|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
โรมานอฟ 2
สรุปสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราชวงศ์โรมานอฟอวสาน
วิคเตอร์อเล็กซานดรอฟ ได้สรุปสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราชวงศ์โรมานอฟอวสานในหนังสือชื่อ ดิ เอน ออฟ เดอะ โรมานอฟ เป็นทฤษฎีวิเคราะห์เหตุการณ์ล่มสลายที่น่าจะเป็นไปได้ไว้ ๓ ประเด็น ดังต่อไปนี้
ประเด็นที่หนึ่ง เนื่องจากความปั่นป่วนทางการเมืองของประเทศ
ประเด็นที่สอง เนื่องจากความอ่อนแอในการบริหารประเทศของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒
ประเด็นที่สาม เนื่องจากพระเจ้าซาร์ฯ ทรงถือทิฐิ ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของมหาชน ทรงหมกหมุ่นอยู่กับเรื่องรักๆใคร่ๆ ในหมู่อิตถีสตรีเพศมากกว่าเรื่องการเมือง และโดยเฉพาะในกรณีที่พระองค์ทรงตัดสินพระทัยอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงอลิกซ์ พระธิดาของแกรนด์ดุ๊กแห่ง เฮซซ์ ประเทศเยอรมนี ท่ามกลางเสียงคัดค้านของพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชบริพารและประชาราษฎร์ทั่วไป ที่ต่อต้านเยอรมนีอย่างหนัก
ต่อมามเหสีชาวเยอรมันพระองค์ใหม่ของพระเจ้าซาร์ฯ คือ พระนางอเล็กซานดรา ฟิโอโดร๊อฟนา(พระนามที่ตั้งขึ้นภายหลังจากที่ได้แสดงตนเป็นคริสตศาสนิกชนนิกายออร์โธด๊อกซ์) ซึ่งก้าวขึ้นมาปกครองไพร่ฟ้าประชาชาวรัสเซียอย่างแท้จริงยิ่งกว่าพระเจ้าซาร์ฯ กล่าวกันว่าในเวลาต่อมา เนื่องจากพระเจ้าซาร์ฯ ทรงเป็นกษัตริย์ที่อ่อนแอและพระทัยโลเลไม่กล้าตัดสินใจเรื่องต่างๆ อย่างเด็ดขาด ดังนั้นพระนางจึงเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดและถวายแนะนำการบริหารตามนโยบายการเมืองแต่พระเจ้าซาร์ฯตลอดมา
ต่อมาพระนางทรงแนะนำให้พระเจ้าซาร์ฯ ทรงคัดค้านข้อเรียกร้องจากมหาชนที่ให้มีการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด พระนางทรงเชื่อว่าหน้าที่อันสำคัญของพระนางก็คือ จะต้องกระทำทุกอย่าง ทุกวิถีทางให้พระเจ้าซาร์ฯทรงยึดมั่นในการปกครองแบบอัตตาธิปไตยตามบรรพบุรุษให้จงได้
ส่วนภายในพระราชสำนักได้พากันปิดกั้นข่าวความทุกข์ร้อนและปั่นป่วนของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินทุกด้าน พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ และพระนางอเล็กซานดรา ทรงมองปัญหาอันเกิดจากความปั่นป่วนของประชาชนว่า เป็นเรื่องเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในลักษณะธรรมดาเท่านั้น บรรดประชาชนชาวรัสเซียทั้งหลายต่างไม่พอใจ และได้กล่าวโจมตีพระนางอเล็กซานดราอย่างหนักหน่วงว่าเป็นบุคคลต้นเหตุที่จะทำให้ราชวงศ์โรมานอฟของรัสเซียต้องเสื่อมลงและถึงกาลวิบัติในที่สุด
ผลจากการกระตุ้นของพระนางอเล็กซานดรา เป็นเหตุให้พระเจ้าซาร์ฯ ทรงมีพระราชโองการประกาศออกมาว่า พระองค์จะยึดมั่นในหลักการ ดำเนินการปกครองรัสเซียตามแบบอัตตาธิปไตยเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
จากพระราชโองการดังกล่าวนี้ ราวกับเป็นการกระพือไฟในหัวใจของมหาชนให้ลุกโพลงขึ้น นับว่าเป็นข้อขัดแย้งที่สวนทางกับความต้องการของประชาชนภายในชาติเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้มหาชนในเมืองหลวงและเมืองต่างๆ ทั่วประเทศได้รวมตัวกันลุกฮือขึ้นต่อต้านพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ทันที และเกิดการประท้วงอย่างรุนแรงระบาดไปทั่วประเทศ การจลาจลได้แพร่สะพัดออกไปอย่างกว้าวขวาง และต่อมาภายหลังจากที่พระเจ้าซาร์ฯทรงประกาศสนับสนุนนโยบายดินแดน จนเป็นเหตุนำไปสู่ความไม่พอใจของชาวรัสเซียทั้งชาติและก่อให้เกิดสงครามกับญี่ปุ่นขึ้นโดยไม่จำเป็น แล้วเหตุการณ์วุ่นวายภายในรัสเซียอันจะชักนำไปสู่การปฏิวัติโดยกองทัพประชาชนได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นๆ พระองค์ทรงหวังว่าการทำสงครามนั้น อาจเบนความสนใจของประชาชนในชาติที่กำลังปั่นป่วนอยู่ในขณะนั้นได้อีกทางหนึ่ง แต่แล้วพระองค์ทรงต้องพบกับความผิดหวังอย่างน่าสลดใจที่สุด
อิทธิพลของรัสปูตินที่มีต่อราชสำนัก
ขณะที่สงครามโลกครั้งที่ ๑ ใกล้จะเกิดขึ้น พระนางอเล็กซานดราทรงเสนอให้พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ทรงสถาปนาเจ้าชายอเล็กซี พระราชโอรสขึ้นเป็นรัชทายาทแห่งราชวงศ์โดยด่วน หลังจากนั้น ๖ สัปดาห์ต่อมาเจ้าชายอเล็กซีก็ประชวรเป็นโรคโลหิตเป็นพิษ พระนางอเล็กซาดราพยายามจัดหาหมอที่มีความสามารถจากทุกแห่งมารักษาแต่ก็ไร้ผล จนกระทั่งพระนางเริ่มหันมาสนใจในเรื่องลึกลับมหัศจรรย์ของผู้ที่อวดอ้างตนเป็นผู้วิเศษ แล้ว กิกอรี รัสปูติน นักสะกดจิตก็ก้าวเข้ามาครอบงำราชสำนักเหนือจิตใจของพระเจ้าซาร์และพระนางอเล็กซานดร้าได้อย่างสิ้นเชิง สามารถเข้าไปมีบทบาทและมีอำนาจทางการเมืองของรัสเซีย จนกระทั่งนำมาซึ่งเหตุการณ์ที่เป็นผลทำให้ราชวงศ์โรมานอฟเสื่อมหนักลงไป
รัสปูตินเป็นผู้มีอำนาจจิต สามารถสะกดจิตช่วยรักษาโรค สามารถทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ จากความสามารถเหล่านี้ทำให้เขาได้รับการเสนอให้เข้าไปสู่ราชสำนักของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ เพื่อช่วยรักษาโรคพระโลหิตเป็นพิษของเจ้าชายอเล็กซีพระโอรสของพระเจ้าซาร์กับนางอเล็กซานดร้า ซึ่งเขาก็ทำได้สำเร็จ สามารถขจัดความเจ็บปวดและยับยั้งการไหลไม่หยุดของโลหิตภายในร่างกายของเจ้าชาย โดยใช้อำนาจสะกดจิตเพียงอย่างเดียว
รัสปูตินมีนิสัยพูดจาโอหัง วางอำนาจกับคนทั่วไป ทำให้เขาสร้างศัตรูไปทั่ว เขาได้กล่าวไว้ต่อหน้าคนทั้งหลายว่า ไม่เพียงแต่จะรักษาโรคของเจ้าชายแห่งรัสเซียเท่านั้น ยังช่วยรักษาบาดแผลในหัวใจของชาวรัสเซียทั้งชาติได้อีกด้วย...และขอพยากรณ์ว่า เหตุการณ์ปั่นป่วนภายในรัสเซียขณะนี้จะคืบคลานเข้าไปสู่การปฏิวัติรัฐประหารอย่างรวดเร็ว
จากคำกล่าวของรัสปูตินนี้เอง กระตุ้นให้มหาชนจงเกลียดจงชังพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ และพระบรมวงศานุวงศ์รวมทั้งรัสปูตินด้วย และทำให้ประชาชนทุกแห่งหนลุกฮือขึ้นต่อต้านและประท้วงอย่างหนัก
แม้ว่าฝ่ายคณะรัฐบาลและบรรดาขุนนางชั้นสูงได้ถวายคำร้องทุกข์และคำเตือนที่เป็นประโยชน์ในการบริหารบ้านเมืองแด่พระเจ้าซาร์และพระนางอเล็กซานดร้าแล้วก็ตาม แต่พระองค์ก็ไม่สนพระทัยทรงหลงใหลเชื่อมั่นในคำแนะนำของรัสปูตินเพียงฝ่ายเดียว
เหตุการณ์ปฏิวัติที่รุนแรง
พระเจ้าซาร์ทรงลืมบทเรียนแห่งประวัติศาสตร์อันล้ำค่าที่สร้างความชอกช้ำให้แก่รัสเซียในการปฏิวัติครั้งใหญ่ปี ค.ศ. ๑๙๐๕ ซึ่งก่อนจะเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติในครั้งนั้น ได้มีเหตุการณ์ระส่ำระสายของประชาชนทั่วไป พระองค์ทรงหลงลืมประชาชนและมิได้เข้าใจในความทุกข์ร้อนของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ที่ทหารรักษาพระองค์ได้สังหารหมู่ประชาชนในวันที่เรียกว่า วันอาทิตย์สีเลือด ในเดือนมกราคม ๑๙๐๕ แต่เหตุการณ์นั้นประชาชนมิได้หลงลืมแต่กลับทำให้เสื่อมความนิยมในสถาบันอย่างหนัก ความรุนแรงจากปฏิกิริยาในหมู่ประชาชนกรพือโหมขึ้นแทบทุกแห่ง บรรดากรรมกรได้ผละงาน ลุกขึ้นฮือต่อต้านทั่วประเทศ อุตสาหกรรมปั่นป่วนมากขึ้น ครั้นถึงกลางเดือนตุลาคม เกือบทั้งประเทศก็ตกอยูในสภาวะที่เลวร้ายที่สุด
กลุ่มผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่สไตร์คหยุดงาน โรงงานอุตสาหกรรมต้องปิดตัวลง กิจการทุกอย่างเป็นอัมพาตไปหมด ประชาชนได้รวมตัวกันเดินขบวนประท้วงระบบการปกครองของประเทศ เรียกร้องรัฐธรรมนูญใหม่ ในที่สุดพระเจ้าซาร์ก็ยินยอมตามข้อเรียกร้องของมวลประชาชน แต่เหตุการณ์ในบ้านเมืองก็ยังระส่ำระส่าย พระเจ้าซาร์ทรงประกาศเปลี่ยนแปลงการปกครองระบบกึ่งราชาธิปไตยภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญ พระองค์เปิดโอกาสให้มีการจัดตั้งรัฐสภาดูมาและรัฐบาลขึ้นใหม่
ภายใต้การปกครองของนายกรัฐมนตรี ปีเตอร์ เอ. สโตลีฟิน เขาสามารถทำให้รัสเซียกลับฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ทำให้ระบบเศรษฐกิจกระเตื้องขึ้น ต่อมาชาวรัสเซียได้รวมกันเป็นปึกแผ่นเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ ๑ ที่จะอุบัติขึ้น
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๑ อุบัติขึ้น รัสเซียได้เข้าสู่สงครามร่วมกับฝ่ายอังกฤษและฝรั่งเศส เพื่อต่อต้านกองทัพของเยอรมัน ออสเตรีย และฮังการี พระเจ้าซาร์ต้องการกำลังสนับสนุนและความร่วมมือจากประชาชน ในปี ค.ศ. ๑๙๑๕ พระองค์เสด็จออกแนวหน้านำกองทัพเข้าบุกตะลุยกองทหารเยอรมันนี ปล่อยให้ราชสำนักตกอยู่ในกำมือของพระนางอเล็กซานดร้าภายใต้การแนะนำของรัสปูตินในกิจการบ้านเมือง ข่าวลือสะพัดไปทั่วว่าทั้งสองเป็นสายลับให้แก่เยอรมัน
แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นในเดือน ธันวาคม ๑๙๑๖ เมื่อรัสปูตินถูกฆาตกรรม โดยฝีมือของขุนนางในราชวงศ์พระองค์หนึ่ง คือ เจ้าชายเฟลิกซ์ ยูซซูป็อพ เพราะพระองค์ไม่อาจทนดูราชวงศ์ต้องเสื่อมเสียต่อไปได้ เจ้าชายได้วางยาพิษในอาหารแก่รัสปูติน แต่รัสปูตินยังไม่ตาย พระองค์จึงยิงซ้ำจากนั้นก็ห่อด้วยผ้าม่านแล้วนำศพไปทิ้งแม่น้ำเนวา เหตุการณ์นี้ทำให้พระนางอเล็กซานดร้าเสียพระทัย ต่อมาได้มีการนำศพรัสปูตินขึ้นมาฝังที่พระราชวัง ซาร์ยูเค เซโล แต่ได้ถูกขุดขึ้นมาเผาอีกครั้งในการปฏิวัติใหญ่
ขณะที่สงครามโลกครั้งที่ ๑ ดำเนินไปอย่างเต็มที่ ปรากฏว่ากองทัพรัสเซียต้องสูญเสียทหารไปถึง ๒ ล้าน ๕ แสน เกือบจะมีจำนวนมากเท่ากับกองทัพทหารอาสาพันธมิตรทั้งหมดรวมกัน ส่วนในประเทศรัสเซียต้องประสบภาวะทุกข์เข็ญ อาหารขาดแคลน อุตสาหกรรมต่าง ๆ หยุดชะงัก โรงงานต่าง ๆ ต้องปิดตัวลง
ในหนังสือ เดอะ โรมานอฟ ได้สรุปว่า ในวันที่ ๙ มีนาคม ๑๙๑๗ สภาพในกรุงมอสโก และเมืองต่างๆ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เกิดสภาวะขาดแคลนอาหาร ผู้คนเข้าคิวขอส่วนปันอาหารแต่ละแห่งยาวเหยียดหลายกิโลเมตร ต่อมาประชาชนได้บุกเข้าไปร้านค้าต่างๆ เพื่อปล้นเสบียงอาหาร จุดเริ่มของการปฏิวัติได้แพร่สะพัดไปอย่างน่าสะพรึงกลัว
ขณะที่บ้านเมืองตกอยู่ในสภาวะระส่ำระสาย แต่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ก็ยังทรงนำทหารออกปฏิบัติการรบอยู่ในแนวหน้า ฝ่ายรัฐบาลได้ส่งโทรเลขไปถึงพระองค์เพื่อเรียกร้องให้พระองค์เสด็จกลับไปแก้ไขสถานการณ์ และแต่งตั้งรัฐบาลซึ่งเป็นที่ยอมรับของสภาใหม่ แต่พระองค์ทรงปฏิเสธ และได้มีพระราชกระแสรับสั่งให้กองกำลังทหารที่รักษาการณ์อยู่ภายในประเทศลงมือปราบปรามการจลาจลทั่วไป แต่ปรากฏว่าบรรดาทหารหลายฝ่ายพากันกระด้างกระเดื่องไม่ยอมปฏิบัติตาม และหันไปให้ความร่วมมือกับประชาชน ต่อมาในวันที่ ๑๓ มีนาคม ค.ศ. ๑๙๑๗ ประชาชน กรรมกร และสมาชิกสภาดูมาที่ถูกยุบได้ก่อปฏิวัติ และได้ตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้น ดังนั้นในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๑๙๑๗ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ก็ทรงตัดสินพระทัยยอมรับรองรัฐบาลใหม่ และทรงสละราชสมบัติ ก็เป็นอันว่าอำนาจการปกครองของราชวงศ์โรมานอฟที่ผ่านมาถึง ๓๐๐ ปี ต้องจบสิ้นลงในสมัยนี้เอง
ต่อมาพระเจ้าซาร์นิโคลัสพร้อมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชบริพารได้ถูกจับ และนำไปกักขังไว้ที่พระราชวังซาร์คูเย เซโล ครั้นถึงเดือนกรกฎาคม ๑๙๑๗ พรรคการเมืองบอลเชวิค ได้ก่อจลาจลขึ้น เป็นเหตุให้อเล็กซานเดอร์ เคอร์เรสกี้ ผู้นำการปกครองท้องถิ่นได้ย้ายที่คุมขังพระเจ้าซาร์และพระบรมวงศานุวงศ์ไปยังเมืองเอคก้าเตอรินเบิร์ก และในที่สุดก็เกิดเรื่องราวการประหารหมู่อย่างโหดร้ายทารุณขึ้น สันนิษฐานว่า พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ถูกปลงพระชนม์โดยถูกยิงกราดด้วยปืนต่อหน้าเหล่าทหารเป็นจำนวนมากภายในห้องใต้ถุนที่คุมขังในเมืองเอคก้าเตอรินเบิร์ก ในคืนวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๑๘ ซึ่งเชื่อกันว่าไม่มีใครรอดชีวิต.
source : //www.serichon.com
Create Date : 18 ตุลาคม 2552 |
Last Update : 18 ตุลาคม 2552 9:29:28 น. |
|
0 comments
|
Counter : 277 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|