We'll keep The Blue Flag flying high.
 
กันยายน 2553
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
24 กันยายน 2553

Mini Review : AQueen Hotel Lavender,Singapore, New and Nice Hotel

ตอนแรกว่าจะหยิบทริป London ภูเขาไฟระเบิดมารีวิวนะ แต่เห็นช่วงนี้เพื่อนๆ หลายคนจะไปเที่ยวสิงคโปร์กัน เลยหยิบ Aqueen Hotel Lavender มาใส่ใน blog ดีกว่า จริงๆ แล้วเราตั้งเป็นกระทู้ไว้ แต่สงสัยลืมกดเก็บเข้าคลังกระทู้ มาหาอีกทีก็ไม่เจอแล้วน่ะค่ะ


หลังจากกลับจากอังกฤษได้สัก 2 เดือน อารมณ์อยากไปเที่ยวยังมีต่อเนื่อง ประกอบกับเซ็งๆ นิดหน่อย ก็เลยชวนน้องสาวไปสิงคโปร์ดีกว่า เพราะเราเองไม่ได้ไปมาพักหนึ่งแล้ว ช่วงหลังๆ นี่บินไปฮ่องกงกับมาเก๊าติดๆ กันทุกต้นปีเลย น้องสาวเราไม่มีปัญหาอยู่แล้วล่ะ เพราะถ้าเราชวน ก็แปลว่าไปฟรี !!!


ตอนแรกก็ว่าจะจองโปรฯ Air Asia แต่จองยากมากมาย แถมบินปีหน้าโน่น ก็เลยบินด้วย Jetstar ไปถึงที่สิงคโปร์ตอนบ่ายนิดๆ แล้วบินกลับด้วย Tiger ไฟลท์เย็นๆ หน่อย เดินทางเมื่อวันที่ 3-5 ก.ค.2553


ส่วนโรงแรมเนี่ย ไปสิงคโปร์ทีไร...เราก็พักที่ Peninsular Excelsior ทุกครั้ง แต่ราคาก็ขยับสูงขึ้นจริงๆ แถมห้องไม่ใหม่ด้วย มีดีตรงทำเล เพราะอยู่ใกล้กับ MRT สถานี City Hall ซึ่งจะไปไหนมาไหนก็ได้ สะดวกมากๆ คราวนี้ก็ตกลงกับน้องสาว (จะตกลงทำไมนะ..ในเมื่อเราเป็นคนจ่ายเงิน ) ว่าจะลองพักโรงแรมยอดฮิตในห้อง Blueplanet ดูสักหน่อย แต่ปรากฏว่า Fragrance Emerald เหลือแต่เตียงเดี่ยวใหญ่ๆ ก็เลยเปลี่ยนแผนมาเลือก Aqueen Hotel Lavender แทน ซึ่งจริงๆ แล้วเราก็สนใจโรงแรมนี้นะ เพียงแต่ตอนแรกตั้งใจครั้งนี้จะไปแบบประหยัดดู แต่คิดไปคิดมา...อือม์..จริงๆ แล้วเราก็อยากลองพักที่นี่เหมือนกัน เพราะดูรีวิวแล้วชอบ


สรุปว่าเราจองผ่าน Agoda ได้ราคาห้อง Twin+อาหารเช้า คืนละ 2,800 บาทค่ะ ซึ่งเราเช็คจากเว็บไซต์ของโรงแรมแล้ว พบว่าคืนละ 100 SGD ไม่รวมอาหารเช้า แต่เมื่อรวมภาษีต่างๆ แล้วถูกกว่า Agoda เพียงร้อยบาทเศษ เราเลยเลือกจองผ่าน Agoda ค่ะ






ก่อนเดินทางหนึ่งสัปดาห์ เราได้อีเมล์ไปยังโรงแรมเพื่อยืนยันว่าห้องพักของเราได้รับการจองเรียบร้อยหรือไม่
และขอเป็นห้อง non-smoking ถ้าหากเป็นไปได้ เรารบกวนขอห้องชั้นบนๆ และห่างจากลิฟต์ค่ะ

//www.aqueenhotels.com/

จากสถานี Changi Airport ก็ลงมาเปลี่ยนสายที่สถานี Tanah Merah
เพื่อขึ้นสายสีเขียวปลายทาง Joo Koon และลงที่สถานี Lavender ค่ะ


เมื่อถึงสถานี Lavender ทางออก B เดินขึ้นมาแล้ว ป้ายรถเมล์จะอยู่ทางขวามือค่ะ ขึ้นรถเมล์สาย 133 หรือ 145 เพื่อมาที่โรงแรม โดยจะลงป้ายที่ 2 หรือ 3 ก็ได้ค่ะ ส่วนเราเลือกลงป้ายที่ 3 ค่ะ (พอขึ้นรถเมล์แล้วก็นับป้ายได้เลยค่ะ ป้ายสั้นๆ )


ป้ายที่ 3 จะผ่านหน้าโรงแรมก่อนค่ะ เห็นโรงแรมแล้วก็กดกริ่งเตรียมลงได้เลย ส่วนนี่เป็นภาพป้ายรถเมล์ที่ลงค่ะ






เดินย้อนจากป้ายรถเมล์ลงมา ก็จะเห็นร้าน Casa Italy ซอยเล็กๆ นี้จริงๆ คือ Foch Road เลี้ยวขวาเข้าไปนิดนึงจะเจอศูนย์อาหารเลยค่ะ มองไปฝั่งตรงข้ามจะมีซอยเล็กๆ สามารถเดินทะลุไปยังโรงแรม Aqueen Lavender ได้ เราว่าเดินสะดวกมากกว่าเลาะริมถนน แต่ก็ต้องระวังนิดหนึ่ง เพราะมักจะมีรถเลี้ยวเข้ามาในซอยเล็กนี้บ่อยๆ บางคันขับเร็วค่ะ






ซอยเล็กๆ ที่ลูกศรชี้ค่ะ





หลังจากเดินเข้าซอยแล้ว จะเห็นตึกโรงแรม Aqueen เลยค่ะ (บริเวณลูกศรชี้ค่ะ)





ถ้าหันหลังกลับไปดู ก็จะเจอ Lavender Food Square ค่ะ





รูปนี้ถ่ายจากหน้าโรงแรมค่ะ





เราไปถึงโรงแรมประมาณบ่ายสองเศษๆ ตอนจองผ่าน Agoda ในเว็บระบุว่าเช็คอินตอนบ่ายสาม แต่ในเว็บโรงแรมและซองห่อการ์ดห้องระบุเวลาเช็คอินคือ 14.00 น. และเช็คเอาท์ 12.00 น.


ทาง จนท.โรงแรมจัดห้อง 602 ให้เรา เป็นชั้นบนสุดตามที่ขอ : )


จากภาพนี้ เคาน์เตอร์เช็คอินอยู่ทางขวามือ ส่วนซ้ายมือจะเป็นห้องอาหารสำหรับทานอาหารเช้า และเป็นคาเฟ่ตอนกลางคืน ซึ่งเรามานั่งดูฟุตบอลเชียร์ทีมชาติเยอรมันกับนักท่องเที่ยวเยอรมันและนักท่องเที่ยวอีกหลายๆ คนที่ห้องนี้แหล่ะค่ะ เพราะคืนวันเสาร์ฝนตกเลยไม่ออกไปข้างนอก





โรงแรมมีลิฟต์ 2 ตัว ถ้าจะขึ้นชั้นบนจะต้องใช้การ์ดห้องแต่ะตรงแป้นขาวๆ ก่อนถึงจะกดชั้นได้ค่ะ ตอนเรากดลิฟต์จะขึ้น ก็ตกใจเพราะเจอคุณลุงคุณป้า 2 คนอยู่ในลิฟต์อยู่ก่อนแล้ว เราก็คิดว่าเราดูผิดว่าลิฟต์ลง แต่ชั้น 1 นี่ก็ชั้นล่างสุดแล้ว ปรากฎว่าคุณลุงคุณป้าไม่รู้ว่าต้องใช้การ์ดแต่ะแป้นขาวๆ ก่อน ก็เลยคาอยู่ในลิฟต์นานสองนาน : P






ตัวโรงแรมดูใหม่มากๆ แม้ว่าราคาจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเทียบกับช่วงที่เปิดใหม่ๆ ซึ่งเราอ่านจากรีวิวหลายๆ ที่พบว่าบางคนได้พักในราคาที่ไม่ถึง 2,000 บาท หรือช่วง 2-3 เดือนก่อนจะมีคนได้พักราคา 2,400 บาท สำหรับราคา 2,800 บาทที่เราได้มานั้น เราก็ว่ายังคุ้มอยู่ดีกับสภาพโรงแรมที่ใหม่มากๆ
ห้องพักกว้างพอควร และอาหารเช้าก็อร่อยใช้ได้เลยค่ะ





ถึงห้องจะไม่กว้างเท่า Peninsula Excelsior ที่เราไปพักบ่อยๆ เวลาไปสิงคโปร์ แต่สภาพห้องและความสะอาดของ AQueen Hotel Lavender ก็ชนะเลิศค่ะ




ลองถ่ายจากด้านนอกไปยังห้องน้ำกระจกที่หลายๆ คนบอกว่าหวาบหวิว เราพบว่าถ้าไม่เปิดไฟตรงส่วนอาบน้ำ ก็จะแทบไม่เห็นคนที่ยืนอาบน้ำข้างในค่ะ แต่ถ้าเปิดไฟส่วนนั้นด้วย แล้วอาบน้ำกระเซ็นมาโดนกระจกด้วย ก็ไม่ต้องจินตนาการค่ะ








เตียงที่อยู่ติดริมหน้าต่าง มีบริเวณสำหรับวางของได้เยอะดีค่ะ เราชอบนะ

จุดเด่นของโรงแรมนี้อีกอย่างหนึ่งก็คือหน้าต่างนี่แหล่ะค่ะ โดยส่วนตัวเราชอบพักโรงแรมที่ห้องเป็นหน้าต่างแนวยาวๆ ไม่ใช่หน้าต่างบานๆ ค่ะ เพราะมันจะให้ความรู้สึกไม่อึดอัดนั่นเอง





โทรทัศน์ในห้องมี CNN ให้ดูด้วยนอกเหนือจากช่องที่เป็นภาษาจีน ภาษาแขก และภาษาอินโดค่ะ วันที่ถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก ช่องอินโดก็ถ่ายค่ะ น้องสาวเรายังตามให้ขึ้นไปดูที่ห้อง แต่เราดูที่คาเฟ่สนุกกว่า





ในห้องมีไฟแทบทุกจุด ตั้งแต่ทางเดิน หัวเตียง 2 ฝั่ง ริมหน้าต่าง โต๊ะทำงาน มินิบาร์ (ที่ไม่มีขนม ) ถ้าเปิดหมดทุกดวง ห้องจะสว่างมากๆ


ส่วนโต๊ะนี้ไม่มีกระจกสำหรับส่องเวลาแต่งหน้าค่ะ ถ้าจะแต่งตัวก็ใช้กระจกจากตู้เสื้อผ้าได้ หรือในห้องน้ำค่ะ ปลั๊กก็มีให้เสียบเยอะมากๆ น้องสาวเราเอาไดร์เป่าผมจากห้องน้ำมานั่งเป่าหน้ากระจกตู้เสื้อผ้าแทน


ข้อเสียมีนิดเดียวค่ะคือไม้แขวนในตู้มีแค่ 4 อัน






มีชากาแฟให้บริการฟรี พร้อมน้ำดื่มฟรีวันละ 2 ขวดค่ะ






ตู้เย็นอยู่ด้านล่างตามสไตล์โรงแรมทั่วๆ ไป





ห้องน้ำไม่แคบค่ะ กระจก 3 บาน ส่องกันสะใจไปเลย

มีไดร์เป่าผมให้บริการ ผ้าขนหนูผืนเล็ก 2 ผืน และผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ 2 ผืน
ส่วนทิชชู่มีสำรองในตู้ด้านล่างซิงค์ 1 ม้วนค่ะ ไดร์เป่าผมความร้อนใช้ได้เลยค่ะ บางโรงแรมจะเป็นแค่ลมเป่าเบาๆ





ระหว่างที่นั่งทำธุระส่วนตัวจะมีกระจกกั้นจากส่วนที่อาบน้ำค่ะ





มีสบู่กับแชมพูให้กดฟรีๆ ไม่อั้น แต่เราไม่ได้ใช้บริการค่ะ เลยไม่รู้ว่าหอมหรือไม่หอม


ส่วนน้ำจากฝักบัวที่เราเคยอ่านเจอในรีวิวบางแห่ง บอกว่าน้ำไม่ค่อยแรง ตอนเราไปพักเนี่ย น้ำแรงทั้งจากฝักบัวและก๊อกที่อ่างล้างหน้าแล้วค่ะ


ขอตินิดนึงสำหรับส่วนอาบน้ำ พื้นจะเตี้ยกว่าส่วนแห้งนิดเดียวเอง และรูระบายน้ำก็อยู่ระดับเดียวกันกับพื้นค่ะ เวลาที่สระผมเนี่ย ทำให้น้ำระบายได้ช้า และบางทีล้นมาท่วมริมๆ พื้นของส่วนแห้งได้ค่ะ






เราไม่ได้ถ่ายภาพอาหารเช้าวันแรกมาค่ะ เพราะไม่ได้หยิบบีบีลงไป
วันแรกจะมีแฮชบราว ไข่เจียว (ตัดเป็นชิ้นๆ ) ข้าวผัดไข่ ไส้กรอกไก่ ซุปถั่ว ข้าวต้ม แล้วก็ชากาแฟ ขนมปัง ผลไม้ค่ะ เราทานไข่เจียว ไส้กรอกไก่ แฮชบราว อร่อยมากๆ เลย : )

ส่วนวันที่ 2 ก็อร่อยไม่แพ้กัน มีการเปลี่ยนเมนูด้วย ตามที่เห็นในภาพค่ะ






สำหรับการเดินทางจากโรงแรม Aqueen ไปยังสถานที่ต่างๆ นั้น ถ้าจะตั้งต้นที่สถานี Lavender ก็ข้ามถนนไปยังป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามโรงแรมเพื่อขึ้น 133 ไปลงที่สถานี Lavender ค่ะ

ส่วนสาย 145 ที่นั่งตอนขามาโรงแรมนั้น เราไม่มั่นใจค่ะ เพราะตอนนั่ง 133 จากป้ายฝั่งตรงข้ามโรงแรม น้องสาวเราบอกว่าไม่เห็นสาย 145 เลี้ยวตามหลังมาเลย แต่ขับตรงไปเพื่อข้ามสะพานน่ะค่ะ



เล่าเรื่องพลาดๆ ของเรากับน้องสาวนิดนึ่ง น้องสาวเรา copy ข้อมูลมาจากไหนไม่รู้บอกว่า "ถ้าจะไป City Hall หรือ Suntec City ให้นั่งสาย 133 จากป้ายรถเมล์หน้าโรงแรม" ซึ่งจริงๆ แล้วต้องนั่งที่ป้ายรถเมล์ "ฝั่งตรงข้ามโรงแรม" ผลคือเรากับน้องสาวลองนั่งสาย 133 จากป้ายรถเมล์หน้าโรงแรม ก็ไปโน่นเลย Serangoon


ตอนแรกก็ยังไม่เอะใจ น้องสาวยังชิลๆ บอกว่าใจเย็นๆ เดี๋ยวมันก็โผล่ในเมือง แต่เราว่าแปลกๆ เพราะเห็นป้ายไป Ang Mo Kio เลยตัดสินใจลงแล้วข้ามฝั่งไปนั่งสาย 133 ก็ได้ไป City Hall สมใจ โดยเสียเวลาไปเกือบๆ 1 ชั่วโมง !!!


จริงๆ ถ้าเรากับน้องสาวรอบคอบหน่อย ดูข้อมูลที่ป้ายรถเมล์ว่าสายอะไรผ่านตรงไหนบ้าง ก็คงไม่เสียเวลาน่ะค่ะ เอามาเล่าให้ฟัง เผื่อว่าใครผ่านไปเจอข้อมูลนั้น ขอย้ำว่าต้องขึ้นรถเมล์ป้ายฝั่งตรงข้ามโรงแรมเท่านั้น !!!


จากหน้าโรงแรมมองออกไปจะเห็นปั๊ม Esso ใกล้ๆ กันจะเป็นป้ายรถเมล์สำหรับขึ้นรถย้อนกลับไปที่สถานี Lavender ค่ะ




ป้ายรถเมล์ฝั่งตรงข้ามโรงแรม จะอยู่ตรงข้ามกับป้ายรถเมล์ที่เรานั่งจากสถานี Lavender ค่ะ


การข้ามถนน - ตอนแรกเราเข้าใจน่าจะมีทางม้าลายให้ข้าม แต่ไม่มีค่ะ ก็เห็นคนสิงคโปร์ข้ามกันก่อนถึงป้ายรถเมล์ ถ้าอยากจะเดินไปข้ามที่ไฟแดงก็เดินพอสมควรค่ะ สรุปคือเราข้ามตามคนสิงคโปร์ค่ะ





มองกลับมาฝั่งโรงแรมก็จะเห็นป้ายเจ้า Casa Italy นี่อย่างเด่นเลย : )


เล่าเรื่องพลาดๆ อีก 1 เรื่องค่ะ วันที่ 2 เราจะเข้าไปแถวๆ City Hall อีก เพราะน้องสาวอยากถ่ายรูปแถวๆ เจ้า Merlion พอเห็นรถเมล์สาย 133 ที่เป็นรถสองชั้นมา เราสองคนก็รีบกระโดดขึ้นเลย ปรากฎว่าผ่าน Suntec City แล้วเลยไปผ่าน Singapore Flyer แบบไกลนิดนึงแล้วก็ไปโผล่ที่ Marina Bay Sand เลย


เราไม่รู้ว่า 133 สองชั้นวิ่งคนละทางกับ 133 ชั้นเดียว หรือเป็นเพราะว่ามีการปิดทำถนนช่วงเช้าวันทำการ เลยทำให้รถเปลี่ยนเส้นทางการวิ่ง (วันแรกตอนเย็นๆ เราเห็นป้ายไฟบนถนนแถวๆ Suntec City บอกว่าจะมีการปิดถนนอะไรสักอย่างนี่แหล่ะ ให้เลี่ยงไปใช้ถนนอื่นแทน)


เราก็เลยข้ามถนนไปขึ้น 133 ชั้นเดียว โดยถามคนขับว่าผ่าน City Hall คนขับบอกว่าผ่านแต่ไม่จอด แต่ผ่าน Esplanade นะ เราก็เลยขึ้นไปแล้วลงป้ายนั้นแทน ก็ไม่ไกลจาก Marina Bay Sand ค่ะ เดินเข้าตัว Esplanade ไปเข้าห้องน้ำ แล้วก็จะทะลุมาริมแม่น้ำสิงคโปรได้ค่ะ ผลคือ เจ้า Merlion ปิดซ่อมค่ะ ถูกหุ้มด้วยตาข่ายฟ้าๆ ซะมิดเชียว






สำหรับเราแล้ว AQueen Hotel Lavender เป็นโรงแรมที่เข้าพักแล้วประทับใจค่ะ ตอนแรกคิดเหมือนกันว่าอยู่ห่าง MRT จะลำบากไหมเวลาไปไหนมาไหนหรือกลับโรงแรมตอนที่เมื่อยๆ เหนื่อยๆ ผลคือ ไม่มีปัญหาค่ะ เพราะนั่งรถเมล์ไปแค่ไม่กี่ป้าย และรถเมล์ก็ไม่ได้รอนานแบบบ้านเราค่ะ ช่วงเย็นๆ รถอาจจะแน่นนิดหน่อย แต่เรานั่งแป๊บเดียวก็เลยไม่รู้สึกอะไรน่ะค่ะ


พนักงานของโรงแรมก็อัธยาศัยดี ตั้งแต่ตอน check-in ซึ่งเราไม่ต้อง deposit อะไรเลย โรงแรมบางแห่งที่เราไปพัก แม้ไม่มี mini bar ก็ยังต้อง deposit แต่ที่นี่บอกเราว่าเราจ่ายค่าห้องมาเต็มแล้ว ก็ไม่ต้องค่ะ


ตอนลงไปดูฟุตบอลที่ Cafe เราก็ถามพนักงานว่าเข้าไปนั่งได้หรือเปล่า เพราะเราไม่อยากนั่งเป็นโต๊ะ ลงไปคนเดียว ก็ลากเก้าอี้มานั่งหลังห้อง พนักงานก็บอกว่าได้ เราเลยสั่งโกโก้ร้อนไปแก้วหนึ่ง เพราะเราแพ้เครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ จริงๆ จะไม่สั่งอะไรก็ได้ เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ไหนๆ ใจดีแล้วก็อุดหนุนเสียหน่อย

ขากลับก็ฝากกระเป๋าไว้ พนักงานชายตรงเคาน์เตอร์ก็น่ารักมากๆ (หน้าตาคมดี..อิ่..อิ่..) ก็บริการยกกระเป๋าให้แบบยิ้มแย้มแจ่มใส



ถ้าไปสิงคโปร์อีกครั้ง เราคงพักที่นี่เหมือนเดิมค่ะ









 

Create Date : 24 กันยายน 2553
1 comments
Last Update : 25 กันยายน 2553 21:33:22 น.
Counter : 2768 Pageviews.

 

มาเที่ยวด้วยคนครับ ชอบเมืองนี้ที่สะอาดกับระเบียบนี่แหละครับ

ปล.ภาพสวยสดใสมาก ๆๆๆๆ เลยครับ

 

โดย: DAN_KRAB 25 กันยายน 2553 20:15:32 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Hermy
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




ไปทุกที่..ที่มีนักฟุตบอลที่เราชอบ : P

เรียงลำดับตามนี้

1. Micha - Michael Ballack เจอตัวจริงแล้ว แต่ยังไม่ได้เข้าใกล้ระยะเผาขน และยังขาดลายเซ็นต์ ได้เจอตัวจริงแล้ว 2 ครั้ง ตอนมา Pre-Season 2008/2009 ที่มาเก๊า และบินไปดูแมตช์ Chelsea 7-0 Stoke ที่ Stamford Bridge เมื่อปลายเดือนเมษายน 2553 และตั้งใจจะบินไปดูที่ Bay Arena ณ Leverkusen ประเทศเยอรมัน เร็วๆ นี้ : )


2. Pippo - Filippo Inzaghi ยังไม่เจอ..อยากเจอมากๆ ก่อนพี่กุ้งเกษียณจาก Milan และกลับไปช่วย Simone น้องชาย เลี้ยงหลานชายสุดที่รัก !!! ข่าวดีของเราคือพี่กุ้งต่อสัญญากับ Milan ไปอีก 1 ปี !!!


3. น้องตุ๊กติ๊ก - David Luiz คนนี้มาแรงมากๆๆ เป็นอีกเหตุผลดีๆ ที่ทำให้เราอยากกลับไปเยือน London อีกรอบ : P


4. น้องตาปรือ - Mesut Oezil จะพยายามไปดูน้องเล่นให้ Madrid ที่สเปนให้ได้นะจ๊ะ (สืบเนื่องจากเลิกกับยัยป้า Anna-Maria แล้วดันไปควงนางแบบบราซิลคราวป้า เป็นแม่ม่ายลูกติด สามีเก่าคือนักฟุตบอลอิตาเลียน มาอิ่หร่อบเดิมก็เลยลดระดับลงหน่อยนึง 555)


5. กั๊ตจัง - Gennaro Gattuso อยากเจอมากๆ แต่ไม่อยากให้ย้ายออกจาก Milan จะพยายามไป Milan ให้ได้ ไปหนึ่งได้ถึงสอง !!! สุดคุ้ม !!!


6. Berbie - Dimitar Berbatov ยังไม่เคยเจอ แต่ถ้ามาทัวร์ Aisa อีกจะไปเจอ ไม่ค่อยมี willing ที่จะบินไปหาถึง Manchester เท่าไร ถ้าย้ายไป Milan เนี่ย... สงสัยเราคงต้องไป Milan ก่อนไปอังกฤษรอบสองแล้วล่ะ..ฮ่ะ..ฮ่า..ฮ่า..


7. Albert Riera เจอแล้วในระยะเกือบเผาขน..ถ่ายรูปตอนถอดเสื้อมาแล้ว สมหวังทุกประการ..กร๊ากกก...





หมายเหต : ลำดับจะเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับดัชนีการลงเล่นและข่าวกิ๊กกั๊กของนักเตะคนนั้นๆ ยกเว้น Ballack ที่อยู่อันดับ 1 ตลอดกาล !!!!


[Add Hermy's blog to your web]