สวัสดีค่ะพี่และเพื่อนที่เข้ามาอ่านบล๊อกนี้นะคะ วันนี้เป็นวันที่ 2 ของทริปเที่ยวเจาะลึกอิตาลี 11 วันค่ะ เมื่อคืนเราพักค้างคืนที่ซอเรนโต้ค่ะ ห้องอาหารเช้ากว้างขวางชอบที่สุดคือ"กาแฟอร่อย"

เรากะเหรี่ยงไทยสองคน แอบเข้าไปถ่ายรูปสวนส้มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโรงแรม ที่นี่เขาปลูกส้มกันเหมือนบ้านเราปลูกมะม่วงค่ะมีให้เห็นทั่วไป ตามข้างถนน ข้างทาง เวลาผลส้มออกมาดูสวยดีค่ะ

ยังไม่ถึงเวลาที่หัวหน้าทัวร์นัดหมาย เราสองคนเลยออกไปเดินเล่นใกล้ๆ

เมืองซอเรนโต้(Sorrento) เมืองตากอากาศที่มีนักท่องเที่ยวเยอะอีกเมืองหนึ่งของอิตาลี

เดินไปเจอซากตึกโบราณ โห...ทำไมอยู่ลึกลงไปมากเลย ขนาดเป็นซากโบราณแต่ร่องรอยที่ยังมีให้เห็นยังดูใหญ่ทีเดียว และทำไมมันกลับกลายลงไปอยู่ลึกกว่าถนน

Torquato Tasso กวีและนักเขียนบทละครชื่อดังของอิตาลีเมืองซอเรนโตนี้คือบ้านเกิดของเขาค่ะ

ซุ้มดอกวิสทีเรียสีม่วงกำลังบานสวยงาม

เมื่อถึงเวลานัดหมายคณะทัวร์ก็ขึ้นรถบัสเลาะเลียบชายฝั่ง ไปตามหน้าผาสูง โค้งไป โค้งมา แล้วก็โค้งไปโค้งมา (อย่าลืมพกยาดมไปด้วย ฮ่า ฮ่า  จนมาถึงจุดชมวิวตรงเมือง โพสิตาโน(Positano) ปล่อยให้สมาชิกทัวร์ได้ลงไปถ่ายรูป แวะซื้อของที่ระลึกนิดหน่อย คุยกับหนุ่มอิตาเลี่ยนที่ช่วยล้างสตอรเบอรี่ให้ พ่อคุณว่าชอบมาเที่ยวเขาหลัก เมืองไทย เดี๋ยวปลายปีนี้ก็จะมาอีก ดีจัง...เราไปเที่ยวบ้านเขา เขามาเที่ยวบ้านเรา

บ้านเรือนเรียงรายตั้งอยู่ริมหน้าผาอย่างสวยงาม

เคยดูบล๊อกของพี่วา Sweet around the world วันนี้ดีใจมากค่ะที่ได้มาเห็นของจริง

พักที่ร้านขายเซรามิคและขายของที่ระลึกค่ะ ให้นักท่องเที่ยวได้จับและจ่ายสตางค์ค่ะ

หลังจากนั้นก็นั่งรถโค้งไปมาต่ออีกประมาณ 30 นาทีก็มาถึงเมืองอมาลฟี (Amalfi) ซึ่งเมืองนี้เคยเป็นเมืองที่มีอำนาจทางทะเลอย่างมากค่ะ แต่ต่อมาแผ่นดินส่วนหนึ่งจมหายไปในทะเลเลยกลายเป็นเมืองเล็กๆ แต่มีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมเป็นจำนวนมากค่ะ มีมหาวิหารเซ็นท์แอนเดรียอยู่ใจกลางเมืองค่ะ "Duomo di Sant'Andrea" เราไม่ได้ขึ้นบันได 57  ขั้นนี้ไปชมด้านบนค่ะ

เราซื้อเหล้า Lemoncello กลับมาหลายขวด ทุกคนลงความเห็นว่าเอาไปมิกซ์กลับ โทนิคหรือ ชเว๊ปอร่อยดีค่ะ (เลมอนเชลโลคือเหล้าท้องถิ่นขึ้นชื่อของเมืองแถบทางถาคใต้ของอิตาลีค่ะสกัดแอลกฮอลล์ผสมกับมะนาวท้องถิ่นค่ะ แถบนี้ปลูกมะนาวลูกสีเหลืองๆกันเยอะมากค่ะ ไปทางไหนก็เจอแต่ต้นมะนาวนี้ค่ะ ยิ่งช่วงที่เรามากำลังออกผลเหลืองสวยเต็มต้นเชียวค่ะ)

น้ำพุหินอ่อน หน้ามหาวิหารเซ็นท์แอนเดรีย

ได้เวลามื้อเที่ยงค่ะ เราทานมื้อเที่ยงกันที่เมืองอมาลฟี อาหารพื้นเมืองเป็นปลาท้องถิ่นแถบนี้

จากการลองชิมสตอรเบอรี่ที่อิตาลีหลายๆเจ้า รสชาติของเขาไม่เหมือนสตอรเบอรี่ญี่ปุ่นหรือเกาหลีค่ะ ออกเปรี้ยวๆและกรอบๆคล้ายสตอรเบอรี่ของไทย เพียงแต่ลูกโตกว่ามากค่ะ

เส้นทางเลียบชายฝั่งอมาลฟี (Amalfi Coast)และเมืองทั้งสามแถบนี้ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก

บ้านเรือนที่ตั้งอยู่บนหน้าผาริมชายฝั่ง สร้างสีสันให้ชายฝั่งแถบนี้งดงาม

 เมืองอมาลฟีเป็นเมืองที่มีความสำคัญมาตั้งแต่ก่อนยุคกลาง เป็นฉากหนังดังๆก็หลายเรื่อง

เลาะลัดไปตามถนนที่โค้งไปโค้งมา สูงขึ้นไปอีกมาถึงเมืองราเวลโล (Ravello) เมืองตากอากาศบนเขาสูง ด้านหน้าติดทะเล ด้านหลังเป็นภูเขา

จุดชมวิวจากเมืองราเวลโล

เมืองนี้ยังมีชื่อเสียงในด้านการจัดแสดงออเคสตร้าที่ต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีค่ะ อ่านในวิกิพีเดียว่าเมืองนี้สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 5

จตุรัสกลางเมืองราเวลโล

โบสถ์ประจำเมืองราเวลโล สร้างมาตั้งแต่ค.ศ 1086 บางที่เรียกมหาวิหาร แต่เราว่าโบสถ์ประจำเมืองมากกว่า ถามหัวหน้าทัวร์เขาก็ว่าโบสถ์ค่ะ

สูงขึ้นไปอีกยังมีเมืองสกาล่า อยู่ข้างบน วิ่งไต่เขากันขึ้นไปค่ะ

ซากปราสาทโบราณในยุคเริ่มต้นก่อตั้งเมืองอายุเป็นพันปี

ร้านขายของที่ระลึกที่นิยมเอาเลมอนมาเป็นสัญลักษณ์ของเมืองแถบนี้ อยากได้กลับบ้านบ้างแต่แบกไม่ไหวค่ะ ยังเดินทางต่ออีกหลายวัน

เจออีกก็ซื้อทานอีกค่ะ ซื้อกับร้านเคลื่อนที่แบบนี้ราคายิ่งถูกอีกค่ะ ต่อรองกันได้ด้วย

ถึงเวลาเดินทางกลับค่ะก็เลาะลัดลงมา โค้งไปโค้งมาค่ะ มีแค่สองโค้ง โค้งซ้ายกับโค้งขวา (เอายาดมขึ้นมาดมก่อน)

คนขับรถที่นี่ฝีมือขั้นเทพกันทุกคนค่ะ ถนนสองเลนสวนกันไปมาแคบๆยังขับกันฉิว ดิฉันล่ะสงสัยอีกอย่างเขาเอารถไปจอดกันตรงไหนนะ เพื่อนฝูงมาบ้านจะจอดรถกันยังไงล่ะทีนี้

เคยบอกแล้วค่ะว่าถ้าหัวเข่าไม่ดีพักอาศัยอยู่แถวนี้ลำบาก

ลาบล๊อกนี้ไปกับภาพสวยๆภาพนี้นะคะ พบกันใหม่บล๊อกหน้าขอบคุณและสวัสดีทุกๆท่านนะคะ