All Blog
|
บทที่ 7 เข้่าเมือง วิทใช้เวลา 2 วันสุดท้ัายก่อนเปิดเทอมในการเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ... เมืองนี้เป็นเืมืองเก่าแก่อายุเกือบ 1,000 ปี ... อาณาเขตของเมืองเป็นรูปหัวใจ ซึ่งจะมีร่องรอยกำแพงเมืองโบราณและคูน้ำเก่าแก่ล้อมรอบ มีปราสาทโบราณรูปทรงสี่เหลี่ยมอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆใจกลางเมือง ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากโบสถ์สำคัญประจำเมืองนี้ ... ตัวเมืองอยู่ห่างจาก U ประมาณ 3 ไมล์ โดยมีรถเมล์ 2-3 สายที่ี่วิ่งจากในเมืองมาสุดสายที่ U นี้พอดี ... วิทไปยืนรอรถเมล์ที่ป้ายรถเมล์ที่อยู่เยื้องมาทางด้านหลังกับอาคารหอพักที่เขาอาศัยอยู่ ... ที่ป้ายรถเมล์มีตารางเวลาของรถเมล์ทุกสายที่ผ่านป้ายนี้ รถเมล์ที่นี่จะมาค่อนข้างตรงเวลา ... เมื่อรถเมล์มาจอดที่ป้าย ประตูบานเีดียวที่อยู่ด้านหน้าตรงคนขับก็จะเปิดออก และผู้โดยสารที่เข้าแถวรออยู่ที่ป้ายก็จะขึ้นไปจ่ายเิงินซื้อตั๋วกับคนขับรถ โดยบอกบริเวณที่จะไป แล้วคนขับก็จะกดรหัสเพื่อออกตั๋วจากเครื่องอัตโนมัติ ... การใช้รถเมล์ที่นี่มีกฏเกณฑ์หลายข้อเขียนเป็นป้ายติดไว้บนผนังบริเวณด้านหลังคนขับเพื่อให้ผู้โดยสารอ่าน เช่นผู้โดยสารไม่ควรพูดคุยกับคนขับรถ ห้ามสูบบุหรี่ ห้ามรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม ถ้านำสัตว์เลี้ยงขึ้นรถต้องได้รับอนุญาตจากคนขับรถก่อน และมีการจำกัดจำนวนที่ยืน คือถ้าที่นั่งเต็มแล้วจะมีจำนวนกำหนดว่าให้ยืนได้กี่คน และเมื่อครบจำนวนแล้วคนขับก็จะไม่รับผู้โดยสารเพิ่มอีก เป็นต้น ... เช้านี้ก่อนที่วิทจะมารอรถเมล์ เขาได้เข้าไปในครัวเพื่อถามทางจากเพื่อนบ้านในหอพักอีกครั้ง "นายก็ไปรอรถเมล์ที่ป้ายใน U รถทุกคันจะวิ่งเข้าเมืองทั้งนั้น ตอนขึ้นรถบอกคนขับว่าไป 'city centre' ... พอถึงในเมืองก็ลง ... ส่วนเวลากลับก็ไปรอรถที่ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้าม ขึ้นรถที่เขียนป้่ายหน้ารถว่า 'University' ไงล่ะ" นายเจมส์อธิบาย "แล้วจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าถึงในเมืองแล้วน่ะ" วิทสงสัย นายเจมส์ทำหน้าแปลกๆ เหมือนกับว่าไม่น่ามีใครถามคำถามแบบนี้ แต่ในที่สุดก็ตอบมาว่า "พอนายไปถึงในเมืองแล้วก็รู้เองแหละ รับรองไม่หลงแน่นอน" ในที่สุดก็เป็นจริงอย่างที่นายเจมส์ว่าไว้ ... เพราะเมื่อรถแล่นออกจาก U ก็จะผ่านบริเวณที่เป็นบ้านพักอาศัย อาจจะมีร้านค้าบ้างก็อยู่ตามหัวมุมถนน แต่ก็เป็นร้านที่อยู่ท่ามกลางย่านที่อยู่อาศัย และเมื่อรถแล่นมาถึงถนนใหญ่ซึ่งเป็นถนนวงแหวนรอบในที่อยู่รอบเมือง ก็จะเห็นซากกำแพงเมืองเก่า ... และเมื่อรถเลี้ยวเข้าไปตามถนนที่ตัดผ่านแนวกำแพงเมือง ก็จะเข้าสู่ถนนที่สองข้างทางเป็นร้านค้าและห้างสรรพสินค้าหลากหลาย มีผู้คนเิดินจับจ่ายซื้อของกันพลุกพล่าน ... เมื่อรถมาหยุดที่ป้ายรถเมล์แรกบนถนนสายนี้เกือบทุกคนก็ทยอยลงจากรถรวมทั้งวิทด้วย ... วิทเริ่มต้นด้วยการเข้าร้านหนังสือเพื่อหาซื้อแผนที่ของเมืองนี้ ... และจากแผนที่นั้นเขาจึงไปที่ตลาดซึ่งอยู่บนถนนคนเดินสายหนึ่งด้านหลังถนนที่รถเมล์ผ่าน และถัดจากตลาดขึ้นไปบนเินินก็จะเป็นที่ทำการเมืองหรือ city hall นั่นเอง ... ตลาดแห่งนี้เป็นตลาดขนาดใหญ่และเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองนี้ ซึ่งเมื่อมองจากมุมสูงลงมาจะเห็นหลังคาผ้าใบของแต่ละร้านค้ามีสีสันที่หลากหลายน่าดู ... ตลาดนี้มีของขายแทบจะทุกอย่าง ทั้งเนื้อสัตว์ เนยแข็ง ผัก ผลไม้ ดอกไม้ หนังสือเก่า เครื่องไฟฟ้าชิ้นเล็ก เสื้อผ้า เครื่องนอน จานชาม และอื่นๆ ... เมื่อวิทออกมาจากตลาดก็ได้เวลาอาหารกลางวัน ซึ่งก็ขอฝากท้องกับร้านพิซซ่าชื่อดังที่มีสาขาทั่วโลก ร้านนี้อยู่เยื้องๆกับปราสาทพอดี ... เมื่อเสร็จจากมื้อกลางวันเขาก็ไปหาซื้อของต่อ ... ไปได้โคมไฟอ่านหนังสือจากห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แต่หลอดไฟดันหมด ... คุณป้าพนักงานขายแนะนำให้ไปซื้อที่ห้างอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ถนนถัดไป "แปลกดี ... ถ้าเป็นที่ (ประเทศ) อื่นคงบอกให้กลับมาซื้อใหม่อาทิตย์หน้าอะไรทำนองนั้น" เขานึกในใจ วันนั้นวิทได้ของใช้ติดมือไปจำนวนมาก หอบของพะรุงพะรังขึ้นรถเมล์กลับมาที่ห้องพัก แต่ก็ยังได้ไม่ครบทุกอย่าง เขาตั้งใจจะเข้าเมืองอีกครั้งเพื่อไปซื้ออุปกรณ์ครัวมาทำอาหาร ... ******************************************************************************** วันรุ่งขึ้นเป็นวัีนอาทิตย์ รถเมล์ที่จะเข้าเมืองมาไม่ถี่เหมือนเมื่อวาน และที่ป้ายรถเมล์ก็ค่อนข้างเงียบเหงา ... เมื่อวิทเข้าไปถึงในเมืองก็ปรากฏว่าเงียบเหงายิ่งกว่า ... ร้านค้่าส่วนใหญ่ปิดทำการ ตลาดที่มีคนพลุกพล่านเมื่อวาน มีร้านค้าเิปิดอยู่แค่ 2-3 ร้าน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือร้านขายหนังสือพิมพ์และแมกกาซีน ... เมืองที่สับสนวุ่นวายเหมือนจะกลายเป็นเมืองร้างในชั่วข้ามคืน ... ในที่สุดเขาก็ไปเจอห้างสรรพสินค้าขนาดย่อมแห่งหนึ่งเปิดอยู่เลยได้เครื่องครัวตามที่ต้องการ ... ตอนกลางวัน วิทเดินผ่านร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ขายอาหารอังกฤษแบบบริการตนเอง ตรงหน้าร้านมีป้ายบอกรายการอาหาร เห็นผู้คนยืนเข้าแถวถือถาดรอสั่งอาหารกันอยู่ประปราย ... รายการหนึ่งที่อยู่บนป้ายหน้าร้านซึ่งสะดุดตาเขาคือ "Roast beef and Yorkshire pudding" หรือ เนื้อวัวย่างเสริฟกับพุดดิ้ง "ดีจัง ... มีทั้งของคาวกับของหวานไปในตัว" วิทนึกในใจ ... ว่าแล้วก็ตัดสินใจไปต่อแถว หยิบถาดขึ้นมา แล้วรอให้แถวเคลื่อนไปจนถึงส่วนที่สั่งอาหารที่มีคนคอยตักอาหารอยู่หลังเคาน์เตอร์กระจก "Roast beef, please." วิทสั่งอาหารไป ไม่รู้ว่า "Yorkshire" อ่านว่าอะไร แต่น่าจะเข้าใจตรงกันเพราะเนื้อย่างก็มีอยู่แค่รา่ยการเดียว รายการอื่นก็เป็นหมู เป็นปลา "Roast beef and Yorkshire pudding?" คุณป้าคนตักอาหารทวนคำ "Yes, please." วิทตอบไป และในที่สุดอาหารที่ได้มาก็เป็นเนื้อย่างแผ่นบาง เสริฟมากับมันฝรั่่งและผักต้ม มีแป้งทอดหน้าตาเหมือนถ้วยขนาดย่อมใส่มา 1 อัน และมีเกรวีราดอยู่ในนั้น ... "พุดดิ้งแบบยอร์คเชียร์! นี่มันใช่ของหวานซะที่ไหนล่ะ" วิทนึกขำตัวเองอยู่ในใจ สงวนลิขสิทธิ์บทความ ห้ามเผยแพร่ ทำซ้ำ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร แวะมาอ่านเล่นๆค่ะ
โดย: somphoenix วันที่: 16 สิงหาคม 2552 เวลา:22:01:26 น.
ฮาดีครับ ผมก็ไม่รุ้มาก่อนว่าไม่ใช่ของหวาน
โดย: Joe IP: 125.26.148.22 วันที่: 16 ธันวาคม 2552 เวลา:14:29:50 น.
|
Historicus
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] คุณพ่อลูกสอง (ตัว) Waltz in B minor, Op. 69, No. 2 by Frédéric Chopin Friends Blog
Link |