Group Blog
 
 
ตุลาคม 2552
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
18 ตุลาคม 2552
 
All Blogs
 
โรมานอฟ 2

สรุปสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราชวงศ์โรมานอฟอวสาน

วิคเตอร์อเล็กซานดรอฟ ได้สรุปสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราชวงศ์โรมานอฟอวสานในหนังสือชื่อ “ดิ เอน ออฟ เดอะ โรมานอฟ” เป็นทฤษฎีวิเคราะห์เหตุการณ์ล่มสลายที่น่าจะเป็นไปได้ไว้ ๓ ประเด็น ดังต่อไปนี้

ประเด็นที่หนึ่ง เนื่องจากความปั่นป่วนทางการเมืองของประเทศ

ประเด็นที่สอง เนื่องจากความอ่อนแอในการบริหารประเทศของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒

ประเด็นที่สาม เนื่องจากพระเจ้าซาร์ฯ ทรงถือทิฐิ ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของมหาชน ทรงหมกหมุ่นอยู่กับเรื่องรักๆใคร่ๆ ในหมู่อิตถีสตรีเพศมากกว่าเรื่องการเมือง และโดยเฉพาะในกรณีที่พระองค์ทรงตัดสินพระทัยอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงอลิกซ์ พระธิดาของแกรนด์ดุ๊กแห่ง เฮซซ์ ประเทศเยอรมนี ท่ามกลางเสียงคัดค้านของพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพารและประชาราษฎร์ทั่วไป ที่ต่อต้านเยอรมนีอย่างหนัก

ต่อมามเหสีชาวเยอรมันพระองค์ใหม่ของพระเจ้าซาร์ฯ คือ พระนางอเล็กซานดรา ฟิโอโดร๊อฟนา(พระนามที่ตั้งขึ้นภายหลังจากที่ได้แสดงตนเป็นคริสตศาสนิกชนนิกายออร์โธด๊อกซ์) ซึ่งก้าวขึ้นมาปกครองไพร่ฟ้าประชาชาวรัสเซียอย่างแท้จริงยิ่งกว่าพระเจ้าซาร์ฯ กล่าวกันว่าในเวลาต่อมา เนื่องจากพระเจ้าซาร์ฯ ทรงเป็นกษัตริย์ที่อ่อนแอและพระทัยโลเลไม่กล้าตัดสินใจเรื่องต่างๆ อย่างเด็ดขาด ดังนั้นพระนางจึงเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดและถวายแนะนำการบริหารตามนโยบายการเมืองแต่พระเจ้าซาร์ฯตลอดมา

ต่อมาพระนางทรงแนะนำให้พระเจ้าซาร์ฯ ทรงคัดค้านข้อเรียกร้องจากมหาชนที่ให้มีการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด พระนางทรงเชื่อว่าหน้าที่อันสำคัญของพระนางก็คือ จะต้องกระทำทุกอย่าง ทุกวิถีทางให้พระเจ้าซาร์ฯทรงยึดมั่นในการปกครองแบบอัตตาธิปไตยตามบรรพบุรุษให้จงได้

ส่วนภายในพระราชสำนักได้พากันปิดกั้นข่าวความทุกข์ร้อนและปั่นป่วนของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทุกด้าน พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ และพระนางอเล็กซานดรา ทรงมองปัญหาอันเกิดจากความปั่นป่วนของประชาชนว่า เป็นเรื่องเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในลักษณะธรรมดาเท่านั้น บรรดประชาชนชาวรัสเซียทั้งหลายต่างไม่พอใจ และได้กล่าวโจมตีพระนางอเล็กซานดราอย่างหนักหน่วงว่าเป็นบุคคลต้นเหตุที่จะทำให้ราชวงศ์โรมานอฟของรัสเซียต้องเสื่อมลงและถึงกาลวิบัติในที่สุด

ผลจากการกระตุ้นของพระนางอเล็กซานดรา เป็นเหตุให้พระเจ้าซาร์ฯ ทรงมีพระราชโองการประกาศออกมาว่า พระองค์จะยึดมั่นในหลักการ ดำเนินการปกครองรัสเซียตามแบบอัตตาธิปไตยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

จากพระราชโองการดังกล่าวนี้ ราวกับเป็นการกระพือไฟในหัวใจของมหาชนให้ลุกโพลงขึ้น นับว่าเป็นข้อขัดแย้งที่สวนทางกับความต้องการของประชาชนภายในชาติเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้มหาชนในเมืองหลวงและเมืองต่างๆ ทั่วประเทศได้รวมตัวกันลุกฮือขึ้นต่อต้านพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ทันที และเกิดการประท้วงอย่างรุนแรงระบาดไปทั่วประเทศ การจลาจลได้แพร่สะพัดออกไปอย่างกว้าวขวาง และต่อมาภายหลังจากที่พระเจ้าซาร์ฯทรงประกาศสนับสนุนนโยบายดินแดน จนเป็นเหตุนำไปสู่ความไม่พอใจของชาวรัสเซียทั้งชาติและก่อให้เกิดสงครามกับญี่ปุ่นขึ้นโดยไม่จำเป็น แล้วเหตุการณ์วุ่นวายภายในรัสเซียอันจะชักนำไปสู่การปฏิวัติโดยกองทัพประชาชนได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นๆ พระองค์ทรงหวังว่าการทำสงครามนั้น อาจเบนความสนใจของประชาชนในชาติที่กำลังปั่นป่วนอยู่ในขณะนั้นได้อีกทางหนึ่ง แต่แล้วพระองค์ทรงต้องพบกับความผิดหวังอย่างน่าสลดใจที่สุด

อิทธิพลของรัสปูตินที่มีต่อราชสำนัก

ขณะที่สงครามโลกครั้งที่ ๑ ใกล้จะเกิดขึ้น พระนางอเล็กซานดราทรงเสนอให้พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ทรงสถาปนาเจ้าชายอเล็กซี พระราชโอรสขึ้นเป็นรัชทายาทแห่งราชวงศ์โดยด่วน หลังจากนั้น ๖ สัปดาห์ต่อมาเจ้าชายอเล็กซีก็ประชวรเป็นโรคโลหิตเป็นพิษ พระนางอเล็กซาดราพยายามจัดหาหมอที่มีความสามารถจากทุกแห่งมารักษาแต่ก็ไร้ผล จนกระทั่งพระนางเริ่มหันมาสนใจในเรื่องลึกลับมหัศจรรย์ของผู้ที่อวดอ้างตนเป็นผู้วิเศษ แล้ว กิกอรี รัสปูติน นักสะกดจิตก็ก้าวเข้ามาครอบงำราชสำนักเหนือจิตใจของพระเจ้าซาร์และพระนางอเล็กซานดร้าได้อย่างสิ้นเชิง สามารถเข้าไปมีบทบาทและมีอำนาจทางการเมืองของรัสเซีย จนกระทั่งนำมาซึ่งเหตุการณ์ที่เป็นผลทำให้ราชวงศ์โรมานอฟเสื่อมหนักลงไป

รัสปูตินเป็นผู้มีอำนาจจิต สามารถสะกดจิตช่วยรักษาโรค สามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ จากความสามารถเหล่านี้ทำให้เขาได้รับการเสนอให้เข้าไปสู่ราชสำนักของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ เพื่อช่วยรักษาโรคพระโลหิตเป็นพิษของเจ้าชายอเล็กซีพระโอรสของพระเจ้าซาร์กับนางอเล็กซานดร้า ซึ่งเขาก็ทำได้สำเร็จ สามารถขจัดความเจ็บปวดและยับยั้งการไหลไม่หยุดของโลหิตภายในร่างกายของเจ้าชาย โดยใช้อำนาจสะกดจิตเพียงอย่างเดียว

รัสปูตินมีนิสัยพูดจาโอหัง วางอำนาจกับคนทั่วไป ทำให้เขาสร้างศัตรูไปทั่ว เขาได้กล่าวไว้ต่อหน้าคนทั้งหลายว่า “ไม่เพียงแต่จะรักษาโรคของเจ้าชายแห่งรัสเซียเท่านั้น ยังช่วยรักษาบาดแผลในหัวใจของชาวรัสเซียทั้งชาติได้อีกด้วย...และขอพยากรณ์ว่า เหตุการณ์ปั่นป่วนภายในรัสเซียขณะนี้จะคืบคลานเข้าไปสู่การปฏิวัติรัฐประหารอย่างรวดเร็ว”

จากคำกล่าวของรัสปูตินนี้เอง กระตุ้นให้มหาชนจงเกลียดจงชังพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ และพระบรมวงศานุวงศ์รวมทั้งรัสปูตินด้วย และทำให้ประชาชนทุกแห่งหนลุกฮือขึ้นต่อต้านและประท้วงอย่างหนัก

แม้ว่าฝ่ายคณะรัฐบาลและบรรดาขุนนางชั้นสูงได้ถวายคำร้องทุกข์และคำเตือนที่เป็นประโยชน์ในการบริหารบ้านเมืองแด่พระเจ้าซาร์และพระนางอเล็กซานดร้าแล้วก็ตาม แต่พระองค์ก็ไม่สนพระทัยทรงหลงใหลเชื่อมั่นในคำแนะนำของรัสปูตินเพียงฝ่ายเดียว

เหตุการณ์ปฏิวัติที่รุนแรง

พระเจ้าซาร์ทรงลืมบทเรียนแห่งประวัติศาสตร์อันล้ำค่าที่สร้างความชอกช้ำให้แก่รัสเซียในการปฏิวัติครั้งใหญ่ปี ค.ศ. ๑๙๐๕ ซึ่งก่อนจะเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติในครั้งนั้น ได้มีเหตุการณ์ระส่ำระสายของประชาชนทั่วไป พระองค์ทรงหลงลืมประชาชนและมิได้เข้าใจในความทุกข์ร้อนของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ที่ทหารรักษาพระองค์ได้สังหารหมู่ประชาชนในวันที่เรียกว่า “วันอาทิตย์สีเลือด” ในเดือนมกราคม ๑๙๐๕ แต่เหตุการณ์นั้นประชาชนมิได้หลงลืมแต่กลับทำให้เสื่อมความนิยมในสถาบันอย่างหนัก ความรุนแรงจากปฏิกิริยาในหมู่ประชาชนกรพือโหมขึ้นแทบทุกแห่ง บรรดากรรมกรได้ผละงาน ลุกขึ้นฮือต่อต้านทั่วประเทศ อุตสาหกรรมปั่นป่วนมากขึ้น ครั้นถึงกลางเดือนตุลาคม เกือบทั้งประเทศก็ตกอยูในสภาวะที่เลวร้ายที่สุด

กลุ่มผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่สไตร์คหยุดงาน โรงงานอุตสาหกรรมต้องปิดตัวลง กิจการทุกอย่างเป็นอัมพาตไปหมด ประชาชนได้รวมตัวกันเดินขบวนประท้วงระบบการปกครองของประเทศ เรียกร้องรัฐธรรมนูญใหม่ ในที่สุดพระเจ้าซาร์ก็ยินยอมตามข้อเรียกร้องของมวลประชาชน แต่เหตุการณ์ในบ้านเมืองก็ยังระส่ำระส่าย พระเจ้าซาร์ทรงประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองระบบกึ่งราชาธิปไตยภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญ พระองค์เปิดโอกาสให้มีการจัดตั้งรัฐสภาดูมาและรัฐบาลขึ้นใหม่

ภายใต้การปกครองของนายกรัฐมนตรี ปีเตอร์ เอ. สโตลีฟิน เขาสามารถทำให้รัสเซียกลับฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ระบบเศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น ต่อมาชาวรัสเซียได้รวมกันเป็นปึกแผ่นเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ ๑ ที่จะอุบัติขึ้น

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๑ อุบัติขึ้น รัสเซียได้เข้าสู่สงครามร่วมกับฝ่ายอังกฤษและฝรั่งเศส เพื่อต่อต้านกองทัพของเยอรมัน ออสเตรีย และฮังการี พระเจ้าซาร์ต้องการกำลังสนับสนุนและความร่วมมือจากประชาชน ในปี ค.ศ. ๑๙๑๕ พระองค์เสด็จออกแนวหน้านำกองทัพเข้าบุกตะลุยกองทหารเยอรมันนี ปล่อยให้ราชสำนักตกอยู่ในกำมือของพระนางอเล็กซานดร้าภายใต้การแนะนำของรัสปูตินในกิจการบ้านเมือง ข่าวลือสะพัดไปทั่วว่าทั้งสองเป็นสายลับให้แก่เยอรมัน

แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นในเดือน ธันวาคม ๑๙๑๖ เมื่อรัสปูตินถูกฆาตกรรม โดยฝีมือของขุนนางในราชวงศ์พระองค์หนึ่ง คือ เจ้าชายเฟลิกซ์ ยูซซูป็อพ เพราะพระองค์ไม่อาจทนดูราชวงศ์ต้องเสื่อมเสียต่อไปได้ เจ้าชายได้วางยาพิษในอาหารแก่รัสปูติน แต่รัสปูตินยังไม่ตาย พระองค์จึงยิงซ้ำจากนั้นก็ห่อด้วยผ้าม่านแล้วนำศพไปทิ้งแม่น้ำเนวา เหตุการณ์นี้ทำให้พระนางอเล็กซานดร้าเสียพระทัย ต่อมาได้มีการนำศพรัสปูตินขึ้นมาฝังที่พระราชวัง ซาร์ยูเค เซโล แต่ได้ถูกขุดขึ้นมาเผาอีกครั้งในการปฏิวัติใหญ่

ขณะที่สงครามโลกครั้งที่ ๑ ดำเนินไปอย่างเต็มที่ ปรากฏว่ากองทัพรัสเซียต้องสูญเสียทหารไปถึง ๒ ล้าน ๕ แสน เกือบจะมีจำนวนมากเท่ากับกองทัพทหารอาสาพันธมิตรทั้งหมดรวมกัน ส่วนในประเทศรัสเซียต้องประสบภาวะทุกข์เข็ญ อาหารขาดแคลน อุตสาหกรรมต่าง ๆ หยุดชะงัก โรงงานต่าง ๆ ต้องปิดตัวลง

ในหนังสือ “เดอะ โรมานอฟ” ได้สรุปว่า “ในวันที่ ๙ มีนาคม ๑๙๑๗ สภาพในกรุงมอสโก และเมืองต่างๆ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เกิดสภาวะขาดแคลนอาหาร ผู้คนเข้าคิวขอส่วนปันอาหารแต่ละแห่งยาวเหยียดหลายกิโลเมตร ต่อมาประชาชนได้บุกเข้าไปร้านค้าต่างๆ เพื่อปล้นเสบียงอาหาร จุดเริ่มของการปฏิวัติได้แพร่สะพัดไปอย่างน่าสะพรึงกลัว”

ขณะที่บ้านเมืองตกอยู่ในสภาวะระส่ำระสาย แต่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ก็ยังทรงนำทหารออกปฏิบัติการรบอยู่ในแนวหน้า ฝ่ายรัฐบาลได้ส่งโทรเลขไปถึงพระองค์เพื่อเรียกร้องให้พระองค์เสด็จกลับไปแก้ไขสถานการณ์ และแต่งตั้งรัฐบาลซึ่งเป็นที่ยอมรับของสภาใหม่ แต่พระองค์ทรงปฏิเสธ และได้มีพระราชกระแสรับสั่งให้กองกำลังทหารที่รักษาการณ์อยู่ภายในประเทศลงมือปราบปรามการจลาจลทั่วไป แต่ปรากฏว่าบรรดาทหารหลายฝ่ายพากันกระด้างกระเดื่องไม่ยอมปฏิบัติตาม และหันไปให้ความร่วมมือกับประชาชน ต่อมาในวันที่ ๑๓ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๑๗ ประชาชน กรรมกร และสมาชิกสภาดูมาที่ถูกยุบได้ก่อปฏิวัติ และได้ตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้น ดังนั้นในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๑๙๑๗ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ก็ทรงตัดสินพระทัยยอมรับรองรัฐบาลใหม่ และทรงสละราชสมบัติ ก็เป็นอันว่าอำนาจการปกครองของราชวงศ์โรมานอฟที่ผ่านมาถึง ๓๐๐ ปี ต้องจบสิ้นลงในสมัยนี้เอง

ต่อมาพระเจ้าซาร์นิโคลัสพร้อมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพารได้ถูกจับ และนำไปกักขังไว้ที่พระราชวังซาร์คูเย เซโล ครั้นถึงเดือนกรกฎาคม ๑๙๑๗ พรรคการเมืองบอลเชวิค ได้ก่อจลาจลขึ้น เป็นเหตุให้อเล็กซานเดอร์ เคอร์เรสกี้ ผู้นำการปกครองท้องถิ่นได้ย้ายที่คุมขังพระเจ้าซาร์และพระบรมวงศานุวงศ์ไปยังเมืองเอคก้าเตอรินเบิร์ก และในที่สุดก็เกิดเรื่องราวการประหารหมู่อย่างโหดร้ายทารุณขึ้น สันนิษฐานว่า พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ถูกปลงพระชนม์โดยถูกยิงกราดด้วยปืนต่อหน้าเหล่าทหารเป็นจำนวนมากภายในห้องใต้ถุนที่คุมขังในเมืองเอคก้าเตอรินเบิร์ก ในคืนวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๑๘ ซึ่งเชื่อกันว่าไม่มีใครรอดชีวิต.

source : //www.serichon.com


Create Date : 18 ตุลาคม 2552
Last Update : 18 ตุลาคม 2552 9:29:28 น. 0 comments
Counter : 277 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

xiao ye zi
Location :
Dubai United Arab Emirates

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์ สถิตย์ทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา..
Friends' blogs
[Add xiao ye zi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.