.
อ.ดร.คลอเดีย แกญญอง และคณะจากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ออสเตรเลีย ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่าง 5,200 คน ติดตามไป 5 ปี พบว่า คนที่มีระดับวยิตามิน D ในเลือดต่ำ เพิ่มเสี่ยงเบาหวานชนิดที่ 2 = 57% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ต่ำ
.
คนเราได้รับวิตามิน D จากแสงแดด (สังเคราะห์ที่ผิวหนัง) เป็นส่วนใหญ่ และได้รับจากอาหาร เช่น ไข่แดง ปลาทะเล ฯลฯ เป็นส่วนน้อย
.
สถาบันสุขภาพสหรัฐฯ แนะนำให้ผู้ใหญ่กินวิตามิน D วันละ 600 IU (หน่วยสากล)
.
เดิมเชื่อว่า วิตามิน D มีผลเฉพาะต่อกระดูก-ฟัน โดยเพิ่มการดูดซึมแคลเซียม เพิ่มระดับแคลเซียมในเลือด
.
ต่อมาพบว่า วิตามิน D น่าจะมีผลต่อเซลล์ทั่วร่างกายอีกหลายอย่าง เช่น ทำให้ภูมิต้านทานโรคดี
.
กลไกที่เป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง คือ ภาวะน้ำหนักเกิน-โรคอ้วน และการออกแรง-ออกกำลังน้อยเองก็ทำให้คนเรานั่งๆ นอนๆ ในอาคารมากขึ้น ได้รับแสงแดดน้อยลง ทำให้สร้างวิตามิน D น้อยลงไปด้วย
.
วิตามิน D ละลายได้ในน้ำมัน เมื่อมีไขมันในร่างกายมากขึ้น จะทำให้เกิดการเจือจางมากขึ้น เปรียบคล้ายการละลายเกลือ 1 ช้อนชาลงในแก้ว ทำให้เค็ม, ทีนี้ถ้าละลายเกลือ 1 ช้อนชาในโอ่ง อาจทำให้เกิดการเจือจาง และเค็มน้อยลง
.
การศึกษาที่ผ่านมายังไม่ได้ข้อสรุปแน่นอนว่า การกินวิตามิน D เสริม เช่น กินวิตามินรวม 1 เม็ด/วัน ฯลฯ (ต้องกินพร้อมอาหารไขมันต่ำ จึงจะดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้) จะลดเสี่ยงเบาหวานได้หรือไม่ เนื่องจากผลการศึกษามีทั้งสนับสนุน และคัดค้านเรื่องนี้
.
ทางที่ดี คือ ป้องกันเบาหวานด้วยการออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ เช่น เคยเดินเท่าไรก็เดินให้เร็วขึ้นจนถึง 80-100 ก้าว/นาที หลังจากนั้นค่อยๆ เพิ่มเป็น 100-120 ก้าว/นาที และขึ้นลงบันไดตามโอกาส
.
คนเราควรสะสมเวลาออกแรง-ออกกำลัง เช่น เดินก่อนอาหาร 10 นาที/มื้อ ฯลฯ รวมกันให้ได้ 30 นาที/วัน, ขึ้นลงบันไดสะสมเวลาอีก 4 นาที/วัน และพยายามควบคุมน้ำหนักอย่าให้เกิน เพราะเป็นวิธีที่ช่วยป้องกันเบาหวานได้ดี
.
คนที่อยู่ในที่ร่มทั้งวัน ควรหาทางออกไปเดินกลางแจ้งให้ได้ 15 นาที/วัน โดยสวมเสื้อ-กางเกงขาสั้น จะทำให้ได้รับวิตามิน D แท้ๆ จากธรรมชาติมากพอทุกวัน
.
ถึงตรงนี้... ขอให้ท่านผู้อ่านมีสุขภาพดีไปนานๆ ครับ
.
> [ Twitter ]
> 
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 45 คน [
