พฤษภาคม 2559

1
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
30
31
 
 
All Blog
เที่ยวสวิสเองง๊ายง่ายวันที่ 12 พิลาตุส,น้ำตกไรน์และสไตน์แอมไรน์




สวัสดีค่ะ

การเดินทางของเรามาถึงวันที่ 12 แล้วนะคะ ยิ่งเที่ยวนานยิ่งสนุก ยิ่งปรับตัวได้ดี ยิ่งทำให้ยังไม่อยากกลับ ถึงแม้ว่าจะคิดถึงสารพัดอย่างที่บ้าน

วันที่ 12 - Lucern -Mt.Pilatus - Rhein Fall - Stein am Rhein - Lucern

3/11/2558

เราย้ายจากอินเทอลาเคนมาปักหลักนอนที่ลูเซิรน์ตั้งแต่เมื่อวานและจะนอนที่นี่ทั้งหมด 4 คืน ถึงแม้ว่าโปรแกรมการเที่ยวนั้นถ้าไปจากซูริกจะใกล้กว่า แต่เมื่อเปรียบเทียบแล้วว่าค่าที่พักที่จองได้ตอนนั้นถูกกว่าที่ซูริก และยังคงคอนเซ็ปต์เดิมคือไม่เปลี่ยนที่นอนบ่อย ดังนั้นพอเช้าตื่นมาก็มีหน้าที่แต่งตัวเพื่อออกไปเที่ยวอย่างเดียว ชีวิตดี๊ ดีนะคะ นักท่องเที่ยวอย่างเรา

ทุกเช้าต้องเดินผ่านสะพานไม้ชาเปล (Chapel Bridge) สะพานไม้เก่าแก่ที่สุดในโลกที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองลูเซิรน์พอๆกับอนุสาวรีย์สิงโตร้องไห้ อากาศในตัวเมืองไม่แจ่มใสมาตั้งแต่เมือวาน

การเดินทางขึ้นเขาพิลาตุสมี (Mt.Pilatus)ได้หลายวิธี จะล่องเรือมาก็ได้แต่เพราะว่ามีหมอกด้านล่างล่องเรือก็คงไม่ค่อยเห็นอะไร เราเลยนั่งรถไฟจากลูเซิรน์มาลงที่สถานี Alpnachstad 

มาถึงรถไฟกำลังจะออกเรายังไม่ทันได้กรอกวันที่ลงในโวชเชอร์ที่ซื้อไปจากเมืองไทย (จำราคาไม่ได้แล้วค่ะ) เจ้าหน้าที่ก็อนุญาตและเร่งให้ไปขึ้นรถไฟได้เลย สำหรับคนมีสวิสพาสได้รับส่วนลด 50% ค่ะ

เพื่อนที่ติดตามอ่านบล๊อกเราคงพอจำได้ว่าทริปนี้เราไปทั้งจุงเฟรา (หรือยงเฟรา) , แมทเทอร์ฮอรน์ , ชิลธอร์น ,ริกิ ไม่นับรวมติสลิสที่เคยมากับทัวร์แล้ว บอกได้เลยค่ะว่าแต่ละที่ให้ประสบการณ์ที่แตกต่างกันไป จะตอบว่าแกงส้มอร่อยกว่าแกงเขียวหวานก็คงบอกไม่ได้แล้วแต่ความชอบ

ที่นี่ได้ประสบการณ์การขึ้นรถไฟฟันเฟืองที่นอกจากจะไต่ความสูงขึ้นมาแล้วทางก็มีความชันที่มากสุดในโลก เห็นเขียนไว้ข้างรถว่า 50%เลยทีเดียวเชียว

ออกจากรถไฟมาตัวอาคามีรัานขายของที่ระลึก คาเฟ่ จุดชมวิว คืออากาศข้างนอกลมค่อนข้างแรงและเย็น ก็ใช้ที่นี่ล่ะค่ะเป็นที่หาไออุ่นชั่วคราวได้

ระหว่างที่รถไฟไต่เขาขึ้นมาจะมีช่วงหนึ่งที่คนขับรถจะชี้ให้ดูแพะภูเขากลุ่มหนึ่งที่หากินอยู่ ถ้าเห็นไม่ชัดก็นี่เลยค่ะ 

 

ช่วงเวลาที่เราอยู่ข้างล่างในเมืองอากาศจะขมุกขมัวเต็มไปด้วยหมอก แต่เมื่อนั่งรถไฟไต่ระดับสูงเลยหนึ่งพันเมตรขึ้นมาอากาศกลับแจ่มใส มีแดด ที่กล้าขึ้นมาทั้งๆที่ข้างล่างมีหมอกก็เพราะเช็คสภาพอากาศก่อนแล้วค่ะ  

 

ในวันที่ลมบนนี้ไม่แรงบริเวณนี้คงจะเป็นสถานที่นั่งดื่มกาแฟที่มีทัศนียภาพที่สวยที่สุดอีกที่หนึ่ง 

นักท่องเที่ยวหลายคน (รวมทั้งลุง) ก็เดินขึ้นไปเก็บภาพตรงจุดบนนู้นที่มีเสาส่งสัญญาณ แต่ป้าอย่างเราขอนั่งรถแถวนี้ดีกว่า  

 จากข้างบนลุงถ่ายลงมาได้วิวนี้ และเป็นเพราะปกคลุมไปด้วยหมอกจึงมองไม่เห็นทะเลสาบลูเซิรน์

 

กิจกรรมที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือการเดินขึ้นเขา เห็นเส้นทางคดเคี้ยวนั่นไหมคะ   

ค่อยๆเดินชื่นชมทัศนียภาพที่งดงามไปเรื่อยๆ ความเหนื่อยจะยิ่งทำให้ความงามของภาพที่เห็นมีมากขึ้น อันนี้เดาเอานะคะอุปมาเหมือนตอนเราหิวกินอะไรก็อร่อย เอิ๊ก เอิ๊ก เกี่ยวกันไหม

โรงแรมในสวิสนี่เขาไม่เคยเกี่ยงเรื่องความสูงเลยนะคะ ตรงไหนมุมสวยวิวงาม จะต้องมีโรงแรมอย่างน้อยหนึ่งโรงแรม สุดมุมโรงแรม Pilatus Klum นั้นยังมีทางให้เดินไปยังจุดชมวิวมุมอื่นๆ อย่าถามนะแล้วป้าเดินไปไหม

ยอดเขาพิลาตุสตั้งอยู่ที่ความสูง 2,132 เมตร ในสมัยโบราณมีตำนานมังกรเกี่ยวพันกับถ้ำบนยอดเขานี้จนได้ฉายาว่าภูเขามังกร

เสร็จจากพิลาตุสเรานั่งรถไฟย้อนกลับมาที่ลูเซิรน์แล้วเดินทางต่อไปน้ำตกไรน์ด้วยแอพพลิเคชั่นกูเกิ้ลแมพเหมือนเดิม (โอ้พระเจ้าจอร์ช ฉันรักมันเหลือเกิน)

การเดินทางในสวิสง่ายแสนง่ายเพียงแต่คุณรู้วิธีการขึ้นรถไฟ รถเมล์เท่านั้น จบ  

เมื่อก่อนหลงรักการรถไฟประเทศญี่ปุ่น มาเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ครั้งนี้เปลี่ยนใจมาให้การรถไฟประเทศนี้แทนแล้วค่ะ ไม่ว่าจะเรื่องความเร็ว ตรงต่อเวลา ความสะอาด การจัดการ จะสูงจะชันแค่ไหนพี่แกไปถึงหมด ขึ้นรถไฟที่สวิสคุณเดินขึ้นได้เลยไม่ต้องไปต่อคิวเข้าช่องแบบญี่ปุ่น  เดี๋ยวมีเจ้าหน้าที่ไปเดินตรวจบนรถเอง 

ปลายทางเรามาลงที่ Schloss Laufen ,Rheinfall (S33) ซึ่งดูเหมือนสถานีย่อยเพราะตัวสถานีเล็กๆไมีมีอะไรเลยมีเพียงหลังคากับม้านั่งและป้ายตารางเวลาเดินรถ แต่เดินมานิดเดียวก็ถึงน้ำตกแล้ว

น่ำตกไรน์ (Rhine Falls)เป็นน้ำตกที่น้ำนั้นไหลมาจากแม่น้ำไรน์ เป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป (ในยุโรปนะคะไม่ใช่ในโลก) กระแสน้ำนั้นแรงมากๆเลยค่ะ

ลุงบอกว่าถ้ามากับทัวร์ ส่วนมากเขาจะพาไปจุดที่อยู่ฝั่งที่เห็นโน้นถ้าทัวร์ราคาถูกก็ถ่ายรูปแค่แถวนี้ ถ้าดีหน่อยก็พาลงเรือด้วย

 ต้องขอบอกค่ะว่าของจริงนั้นน้ำตกไรน์นั้นอลังการมากๆ เห็นแล้วตื่นตาตื่นใจลืมน้ำตกที่บ้านเราไปเลยคิดดูสิคะสูงตั้ง 23 เมตรและกว้างกว่า 150 เมตรแถมยังมีมาเป็นหมื่นกว่าปี โอ้แม่เจ้า

ถ้าใครอยากสัมผัสความมหัศจรรย์อลังการของน้ำตกมากกว่านี้ เอาให้น้ำกระเซ็นเปียกกันไปเลยก็สามารถเสียเงินซื้อตั๋วเดินเข้าไปอย่างระเบียงที่เห็นในมุมด้านขวาของภาพได้อีกค่ะ อย่าถามต่อนะคะแล้วป้าจะเสียเงินไหม

  ถ้าช่วงหน้าร้อนก็มีเรือบริการนักท่องเที่ยว พาเข้าไปสัมผัสน้ำตกอย่างใกล้ชิดอีกวิธีหนึ่ง แต่วันที่เราไปนั้นเรืองดให้บริการแล้วค่ะ 

เดินไปอีกด้านหนึ่งของน้ำตกผ่านบริเวณปราสาทLaufen เก่าอายุร่วมแปดร้อยกว่าปีที่มีการดัดแปลงมาทำร้านอาหารและที่พัก

เดินอ้อมปราสาทออกมาอีกด้านหนึ่งจะเจอทางเดินที่เหมือนเดินเข้าไปในป่า(มีต้นไม้เยอะ)เดินมาเรื่อยๆลอดใต้สะพานนี้ไปค่ะ เราจะเดินข้ามสะพานดูน้ำตกไรน์จากมุมอื่นๆดูบ้าง มันช่างเป็นอีกวันที่ประทับใจสุดๆเลยค่ะ 

 ในเมื่อยอดเขาสูงเพียงไรการรถไฟสวิสก็ยังไปถึง ดังนั้นแค่ทำทางรถไฟข้ามน้ำตกไปนั้นมันคงไม่ใช่เรื่องยาก การรถไฟบ้านเราทำไมไม่พัฒนาเหมือนประเทศนี้บ้างหนอเป็นที่บุคลากรหรือองค์กรกันนะ

เดินมาด้านนี้จะเห็นแต่ความกว้างของน้ำตก มองไม่เห็นความสูงและความแรงของกระแสน้ำ

เดินข้ามสะพานพ้นมาแล้วก็จะมีทางเดินลาดยางอย่างดี มีนักท่องเที่ยวฝรั่งหลายคนเดินกัน มีกะเหรี่ยงไทยอยู่แค่ 2 คน

มองกลับไปฝั่งตรงข้ามจะเห็นปราสาท Laufen นึกไปว่าวิวดูน้ำตกจากหน้าต่างที่ปราสาทนั้นน่าจะสวยงามไม่เบาเช่นกัน แต่ที่แน่ๆวิวจากมุมนี้ไม่เสียเงินค่ะ ฟรีค่ะ ฟรี ขยันเดินมาหน่อย   

ความรุนแรงของกระแสน้ำตัดเอาหินก้อนใหญ่ที่อยู่กลางน้ำตกจนกลายออกเป็นสองก้อน ในหน้าร้อนสามารถนั่งเรือไปยังจุดชมวิวบนก้อนหินได้ด้วยค่ะ อะไรจะปานนั้น 

 

มาถึงถิ่นสวิสอิทธิพลเยอรมันแถบนี้แล้ว ลุงแกเคยมากับทัวร์สมัยหนุ่มๆ แกเลยว่าต้องไปเที่ยวที่ สไตน์แอมไรน์(Stein am Rhein) นั่งรถไฟจากข้างปราสาทตอนขามา มาแวะเปลียนรถไฟอีกขบวนที่สถานีสำคัญ Schaffhasun ไปอีกไมไกล จะรออะไรล่ะคะ รีบไปกันเลย

ออกจากสถานีรถไฟเดินไปตามป้ายชี้ไปเขตเมืองเก่า จากสถานีเดินไปประมาณสิบนาทีเดินเพลินๆดูบ้านช่องที่มีลวดลายแปลกตา ฝาผนังนั้นค้ำด้วยไม้และใช้สีที่โดดเด่นทาบนไม้นั้นตัดกับสีผนังนี่ล่ะค่ะที่ได้รับอิทธิพลแบบเยอรมัน 

เกินคำบรรยายค่ะ ถ้าไม่ได้ยินเสียงรถยนต์ที่วิ่งผ่านไปมา เหมือนโดนมนต์สะกดเลยค่ะ ณ.จุดนี้เวลานั้น น้ำใสแจ๋วจนเห็นภาพอาคารแบบเก่ามุมหัวกลับชัดเจน 

มาเที่ยวประเทศสวิสประเทศเดียวแต่เหมือนได้ไปประเทศแถบนี้ด้วย ไปทางใต้บ้านเมืองก็สไตล์แบบอิตาลี ไปเนอชาแตลก็เจอสถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศส มาสไตน์แอมไรน์นี่นึกว่าอยู่ชนบทที่เยอรมัน  

 

สไตน์แอมไรน์นี้เป็นเมืองที่มีมาตั้งแต่ก่อนยุคกลางเป็นเมืองเล็กๆน่ารัก เต็มไปด้วยอาคารที่ประดับด้วยภาพวาดปูนเปียก(Frescoes)ที่งดงาม

ด้วยเราไปถึงค่อนข้างจะเย็นแล้ว แสงไม่ค่อยมีภาพอาจจะไม่แจ่มแต่ของจริงสวยมากค่ะ ตอนแรกก่อนมาลุงบอกแค่ว่ามาดูเมืองไสตล์แบบเยอรมันก็ไม่ได้คิดอะไรมาก  พอมาถึงที่นี่อดใจไม่ไหวถึงกับต้องส่งโปสการ์ดหาเพื่อนเป็นที่ระลึกเลยค่ะ 

สมกับเป็นเมืองที่เคยได้รับรางวัลการอนุรักษ์มรดกทางสถาปัตยกรรม  

ที่ไม่ได้ประดับฝาผนังด้วยภาพเขียนเฟรสโกก็ใช้วิธีทาสีที่ลงบนส่วนไม้ที่ดูเหมือนเป็นโครงสร้างตัดกับสีผนัง สไตล์แบบเดียวกับที่คอร์มาที่ลือชื่อ อ่อ..ของจริงมันเป็นแบบนี้นี่เอง 

อาคารบ้านเรือนเก่าๆที่บ้านเขาอย่างเช่นเมืองนี้ อายุเป็นพันปีแต่ทำไมเขาดูแลรักษาและอนุรักษ์ได้ดีขนาดนี้ ทำให้เมืองเล็กๆเมืองนี้ที่เคยรุ่งเรื่องเรื่องการค้าในอดีตจวบจนในปัจจุบันก็ยังไม่เงียบเหงาเพราะนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่ไปเยือน

เย็นมากแล้วจึงดูเงียบๆไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว 

   

 ใช้เวลาเดินทางกลับลูเซิรน์สองชั่วโมงนิดๆค่ะ เป็นการเที่ยวอีกหนึ่งวันที่ใช้เวลาได้คุ้มค่ามากๆ

พบกันใหม่บล๊อกหน้านะคะ

ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่แวะเข้ามาเที่ยวด้วยกันนะคะ

สวัสดีค่ะ

 

 




Create Date : 18 พฤษภาคม 2559
Last Update : 19 พฤษภาคม 2559 21:37:10 น.
Counter : 1880 Pageviews.

0 comments

hellojaae
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 26 คน [?]



เขียนบล๊อกเพราะอยากเขียน อยากแบ่งปัน ใช้วิธีจิ้มดีดจึงมีผิดๆถูกๆ (แม้จะพยายามตรวจทวนทุกครั้ง) เป็นบล๊อกอนุรักษ์รูปแบบเดิมๆคือเขียนไล่เรียงลงมา เพราะทำรูปแบบอื่นไม่เป็น 555 ยังเขียนต่อไปเพราะเห็นว่าก็ยังมีคนหลงๆเข้ามาอ่าน 555 สวัสดีและขอขอบคุณทุกคนค่ะ
Website counter