Visa Interview...
เชื่อว่า ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่เกือบทุกคนที่ไป WAT (ย่อมาจาก Work and Travel) ครั้งแรก ต้องมีอาการจิตตก คลื่นไส้ เวียนหัว ตัวร้อน ทุรนทุราย...คล้ายจะเป็นลมแน่ๆ เพราะถ้าถามว่าสถานทูตไหนที่โหดและเคี่ยวเรื่องการออกวีซ่ามากที่้สุด สถานทูตอเมริกาก็มีชื่อติดอันดับท๊อปแน่นอน เพราะเราเองก็เกิดอาการจิตตกไปเป็นอาทิตย์ๆเหมือนกัน เพราะไปนั่งเสิร์ชกระทู้อ่าน คนที่ไปสัมภาษณ์มาก่อนหน้าเราก็ไม่ผ่านกันซะส่วนใหญ่ โดยเฉพาะพวกเด็กปี 4 อย่างเรา ซึ่งโอกาสผ่านจะยากกว่าเด็กปีอื่น เนื่องจากเราไปตอนเรียนจบแล้ว สถานทูตก็กลัวว่าเราจะโดดวีซ่า เพราะไม่ต้องกลับมาเรียนต่อ ทั้งนี้ทั้งนั้น เด็กปี 4 ก็ต้องเตรียมคำตอบให้ดี เวลากงศุลเขาถามว่า ถ้าจบโปรแกรมแล้วจะทำอะไรต่อ หรือ เรียนจบแล้วจะทำอะไรต่อ...? ซึ่งตรงนี้ก็เล่นเราเครียดซะจนน้ำตาตกเหมือนกัน เพราะคิดว่าโอกาสตอบก็มีอยู่แค่ครั้งเดียว แล้วเราจะไปรู้ได้ไงฟร๊ะ..ว่าคำตอบไหนมันจะโดนใจท่างกงศุลมากที่สุด..?? หลังจากนั่งเสิร์ชอ่านประสบการณ์คนโน้นคนนี้จนเครียดไปหมด เพื่อนสาวที่ไปด้วยก็บอกให้เลิกอ่าน เพราะเดี๋ยวจะเป็นบ้า ประสาทหลอนไปซะก่อน..... 

กระบวนการในการสัมภาษณ์วีซ่าของเรานั้น เริ่มจาก ทางเอเจนซี่จะทำการจัดการกับเอกสาร และรายละเอียดต่างๆในการสัมภาษณ์วีซ่าให้ พร้อมกับนัดวันสัมภาษณ์ให้ด้วย แต่ฟ้าดินก็ดันมากลั่นแกล้ง เพราะเพื่อนสาวของเราดันไปสัมภาษณ์วันเดียวกันกับเราไม่ได้ เพราะทางนายจ้างที่อเมริกาส่งรายละเอียดใน Job Offer มาผิด ต้องรอส่งมาใหม่ประมาณ 1 อาทิตย์ ซึ่งใกล้วันบินซะเหลือเกิน...

หลังจากเรารู้ว่าเราต้องลุยเดี่ยวไปสัมภาษณ์ก่อนคนเดียว ก็ยิ่งเพิ่มความตื่นเต้นทวีคูณ โดยเทคนิคของเราในการเตรียมตัวนั้น ก็คล้ายๆกับการสัมภาษณ์งานน่ะแหละ คือเดาคำถามที่คิดว่ากงศุลน่าจะถาม แล้วก็ซ้อมเตรียมคำตอบไว้ เวลาโดนถามจริงจะได้ตอบแบบฉิวๆ ซึ่งคำตอบที่เราเตรียมก็ต้องดูดีมีสาระขึ้นมานิดนึง ทำให้ดูมีที่มาที่ไป โดนเฉพาะอย่างยิ่ง คำถามที่เราคิดว่าโดนแน่ๆก็คือ "เรียนจบแล้วจะทำอะไร/กลับมาแล้วจะทำอะไรต่อ?"

พอถึงวันสัมภาษณ์ด้วยความที่เราได้คิวช่วงเช้า ก็เลยรีบนั่งรถไฟใต้ดินไปลงสถานีลุมพินี พอโผล่ขึ้นมาก็เดินเข้าถนนวิทยุไป โดยที่ไม่รู้มาก่อนว่า ..แม่ง...โคตร...ไกล! จากสภาพสวยๆ ก็กลายเป็นกระเซอะกระเซิง ร้อนเหงื่อออกให้ชุ่ม พอเดินไปถึงยังต้่องไปยืนต่อคิวอยู่หน้าสถานทูตอีก คิวก็ยาวจนจะขึ้นสะพานลอยข้ามไปฝั่งตรงข้ามได้อยู่แล้ว ร้อนก็ร้อน ตื่นเต้นก็ตื่นเต้น ง่วงก็ง่วง ช่างเป็นวันมหาวิปโยคในชีวิตเสียจริง...... หลังจากรอสักพักใหญ่ๆ ก็ถึงคิวเราได้เดินเข้าไปในตัวสถานทูตสักที โดยด่านแรกจะเป็นด่านตรวจอาวุธ(ไม่ช่ายยย) จะมีเจ้าหน้าที่มาคอยบอกว่าให้ปิดโทรศัพท์มือถือ แล้วเอาออกมาใส่ถุงเล็กๆที่ทางเจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้ รวมทั้งที่ชาร์ตแบต หูฟัง สมอลล์ทอก แฟลชไดรฟ์ บลา บลา บลา เรียกได้ว่า เอาอุปกรณ์สื่อสารและอิเลคททรอนิคออกให้หมด หลังจากนั้นก็เดินไปหาสองสาวสวย ที่เป็นคนคอยคัดเอกสารรอบแรกให้ ทั้งสองสาวจะเอาเอกสารที่ไม่จำเป็นออก ซึ่งจากที่เตรียมมาเยอะแยะ ขั้นตอนนี้ก็จะคัดเหลืออันที่ใช้จริงๆไม่กี่อย่าง หลักๆเลยก็คือทรานสคริปกับใบรับรองสถานภาพการศึกษาน่ะแหละ แต่อย่างอื่นก็อย่าเพิ่งทิ้งนะ เผื่อกงศุลเขาเรียกดูแล้วไม่มีให้ดูจะซวยเอานะเออ.....

หลังจากนั้นก็รอคิวอยู่ที่ด้านนอกตรงที่คัดเอกสารน่ะแหละสักพักใหญ่ ตรงที่รอด้านนอกนี่มีห้องน้ำด้วย ไม่สะอาดเท่าไหร่หรอกค่ะ แต่ถ้าอยากจัดการธุระก็ควรทำให้เรียบร้อยก่อนเ้ข้าไปในห้องรอสัมภาษณ์ดีกว่านะ....จากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่อีกคนมาเดินเรียกตามคิวให้เข้าไปในส่วนของห้องสัมภาษณ์ เผื่อไปนั่งรอ(อเกน)...ห้องสัมภาษณ์หรือห้องเชือดนี้ก็จะเป็นลักษณะห้องธรรมดา ไม่ใหญ่มาก มีที่นั่งให้รอเรียกไปสัมภาษณ์และเจ้าหน้าที่กงศุลที่คอยสัมภาษณ์จะยืนประจำการอยู่หลังเคาท์เตอร์ที่กั้นไว้เป็นช่องๆ โดยการพูดคุยก็จะพุดผ่านไมค์หน้าตู้เพราะ แต่ละช่องจะมีกระจกกั้นระหว่างเรากับกงศุล สงสัยจะกลัวว่า คนไหนวีซ่าไม่ผ่านแล้วเกิดคุ้มคลั้งทำร้ายเจ้าหน้าที่ได้ เหอะ เหอะ....... และมีช่องเล็กๆไว้สอดเอกสารเข้าไปให้กงศุลเท่านั้น ....

นั่งรออยู่ในห้องด้วยความกดดันอยู่ัสักครู่ เจ้าหน้าที่ก็ประกาศเรียกหมายเลข... ถึง หมายเลข .... ก็เดินไปต่อแถว ยื่นเอกสาร ตรวจลายนิ้วมือกับเจ้าหน้าที่คนไทยที่ช่องแรกก่อน จากนนั้นก็ไปยืนเข้าแถวเพื่อรอสัมภาษณ์กับกงศุลได้เลย โดยการสัมภาษณ์เราไม่สามารถเลือกได้นะค่ะว่าจะเจอกับกงศุลท่าไหน เพราะเขาจะให้ต่อแถวเป็นแถวเรียงหนึ่ง แล้วพอเคาท์เตอร์ของกงศุลท่าไหนว่าง เราก็ต้องเดินเข้าไปที่เคาท์เตอร์นั้นอย่างไม่สามารถอิดออดได้ ซึ่งตรงนี้คงต้องพกดวงมากันเอง เพราะเจ้าหน้าที่กงศุลบางคนก็โหดมากกสัมภาษณ์ไป 10 ผ่าน ไม่ถึงครึ่งก็มี หรือบางคนก็ใจดีเกิน ถามนิดๆหน่อยๆก็ให้ผ่านแล้ว (เพราะวีซ่าJ1ที่เราไปยื่นขอนั้นค่อนข้างเป็นวีซ่าที่ของ่ายที่สุดแล้วในบรรดาวีซ่าอเมริกา) ซึ่งวันที่เราไปสัมภาษณ์เจ๊โหดช่อง 6 ที่เป็นที่ร่ำลือกันชีก็นั่งหน้าบูดหน้าเบี้ยวอยู่ด้วย และก็เป็นอย่างที่ร่ำลือคือ ถ้าเด็กคนไหนภาษาไม่แน่นจริง เจ๊แกให้ตกหมด...! เราก็ได้แต่ยืนภาวนาว่าขอให้ได้ใครก็ได้ที่ไม่ใช่เจ๊นี่...สาธุ....

และแล้วคำอธิฐานของเราก็เป็นผล เพราะคนข้างหน้าเราได้เจ๊โหดพอดี ทำให้เราได้สัมภาษณ์กับเจ๊อ้วนคนนึงที่ดูใจดี๊ใจดี แล้วชีก็ใจดีจริงๆด้วย หน้าตายิ้มแย้ม คุยสนุกเป็นกันเองไม่เหมือนเจ้าหน้าที่ท่านอื่นเลย โดยคำถามที่เราโดนถามก็มี

ให้แนะนำตัว - ชื่อ นามสกุล สถานศึกษา สาขาที่เรียน
จะไปรัฐไหน - ตอบสั้นๆว่า แมสซาชูเซต
ทำงานอะไร - งานร้านอาหารฟาสฟู๊ดชื่อ เวนดี้ ที่โด่งดังเรื่อง แฮมเบอร์เกอร์รูปสี่เหลี่ยม (พยายามโ๙ว์ภูมิว่า ได้มีการศึกษาถึงข้อมูลคร่าวๆของนายจ้างและสถานที่ทำงาน)
อยากไปเที่ยวไหนในอเมริกา - The Statue of Liberty (ถ้าใครไม่ได้เตรียมคำถามนี้ไปก็เลือกที่ที่มันดังๆง่ายๆและเป็นที่รู้จักและควรใส่เหตุผลด้วยว่าเพราะอะไรถึงอยากไป) เพราะเคยเห็นในหนัง เลยอยากไปเห็นของจริงด้วยตาตัวเอง (ชีก็ยิ้มแล้วบอกว่า ให้ลองไปดูในเวปไซต์อะไรไม่รู้ จะมีให้จองเพื่อขึ้นไปชมวิวขนยอดมงกุฏของลิเบอร์ตี้ได้...โอ้ววซ)
เรียนจบแล้วจะทำอะไรต่อ - กลับมาทำงาน ที่โรงแรมXXX เพราะเคยไปฝึกงานอยู่ที่นั่นแล้วสนุกมาก ทุกคนใจดี อัธยาศัยก็ดี ก็เลยอยากกลับมาทำงานที่นั่น (อันนี้แล้วแต่คนจะตอบนะ บางคนก็บอกว่ากลับมาเรียนต่อก็ได้ เพียงแต่ให้เหตุผลมันดูน่าเชื่อถือว่าเราจะกลับมาจริงๆนะเออ....)
ใครเป็นสปอนเซอร์(คนจ่ายตัง) - ป้า เพราะ...บลา บลา บลา (ในกรณีที่สปอนเซอร์ไม่ใช่พ่อแม่อย่างเราก็ควรเตรียมคำตอบไปด้วยว่าทำไมพ่อแม่ถึงเป็นสปอนเซอร์ไม่ได้ แต่ของเราโชคดีที่ป้าเราไม่ได้แต่งงาน ก็เลยยังนามสกุลเดียวกันอยู่ ชีก็เลยไม่ได้ถามอะไรมาก)
สปอนเซอร์ทำงานอะไร - ทำงานธนาคาร... ตำแหน่ง ...
แล้วทำงานที่นั่นมากี่ปีแล้ว - ข้อนี้ขอยอมรับว่าเราไม่รู้ และไม่ได้เตรียมตัวมา ตอนฟังครั้งแรกก็ตกใจ แต่ก็พยายามตีหน้าเนียนและตอบไปด้วยความมั่นใจว่า 4 ปี เพราะคิดว่า ถ้าเราทำหน้ามั่นใจซะอย่างเขาคงไม่สงสัยอะไรหรอกมั้ง.....และก็จริงด้วยยยยยยย
โอเค ภาษาอังกฤษของคุณดีมากนะ เพราะฉะนั้นโชคดี เอนจอยยัวร์ทริปในอเมริกา  - Thank you very much, Thank you for your time (กรี๊ดดดดดดดดดดดด กรีดร้องอยู่ในใจ...)

จากนั้นก็วิ่งยิ้มแป้นออกมาซื้อซองจ่าหน้าถึงตัวเอง และก็กลับบ้านได้รอรับพาสปอร์ต ฮี่ ฮี่ (ตอนนั้นดูนาฬิกา เข้าสถานทูตไป 8 โมงเช้า ออกมาเกือบ 3 โมงเย็น ส่วนใหญ่หมดเวลาไปกับการรอ และ รอนะ สัมภาษณ์จริงๆไม่ถึง 5 นาทีเลย ฮือออออออออออออ)

ในการสัมภาษณ์วีซ่า ถ้าเจ้าหน้าที่กงศุลพูดเร็วไป ฟังไม่ทัน อย่าตกใจ...แล้วบอกให้เขาทวนอีกครั้ง "Again please,Pardon me, please repeat that again, I'm sorry I don't understand" ท่องให้ติดปากเข้าไว้นะจ๊ะ

เวลาเจ้าหน้าที่กงศุลถามคำถาม ควรตอบให้สั้น กระชับ ใจความตรงตามประเด็นที่ถาม เช่น Where will you stay in US? ก็ตอบชื่อรัฐที่จะไปสั้นๆ หรือชื่อรัฐและเมือง Massachusett,Orleans อย่าไปพาลากข้ามทะเล เช่น ไปพล่ามว่า จริงๆแล้วอยากไปรัฐฟลอริด้ามากกว่า แต่ค่าใช้จ่ายแพง จึงเลือกไปแคลิฟลอเนีย เพราะถูกกว่า บลา บลา บลา...

สุดท้าย อันนี้สำคัญมาก เวลาเจ้าหน้าที่กงศุลถามอะไรให้...ให้ตอบตามความจริง!! อย่าโกหก เพราะถ้าโกหก แล้วไม่เนียน หรือให้ข้อมูลผิดๆมั่วๆที่เราไม่รู้ โดนปฏิเสธวีซ่าแน่นอนนะจ๊ะ...เพราะฉะนั้นพูดความจริงไว้ก่อนดีกว่า จะได้ไม่ต้องมานั่งจำ นั่งเตรียมคำตอบให้วุ่นวาย.......

เอาเป็นว่า สำหรับน้องๆ WAT ที่จะไปสัมภาษณ์วีซ่าในรุ่นต่อๆไป ขอให้โชคดีมีชัยกันทุกๆคนนะจ๊ะ.....



Create Date : 31 สิงหาคม 2556
Last Update : 31 สิงหาคม 2556 10:59:16 น.
Counter : 2914 Pageviews.

3 comments
  
สุขสันต์วันเกิดค่ะ^^
โดย: เจ้าหญิงแห่งความเหงา วันที่: 10 กันยายน 2556 เวลา:11:06:51 น.
  




ให้ชีวิต ๙ กระโดด มั่นคงไปทุก ๙
๙ไป ๙ไป ไม่รู้จบ ๙ผ่านอุปสรรค
๙ข้ามอันตราย ๙ต่อไป
แค่คิดที่จะ๙ ขอให้คุณ๙หน้า
๙ต่อไป ให้คุณสมหวัง ทุกย่าง ๙
โดย: ต้นกล้า อาราดิน วันที่: 10 กันยายน 2556 เวลา:11:40:14 น.
  
สุขสันต์วันเกิดค่ะ
ขอให้มีความสุขมากๆ
ให้สมหวังในทุกๆสิ่ง
สุขภาพแข็งแรงค่ะ
โดย: pantawan วันที่: 10 กันยายน 2556 เวลา:21:10:01 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

hachi5
Location :
Massashuset  United States

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Life's a bitch...
You've got to go out and kick ass ♥

Group Blog
สิงหาคม 2556

 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
 
31 สิงหาคม 2556
  •  Bloggang.com