::: มิงกาลาบา.........ตอน สองหอยไม่หวั่นบุกบั่นจนถึงไจค์ถิโย (พระธาตุอินทร์แขวน) :::
หลังจากเมื่อวานเริ่มตระเวนทั่วย่างกุ้งกันขำๆ.....ทั้งร้อนและเหนื่อย เพราะพักน้อย แล้วก็เดินเยอะ(มวากกกกก) เช้าวันที่สองที่พม่านี้ต่างหากของจริง......เราจะเริ่มทริปแบบเต็มสูบกันวันนี้แหละ หุๆๆๆ ตื่นมาอาบน้ำอาบท่าตั้งแต่เช้า เพราะนัดกับรถไว้ 9โมงเช้า แต่ว่า.......รุ่นเราแล้ว มีรึจะเที่ยวแบบธรรมดาไก่กา อิอิ .....คว้าทานาคาที่ซื้อมาเมื่อวานมาใช้คร๊า แต่จะทำเองก็เกรงจะไม่งาม เลยให้น้องที่เกสเฮาส์ช่วยทำให้ดูเป็นตัวอย่าง...... ทานาคาแบบสำเร็จ ผสมน้ำแล้วใช้ได้เลย ....รูปมัวได้อีก แต่ได้อารมณ์ดี ฮ่ะๆๆๆๆกินข้าวเช้าเสร็จก็พุ่งตัวได้ละ เพราะหนทางยังอีกยาวไกลนัก .........เรากำลังจะไป Bago (บะโก หรือ หงสาวดี) แวะเที่ยวตามที่ต่างๆ และปลายทางคือ พระธาตุอินทร์แขวนที่ Kyaitho (ไจค์โถ่) .....ด้วยรถเก๋งคันนี้ ซึ่งไร้แอร์ - -''เจ๋งโคด .....ใครจะคิดว่ามันพาเราไปซะไกลได้แบบไม่ต้องลงเข็น - -''ก่อนเดินทางไกล Zawzaw (2) พาเราแวะเติมน้ำมันก่อน ......เราเจอปั๊มน้ำมันที่เก๋าที่สุดเท่าที่เคยประสบ -*-ต้องเติมสองปั๊ม เพราะปั๊มแรกน้ำมันไม่พอ เหอๆๆ...จากนั้นก็แทบไม่มีบทสนทนาใดใดอีกเลย.......สองสาวไทยหลับอนาถยาว 4 ชั่วโมงยันบะโกเลย ฮ่ะๆๆๆๆๆๆๆตื่นมาอีกทีตอนที่คนขับเรียก..... " Ni ,this place is new...so beautiful"อ่อ...เครๆ สวยเว้ย ๆ....ตื่นๆ.....แล้วก็ลงไปไหว้พระกัน .....ขอโทษอย่างแรงที่นิจำชื่อที่นี่ไม่ได้ ...นาทีนั้นได้ยินว่า อะไรมุนีๆซักอย่าง - -''แดดจัดมาก อากาศร้อนฆ่าใคร !!!!! ......นาทีนี้เริ่มสร่าง ไปต่อกันเลยค๊าห่างไปอีกนิดเดียวก็มี พระธาตุไจค์ปุ่น (Kyaikpun) .....น้องที่ขายของพูดไทยได้ขายโพสการ์ดให้วาจนได้ ฮ่ะๆๆๆ แต่ถูกไปไหน 20 ใบ 1000 จั๊ด .....จากนั้นก็พาเราเดินดูรอบๆ ด้วยอาการงกไม่อยากเสียค่าเข้า 10 USDค่ากล้องอีกต่างหาก 300 จั๊ด .....แต่สุดท้าย คุยกันปากดว่า 10 USD ที่จ่าย เราเอาบัตรนี้ไปโชว์ที่อื่นในเมืองนี้แล้วเข้าชมได้หมด ไม่ต้องจ่ายอีกอ่ะนะ จัดไป....เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่มีอายุราว 500ปี สี่องค์ที่หันหน้าไปสี่ทิศ ตามประวัติบอกว่าสร้างไว้โดยสี่สาวที่อุทิศตนแด่พุทธศาสนา จึงสร้างพระพุทธรูปแทนตนเอง และสาบานจะไม่ข้องแวะกับบุรุษเพศ - -''สังเตว่าทุกวัด ทุกที่จะมีน้ำดื่มให้ ....แต่ว่า งานนี้ขอไม่ลองนะ เสี่ยงเกิน เหอๆๆรอยยิ้มสาวน้อย ...น่ารักจัง ..ชอบบบ ^^ขับรถต่อมาอีกนิดเดียวก็มีอีกที่ .....เป็นพระพุทธไสยยาสน์ขนาดใหญ่ที่อยู่กลางแจ้ง ...เรียกว่า...เมี๊ยะตาเลียง ..... เป็นพระพุทธรูปที่หน้าสวยจังแฮะ....ดูสิขณะที่กำลังชื่นชมความสวยงามของพระพุทธรูป น้องชาวพม่าก็พย๊ามมมมมพยามขายโปสการ์ดให้เรา ส่วนเณรก็ตามขอตังค์วาแบบไม่หวั่นแดดที่กำลังแผดเผาเอาซะเลย แต่งานนี้ไม่ให้หรอก ชิหลังจากอิ่มเอมกันไปละก็ไปกันต่อ..เลยไปอีกไม่ไกลเป็นวัดที่มีความสำคัญอีกแห่งหนึ่งที่นี่คือ ชเวตาเลียง (Shwethalyaung) ถือเป็นปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์อันดับสองของเมืองบะโกนี้แหละด้านในโอ่อ่าใช่ย่อย ในวัดยังไม่วายมีร้านของของที่ระลึก ดูไม่ค่อยจะเข้ากันซักเท่าไหร่แฮะเขียนว่าอะไรวานบอก......เดาเอาว่า "กรุณาถอดรองเท้า" กร๊ากกกกก เก่งไปไหนยะ 555555+และแน่นอนที่สุด เสียค่ากล้องถ่ายรูปเมื้อนนนนเดิมจากนั้นเราก็มุงหน้าไปอีกที่ซึ่ง Zawzaw แนะนำให้แวะดูค่ะ.......จำไม่ได้ว่าเรียกว่าอะไร แต่สงบมากกกกกจากนั้น Zawzaw ก็หันมาถามด้วยหวังดีว่าเราจะพักกินข้าวกันก่อนมั้ย จะกินอาหารแบบไหน จีน หรือ พม่า..ป่วยกะอาหารการกินพม่ามาก ไม่สะอาดและเสี่ยงกะท้องเสียมาก ....แต่เราก็ยังตัดสินใจ "ลอง" อาหารพม่าซักมื้อ ฮ่ะๆๆๆๆข่าวว่ามีแต่แกงกะหรี่จิงจัง - -''แถมให้ไปดูที่หลังครัวด้วย เพราะเค้าทำไว้หมดแล้ว เหมือนข้าวแกงบ้านเราที่สั่งแล้วเค้าก็จะตักมาให้แต่นี่น่ากลัวกว่าแสนล้านเท่านัก เหอๆๆๆ.......สุดท้ายเลยสุ่มเลือกมาสองเมนู คือ แกงกะหรี่กุ้ง กับ แกงผักรวมไรซักอย่างแต่บนโต๊ะก้จะมีน้ำพริก ผักสด แล้วก็เครื่องเคียงอีกสองอย่างไว้ให้อยู่แล้ว อ่อ มีซุปให้ด้วย แต่ออกแนวคาวๆหน่อย เพราะเป็นซุปปลา - -''ระหว่างนี้คนขับรถเราก็แว็บบบไปแฮฟที รอคร๊า ......เราเลยต้องยืนรอหน้าร้านให้พม่าได้มองของแปลกๆไปเพลินๆ - -''และป้ายต่อไปของเราคือ พระราชวังของพระเจ้าบุเรงนองค่ะ (Kanbawzathadi palace)ของใช้ที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดีท่อนไม้ที่ขุดพบเก่าแก่ แต่สภาพยังสมบูรณ์อยู่มาก มีหมายเลขกำกับทุกท่อน อันไหนที่แตกร้าว หรือทำท่าจะแยกออกจากกันก็จะมีการรัดไว้ด้วยเหล็กเก่าชนะเลิศ เหอๆๆๆจากนั้นก็ขับรถไปอีกด้าน ซึ่งห่างกันราวสองร้อยเมตรมั้งนี่คาดว่าเป็นที่ประทับอีกที่นึง....ซึ่งที่นี่มีห้องบรรทมของพระนางสุพรรณกัลยาอยู่ด้วยตอนแรกลุงคนที่ดูแลไม่ยอมให้ถ่ายรูป ห้ามนั่นนี่ แต่ไหง อยู่ๆจะถ่ายตรงไหนก็ได้ งงกะแกจากนั้น Zawzaw ก็บอกเราว่าจะพาไปดู Big snake pagoda .....นาทีนั้นไม่ได้ตื่นเต้นไร คิดว่าน่าจะเป้นวัดที่มีเจดีย์เกี่ยวกับงู หรือ รูปปั้นงูตัวใหญ่ๆม้างงงงงแต่ทว่า.................พอหายสะเทือนขวัญแล้วก็ไปต่อกันเลย.....จุดสุดท้ายของเมืองนี้แล้วค่ะ...พระเจดีย์ชเวมอดอว์ (Shwemawdaw) ...ที่นี่มีอายุกว่า 2500 ปีแล้วอ่ะเค้าว่ามีพระเกศาธาตุ สองเส้น อยู่ใต้พระเจดีย์นี้ เมื่อเกินแผ่นดินไหวขึ้น ยอดองค์พระเจดีย์ก็หักพังลงมา เหลือแต่เพียงฐาน....เมื่อบูรณะใหม่จึงนำพระเกศาธาตุไปไว้บนยอดพร้อมทั้ง ประดับเพชรไว้บนยอดด้วยที่นี่มีลักษณะคล้ายชเวดากอง แต่ใหญ่และสูงกว่า เห็นได้ไกลกว่าสิบกิโลเมตร...จึงได้รับสมญาว่า "เจดีย์จมูกร้อน " เพราะถ้าใครไปยืนมองล่ะก้อต้องแหงนมองจนคอตั้งบ่า ทำให้จมูกรับกับแสงแดดจนแสบร้อนเลย นั่น......ส่วนยอดพระธาตุที่หักพังลงมาก็ถูกนำมาประดิษฐานไว้ข้างพระเจดีย์นั่นเองจากนั้น Zawzaw ก็พุ่งตัวพาเราไปเมือง ไจค์โถ่ (Kyaikto) เพราะเราจะไปพระธาตุอินแขวนกันต่อจ้า....ซึ่งเราจะขึ้นไปบนพระธาตุอินแขวนกันเย็นนี้เลย ........ซึ่งระยะทางจากบะโกไปอีกเมืองไม่ได้ใกล้เลย หลับไปแปดตลบยังไม่ถึง เล่นเอาลุ้นกันน่าดู เพราะเราต้องไปให้ทันรถกะบะรอบสุดท้ายที่จะพาไป Base campและแล้วเราก็มาถึง ไจค์ปุ่น เบสแคมป์ (Kyaipun Basecamp) จนได้ แบบหมิ่นเหม่ - -''รถกะบะ หรือบรรทุกที่ว่านี่ เป็นแบบเปิดประทุน (หรูไปไหน) ....มีแผ่นไม้ขนาดไม่ถึงฝ่ามือพาดเป็นเบาะ นั่งได้แถวละ 6 คน ...ไม่รู้ว่านั่งกันกี่แถวเพราะไม่ไหวจะนับ เหอๆๆๆๆ.... อัดกันแบบไม่ต้องกลัวว่าจะร่วงไหนเลย เอาเป็นว่าแทบได้เสียกันเรยทีเดียะ - -''ราคาค่างวดคนละ 15,000 จั๊ด ......ถ้าอยากนั่งสบายหน่อย (รึป่าว?) ก็นั่งหน้าได้ แต่ต้องจ่ายเพิ่มอีกกี่พันจำไม่ได้นาทีนี้เราเลือกนั่งแบบสามัญชนดีกว่า เอาให้เต็มที่ไปเลยงานนี้......อย่าบอกว่าแซ่บเพียงใด บนแผ่นไม้เล็กๆนั่น เง้อออออ...เด็ก พระ สีกา เบียดกันไร้พรหมแดนจริงๆ - -''ระหว่างนั่งรถเวลารถออกก็มีป้าคนพม่าคนนึงหันมาถามเราว่า ..............."เป็นคนไทยเหรอ???" .....นั่น...เราก็บอกว่า "ใช่ค่ะ" ....."มากันกี่คน" ...."สองคนค่ะ" ............."มากันได้ยังงัยสองคน?" - -''บอกไม่ถูกกันเลย เพราะก็มากันอย่างงี้แหละ ฮ่ะๆๆๆๆๆ..งงงเราเลยตกลงปลงใจว่าเด๋วเดินขึ้นไปพระธาตุด้วยกันละกัน.................. และแล้วเวลานั้นก็มาถึง..........เป็นการเดินทางที่เปรี้ยวมาก ทั้งเหวี่ยง ทั้งกระแทก สาระพัด...เข่าชนเข่า ตูดชนเข่า ....เอาเข้าไป เจ็บไปม๊ดดดแต่ก็มันส์ไปอีกแบบ ฟ้ามืดสนิท ดาวเกลื่อนนนนเลย สวยมวากกก.....ถ้าไม่นับเข่ากับตูดที่เจ็บเพราะกระแทกไม้ แล้ว บรรยากาศได้ใจมาก ......เนื่องจากถนนแคบมาก รถไม่สามารถสวนกันได้ ระหว่างทางเลยมีปรากฎการณ์จอดกลางทางตรงที่พักรถ เพื่อให้รถคันที่สวนลงมาผ่านไปก่อน แล้วค่อยเดินทางต่อ.....เกร๋สุดๆและในที่สุดกับเวลา ชั่วโมงนึง เราก็มาถึง คินปุ่น เบสแคมป์ (Kinpun Basecamp) ...คนไทยอื่นๆที่มากับทัวร์เค้าก็นั่งเสลี่ยงกัน ซึ่งต้องจ่ายราวๆ 80000 จั๊ด ต่อเที่ยว ถ้าจำไม่ผิด.......ซึ่งเราไม่ (มีตังค์) !!!!เราเลือกเดิน ............เอิ๊กกก......ตอนอ่านรีวิวและข้อมูลก่อนมามีแต่คนบอกว่าทางขึ้น ชันมาก....นาทีนั้นจินตนาการไม่ออกจริงๆ .......แต่นาทีที่ก้าวขาไปนั้น .....อืมมมมม...โคดเหนื่อย ชันชิบหายยยยยยย .........ซึ่งก็มีคนที่คอยเดินตามเรา เพื่อจะถือของขึ้นไปให้ หรือไม่ก้ให้เรานั่งเสลี่ยงเมื่อไม่ไหว ซึ่งทั้งหมดทั้งมวล ....เสียตังค์ !!!! ดังนั้นอย่าได้หวัง ชิ !!!!!เกือบๆชั่วโมงกับการเดินขึ้นเขาที่ทั้งชัน และมืดมวากกกกกก.....มีเพียงแสงไฟจากร้านค้าระหว่างทางขึ้นที่เว้นระยะกัน อยู่ ..และไฟก็พร้อมจะดับทุกขณะจิต - -'' ดีที่มีเพื่อนร่วมทางเป็นคุณป้าที่เจอบนรถ แล้วก็คนพม่า หนุ่มสาวอีกคู่นึงที่เดินไปเป็นเพื่อนกัน แถมส่องไฟฉายให้ด้วย ....อภิชาติเพื่อนร่วมทาง ซึ้งจายยยย ^________^พักเหนื่อยรายทาง ...นาทีนี้จากอากาศเย็นๆ มันร้อนนนรุ่มขึ้นมาทีเดียว......เหนือสิ่งอื่นใด ... ขอออกซิเจนกุได้มั้ยคะ ???? -*-เส้นทางเดินขึ้นแบบคร่าวๆ ระยะทางราวๆ 3 กม. แต่ยังกะ 3 แสนปีแสง.....และแล้วก็เจอที่พักเราจนได้ .......เป็นคนสุดท้ายที่มาเช็คอินเรยทีเดียว เหอๆๆๆที่นี่อยู่บนเขา และที่สำคัญอยู่บนหิน - -''อากาศที่เย็นอยู่แล้ว เจอพื้นที่เย็นยิ่งกว่า......สภาพถือว่าดีกว่าที่คิดมากกกกก สำหรับการจองแบบไม่ค่อยเห็นภาพในราคา 45 USD ต่อคืน .....พอเช็คอินเสร็จก็รีบไปห้องพัก ด้วยอาการอ่อนล้า ....ซักพักมีพนักงานหาถามว่าจะสั่งอาหารไรกินมั้ย เพราะครัวจะปิดแล้ว ...................เราเลยแจ้งไปว่า "ขอแค่น้ำร้อนได้มั้ยคะ เราเหนื่อยเกินกว่าจะออกไปข้างนอกแล้ว" (งัย มุขนี้พอได้มะ กร๊ากกกกกก) ......ซึ่งเค้าก็ให้มา แหะๆ......เราเลยได้รับน้ำร้อนสำหรับมาม่าคัพ เย้ๆๆๆๆๆๆๆ ............ สวรรค์ !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!แต่ทานโทษ บาปหรือไร เปิดกาไม่เป็น กร๊ากกกกกกกกก เกือบไม่ล่ายแหล่ก แหะๆ....มาม่าแกล้มพระจันทร์สวยๆบนยอดเขาซู๊งงงงงงงจากนั้นก็ทำการอาบน้ำอาบท่าแล้วประแป้ง(ทานาคา) ใส่โสร่งผืนใหม่ที่เพิ่งซื้อมา เตรียมออกไปเชิ้บๆที่พระเจดีย์ไจค์ถิโย หรือพระตุอินทร์แขวนกัน ..... ^^เลือดหมูของนู๋วา น้ำเงินของเค้า.... ^^แม่นางคนนี้จะไปงานวัดรึไร เหน็บเป๋าตังค์ไปด้วย ฮ่ะๆๆๆๆๆอากาศตอนเที่ยงคืนอย่างงี้หนาวเย็นได้ที่เลย ...พื้นเย็นเจี๊ยบบบบบ......ถึงไม่ให้เข้าไปปิดทองที่องค์พระเจดีย์ตั้งแต่สองทุ่มแล้ว...แต่ผู้คนก็ยังมานั่งสวดมนต์และนั่งสมาธิกันจนดึกแรงศรัทธาจริงๆ.....เราต้องกลับไปนอนพักแล้วล่ะ วันนี้เหนื่อยปางตายมาทั้งวันแล้ว .......................................งานนี้หลับเป็นตาย คร่อกก..ก...ก.......