามซิตี กรุงเทพฯ

ตอนที่คุณกมลาอายุแค่สิบกว่าขวบก็ไปเรียนที่อังกฤษแล้ว

ค่ะ อยากไปอยู่ ดิ้นรนที่จะไป คิดว่ายังไงก็จะไปให้ได้ ดิฉันอยากเห็นโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลเพราะรู้ว่าต้องมีอะไรให้เราเรียนรู้อีกเยอะ เมืองไทยเราสมัยก่อนทีวีก็ไม่มีดู ดิฉันชอบค้นคว้าค่ะ อยากรู้อยากเห็น เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่

คุณใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศกี่ปีคะ
ยี่สิบกว่าปีค่ะ


อะไรทำให้คุณกมลากลับมาเมืองไทยคะ

ก็คุณพ่อไม่มีลูกชาย ไม่มีใครทำกิจการต่อ คุณพ่อก็ไปตื๊อ ๆ จนกลับมาจนได้ ...ตอนแรกคุณพ่อบอกให้ไปทำธุรกิจรถยนต์ ดิฉันก็ไม่รู้เรื่อง วันดีคืนดีคุณพ่อก็บอกไปสร้างโรงแรมให้ทีสิ ฉันไปซื้อที่ดินไว้ที่พัทยา ดิฉันก็ไปขวนขวายหาวิธีไปกู้เงินเอง ก็ไปสร้างโรงแรมสยามเบย์ชอว์ รีสอร์ท (ชื่อเดิม) เสร็จแล้วพ่อก็ไปซื้อที่บนชายหาดเดียวกันอีก ดิฉันก็สร้างโรงแรมสยามเบย์วิวขึ้นมา คุณพ่อก็ไปซื้อตึกด้านข้างโรงแรมสยามซิตีมาอีกตึกหนึ่ง คุณพ่อบอกแกไปทำให้ฉันทีสิ ปัจจุบันเป็นส่วนของโรงแรมของสยามซิตีอยู่ขณะนี้



มีโรงแรมที่ต้องดูแลถึง 3 โรงแรม คุณกมลาเรียนรู้งานได้จากไหนคะ

ทำแล้วก็จะรู้ไปเอง แรก ๆ ก็ถูลู่ถูกังไปก่อน ก็ live and learn นั่นแหละ แต่ก็เหนื่อย แต่พอทำไปแล้วประสบความสำเร็จก็มีความพอใจเกิดขึ้น จะสำเร็จได้ต้องมีลูกน้อง ดี ๆ มีฝ่ายบริหารเก่ง ๆ ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป งานโรงแรมต้องมีทีมเวิร์คที่ดี ...แต่งานโรงแรมมันไม่มีจุดจบ มันไม่สมบูรณ์ ไปทุกอย่าง คุณต้องชอบเหนื่อย ต้องครีเอทีฟตลอดเวลาถึงจะทำงานโรงแรมได้


ความสนใจเรื่องการร้องเพลงมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ

ของแบบนี้มันเรียนไม่ได้นะ มันเป็นพรสวรรค์ที่ตัวเองมีมาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ พอได้ยินเพลงก็จะร้องได้ทันที ได้ยินอะไรปั๊บก็เล่นเปียโนได้โดยที่ไม่เคยหัดเล่น พอคุณแม่เห็นว่ามีหัวดนตรีคุณแม่เลยจับไปเรียนเปียโนเพราะมัน ไม่มีอย่างอื่นเรียน ก็เรียนเพลงคลาสสิก แต่พอไปอังกฤษก็ไม่เล่นเพลงคลาสสิก เหนื่อย ขี้เกียจซ้อม เพราะเพลงคลาสสิกถ้าจะเล่นให้ดีต้องมีความพยายามจริง ๆ ก็เลยเล่น เพลงแจ๊สเพลงอะไรไป ตรงนี้เลยทำให้เราป๊อปปูล่าในโรงเรียนเพราะเราแต่งเพลงให้โรงเรียนด้วย



ตอนกลับมาเมืองไทยแล้ว ทราบว่าคุณเริ่มร้องเพลงจริง ๆ จัง ๆ ก็ตอนอายุได้ 40 ปีแล้ว

ใช่ค่ะ เรียกว่าเป็นการร้องที่เป็นเรื่องเป็นราว เพราะแหม่มอเมริกันชื่อ Caroline Queener บอกให้ช่วยเด็กโรคหัวใจหน่อย ยูช่วยทำประชาสัมพันธ์ให้ที ให้คนรู้จักมูลนิธิฯของเรา เขาบอกให้ทำอย่างตอนที่ดิฉันทำที่โรงเรียน ISB ของลูกน่ะ เป็นการแสดงของพ่อแม่ เขาบอกยูเก่งจะตาย ทำอย่างนั้นละ ทำคอนเสิร์ต คนจะได้รู้ว่ามูลนิธิเด็ก โรคหัวใจคืออะไร ก็เลยเริ่มต้นจากงานนั้น แล้วก็ไม่รู้ว่าเราเก่งแค่ไหน รู้แต่ว่าคนฟังบอกว่าเราเก่ง ก็เลยรู้สึกว่าเก่งกระมัง



คอนเสิร์ตทุกครั้งของคุณจะเพื่อการกุศลหมดเลย เป็นความตั้งใจส่วนตัวด้วยใช่ไหมคะ

ค่ะ อยากทำ ...ดิฉันมีความรู้สึกว่า เรามาได้ถึงแค่นี้ ลูกเต้า 4 คนก็ดีหมด หลาน ๆ ก็น่ารักน่าเอ็นดูหมด เราก็ต้องปันไปให้คนอื่นเขาบ้าง ถ้าดิฉันไม่ได้ให้กลุ้มใจตาย เงินนี่ตายไปเอาไปไม่ได้นะ เงินเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกสบายก็จริง ใคร ๆ ก็ชอบ แต่มันก็ชั่วคราว ดิฉันรู้สึกว่าเรามีโชคมาถึงขนาดนี้ เราก็น่าจะแบ่งปันให้คนอื่นบ้าง ยิ่งคนที่ประสบภัยโดยไม่รู้ตัว ยิ่งควรจะช่วยเหลือ
รายได้จากเทป ซีดี ทุกอันที่ ขายได้ก็ให้หมดนะ อะไรที่ออกมาจากการร้องเพลงเป็นส่วนตัวดิฉันจะให้หมด ไม่เคยไว้เลย



คุณกมลาในฐานะเป็นแม่ มีวิธีเลี้ยงลูกอย่างไรให้ประสบความสำเร็จคะ

คนถามบ่อยนะ ก็ไม่รู้เหมือนกัน คิดว่าเขารู้ว่าเรารักเขานะ ไม่ว่าจะอะไรก็ตามแต่ เราจะยืนหยัดอยู่ตรงนั้นเพื่อเขา เขาต้องการเราเขาก็จะมาหาเรา ดิฉันจะเลี้ยงลูกแบบให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเอง จะปล่อย แต่ต้องให้เขารู้นะว่าเวลาเขาต้องการเราเราจะอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่เขาเกิดต้องการเราแล้วเราหายไป...ดิฉันไม่มีการเรียกร้องว่าลูกต้องมาอยู่กับแม่อาทิตย์ละครั้งนะ ไม่มี เขาจะอิสระ ความรักตัวเดียวเลย ให้เขารู้ว่าเรารักเขา


คุณกมลามองชีวิตตัวเองอย่างไรคะ
มีวันนี้ กับก้าวไปข้างหน้าให้ดีที่สุด มองสิ่งที่ผ่านไปให้เป็นประสบการณ์ อย่ามัวแต่ไปพูด ถึงว่า “รู้อย่างนี้ ทำอย่างนั้นดีกว่า” คิดไปให้เสียใจเปล่า ๆ โลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบหรอก


ชีวิตไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบอย่างที่เธอว่า ทิ้งอดีตที่ผ่านมาให้เป็นประสบการณ์...ทำวันนี้และวันพรุ่งนี้ให้ดีที่สุด เพื่อที่วันหนึ่งคุณอาจจะได้พบความสุขอย่างกมลา สุโกศล... กับชีวิตสองเส้นทางที่เธอเลือกทำ


ที่มา นิตยสารขวัญเรือน
และ //women.sanook.com/work/worklife/life_09260.php


โดย: Hobbit วันที่: 20 พฤศจิกายน 2550 เวลา:11:11:55 น.  

 
คมคำคนคม


If women are expected to do the same work as men, we must teach them the same things.


ถ้าเราคาดหวังให้สตรีทำงานเช่นเดียวกับบุรุษ เราต้องสอนพวกนางอย่างเดียวกัน


Plato
เพลโต
(427-347 ปีก่อนคริสตกาล)

จาก //www.winbookclub.com/frontpage.php


โดย: Hobbit วันที่: 22 พฤศจิกายน 2550 เวลา:13:56:21 น.  

 






โดย: Hobbit วันที่: 6 ธันวาคม 2550 เวลา:9:50:16 น.  

 

เล่าลือหลังวัง - เรื่องเล่าของในหลวง

...เล่าลือหลังวัง...

เสียงปริศนา

....ในวันเสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศสวิตฯ ขณะที่ประทับรถพระที่นั่งไปสู่สนามบินดอนเมืองทรงได้ยินเสียงตะโกนดังๆ ว่า “ในหลวง อย่าทิ้งประชาชนนะ” ทำให้ทรงนึกตอบบุคคลผู้นั้นในพระราชหฤทัยว่า “ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้” เป็นที่น่าประหลาดว่า ต่อมาอีกประมาณ 20 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพบชายที่ร้องตะโกนทูลพระองค์ไม่ให้ทิ้งประชาชนนั้นเป็นพลทหาร และในปัจจุบันเขาออกไปทำนาอยู่ในต่างจังหวัด เขากราบบังคมทูลสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ไม่ทรงทิ้งราษฎร เขาทูลว่าตอนที่เขาร้องไปนั้น เขารู้สึกว้าเหว่และใจหาย ที่เห็นพระเจ้าแผ่นดินจะเสด็จไปจากเมืองไทย กลัวจะไม่เสด็จกลับมาอีก เพราะคงจะทรงเข็ดเมืองไทย เห็นเป็นเมืองที่น่ากลัวน่าสยดสยอง เขาดีใจมากที่ได้เฝ้าฯ อีก กราบบังคมทูลถามว่า “ท่านคงจำผมไม่ได้ ผมเป็นคนร้องไม่ให้ท่านทิ้งประชาชน”พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรับสั่งถามว่า “เราน่ะรึที่ร้อง?” “ใช่ครับ ตอนนั้นเห็นหน้าท่านเศร้ามาก กลัวจะไม่กลับมา จึงร้องไปเหมือนคนบ้า” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตอบ “นั่นแหละ ทำให้เรานึกถึงหน้าที่ จึงต้องกลับมา”

ที่มา : สมุดภาพพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถโปรดเกล้าฯ จัดทำขึ้นถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อพระราชทานเป็นที่ระลึกแก่ผู้เข้าเฝ้าฯ ในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม พุทธศักราช 2511


น้ำผึ้งผสมมะนาว

แมนรัตน์ ศรีกรานนท์
อ.ส.วันศุกร์

.....วันพระราชทานงานเลี้ยงปีใหม่แก่ข้าราชบริพาร เมื่อคืนวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๓๗ พระองค์พระราชทานน้ำผึ้งผสมมะนาวให้ผม เพื่อที่จะได้ทำหน้าที่ผู้ประกาศและร้องเพลงพระราชนิพนธ์ "รัก" เพื่อสุ้มเสียงจะได้ดี
.....สำหรับผมในวันนั้น เป็นครั้งแรกที่ได้ทำหน้าที่เป็นพิธีกร ปรากฏว่าพูดมากเป็นพิเศษ มาทราบในภายหลังว่า น้ำผึ้งผสมมะนาวที่ได้รับพระราชทานนั้น แท้จริงเป็นบรั่นดีผสมมะนาว...

ที่มา : บทความ "พระอัจฉริยภาพทางด้านดนตรีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" โดย แมนรัตน์ ศรีกรานนท์

ยุงปากน้ำ

พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์
ผู้อำนวยการสำนักงานโครงการพระดาบส
อดีตอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข

..... ครั้งนั้น (เป็นที่น่าเสียดายว่ามิได้บันทึกวันเวลาไว้) ศูนย์ควบคุมข่ายวิทยุของตำรวจจราจร ซึ่งใช้สัญญาณเรียกขานในขณะนั้นว่า "ตรีเพชร" และความถี่วิทยุ ๑๖๒.๐๐ MHz ได้ถูกคลื่นวิทยุขนาดความถี่เดียวกันจากสถานีวิทยุแห่งหนึ่ง เข้ารบกวนในลักษณะเป็น RF Carrier มีความแรงของสัญญาณมากเพียงพอที่จะทำให้ไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับข่ายนี้ได้โดยสิ้นเชิง
.....เมื่อความทราบถึงพระกรรณ จึงได้ทรงพระกรุณาติดต่อทางวิทยุแจ้งให้ผมทราบ และลงมือปฏิบัติการหาทิศวิทยุร่วมกัน ในคืนวันนั้นเมื่อเวลาประมาณ ๒๒.๐๐ น. จากการตรวจสอบร่วมกันของ ๒ สถานี สถานีหนึ่งตั้งอยู่ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐานและอีกสถานีหนึ่งตั้งอยู่ที่บ้านพักของผม ซึ่งเป็นบ้านพักของทางราชการอยู่ในบริเวณกองการสื่อสาร กรมตำรวจบางเขนในขณะนั้น เป็นที่น่าเชื่อว่าคลื่นวิทยุที่แผ่กระจายเข้ามารบกวนข่ายการสื่อสารของตำรวจจราจรมีทิศทางมาจากทิศตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงเทพมหานคร หรือมาจากทางอำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ เพราะสัญญาณของคลื่นวิทยุนี้มีความแรงสูงมาก
.....พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงรับสั่งให้ผมจัดหน่วยหาทิศวิทยุเคลื่อนที่ คือ รถยนต์ประจำตำแหน่งของผมที่ได้เตรียมไว้ พร้อมกับเครื่องอุปกรณ์ ในการหาทิศวิทยุออกปฏิบัติการทันที เมื่อเวลาก่อนเที่ยงคืนเล็กน้อย....
.....ผมได้เดินทางเข้าเขตอำเภอบางพลี เมื่อเวลาประมาณสองยามเศษ ... เป็นที่รู้จักกันดีว่า จังหวัดสมุทรปราการเป็นจังหวัดที่มียุง ที่เรียกว่า "ยุงปากน้ำ" ชุมที่สุด เป็นยุงตัวใหญ่และบินมาเป็นจำนวนมาก เป็นกลุ่มก้อนสีดำ หลังจากพระอาทิตย์ตกดินแล้ว...
.....การสอบทานทิศวิทยุ ณ จุดนี้ ผมจำเป็นต้องหยุดและออกไปจากรถ แล้วนำเครื่องอุปกรณ์หาทิศวิทยุและแผนที่ออกไปตั้งบนกระโปรงหน้าของรถ
.....ขณะเมื่ออ้าปากกล่าวถวายรายงาน เจ้ายุงปากน้ำจำนวนไม่น้อยก็บินถลาเข้าปากของผมโดยไม่รั้งรอ จึงเผลออุทานไปว่า "กส.๙ จาก กส.๑ ว.๒.. อุ๊บ..กส.๑ ได้ ว.๑๐ (หยุดรถ) ตรวจสอบจุดที่น่าสงสัยแล้ว..อุ๊บ..ไม่มีสถานีส่งคลื่น..อุ๊บ..." ได้รับสั่งตอบมาทางวิทยุว่า "กส.๑ จาก กส.๙ รับทราบ มีอะไรเกิดขึ้น"
.....ผมจึงได้ถวายรายงานเหตุการณ์ไปว่า "น่าเชื่อว่า สถานีที่ส่งคลื่นรบกวนยังอยู่ไกลจากจุดที่กำลัง ว.๔ (ปฏิบัติการ)...อุ๊บ...ขณะนี้ กส.๑ กำลังถูกยุงปากน้ำโจมตี มียุงจำนวนหนึ่ง...อุ๊บ...เข้ามาในปาก ขออนุญาตเลิก ว.๔ ที่จุดนี้" "กส.๙ รับทราบ (มีเสียงพระสรวล) ให้เลิก ว.๑๐ แล้วเปลี่ยนจุด ว.๔ ใหม่"

ที่มา : บทความ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับการหาทิศวิทยุ" หนังสือ "บันทึกความทรงจำ เรื่องการสื่อสารของในหลวง

พับเพียบ

รองศาสตราจารย์ ดร.สุธี อักษรกิตติ์
ผู้สนองพระราชดำริในโครงการระบบสื่อสารสายอากาศและอิเล็กทรอนิกส์

.....ในครั้งแรกผมทำงานตามพระราชดำริ โดยไม่ทราบว่าเป็นงานของพระองค์ จนกระทั่งวันหนึ่งมีคนบอกว่า ให้เข้าไปในวังด้วยกัน และให้นำระบบสายอากาศชนิดใหม่ขึ้นไปติดตั้ง ก็ไม่ได้คิดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จฯ มา แต่ว่าแปลกใจทำไมอยู่ดีๆ เจ้าหน้าที่ที่กำลังติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ อยู่บนดาดฟ้าของพระตำหนักถึงปีนลงมา ทั้งๆ ที่งานยังไม่เสร็จ แท้ที่จริงพระองค์ท่านเสด็จฯ มายืนอยู่ข้างหลัง ผมเหลียวหลังไปมองนิดหนึ่ง ครั้นพอเห็นพระองค์ท่านก็ตกใจ เป็นอาการวูบๆ ขึ้นมาทันที นึกอยู่ในใจว่าใช่แล้ว ใช่แน่ๆ เพราะคิดว่าเหมือนในรูป ผมก็รีบทำความเคารพแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก สิ่งที่ผมจำได้คือเราต้องอยู่ต่ำกว่า จึงรีบคุกเข่าให้ต่ำลงมาเป็นเหมือนชันเข่า เพราะว่าตอนนั้นพระองค์ท่านประทับยืนอยู่ ถ้านั่งพับเพียบเลยก็อาจจะต่ำเกินไป เพราะว่าผมต้องพูดอธิบายด้วย ปรากฏว่าพระองค์ท่านก็คุกเข่าลงไปด้วย ผมก็เลยนั่งพับเพียบให้ต่ำลงไปอีก พระองค์ท่านก็ประทับพับเพียบเหมือนกัน เลยกลายเป็นว่าวันนั้นนั่งพับเพียบสนทนากัน ๒ - ๓ ชั่วโมง บนดาดฟ้าพระตำหนักในเวลาช่วงบ่ายที่ร้อนเปรี้ยง.....

ที่มา : บทความ "โครงการระบบสื่อสารและอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสนองพระราชดำริ" สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ หนังสือ "เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้านการสื่อสาร" คณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองสิร


ขอกลับบ้านก่อน

หม่อมราชวงศ์บุตรี วีระไวทยะ
ผู้อำนวยการกองในพระองค์ สำนักราชเลขาธิการ

.....ทุกคนจะเห็นท่านทรงถือแผนที่ ไปไหนมาไหนก็มีแผนที่ แผนที่รายละเอียดของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทรงตัดต่อเอง ...ท่านมานั่งตัดนั่งต่อ มานั่งปะกาวเอง
.....ใครๆ คิดว่าห้องทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี้เป็นห้องที่ต้องโก้ต้องเก๋ มีโต๊ะ มีเก้าอี้ มีแต่ว่าท่านไม่ได้ประทับที่นั่น ท่านลงประทับกับพื้น เพราะว่าบนพื้นวางของต่างๆ ได้มากกว่าโต๊ะ....
.....การที่ท่านทรงมีแผนที่ก็ด้วยเหตุที่ว่า ไปตรวจตราในเส้นทาง ที่จะเสด็จฯ เองก็ดี หรือว่าในการพูดคุยกับประชาชน หาข้อมูลจากประชาชน...
.....เขามองแผนที่ไป เขาคุยไปได้อะไรมากเลย ในบางครั้งก็มีคุยกันไปตั้งนาน ชาวบ้านจึงลุกขึ้นบอกเดี๋ยวผมขออนุญาตกลับบ้านก่อน ก็รับสั่งว่า มีธุระอะไรหรือ เขาบอกว่าเดี๋ยวผมกลับไปแล้วเดี๋ยวผมมา กลายเป็นว่าชาวบ้านคนนั้นไม่มีความสบายใจ เพราะว่าท่านทรงขับรถยนต์พระที่นั่งไปแวะประเดี๋ยวหนึ่ง เขากำลังอาบน้ำอยู่ ก็นุ่งแต่ผ้าขาวม้า เสื้อไม่ได้ใส่ ก็เลยอยากกลับไปใส่เสื้อแล้วค่อยกลับมาคุยต่อกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว...

ที่มา : การอภิปราย "พระเจ้าอยู่หัวของเรา" จัดโดย สมาคมนักเรียนทุนรัฐบาลไทย สำนักงาน กพ. วันเสาร์ที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๓๐




โดย: Hobbit วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:10:47:02 น.  

 
ปิ่นโตไปไหน

แมนรัตน์ ศรีกรานนท์
อ.ส.วันศุกร์

.....ในโอกาสที่มีงานส่วนพระองค์ซึ่งจัดขึ้นที่สถานีวิทยุ อ.ส.ภายในงาน สุภาพบุรุษจะมีภริยามาพร้อมกัน แต่ในบางโอกาส ฝ่ายสุภาพบุรุษต้องมาคนเดียวเพราะภริยามีภารกิจอื่น พระองค์จะทรงเย้ารับสั่งว่า "วันนี้ปิ่นโตไปไหน" ข้าราชบริพารหลายคนไม่สามารถตอบได้และยังงงว่าคืออะไร มาทราบภายหลังว่าทรงรับสั่งถามถึงคนที่บ้านนั่นเอง
.....สุภาพสตรีท่านหนึ่งยังเป็นโสด ในปีหนึ่งเมื่อมีงานปีใหม่ ได้รับพระราชทานปิ่นโตเถาพร้อมผูกโบว์ สร้างความครึกครื้นให้แก่ข้าราชบริพารทุกท่าน เมื่อไม่มีปิ่นโต (คู่ครอง) จึงพระราชทานปิ่นโตจริงให้ ในวันนั้น สุภาพสตรีท่านนั้น ได้นำอาหารคาวหวานจากงานใส่ปิ่นโตกลับมาด้วยความสุขอย่างเปี่ยมล้น...

ที่มา : บทความ "พระอัจฉริยภาพทางด้านดนตรีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" โดย แมนรัตน์ ศรีกรานนท์


ไม่ต้องกั้น

ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล

..... มีอยู่ครั้งหนึ่ง เสด็จฯ ไปที่เซ็นทรัล วันที่มีประชุมรัฐสภาโลก วันนั้นผมจำได้ ผมติดอยู่บนท้องถนน ฝนตก ผมก็มีวิทยุ เลยได้ยินรับสั่งมากับตำรวจมาเลย "งันนี้ไม่ต้องกั้นรถ" ทรงเข้าใจความทุกข์ของราษฎรอยู่ตลอดเวลา วันนี้เป็นวันฝนตก รถติดกันอย่างมหาศาล ถ้าขืนต้องไปติดขบวนอีก สร้างความทุกข์ให้กับประชาชน ทรงวิทยุบอกตำรวจว่า "ขบวนจะแล่นไปพร้อมกับรถของประชาชน ไม่ต้องกั้น เคลื่อนไปพร้อมกัน"

ที่มา : บทสัมภาษณ์ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล คอลัมน์ "ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท"


ที่นี่ใครใหญ่

ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล

.....เรื่องบึงมักกะสัน ที่ทราบกันอยู่ว่ามีปัญหา ทรงรับสั่งเกือบสองปีให้มีการดำเนินการอะไรต่างๆ แต่ไม่มีใครดำเนินการอะไรทั้งสิ้น ก็อย่างนี้แหละครับบ้านเมืองของเรา ถ้าเป็นของคนนั้นคนนี้ อีกคนก็เข้าไปทำอะไรไม่ได้ นี่เป็นพื้นที่ของรถไฟ กรุงเทพมหานครก็เข้าไปทำไม่ได้ ก็ปรากฏว่าเมื่อเสด็จฯ ไปไม่กี่เดือนมานี้เอง พอเสด็จฯ เข้าไปถึง คำถามแรกที่รับสั่งถามคือ "ที่นี่ใครใหญ่" ทุกคนก็กระอึกกระอัก เพราะคงไม่มีใครกล้าบอกว่าใครใหญ่ เกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมาไม่มีใครยอมเป็นใหญ่จุดประสงค์ของพระองค์ท่านจากประโยคนี้ จะเห็นได้ว่าถ้าไม่มีใครรับผิดชอบโดยตรง ไม่มีศูนย์กลางในการประสานงาน ทุกอย่างก็ไม่ขยับ...

ที่มา : บทสัมภาษณ์ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล คอลัมน์ "ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท"



ทุกข์ยามดึก

พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์
ผู้อำนวยสำนักงานโครงการตามพระดาบส
อดีตอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข

.....การที่ได้ทรงพระกรุณารับฟัง และติดต่อทางวิทยุตำรวจเป็นประจำ...จึงทรงทราบความลำบากความเดือดร้อนของข้าราชการตำรวจชั้นผู้น้อย...
.....ตำรวจประจำตู้ยามบางคนคับแค้นใจเกี่ยวกับปัญหาครอบครัว ปัญหาการครองชีพ เมื่อเสพสุราแล้วครองสติไม่ได้ ไม่รู้จะระบายความในใจกับใคร จึงได้แต่พล่ามบรรยายมาทางวิทยุ บางคนหลับยามไม่พอยังกดคีย์ไมโครโฟนค้าง ทำให้มีเสียงกรนออกอากาศมาด้วย บางคนตะโกนร้องเพลงลูกทุ่งออกอากาศมาเป็นการแก้เหงาก็มี
.....ที่จัดได้ว่าโชคดีคือ ศูนย์ควบคุมข่ายตำรวจแห่งชาติ "ปทุมวัน" กล่าวคือ ในยามดึกวันหนึ่ง พนักงานวิทยุคนหนึ่งได้ระบายความเดือดร้อน เนื่องจากหิวโหยไม่สามารถหาอาหารรับประทานได้เพราะต้องเข้าเวร เมื่อทรงรับฟังแล้วทรงสงสารจึงได้รับสั่งทางวิทยุกับผู้เขียนในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานนั้น โดยตรงว่า โปรดเกล้าฯ พระราชทานตู้เย็นเพื่อเก็บอาหารสำรองสำหรับเวรยามดึกให้ 1 ตู้...

ที่มา : บทความ "พระราชอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้านการสื่อสาร" โดย พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์

ก ส. ๙

พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์
ผู้อำนวยการสำนักงานโครงการพระดาบส
อดีตอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข

.....พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงใช้เครื่องวิทยุที่ทรงมีอยู่ เฝ้าฟังและติดต่อกับ "ปทุมวัน" และ "ผ่านฟ้า" เป็นครั้งคราว เมื่อทรงว่างพระราชภารกิจอื่น การติดต่อทางวิทยุได้ทรงมีพระบรมราชานุญาต ให้ผู้ที่ติดต่อกับพระองค์ท่านไม่ต้องใช้ราชาศัพท์ พระองค์ท่านทรงจดจำสัญญาณเรียกขาน, ประมวลคำย่อ (โค๊ต "ว") ได้อย่างแม่นยำและใช้ได้อย่างถูกต้อง ซึ่งนายตำรวจขั้นผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยยังปฏิบัติไม่ได้ โดยการรับฟังการติดต่อในข่ายวิทยุของตำรวจนี้เอง จึงทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบข่าวรายงานเหตุการณ์ต่างๆ เช่น ข่าวโจรกรรม, อัคคีภัย, การจราจร ได้ทุกระยะ ในการเสด็จจากที่ประทับของพระองค์ท่านเพื่อทรงปฏิบัติพระราชภารกิจ
....จึงทรงพระกรุณารับสั่งให้สมุหราชองครักษ์ติดต่อประสานงานกับกรมตำรวจให้สั่งการสถานีตำรวจท้องที่ติดต่อสื่อสารทางวิทยุกับแผนกรักษาความปลอดภัย บุคคลสำคัญ กรมราชองครักษ์ เพื่อจะได้ทราบกำหนดเวลาเสด็จออกจากพระตำหนักที่ใกล้เคียงและปิดการจราจรในเส้นทางผ่านเพียงช่วงเวลาสั้น ประชาชนจะได้ไม่เดือดร้อน
.....มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ได้รับสั่งทางวิทยุกับพนักงานวิทยุ สถานีวิทยุกองกำกับการตำรวจนนทบุรี เพื่อจะพระราชทานคำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติการสื่อสารบางประการ โดยทรงใช้สัญญาณเรียกขานว่า "กส. ๙" ติดต่อเข้าไป พนักงานวิทยุผู้นั้นจำพระสุรเสียงไม่ได้จึงได้สอบถามว่า "เป็น กส. ๙ จริงหรือปลอม" ทั้งดูเหมือนจะใช้คำพูดไม่สู้จะเรียบร้อย เรื่องนี้จึงเดือดร้อนมาถึงผู้เขียน เนื่องจากได้รับสั่งเล่าเหตุการณ์มาให้ทราบเพื่อให้ช่วยยืนยันว่า "เป็น กส. ๙ จริง"
.....ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ พระองค์ท่านยังทรงห่วงใยว่า พนักงานวิทยุผู้นั้นจะถูกลงโทษทางวินัย จึงได้รับสั่งทางวิทยุให้ผู้เขียนติดต่อประสานงานกับผู้บังคับบัญชาของพนักงานวิทยุขออย่าให้มีการลงโทษเลย

ที่มา : บทความ "พระราชอัจฉริยภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้านการสื่อสาร" โดย พลตำรวจตรีสุชาติ เผือกสกนธ์ หนังสือที่ระลึก วันสื่อสารแห่งชาติ ๒๕๓๐




โดย: Hobbit วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:10:47:31 น.  

 
เบื้องหลังความสำเร็จ

ศาสตราจารย์(พิเศษ) เจริญ วรรธนะสิน
อดีตนักแบดมินตันทีมชาติไทย

.....ในหลวงของทรงแบดมินตันได้ดีมากทีเดียว โดยเฉพาะลูกโด่งสี่สิบห้าองศา ลูกตบของท่านดีมาก รุนแรง ระหว่างที่ไปถวายทรงแบดมินตันแรกๆ พระองค์ท่านจะทรงซักถามรายละเอียดอย่างมากมาย เช่น ทำไมลูกแบคแฮนด์ถึงตีไม่แรงเท่ากับโฟร์แฮนด์ พอแข่งขันเสร็จ ท่านก็พระราชทานเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวหาบที่สั่งมาจากถนนหลานหลวง...ท่านก็เสวยก๋วยเตี๋ยวหาบแบบสามัญชนธรรมดาด้วย ไม่ถือพระองค์เลย...
.....คู่แข่งคนสำคัญของผู้เขียนในยุคบุกเบิกเข้าสู่ระดับโลก ได้แก่นักแบดมินตันจากเดนมาร์กและอินโดนีเซีย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรู้จักนักแบดมินตันเหล่านี้ดีทุกคน
.....ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านรับสั่งถามว่า หนักใจไหมที่เล่นกับเออร์แลนด์ คอปส์ และที่หนักใจนั้น หนักใจในการเล่นแบบไหนของคอปส์ จำได้ว่ากราบบังคมทูลพระองค์ท่านว่า เออร์แลนด์ คอปส์ มีลูกตบที่รุนแรง ที่เสียแต้มให้คอปส์ ส่วนมากเป็นเพราะรับลูกตบที่หนักหน่วงไม่ได้ และคอปส์ยังมีพละกำลังมาก อึดและอดทน ยิ่งเล่นก็ยิ่งมีกำลังมาก ยังจดจำใส่เกล้าใส่กระหม่อมตราบเท่าทุกวันนี้
.....พระองค์ท่านรับสั่งว่า "เมื่อคอปส์มีลูกตบที่หนักและรุนแรง สิ่งที่ควรจะทำคือ หลีกเลี่ยงอย่าให้คอปส์ตบลูกได้บ่อย หรือใช้ลูกตบได้ถนัด ควรดึงคอปส์มาเล่นลูกหน้าให้มาก เมื่อเขาพะวงบริเวณหน้าตาข่าย จะทำให้เขาถอยตบลูกไม่ถนัด"
.....และนั่นคือกลยุทธ์ที่ผู้เขียนใช้ปราบมือแชมเปี้ยนโลกชาวเดนมาร์กผู้นี้ ในการป้องกันตำแหน่งแชมเปี้ยนชายเดี่ยวออลมาลายัน ที่เกาะสิงคโปร์เมื่อ พ.ศ. 2502...

ที่มา : บทสัมภาษณ์ในสารคดีโทรทัศน์ "พ่อของแผ่นดิน" และบทความ "บรมครูแห่งแบดมินตัน" โดย ศาสตราจารย์ (พิเศษ) เจริญ วรรธนะสิน หนังสือ "ราชภัฎเฉลิมพระเกียรติ" เนื่องในวโรกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี พ.ศ. ๒๕๓๙


หัวใจช้างเหยียบ

อนิรุทธิ์ ทินกร ณ อยุธยา
ผู้ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ร่วมวงดนตรี อ.ส.วันศุกร์

.....เมื่อปีก่อน ผมป่วยเป็นโรคหัวใจเข้ารักษาที่โรงพยาบาลรามคำแหง พอความทราบถึงพระกรรณ ก็โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายผมเข้ารักษาที่ศิริราช และโปรดเกล้าฯ ให้ทำบอลลูนหรือลูกโป่งขยายหลอดเลือดหัวใจที่ตีบเหมือนพระองค์ท่านถึง ๒ ครั้ง อันนี้เป็นพระมหากรุณาธิคุณเหลือจะกล่าว ผมรอดชีวิตมาได้เพราะพระบารมีของพระองค์ท่าน แล้วยังได้รับพระราชทานเหรียญรูปหัวใจตราช้างเหยียบ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าได้ผ่านการทำบอลลูนมาแล้ว....

ที่มา : บทสัมภาษณ์ อนิรุทธิ์ ทินกร ณ อยุธยา โดย นัชพร นิตยสาร "ลิปส์" ฉบับ ๑๐ ปักษ์แรก ธันวาคม ๒๕๔๒


ยังเอียงนะ

ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์
ปฏิมากร

.....พ.ศ. ๒๕๐๘ ได้รับโทรศัพท์จากหัวหน้ากองมหาดเล็ก นายพูนเพิ่ม ไกรฤกษ์ ตำแหน่งสมัยนั้นได้แจ้งกับผมว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ผมเข้าเฝ้าฯ เพื่อช่วยแก้ไขหุ่นขี้ผึ้งพระพุทธรูปปางประทานพร ตามแบบเดิมที่ช่างปั้นได้ทำการหล่อเป็นโลหะไปแล้ว ให้เป็นไปตามพระราชประสงค์...
.....ตอนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ เข้ามาทอดพระเนตรการปฏิบัติงานภาคปกติของผมด้วยความละเอียดถี่ถ้วนที่แน่นอนแม่นยำของพระองค์ท่าน ได้รับสั่งกับผมว่า พระเศียรเอียงไปนิดหน่อย ผมได้กราบบังคมทูลว่า "ก่อนหน้าที่พระองค์ท่านเสด็จฯ เข้ามา ข้าพระพุทธเจ้าตรวจทิ้งดิ่งแล้วพระพุทธเจ้าข้า ไม่เอียง" ท่านก็ไม่ว่าอะไร พอจะเสด็จฯ ออกจากห้อง ทรงรับสั่งอีกครั้งหนึ่งว่า "ยังเอียงนะ" แล้วเสด็จฯไป ผมอยู่ทางนี้ก็นึกเอะใจ จึงมีการตรวจทิ้งดิ่งอีก คราวนี้ผมตกใจที่สุดรีบแก้ไข และตกแต่งใหม่จนเรียบร้อย และนั่งคิดอยู่ว่าเป็นความผิดอย่างยิ่งของผม ถ้าเป็นสมัยโบราณ ถ้าไม่ได้รับพระเมตตา พระราชอาญาคงไม่พ้นเกล้าฯ แน่ๆ
.....วันรุ่งขึ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ เข้ามาในห้องอีก ผมรีบเข้าไปกราบแทบพระบาทของพระองค์ท่าน และกราบบังคมทูลรับสารภาพผิดว่า "เมื่อวานนี้ข้าพระพุทธเจ้าอาจมีการแต่งเติมเพียงนิดหน่อย หนักมือไปเลยเอียง ขณะนี้ได้แก้ไขเรียบร้อยแล้วพระพุทธเจ้าข้า" พระองค์ท่านทอดพระเนตรตรวจอีกครั้งหนึ่ง รับสั่งว่า "ดีแล้ว" ด้วยพระอาการพระเมตตา ซึ่งทำให้ผมต้องจดจำไปตลอดชีวิต

ที่มา : บทความ "พระอัจฉริยภาพทางด้านปฏิมากรรม" โดย ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์


ข้าวผัดไข่ดาว

ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล

.....วันหนึ่งเสด็จฯ เขาค้อเปิดอนุสาวรีย์ พอเปิดอนุสาวรีย์เสร็จ พระองค์ท่านก็ขอกลับไปที่พระตำหนักเพื่อจะทรงเปลี่ยนฉลองพระบาท เพราะเดี๋ยวจะไปดูงานในป่าในดง...
.....เราก็ไม่ได้ทานข้าว ไม่มีใครทานข้าว ตอนนั้นบ่ายสองโมงแล้ว ก่อนจะเปลี่ยนฉลองพระบาทสักยี่สิบนาที น่าจะพุ้ยข้าวกันทัน ก็รีบวิ่งไปที่ห้องอาหารที่เตรียมไว้ ปรากฏว่าพวกที่ไม่ได้ตามเสด็จฯ เขาทานกันหมดแล้ว ในนั้นจึงเหลือข้าวผัดติดก้นกระบะ กับมีไข่ดาวทิ้งแห้งไว้อยู่ ๓ - ๔ ใบ เราก็ตัก เห็นมีข้าวอยู่จานหนึ่งวางไว้ มีข้าวผัดเหมือนอย่างเรา ไข่ดาวโปะใบหนึ่ง มีน้ำปลาถ้วยหนึ่งวางอยู่ เพื่อนผมก็จะไปหยิบมา มหาดเล็กบอกว่า "ไม่ได้ๆ ของพระเจ้าอยู่หัว ท่านรับสั่งให้มาตัก"ดูสิครับ ตักมาจากก้นกระบะเลย ผมนี่แทบน้ำตาไหลเลย ท่านเสวยเหมือนๆ กันกับเรา...

ที่มา : บทสัมภาษณ์ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล คอลัมน์ "ตามรอยเบื้องพระยุคลบาท"


ปลาร้องไห้

ตั้งแต่พระองค์เสด็จเยี่ยมประชาชนในเขตพื้นที่พัฒนาพรุแฆแฆ จ.ปัตตานี มีราชฎรชื่อ นายอูเซ็ง เฝ้ารับเสด็จอยู่ด้วย เมื่อพระองค์เสด็จผ่านจุดที่นายอูเซ็งรอรับเสด็จอยู่นั้น นายอูเซ็งได้ถวายภาพถ่าย 1 ชุด เป็นภาพถ่ายของปลากะพง ที่เลี้ยงในชังบริเวณแม่น้ำกอตอ ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำสายบุรีแม่น้ำทั้งสองจะไหลลงทะเลบริเวณ ปากน้ำสายบุรี จุดที่เลี้ยงปลากะพงอยู่ใกล้กับปากน้ำ ปลาที่เลี้ยงในกระชังเกือบทั้งหมดตายลอยแพเป็นพันเป็นหมื่นตัว สาเหตุที่ปลาตายเนื่องจากการปล่อยน้ำเปรี้ยวจากพรูพาเจาะ ไหลผ่านคลองไม้แก่นและคลองกอตอ ผ่านจุดที่เลี้ยงปลากะพงในกระชัง ก่อนจะไหลออกทะเล ทำให้ปลากะพงที่เลี้ยงในกระชังขาดอ๊อกซีเจนตายจำนวนมาก รวมทั้งปลาของนายอูเซ็งด้วย
นายอูเซ็ง จึงได้บันทึกภาพเหตุการณ์ที่ปลาตายถวายฎีกาต่อพระองค์ท่านเพื่อให้ทรงช่วยเหลือแก้ไข ขณะที่กำลังกราบทูลพระองค์ท่านถึงสาเหตุที่ปลาตายอยู่นั้น นายอูเซ็งร้องไห้ไปด้วย (ร้องไห้เสียงดังเหมือนเด็ก) ด้วยพระอารมณ์ขันของพระองค์ท่าน ได้ตรัสด้วยประโยคสั้นๆ ว่า "ปลาร้องไห้ จะต้องหาทางแก้ไข" ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับพระองค์ท่านและได้ยินประโยคที่ท่านตรัส ต่างก็หัวเราะด้วยอารมณ์ขัน
ต่อจากนั้นพระองค์ได้เปิดแผนที่เพื่อทอดพระเนตรแม่น้ำกอตอซึ่งเป็นจุดที่เลี้ยงปลากะพงมาก และเส้นทานที่ปล่อยน้ำเปรี้ยวจากพรุบาเจาะ ลงสู่แม่น้ำสายนี้ ทรงศึกษาหาวิธีการที่จะป้องกันมิให้ปล่อยน้ำเปรี้ยวจากพรุบาเจาะลงสู่แม่น้ำสายนี้อีก และได้ทรงมอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบวางแผนป้องกันระยะยาว ด้วยพระบารมีและพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านทำให้หมู่บ้านปาตาคีมออยู่ร่มเย็นเป็นสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ปลาจะไม่มีวันร้องให้อีกต่อไปแล้ว

ที่มา : คุณธีรพจน์ หะยีอาแว




โดย: Hobbit วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:10:47:57 น.  

 
พระกระยาหารโปรดของในหลวง

ขออย่าได้แปลกใจไปเลย ที่เมนูพระกระยาหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ละมื้อหาได้วิเศษเลอเลิศอย่างที่เข้าใจกันไม่ แต่เป็นอาหารธรรมดาที่ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทั้งหลานบริโภคกันทุกวันนั่นเอง
ในหลวงโปรดเสวยอาหารอ่อนแบบอาหารฝรั่ง อาหารไทย โปรดผัดผักทุกชนิด เช่น ผัดคะน้า ผัดถั่วงอก ผัดถั่วลันเตา โดยใส่ผักให้มากๆ หมูเนื้อใส่น้อยๆ อาหารว่างเคยโปรดหูฉลามและบะหมี่ จะใส่หน้าหมูแดง หน้าเป็ด หน้าปู ได้ทั้งนั้น แต่ต้องไม่ใส่ผักชี ใบหอม ต้นหอม และตังฉ่าย เครื่องดื่ม โปรดโอวัลตินเป็นพิเศษ เคยเสวยวันหนึ่งๆ หลายครั้ง น้ำ ชา กาแฟ ไม่มากนัก
พระกระยาหารหรือเครื่องเสวยประจำวันที่นำมาให้ดูกันมี
เครื่องกลางวัน ซุปอาสาเรน (ซุปใสใส่ไข่) สปาเกตตีมิลานเนส แกงจืดเซ่งจี๊ ผัดไก่เล่าปี่ ปูเค็มต้มกะทิ หลนปลากุเรา ผัดเผ็ดปลาดุกทอดฟู กล้วยหักมุกเชื่อม ไอศกรีม ผลไม้ ยามดึกเมื่อเสด็จกลับจากพระราชกิจ มหาดเล็กจะตั้งเครื่องว่างจำพวกหูฉลามหรือบะหมี่ถวายอีกครั้งหนึ่ง
หัวหน้าส่วนพระเครื่องต้น ณ พระตำหนักจิตรลดาฯ คนปัจจุบันชื่อ เอกสิทธิ์ วัชรปรีชานนท์ มีพระเครื่องต้นอยู่ ๓ ห้อง ผู้กำกับดูแลอย่างไม่เป็นทางการในแต่ละห้องมี ลูกหลานกุ๊กแต่รัชสมัย ร.๖ เป็นคนจีนชื่อ เยี่ยหง แซ่ห่าน ดูแลพระเครื่องต้นฝรั่ง สมิง ดวงทิพย์ ดูแลพระเครื่องต้นหวาน ท่านผู้หญิงประสานสุข ตันติเวชกุล มารดาวัย ๘๐ ต้น ของ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ดูแลพระเครื่องต้นไทย

ผู้จัดการรายสัปดาห์
(วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๔๕)
ที่มา : หนังสือใกล้เบื้องพระยุคลบาท โดย...ลัดดา


เผยความลับเรื่องแซ็กโซโฟนของในหลวง

ก่อนจะออกเดินทางมาจากสหรัฐอเมริกา บรรณาธิการนิตยสาร Look ได้สั่งนาย GEREON ZIMMERMAN มาว่า "เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด อย่าลืมกราบทูลถามเรื่องแซ็กโซโฟนทองคำด้วยนะว่ามันอย่างไรกันแน่ ราคาโดยประมาณสักเท่าใด ทำที่สวิตเซอร์แลนด์ หรือที่ไหน" เมื่อได้มานั่งอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ในวังสวนจิตรฯแล้ว นายซิมเมอร์แมน พยายามเลียบเคียงอยู่นาน ก็ยังไม่ได้จังหวะเหมาะที่จะทูลถามเรื่องที่บรรณาธิการอยากให้ถาม ในที่สุดพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งขึ้นมาเองว่า "หนังสือพิมพ์ที่อเมริกาพากันลงว่า เป็นกษัตริย์ที่คลั่งดนตรี...ซึ่งก็ไม่ว่าอะไร แต่ที่ไปลงจนเลยเถิดกันไปว่าแซ็กโซโฟนที่เป่าอยู่เป็นประจำนี้เป็นแซ็กโซโฟนที่ทำด้วยทองคำเนื้อแท้บริสุทธิ์ อันนี้ไม่จริงเลย สมมติว่าจริงก็จะหนักมาก ยกไม่ไหวหรอก บางฉบับก็เขียนว่าชอบขับรถซิ่ง ก็เอาเถอะ ยอมให้ไม่ถือสาหรอก แต่ไม่เชื่อว่าเรื่องพวกนี้จะเป็นการสร้างสรรค์ หรือเป็นประโยชน์อันใดแก่ประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา"
ต่อจากนั้นผู้แทนนิตยสาร Look ได้กราบทูลว่า ทรงโปรดดนตรีของวง "เดอะ บีทเทิลส์" หรือไม่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแย้มพระโอษฐ์ แล้วรับสั่งว่า "ก็รู้ๆ กันอยู่ว่า แท้จริงแล้วเป็นส่วนหนึ่งของสินค้าออกประเทศอังกฤษ" ได้ทรงมีพระกระแสรับสั่งต่อไปอีกว่า "คนหนุ่มสาวสมัยนี้เขาช่างสังเกตมาก และมีความคิดก้าวหน้า ลูกสาวคนโตเขามาหาตอนอายุสิบเอ็ด แล้วบอกว่า อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์ รู้สึกว่ามีความตั้งใจมาก"
ถึงตอนนี้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถรับสั่งเสริมขึ้นว่า "ลูกคนนี้เขาเดินตามรอยเสด็จพ่อ แต่ข้าพเจ้านั้นวิชาคำนวณอ่อนมาก" ในอีกตอนหนึ่งของการพระราชทานสัมภาษณ์แก่ผู้แทนของนิตยสาร Look วันนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งเล่าให้ฟังว่า แต่ละปีจะเสด็จไปเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกตถึงสามครั้ง และจะทรงประพรมน้ำพระมหาสังข์ให้แก่บรรดาข้าราชการที่ตามเสด็จเข้ามาในโบสถ์ น้ำนั้นถือกันว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ ข้าราชการเหล่านั้นถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้ทรงพระกรุณาประพรมให้ ต่อมาก็ทรงนึกถึงชาวบ้านธรรมดานอกโบสถ์ ซึ่งอยากให้ประพรมน้ำศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วย รับสั่งในตอนนี้ว่า "คนเราถ้าเชื่อว่าน้ำนั้นจะเป็นสิ่งนำความดีงามมาสู่ชีวิต ก็จะได้รับความดีงามและโชคลาภตามความเชื่อ "ตอนแรกนั้น มีคนขับแท็กซี่คนหนึ่งกลับไปบอกเพื่อนว่า ในหลวงประพรมน้ำมหาสังข์ให้ เพื่อนของเขาไม่ยอมเชื่อ เพราะว่าในหลวงคงไม่ทำเช่นนั้นแน่! แต่ได้ประพรมให้เขาจริง และเขาก็มีความสุขในทันที ถ้าโผล่เข้าไปดู จะเห็นว่าคนที่นั่งรอรับน้ำพระมหาสังข์อยู่นั้น มีทั้งชาย หญิง เด็ก นักท่องเที่ยว และคนขับแท็กซี่ ใครจะมาจะไปก็ได้ "เมื่อประธานาธิบดีของท่านมาเยือนเมืองไทย มีพวก FBI และหน่วย ร.ป.ภ.ห้อมล้อมกันหนาแน่นไปหมด จนหาทางเดินไม่ได้ ถ้าฉันมาวัดพระแก้วแบบนั้น ก็ไม่สามารถจะใกล้ชิดกับประชาชนได้ ถ้าผู้คนเบียดกันเข้ามาใกล้เกินไป จะมีคุณยายพูดขึ้นว่า "หลีกทางให้ในหลวงหน่อยเถอะ" คุณยายนั่นแหละคือ FBI ของฉัน "เวลาไปตามหัวเมือง ชาวนาจะมีของมาให้ เช่น หน่อไม้ฝรั่ง และสตรอเบอร์รี่งามๆ ซึ่งเขาปลูกเอง ชาวนาบางคนได้ทุนไปอเมริกา เขาจะมาหาแล้วถามว่า "จะทำอย่างไรดี? จะวางตัวแบบไหน?" ก็บอกไปว่าให้เป็นตัวของตัวเอง "ให้ดูแบบอย่างที่ดีๆ แล้วนำของใหม่ๆ มาปรับใช้ในเมืองไทย ครั้นกลับมาแล้ว ก็มาหาอีก ไม่มีใครห้ามเขาได้ที่จะไม่ให้มาหา" หลังจากนั้น ก่อนที่ผู้แทนนิตยสาร Look จะกราบทูลลา ได้ทรงพระกรุณาพระราชทานเลี้ยงน้ำชา พร้อมด้วยผลไม้ คือ แตงโม และมังคุด ซึ่งผู้แทนของ Look ตื่นเต้นมากที่เห็นแตงโมในลักษณะลูกกลมๆ ขนาดเล็ก
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้รับสั่งเมื่อผู้แทนของนิตยสาร Look และช่างภาพกราบทูลลาว่า "ฉันเป็นกษัตริย์ที่ได้รับเลือกตั้งขึ้นมา ถ้าประชาชนเขาไม่ต้องการฉัน เขาก็ไล่ฉันออกก็ได้จริงไหม? แล้วฉันก็กลายเป็นคนว่างงาน" รายละเอียดของการพระราชทานสัมภาษณ์คราวนั้น ผู้ที่สนใจค้นคว้าจะหาอ่านได้จากนิตยสาร Look ฉบับวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๑๙๖๗
เกี่ยวกับพระอัจฉริยภาพทางการดนตรีนี้ นักดนตรีแจ๊สที่มีชื่อเสียงหลายคนของอเมริกา ชื่นชมในพระปรีชาสามารถทางการดนตรีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นอย่างสูง เพราะทรงใช้เครื่องเป่าได้อย่างคล่องแคล่วทุกชนิด เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๓ พระองค์ได้เสด็จฯ ไปที่บ้านเทศมนตรีมหานครนิวยอร์ค ทรงดนตรีที่นั่น หลังจากนั้นเบ็นนี กู๊ดแมน ยอดนักดนตรีแจ๊สของอเมริกา ได้กราบบังคมทูลเชิญไปที่บ้านของเขาที่ถนนที่ ๖๖ เธิร์ด อเวนิว นักดนตรีผู้ร่วมวงอยู่ด้วยเล่าว่า "ทรงพระสำราญมากในคืนนั้น ทรงเป็นกันเองกับพวกเรามาก เป็นวาระที่พวกเราจะจดจำไปชั่วชีวิต"
ก่อนหน้านั้น คงจำกันได้ว่า ครั้งหนึ่ง ไม้ค์ ทอดด์ ได้เคยเสนอบทเพลงพระราชนิพนธ์หลายเพลง รวมทั้ง "Blue Night" ในการแสดงรีวิวครั้งยิ่งใหญ่ของเขาชื่อ "PEEP SHOW" ที่บรอดเวย์ ซึ่งในขณะที่กำลังซ้อมใหญ่อยู่นั้นพระเจ้าอยู่หัวกำลังทรงพระสำราญฮันนีมูนอยู่ที่หัวหิน ที่ด้านข้าง ใกล้ๆ พระราชวังไกลกังวล ตอนหัวค่ำวันนั้น บังเอิญมีใครไม่ทราบ มานั่งตีปี๊บอยู่ ข้าราชบริพาร แอบกระซิบกันว่า "เราไม่มีวาสนาได้ฟังปี๊บโชว์ที่อเมริกา ก็ฟังปี๊บที่นี่เอาก็แล้วกัน" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระสรวลน้อยๆ แต่ก็ไม่ได้รับสั่งว่าอย่างไร

ที่มา : พระราชอารมณ์ขัน - วิลาศ มณีวัต


ตายด้วยกัน

ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
นางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

.....ขณะที่ทั้งสองพระองค์ประทับอยู่บนพลับพลา ณ สนามโรงพิธีช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดยะลา และกำลังพระราชทานรางวัลแก่โต๊ะครู การพระราชทานต้องหยุดชะงักลงทันที เพราะมีเสียงระเบิดเกิดขึ้น ๒ ครั้งในหมู่ราษฎรที่นั่งรอเฝ้าฯ....
.....ราษฎรที่นั่งรอเฝ้าอย่างมีระเบียบต่างก็ลุกขึ้นเป็นอลหม่าน บ้างก็นอนคว่ำอยู่กับพื้น บ้างก็ออกวิ่งให้ห่างจากจุดที่มีเสียงระเบิด พากันวิ่งตัดสนามผ่านหน้าพลับพลา ถ้ามีใครหกล้มกับพื้นข้าพเจ้าคิดว่าคงมีการเหยียบกันตายให้เห็นต่อหน้าเป็นแน่...
...ทุกคนที่อยู่บนพลับพลาต่างก็ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น เห็นราษฎรที่ต่างก็วิ่งรุดไปข้างหน้าจนไกลด้วยความตกใจสุดขีด และสักครู่เขาก็วิ่งกลับมาที่เดิมใหม่ เมื่อไม่มีเสียงระเบิดเกิดขึ้นอีก เหตุการณ์สงบ สักครู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็พระราชทานรางวัลแก่โต๊ะครูจนเสร็จพิธี ต่อจากนั้น ทั้งสองพระองค์ก็ เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฎรที่กลับมารอเฝ้าฯ ด้วยพระอิริยาบถและพระราชจริยวัตรเป็นปกติ....
.....มีเด็กสาววิ่งเข้ามาเขย่าพระกรสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ร้องไห้พลางปากก็ร้องว่า "เขาจะฆ่าท่านทำไม ท่านก็รักราษฎรแล้วท่านก็ดีกับพวกหนู" ผู้หญิงแก่คนหนึ่งก็เข้ามากราบบังคมทูลว่า "ท่านอย่าโกรธฉันนะจ๊ะ เสียงมันดังปังขึ้นมา ฉันก็ตกใจวิ่งหนี แต่พอวิ่งไปแล้วก็นึกขึ้นได้ว่า ท่านยังอยู่ที่นั่นก็ เลยต้องวิ่งกลับมาหา คิดว่าถ้าเป็นอะไรขึ้นมาก็มาตายด้วยกัน"


ลุงวาเด็ง

มนูญ มุกข์ประดิษฐ์
รองเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อดีตเลขาธิการสำนักงานกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นักบริหารระดับ 11)

.....วันนี้ ลุงวาเด็งพาแววตาที่เป็นประกายมาเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยชุดเต็มยศครึ่งท่อน คือ สวมกางเกงตัวเดียวแต่ไม่สวมเสื้อ ไม่มีที่ไหน ในโลกนี้อีกแล้วที่สามัญชนคนชาวบ้านธรรมดาไม่ว่าจะอยู่ในเสื้อผ้าอาภรณ์ใดๆ ก็มีสิทธิ์เท่าเทียมกันที่จะเข้าใกล้ชิดพระองค์ ได้สนทนาปราศรัย บอกเล่าความทุกข์สุขกับพระเจ้าแผ่นดินของเขาได้อย่างเสมอภาคกันถ้วนหน้าเช่นนี้
.....ลุงวาเด็งดีใจที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาจนถึงหน้าบ้าน จึงเหลียวซ้ายแลขวาหลายครั้งผิดปกติ ในที่สุดก็ได้กราบบังคมทูลอย่างฉะฉานว่า "พระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาเยี่ยมทั้งที ไม่มีอะไรจะถวายเลย ผลไม้ในสวนเพิ่งเก็บขายไปได้เงินมา สองหมื่นบาท ก็นำไปซื้อเครื่องปั๊มน้ำมาได้ 1 เครื่อง .... ถอดเอาขึ้นรถและขนไปเลย ขอถวายพระเจ้าอยู่หัว"

ที่มา : บทความ "ประทีปเหนือฟ้ามืด ที่บ้านลุงวาเด็ง" โดย มนูญ มุกข์ประดิษฐ์ หนังสือ "ประทีปแห่งแผ่นดิน"


เสี่ยปลอม

มนูญ มุกข์ประดิษฐ์
รองเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อดีตเลขาธิการสำนักงานกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นักบริหารระดับ 11)

.....มีพระราชกระแสให้เจ้าหน้าที่ซึ่งรับสนองพระราชดำริไปจัดซื้อที่ดินเพื่อนำมาพัฒนาหรือนำมาจัดสรรแบ่งแปลงให้กับผู้ยากไร้ไว้เพื่อทำกิน ด้วยพระราชทรัพย์ของพระองค์เอง
.....เป็นการบังเอิญที่ผู้เขียนเป็นผู้หนึ่งซึ่งปลอมตัวเป็น "เสี่ย" นักจัดสรรที่ดินเข้าไปเจรจาซื้อที่ดินในรายนี้ด้วย จึงจำได้แน่ชัดถึงบรรยากาศของเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่า มีชาวบ้านเป็นกลุ่มๆ ออกมายืนมองและซุบซิบกันทำนองแปลกประหลาดใจว่า เหตุใดจึงมีผู้สนใจจะซื้อที่ที่ไม่น่าสนใจแถวนี้ .....หรือว่าพวกเสี่ยที่มาถามซื้อที่ที่นี่เป็นพวกหลอกลวงสิบแปดมงกุฎ เพราะดูไปจริงๆ แล้วราศีของเสี่ยหรือเศรษฐีก็ไม่ได้จับอยู่ที่ใครเลย มิหนำซ้ำยังหน้าตาแปลกๆ บางคนสูงเกินไป บางคนคล้ำเกินไป บางคนใส่แว่นตาหนาเตอะ
.....ประโยคแรกๆ ที่ลุงเจ้าของบ้านและเจ้าของที่ถามไถ่ก็คือ "ใครคือคนที่จะมาซื้อที่" .....ก็ต้องตอบไปว่า "ผู้ใหญ่ ท่านจะมาซื้อที่" ครั้นลุงถามว่า "เอาที่แบบนี้ไปทำอะไรกัน" ก็ต้องตอบว่า "เอาไปทำประโยชน์" ประโยชน์อะไร จัดสรรหรือ? ทำคอนโดหรือ? ลุงก็ได้รับคำตอบให้งุนงงต่อไปว่า "ไม่ใช่ทั้งนั้น" ท้ายที่สุด ลุงและคณะชักตาเขียวและสีหน้าไม่ดี เหล่าบรรดากองเชียร์ชักพูดแซมขึ้นมาบ้างว่า "อีแบบนี้ ถ้าจะเสียเวลาเปล่า! เจ้าของเขาไม่รีบร้อนขายหรอก เพราะเงินทองก็พอมีไม่เดือดร้อน" คณะเสี่ยปลอมรู้สึกสถานการณ์จะคับขัน ก็เลยบอกว่าผู้ใหญ่จะเอาไปทำประโยชน์ให้กับประชาชนแถวนี้เอง ทำประโยชน์กับชุมชนนี้ไม่ได้เอาไปขายต่อ หรือจัดสรรเอากำไรเข้าพกเข้าห่อแต่อย่างใด ลุงถามว่า "มีด้วยหรือ ผู้ใหญ่แบบนี้...หรือจะเป็นนายก" พวกเรารีบแทรกว่า "ใช่แล้ว...นายกให้มาซื้อ" ลุงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง มองหน้าคนโน้นทีคนนี้ทีกลับไปกลับมา พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นปฏิทินที่แขวนไว้ข้างฝาเป็นภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกำลังทรงงานอยู่ในถิ่นทุรกันดารและเสี่ยปลอมทั้งหลายครบทุกคนยืนอยู่ข้างหลังพระองค์ ลุงมองหน้าทุกคนอย่างตกใจเล็กน้อย
"เอ๊ะ คนนี้ก็ใช่ คนนั้นก็ใช่...หรือว่าผู้ใหญ่ที่จะมาซื้อที่นั้นคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" เมื่อความแตก ลุงและชาวบ้านวัดมงคลก็ปีติตื่นเต้นเป็นล้นพ้น...ในท้ายที่สุด ลุงเจ้าของที่โดยการสนับสนุนของสมาชิกละแวกวัดมงคลและญาติพี่น้องทั้งปวงก็ตกลงขายที่จำนวน 15 ไร่ ให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อนำมาทดลองแนวคิด "ทฤษฎีใหม่" ทางด้านเกษตรกรรม
.....ก่อนลาจากกัน ลุงเจ้าของที่ต่อว่าคณะเสี่ยปลอม "ไหนแต่แรกว่านายกมาซื้อที่ไง.." เสี่ยปลอมทั้งหลายไม่ตอบคำถามนี้ แต่ในใจทุกคนคิดว่า ก็ใช่น่ะสิ นายกแท้ๆ เลย แต่เป็น "นายกกิตติมศักดิ์มูลนิธิชัยพัฒนา"

ที่มา : บทความ "ใครมาซื้อที" โดย มนูญ มุกข์ประดิษฐ์ หนังสือ "ประทีปแห่งแผ่นดิน"




โดย: Hobbit วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:10:48:24 น.  

 
ตัวยึกยือ

มนูญ มุกข์ประดิษฐ์
รองเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อดีตเลขาธิการสำนักงานกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (นักบริหารระดับ 11)

.....พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาท เข้าไปในป่ายางท่ามกลางฝนตกหนัก โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ตามรอยพระยุคลบาทไปไม่ห่าง เป็นระยะทางถึง ๒ กิโลเมตรเศษ
.....นี่คือสิ่งที่มิใช่สามัญธรรมดาในความรู้สึกของผู้คน และความไม่สามัญธรรมดานี้ก็ยิ่งไม่ธรรมดามากยิ่งขึ้นเป็นทวีคูณ เนื่องเพราะบริเวณนี้คือ "ดงทาก" หรือ "รังทาก" อันมีทากชุกชุมที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้
.....กว่าจะถึงจุดหมาย คือบริเวณพื้นที่ที่จะพิจารณาสร้างอ่างเก็บน้ำเพื่อให้มีน้ำไว้ใช้ สำหรับพื้นที่ ๕,๐๐๐ ไร่ ใน ๓ เขตตำบล คือ เชิงคีรี มะยูง และรือเสาะ เกือบทุกคนก็โชกฝนและโชกเลือด แม้ทูลกระหม่อมทั้งสองพระองค์ก็มิได้รับการยกเว้น
.....ค่ำวันนั้น ระหว่างเสด็จพระราชดำเนินกลับพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ อากาศปลายฤดูฝนกำลังสบาย ดวงดาวบนท้องฟ้าเริ่มจะปรายแสง ขบวนรถยนต์พระที่นั่งได้หยุดลงอย่างกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุบนทางหลวงที่มืดสงัด เป็นเวลาหลายนาที ถามไถ่ได้ความภายหลังว่า ยังมีทากหลงเหลือกัดติดพระวรกายอยู่อีก เมื่อรู้สึกพระองค์จึงได้ทรงหยุดรถยนต์พระที่นั่ง และรับสั่งให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ช่วยจับทากที่ตัวเป่งด้วยพระโลหิตออกจากพระวรกาย ทรงเรียกการทรงงานวิบากที่เชิงคีรีครั้งนี้ในภายหลังว่า "สงครามกับตัวยึกยือ ที่เชิงคีรี"

ที่มา : บทความ "ในหลวงในดงทาก" โดย มนูญ มุกข์ประดิษฐ์ หนังสือ "ประทีปแห่งแผ่นดิน"


บาบูรักในหลวง

....ระหว่างทรงพระผนวช ทุกเช้าจะมีบาบู 3 นาย ขี่สามล้อเครื่องค่อนข้างเก่ามาหยุดอยู่ที่ประตูวัดบวรฯ คนขับซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตและกางเกงขาสั้น ลงมาแก้ห่อนมสด 2 ขวด พร้อมกับหนีบนมสดทั้ง 2 ขวดเข้าไปให้แก่เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง ณ พระตำนัก เพื่อถวายแด่พระภิกษุพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บาบูนายนี้ชื่อนายรามดาส ชาวอินเดีย เข้ามาทำมาหากินในเมืองไทยได้ 20 กว่าปีแล้วมากับลูกชายและนายซิตาราม ซิงห์ อายุ 56 ปี เป็นพี่น้องกัน ทั้งสามนับถือศาสนาฮินดู “แขกกับไทยมิใช่อื่นไกลพี่น้องกัน ศาสนาไม่เกี่ยว ฉันอยู่เมืองไทยมายี่สิบกว่าปี สบายดีเหลือเกิน ฉันคิดถึงพระคุณในหลวง และฉันรักท่านมาก ฉันจึงไปขออนุญาตเจ้าหน้าที่เขาถวายนมสดวันละ 2 ขวดน่ะ” บาบูรามดาสได้เผยว่า นมสดที่เขานำมาทูลเกล้าฯ ถวายได้ทำอย่างชนิดพิเศษ คือรีดจากนมวัวแล้วใส่ขวดเลย โดยไม่ปะปนกับนมสดที่นำไปขาย....

ที่มา : หนังสือพิมพ์ “พิมพ์ไทย” เดือนตุลาคม พ.ศ. 2499


ลืมจนได้

ทมนี มหานนท์

....เพื่อเป็นการระลึกถึงพระเดชพระคุณของ “ทูลหม่อม” ของเรา พวกแพทย์จึงจัดงานที่เราเรียกกันแต่ก่อนมาว่า “วันมหิดล” ในวันที่ 24 กันยายน ซึ่งเป็นวันสิ้นพระชนม์ ทางโรงพยาบาลศิริราชจัดการถวายบังคมพระรูปสมเด็จพระบรมราชชนก ซึ่งประดิษฐานอยู่ในบริเวณโรงพยาบาล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินนีนาถเสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นผู้นำในการถวายบังคมทุกปี ถ้าเสด็จอยู่พวกหมอที่เป็นนักดนตรีก็ตั้งวงกันขึ้นบรรเลงเพลงสดุดี เทิดพระเกียรติและถวายความไว้อาลัยแด่ทูลกระหม่อมทุกปีมีเมื่อพวกเราจะได้มีโอกาสเข้าเฝ้าใกล้ชิดพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงกับจะเสด็จฯมาร่วมวงดนตรีด้วยนั้น ความจงรักภักดี ความปลาบปลื้ม ภาคภูมิใจก็ล้นพ้นหัวใจพวกเรา ความตื่นเต้นนั้นออกมาในรูปต่างๆกัน เพื่อนหมอคนหนึ่งเล่นขิม คืนที่วันรุ่งขึ้นจะได้เข้าเฝ้าฯ นั้น ท่านมานอนตรึกตรองว่าเพียงรูปเซียนแปดตัวที่เขียนไว้หน้าขิมนั้น จะพาเข้าเฝ้าถวายตัวจะยังไม่เป็นการถวายพระเกียรติได้เพียงพอสมใจ เมื่อจะรับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งที ควรจะใช้ธงชาติรับจึงจะเหมาะ ท่านจึงซื้อสีพ่นมาพ่นเป็นธงชาติทับลงไปบนเซียนทั้งแปดนั้น กว่าจะพ่นเสร็จก็ดึกมากแล้ว แต่เมื่อลองเสียงดูก็เกิดความตกใจเป็นล้นพ้นว่า เสียงขิมนั้นกลับอับทึบไปหมด เพราะสีที่พ่นไปเกิดความชื้นให้เส้นลวด ท่านจึงต้องเปลี่ยนแผนใช้น้ำยาเช็ดสีออกจนหมด กว่าจะเสร็จก็สว่างพอดี เมื่อเพื่อนฝูงรู้ข่าวก็ตกใจไปตามๆ กัน เพราะท่านผู้นี้จะต้องเป็นผู้รวบรวมเครื่องดนตรีทั้งหมดบรรทุกรถเข้าไปที่สถานีวิทยุ อ.ส. ในพระราชวังจิตรลดา ทุกคนหวั่นใจว่าท่านอาจลืมเครื่องอะไรสักอย่างเป็นแน่ เพราะไม่ได้นอนทั้งคืนแต่เมื่อไปถึงพร้อมหน้ากัน ก็ได้ทราบด้วยความขบขันเป็นอันมากว่า สิ่งที่ท่านลืมนั้นคือ ฟันปลอมทั้งชุดของท่าน ด้วยความตื่นเต้นไม่ทราบว่าไปวางลืมไว้ที่ไหน....

ที่มา : บทความ “ล้นเกล้าฯ กับดนตรีไทย” โดย ทมนี มหานนท์


หมึกไม่ออก

ช่วยศาสตราจารย์ อนงค์รัตน์ สุขุม
....วันที่ 14 กรกฎาคม 2526 เป็นวันพระราชทานปริญญาบัตรที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่นายกสโมสรอาจารย์จะเป็นผู้ดูแลถวายปากกาให้ทรง ลงพระปรมาภิไธย แต่ในปีนั้น ดิฉันในฐานะอุปนายกสโมสรอาจารย์ได้รับหน้าที่นี้แทนก่อนจะเสด็จพระราชดำเนิน เราก็ดูแลความเรียบร้อยทุกอย่าง อย่างระมัดระวังที่สุด โดยเฉพาะปากกาลองกันหลายครั้งจนมั่นในว่าไม่มีปัญาหาแน่ พอเสด็จฯ มาถึงท่านก็ทรงลงพระปรมาภิไธย ปรากฎว่าทรงจรดปากกาลงไปแล้วแต่ไม่มีหมึกออกมาเราก็ตกใจมากเลย ไม่รู้จะทำยังไงดี นึกในใจว่าเป็นความบกพร่องของเราแน่ๆ ลองมากไปจนหมึกหมด ดิฉันก็เลยถวายกระดาษทิชชูเปล่าๆ ที่อยู่ในมือให้ท่าน เพื่อจะให้ท่านทรงเช็ดปากกา แต่ท่านทรงเพระเมตตามากเลย สีพระพักตร์ที่ท่านมองดิฉันเหมือนกับจะตรัสว่า “ไม่ต้องตกใจ” แล้วก็ทรงนำปากกามาลองที่มือดิฉันที่มีกระดาษทิชชู ปรากฎว่าหมึกออก จากนั้นก็ทรงหันไปลงพระปรมาภิไธยในสมุด พอท่านเสด็จพระราชดำเนินไปแล้ว ทุกคนก็รีบเข้ามาดูกระดาษที่ทรงลองปากกาแผ่นนั้นกันใหญ่ศาสตราจารย์ ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์ บอกว่า “พี่ฯ ขอหน่อยเถอะพี่ จะเอาไปเป็นมงคล” ก็เลยแบ่งให้อาจารย์ไปส่วนหนึ่ง...

ที่มา : สารคดีโทรทัศน์ พ่อของแผ่นดิน


เราจับได้แล้ว

ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
นางสนองพระโอษฐ์ในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

.....ครั้งหนึ่งในงานนิทรรศการ "ก้าวไกลไทยทำ" วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๘ "The BOI Fair 1995 commemorates the 50th Anniversary of His Majesty King Bhumibol Adulyadej's reign" (Board of Invest Fair 1995 BOI)หลังจากที่เสด็จพระราชดำเนิน พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ตามศาลาการแสดงต่างๆ ก็มาถึงศาลาโซนี่ (อิเล็กทรอนิกส์) ภายในศาลาแต่งเป็น "พิภพใต้ทะเล" โดยใช้เทคนิคใหม่ล่าสุด "Magic Vision" น้ำลึก 20,000 league จะมีช่วงให้แลเห็นสัตว์ทะเลว่ายผ่านไปมา ปลาตัวเล็กๆ สีสวยจะว่ายเข้ามาอยู่ตรงหน้า ข้อสำคัญเขาเขียนป้ายไว้ว่า ถ้าใครจับปลาได้เขาจะให้เครื่องรับโทรทัศน์ พวกเราไขว่คว้าเท่าไหร่ก็จับไม่ได้ เพราะเป็นเพียงแสงเท่านั้น แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสว่า "เราจับได้แล้ว" พร้อมทั้งทรงยกกล้องถ่ายรูปชูให้ผู้บรรยายดู แล้วรับสั่งต่อ "อยู่ในนี้" ต่อจากนั้นคงไม่ต้องเล่า เพราะเมื่ออัดรูปออกมาก็จะเป็นภาพปลาและจับต้องได้ บริษัทโซนี่จึงต้องน้อมเกล้าฯ ถวายเครื่องรับโทรทัศน์ตามที่ประกาศไว้.....

ที่มา : หนังสือ ทำเป็นธรรม โดย ท่านผู้หญิงเกนหลง สนิทวงศ์ ณ อยุธยา




โดย: Hobbit วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:10:48:46 น.  

 
ความซื่อเป็นเหตุ

ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล

.....บางครั้งในการที่ทรงสอบถามข้อมูลทั่วๆ ไปจากราษฎรนั้นก็อาจมีเรื่องที่นึกไม่ถึงเกิดขึ้นจนเป็นเรื่องที่เล่าสู่กันฟังเสมอๆ ดังเช่น ครั้งหนึ่งได้เสด็จไปยังพื้นที่ที่สภาพดินไม่ดีนักเพราะมีกรดมาก ซึ่งเรามักจะเรียกกันว่า "ดินเปรี้ยว" ได้ทรงถามราษฎรผู้หนึ่งว่า"ดินแถวนี้เปรี้ยวไหม"ราษฎรผู้นั้นก็ทำท่าหน้าตาเฉย (ขอให้ผู้อ่านลองนึกภาพเอาเอง" แล้วกราบบังคมทูลตอบพระองค์แบบซื่อๆ สั้นๆ ว่า
"ไม่รู้ ไม่เคยกิน".......................
และอีกครั้งหนึ่ง เมื่อคราวเสด็จทรงเยี่ยมประชาชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ขณะนั้นเป็นเวลาค่ำแล้ว แต่พระองค์ยังคงเสด็จพระราชดำเนินตรวจสอบสภาพพื้นที่อยู่ โดยเสด็จเข้าไปยังทุ่งนา ก็ได้มีราษฎรผู้หนึ่งมานั่งเฝ้ารับเสด็จอยู่ ณ ที่นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชกระแสรับสั่งสอบถามชายผู้นั้นถึงเรื่องการทำมาหากินว่า ทำนาได้ผลเป็นอย่างไร ได้กี่ถังต่อไร่ ฯลฯ และปัจจุบันนี้ยังทำอยู่หรือไม่ ซึ่งชายผู้นั้นก็ได้กราบบังคมทูลว่า"เดี๋ยวนี้ไม่ได้ทำ เพราะแขนเจ็บ" (ชายผู้นั้นมีผ้าพันแขนไว้ข้างหนึ่ง"พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงรับสั่งถามว่า "ไปโดนอะไรมาถึงเจ็บ" ชายผู้นั้นก็กราบบังคมทูลว่า "ตกสะพาน"และด้วยความที่ทรงห่วงใยราษฎรผู้นั้น จึงได้มีพระราชกระแสรับสั่งต่อไปว่า"แล้วแขนอีกข้างหนึ่งล่ะไม่เป็นอะไรหรือ"ราษฎรผู้นั้นกราบบังคมทูลตอบทันทีทันใดว่า"แขนอีกข้างไม่ได้ตกไปด้วย"

ที่มา : อนุสาร อ.ส.ท. ปีที่ ๒๘ ฉบับที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๓๑


พานดอกไม้

เฉลิมศักดิ์ รามโกมุท
อดีตตำรวจหลวง
.....การเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานออกไปต่างจังหวัดนั้น ทรงพระราชทานความเป็นกันเองแก่ราษฎรทั่วหน้า ทั้งนี้ด้วยทรงตระหนักในพระราชหฤทัยว่า พสกนิกรต่างต้องการได้เข้าใกล้ชิดพระองค์และได้กราบทูลเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองครั้งหนึ่งทรงเสด็จแปรพระราชฐานไปต่างจังหวัดและทรงเสด็จออกให้ข้าราชการตำรวจ ทหาร พ่อค้า ประชาชน สมาคมและกลุ่มบุคคลต่างๆ ได้เข้าเฝ้า จนมาถึงวาระของคณะสุภาพสตรีประจำจังหวัดนั้นอันประกอบด้วย ครู อาสากาชาด สมาคมแม่บ้าน กลุ่มใหญ่ประมาณ ๗๐-๘๐ คน ผู้เป็นหัวหน้าได้เข้าเฝ้าถวายพานดอกไม้ ในตอนท้ายของการถวายพระพรนั้นได้กล่าวกราบทูลว่า "...ข้าพระพุทธเจ้าทุกคนมีความจงรักภักดีต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท มีน้ำหนักมากกว่าพานดอกไม้ ที่น้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระพุทธเจ้าข้า" ทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปรับพานดอกไม้แล้วส่งให้มหาดเล็กรับช่วงต่อไปตามประเพณี เมื่อมหาดเล็กรับพานดอกไม้ไปแล้วยังไม่ทันหมุนตัวกลับ ก็มีพระราชดำรัสกับมหาดเล็กว่า "...เอาพานใบนี้ไปชั่งดูนะว่าน้ำหนักเท่าไร"

ที่มา : หนังสือ เรื่องหลังจากวังหลวง บันทึกความทรงจำของอดีตตำรวจหลวง เฉลิมศักดิ์ รามโกมุท



เชื้อโรคตายหมด

หม่อมเจ้าภัศเดช รัชนี
ผู้อำนวยการโครงการหลวง

.....เหตุการณ์ในปี ๒๕๑๓ ที่ควรจะนำมากล่าว เพราะมีผลต่อจิตใจของชาวเขา และควรที่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ได้ทราบเพื่อพยายามเดินตาม "เบื้องยุคลบาท"
วันนั้นเสด็จฯ ไปหมู่บ้านดอยจอมหด พร้าว เชียงใหม่ ผู้ใหญ่บ้านลีซอกราบทูลชวนให้ "ไปแอ่วบ้านเฮา" ก็เสด็จฯ ตามเขาเข้าไปบ้านซึ่งทำด้วยไม้ไผ่และมุงหญ้าแห้ง เขาเอาที่นอนมาปูสำหรับประทับ แล้วรินเหล้าทำเองใส่ถ้วยที่ไม่ค่อยจะได้ล้างจนมีคราบดำๆ จับ ผู้เขียนรู้สึกเป็นห่วง เพราะตามปกติไม่ทรงใช้ถ้วยมีคราบ (ผิดกับผู้เขียน) จึงกระซิบทูลว่าควรจะทรงทำท่าเสวย แล้วส่งถ้วยมาพระราชทานผู้เขียนจัดการแต่ก็ทรงดวดเอง กร้อบเดียวเกลี้ยง ตอนหลังรับสั่งว่า "ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้นเชื้อโรคตายหมด"

ที่มา : หนังสือ "พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับโครงการหลวง" โดย หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี


น้ำลดหรือยัง

ถาวร ชนะภัย

.....หลายปีมาแล้วเมื่อครั้งน้ำท่วมภาคใต้ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เป็นช่วงเวลาที่การสื่อสารแห่งประเทศไทยได้นำเครื่องโทรพิมพ์มาติดตั้งที่ห้องทรงงานใหม่ๆ เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวาย ข้าราชสำนักท่านหนึ่งกรุณาเล่าให้ฟังว่า
.....แม้จะดึกดื่นเที่ยงคืนแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ยังไม่เสด็จขึ้นห้องพระบรรทม แต่ทรงคอยติดตามข่าวเรื่องอุทกภัยที่หาดใหญ่อยู่อย่างใกล้ชิดด้วยทรงห่วงใยราษฎร จึงทรงส่งคำถามผ่านเครื่องโทรพิมพ์ด้วยพระองค์เอง ถามไปทางหาดใหญ่ว่า "น้ำลดแล้วหรือยัง"
.....โดยที่ไม่ทราบว่าผู้ส่งคำถามมานั้นคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คำตอบที่มีผ่านมาทางเครื่องโทรพิมพ์ เมื่อเวลาประมาณตีสองตีสาม มีข้อความที่ตอบด้วยความไม่พอใจว่า "ถามอะไรอยู่ได้ ดึกดื่นป่านนี้แล้ว คนเขาจะหลับจะนอน" แต่ตอนท้ายของคำตอบนั้นก็ไม่ลืมที่จะบอกด้วยว่า "น้ำลดแล้ว"

ที่มา : บทความเรื่อง "ในหลวงกับประชาชน" โดย ถาวร ชนะภัย หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๐



เอ้ก อี๊ เอ้ก เอ้ก

พลตำรวจเอกเสริม จารุรัตน์
หัวหน้านายตำรวจราชสำนักประจำ ผู้ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เข้าร่วมวงดนตรี "อ.ส. วันศุกร์"

".....สืบเนื่องมาจากพระองค์ท่านทรงอยากให้ผมลองเป่าเสียงไก่ เสียงไก่นี้ก็มาจากเพลง "ใกล้รุ่ง" คือ ในเพลงจะมีบทอินโทรดัคชั่น ที่เป่าโดยฟลุ๊ต แล้วพระองค์ท่านก็จะทรงทรัมเป็ตที่เป็นเสียงไก่.. เอ้ก อี๊ เอ้ก เอ้ก ด้วย พระองค์ก็คงจะมีพระอารมณ์ขันเกี่ยวกับเรื่องไก่นี้...มีพระราชประสงค์ว่า ผมตื่นขึ้นมาจะได้ตกใจว่า เสียงไก่ที่ไหนมันมาร้องที่บ้าน"
.....เพื่อให้ต้องกับพระราชประสงค์ที่ไม่ต้องการ พล.ต.อ. เสริมทราบล่วงหน้า กระบวนการทั้งหมดจึงต้องปิดเป็นความลับ โดยทั้งคนที่นำมาและไก่ทั้ง ๗๐ ตัวนั้นต้องซุ่มรออยู่ในความมืด "ทีนี้ตอนมานี่ คนเอามาส่งเขาก็ไม่อยากให้ผมรู้ สืบแล้วว่าผมเข้านอนกี่โมง เขาก็มาจอดรถคอยอยู่ ถามยามหน้าบ้านว่าผมนอนหรือยัง คืนนั้นผมก็บังเอิญนอนดึก คนมารอก็ เอ๊ะ! ไม่เข้านอนสักที พอเขารู้ว่าผมเข้านอนแล้วก็วิทยุบอกกัน"
.....ด้วยเหตุนี้เช้าวันรุ่งขึ้นทั่วทั้งบ้านของ พล.ต.อ. เสริม จึงเต็มไปด้วยไก่ทั้งหมดรวม ๗๐ ตัว "ผมมาทราบภายหลังว่า ความจริงพระองค์ท่านทรงให้หา ๒๐๐ กว่าตัว เพื่อให้ตรงกับราคาหุ้นในตอนนั้น"

ที่มา : บทสัมภาษณ์ พลตำรวจเอกเสริม จารุรัตน์ โดย "พจมาน" นิตยสาร "ลิปส์" ฉบับ ๑๐ ปักษ์แรก ธันวาคม ๒๕๔๒




โดย: Hobbit วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:10:49:18 น.  

 
มณีเมขลากับแอนเจลล่า

สมิทธ ธรรมสโรช
อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา

.....พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงศึกษาลักษณะอากาศโดยใช้ข้อมูลที่กรมอุตุนิยมวิทยานำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายทุกวัน ร่วมกับข้อมูลจากต่างประเทศที่พระองค์ทรงเลือกเองจากระบบสื่อสารต่างๆ....
.....ในหลายครั้งที่พระองค์ทรงมีพระราชวินิจฉัยในลักษณะแตกต่างออกไป และผลก็ออกมาตามพระราชวินิจฉัย พระองค์ท่านก็จะทรงมีพระราชดำรัสในทางขำขันเพื่อไม่ให้เราเสียใจ เช่น การไม่เข้ามาของพายุ Angela ในปี พ.ศ. ๒๕๓๘ ทรงมีรับสั่งว่า "ไม่เป็นไร ลูกนี้ไม่เข้า ฉันให้นางเมขลาพาไปที่เขาพระสุเมรุแล้ว"

ที่มา : บทความ "พระปรีชาสามารถในกิจการสื่อสารอุตุนิยมวิทยา" เรียบเรียงจากบทสัมภาษณ์นายสมิทธ ธรรมสโรช ในหนังสือ "เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้านการสื่อสาร" โดย คณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองสิริรา

ขอบคุณ //www.thaimonarchy.com/story.php ที่รวบรวมเรื่องราว


โดย: Hobbit วันที่: 22 มกราคม 2551 เวลา:10:50:04 น.  

 



เรื่องมีอยู่ว่า มีชาวเดนมาร์กคนหนึ่งนอนหลับอยู่ที่บ้านในเวลากลางคืน
มีนางฟ้าลงมาหาเขา ชวนให้ไปเที่ยวสวรรค์กับนรก เขาก็ตกลงไปด้วย

นางฟ้าพาไปที่ที่หนึ่งแล้วบอกว่า " ถึงนรกแล้ว "

ที่นั่นเป็นห้องใหญ่ๆ
มีโต๊ะยาวๆ บนโต๊ะมีอาหารที่ประณีต อร่อย มีคุณค่าทุกประเภท
มีคนนั่งอยู่หลายคน นางฟ้าก็บอกว่า " นี่สัตว์นรก "
คนเหล่านั้นนั่งมองอาหารที่น่ากินที่สุดในโลกแต่ตัวเขาผอมเหลืองน่าสงสาร
นางฟ้าบอกว่าที่นี่อนุญาตให้กินอาหารดีๆ ได้ แต่มีเงื่อนไขว่าห้ามใช้มือหยิบ
ต้องใช้ช้อนที่ยาว 1 เมตร ตักอาหารกินเท่านั้น
เวลาจะใช้ช้อนตักอาหารเข้าปากตัวเองคนที่นรกก็ตักไม่ถึงสักที
อาหารที่อร่อยหกลงบนพื้นเกือบหมด เขาเลยมีความวุ่นวายเดือดร้อนมาก
พยายามตักอาหารเท่าไรก็ไม่ถึงปาก
จึงผอมโซเพราะอดอาหารทั้งที่อยู่ใกล้ชิดอาหารที่อร่อยมีคุณค่าทางโภชนาการ
แต่ไม่สามารถเอาเข้ามาถึงปากของตนเองได้


นางฟ้าพาไปอีกห้องหนึ่งแล้วบอกว่า" ถึงสวรรค์แล้ว "

ห้องที่ 2 นี้มีลักษณะเช่นเดียวกับห้องแรกทุกประการ
มีโต๊ะอาหารยาวๆ อาหารประณีตหลายๆ อย่างเหมือนกันกับห้องนรก มีเก้าอี้รอบ
มีคนนั่งอยู่หลายคน นางฟ้าบอกว่า " นี่เทวดาบนสวรรค์ "
แต่แปลกที่คนบนสวรรค์นั้นยิ้มแย้มแจ่มใสอ้วนท้วนสมบูรณ์สบาย
ดูว่าเขากินอาหารอย่างไร ทั้งๆ ที่เขาก็ต้องใช้ช้อนยาว 1 เมตรเหมือนกับที่นรก

" เอ...ทำไมมันไม่เหมือนที่นรก ? ทำไมคนที่นี่สนุกสนานแจ่มใสร่าเริง แข็งแรง "

พอดูดีๆ
อ้อ! เห็นวิธีของชาวสวรรค์ คนอีกข้างก็ตักอาหารมาใส่ปากของคนตรงข้าม
คนอีกข้างก็ตักอาหารมาใส่ปากของคนข้างนี้ ก็เลยได้กินกันทุกคนอยู่อย่างสุขสบาย
สรุปว่า ที่นรกนั้น...คนคิดแต่จะได้อย่างเดียว
คิดแต่เรื่องความสุขของตัวเอง คิดแต่ว่าเราจะได้อาหาร ได้สิ่งที่เราชอบ
โดยไม่คิดถึงคนอื่น แต่ที่สวรรค์นั้น...มีการช่วยเหลือกัน
มีความรักสามัคคีกัน คำนึงถึงความสุขของคนอื่นด้วย

จึงก็ได้รับความสุขทั่วถึงกันทุกคน


โดย: Hobbit วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:10:15:39 น.  

 
คิดบวก ชีวิตบวก
( Positive Thinking, Positive Life )

เวลาเจองานหนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ

เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ

เวลาเจอความทุกข์หนัก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต

เวลาเจอนายจอมละเมียด ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (perfectionist)

เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการเปิดขุมทรัพย์มหาสมบัติ

เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย

เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต

เวลาเจอความป่วยไข้ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี

เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง

เวลาเจอลูกหัวดื้อ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือโอกาสทองของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง

เวลาเจอแฟนทิ้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ

เวลาเจอคนที่ใช่แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง

เวลาเจอภาวะหลุดจากอำนาจ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนัตตาของชีวิตและสรรพสิ่ง

เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม

เวลาเจอคนเลว ให้บอกตัวเองว่า นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์

เวลาเจออุบัติเหตุ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด

เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบททดสอบที่ว่า "มารไม่มีบารมีไม่เกิด"

เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม "ในวิกฤตย่อมมีโอกาส"

เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต

เวลาเจอความตาย ให้บอกตัวเองว่า นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์


โดย: Hobbit วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:03:15 น.  

 
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
คนโง่ คนฉลาด คนมีปัญญา
บทความ: เป็นหนังสือ พ็อกเกตบุ๊ก หน้าปกสีขาว พิมพ์จำหน่ายมาตั้งแต่ ปี 2542 มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “THE FOOLISH, THE CLEVER, THE WISE” แปลเป็นไทย “คนโง่ คนฉลาด คนมีปัญญา” เขียนโดย ไชย ณ พล เห็นว่ามีหลายส่วนเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง จึงขอหยิบยกมาเขียนดังนี้

ว่าด้วยการพูด “คนโง่” ชอบให้ อารมณ์ พูด จึงกระทบตนกระทบคนอื่นเนือง ๆ ผิดพลาดมาก ล้มเหลวบ่อย “คนฉลาด” ชอบให้ เหตุผล พูด จึงถูกต้องมากแต่มักไร้ความรู้สึกและประสบแต่ความสำเร็จอัน แห้งแล้ง “คนมีปัญญา” ชอบให้ ธรรมะพูด จึงบริสุทธิ์เหนือถูกเหนือผิด เป็นหนึ่งเดียวกับความสำเร็จโดยธรรม

ว่าด้วยการทำงาน “คนโง่” ทำงานเพื่อเงิน จึงได้เงินมาอย่างเหนื่อยยาก และมักไม่ได้คุณค่าอื่น ๆ ของงาน “คนฉลาด” ทำงานเพื่องาน จึงได้ผลงานที่ยิ่งใหญ่ และได้เงินตามมาโดยไม่ยาก “คนมีปัญญา” ทำงานเพื่อ หยิบยื่นคุณค่าแก่สังคม จึงได้ผลงานที่น่าชื่นชม เงิน ชื่อเสียง มิตร และ ความสุข ย่อมติดตามมา

ว่าด้วยการดำเนินชีวิต “คนโง่” มักโกงเขากิน กรรมจึงกระหน่ำให้เสียทรัพย์ จะจนอยู่ร่ำไป ซ้ำมีศัตรูคอยกัดกร่อนตลอดเวลา “คนฉลาด” แข่งขันแย่งกันกินอย่างถูกกฎหมาย จึงยุ่งยากและพลาดไม่ได้ จะโดนแย่งเพราะ มีคู่แข่งพร้อมเหยียบย่ำเสมอ “คนมีปัญญา” แบ่งปันกันกินตามความพอดีในระบบสมดุล จึงมีคน ช่วยสร้าง ช่วยรักษา และ ช่วยเสพ มีมิตรร่วมรับผิดชอบ ร่วมทุกข์ ร่วมสุขโดยมาก

ว่าด้วยการปรนเปรอ “คนโง่” เอาแต่ใจตนเอง จึงได้รับ ความสะใจ เป็นผล และ ความรังเกียจ เป็นรางวัล “คนฉลาด” เอาใจคนอื่น จึงมักจะได้รับ ความลำบาก เป็นผล และ ความรัก ความเห็นใจ เป็นรางวัล “คนมีปัญญา” ไม่เอาทั้งสองอย่างเพราะรู้ดีว่าคือ กิเลส และ ตัณหา ทั้งคู่ แต่เอา สัจจะ ที่ก่อให้เกิดประโยชน์สุขแท้สำหรับทุกฝ่ายเป็นที่ตั้ง จึงได้รับ คุณค่า เป็นผลและ ความสุข เป็นรางวัล

ว่าด้วยสติ “คนโง่” เมาคำพูด ประคองสติไม่อยู่ จึงพลั้งพูดพล่อยบ่อย ๆ สร้างกรรมสร้างศัตรู มากมาย “คนฉลาด” บ้าความคิด เขม่าเต็มสมอง จึงเต็มไปด้วย จิตหลอน สร้างมายา หลอกตน และ คนอื่น “คนมีปัญญา” บ้าความสงบ จึงพบ สติเต็มตื่น เป็นหลักให้ตนและคนอื่นได้

ว่าด้วยการอวดตน “คนโง่” ชอบอวดตัว จึงได้รับความหมั่นไส้ การต่อต้านและความเจ็บปวดเป็นรางวัล “คนฉลาด” ชอบถ่อมตัว จึงได้รับความเห็นใจ และความช่วยเหลือเป็นรางวัล “คนมีปัญญา” มั่นใจตน แต่ไม่นิยมแสดงตัว ถ่วงดุลเป็นระหว่างการยกตนและการถ่อมตัว วางตนและสำแดงบทบาทตามหน้าที่ จึงได้รับ ความเคารพ และ ความเชื่อถือ เป็นรางวัล

ว่าด้วยมารยาท “คนโง่” แข็งกระด้าง จึงล้มเหลว ดั่งเปลือกไม้ร่วงหล่นลงสู่ปฐพี “คนฉลาด” ยืดหยุ่น จึงกระจายตนไปได้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ดั่งรากไม้แผ่ซ่านในพื้นปฐพี “คนมีปัญญา” อ่อนโยน จึงเจริญงอกงามดั่งยอดไม้ที่พุ่งขึ้นสู่ที่สูง

ว่าด้วยเวลา “คนโง่” พร่ำเพ้ออยู่กับอดีตที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ “คนฉลาด” เพ้อเจ้ออยู่กับอนาคตที่ยังไม่จริง “คนมีปัญญา” ยืนอยู่บนปัจจุบัน และ ยึดอดีต ปัจจุบัน อนาคตให้เป็นเส้นตรงเดียวกัน

ว่าด้วยการบริหารอารมณ์ “คนโง่” มักจมอยู่ในอารมณ์ “คนฉลาด” ปฏิเสธอารมณ์ “คนมีปัญญา” จะบริหารอารมณ์เป็น สร้างอารมณ์ที่ควรสร้าง เสพอารมณ์ที่ควรเสพ รักษาอารมณ์ที่ควรรักษา สลายอารมณ์ที่ควรสลาย เขาจึงเป็นนายของอารมณ์โดยสมบูรณ์

ว่าด้วยสำนึกในส่วนรวม “คนโง่” คิดแต่เรื่องส่วนตัว “คนฉลาด” คิดแต่ เรื่องส่วนรวม “คนมีปัญญา” คิดแต่เรื่อง คุณธรรม

ว่าด้วยการอยู่รอด “คนโง่” เอาแต่ตัวรอด จึงโดดเดี่ยวไร้กำลัง “คนฉลาด” เอาหมู่คณะรอด จึงอยู่รอดปลอดภัยแต่อาจไร้ระเบียบ “คนมีปัญญา” เอาระบบรอด จึงสามารถสานสร้างสิ่งใหม่บนฐานเก่าได้โดยเร็ว

ว่าด้วยธรรมะ “คนโง่” ดูหมิ่นธรรมะ ชีวิตจึงหายนะ “คนฉลาด” ศึกษาธรรมะ จึงรู้ลึกและดำเนินชีวิตด้วยดี “คนมีปัญญา” ใช้ธรรมะ จึงดำเนินชีวิตอย่างเหนือชั้น

“ฉลาด” ย่อมดีกว่า “โง่” แต่ “ฉลาด” เพียงอย่างเดียวก็ยังไม่พอ “ปัญญา” จะต้องเข้ามาช่วย ทำอะไรถ้ามี “ปัญญา” นำร่องความวุ่นวายจะไม่เกิดขึ้นกับตนเองและสังคม.



บทความนี้ คัดลอกมาจาก เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2549 คอลัมน์เห็นมาอย่างไร เขียนไปอย่างนั้น โดย นาม อนุภพ ข้าพเจ้า อ่านแล้ว เห็นว่าบทความนี้ อาจก่อให้เกิดประโยชน์ ต่อสังคมโดยรวม จึงนำมาเผยแผ่ให้อ่านกันโดยทั่วไป

ขอขอบคุณ คุณไชย ณ พล และคุณ อนุภพ ไว้ ณ ที่นี้ ด้วยความจริงใจ

นพดล


โดย: Hobbit วันที่: 11 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:15:12:28 น.  

 
ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้
ความรักไม่อิจฉาไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย
ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด
ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด
แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ
ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ
และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง

at office magazine p.27 (Feb’08)


โดย: Hobbit วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:15:22:37 น.  

Hobbit
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]











ตามรอยพระอริยะ
หลวงพ่อชา สุภัทโท
พระโพธิญานเถระแห่งหนองป่าพง





ฺประมวลธรรมเทศนา
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
อ่านออนไลน์ได้ที่นี่ค่ะ

ขอบคุณครูซุปเคมากนะคะที่ส่งให้ (-/l\-)
http://www.supkcenter.com






MusicPlaylist
Music Playlist at MixPod.com






Group Blog
 
 
กันยายน 2550
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
4 กันยายน 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Hobbit's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.