--but life goes on, and this old world will keep on turning--
Love Story #4 Wonder how i ever made it through (Part 2)




ต่อจากตอนที่แล้วค่ะ ที่จริงมันเป็นตอนเดียวกันแหละแต่ยาวมาก เลยตัดมา
ลงทีละครึ่ง ^^


ตอนนี้โหดมากค่ะ ล่อแหลม เยาวชนควรได้รับคำแนะนำจากผู้ปกครองนะคะ
ติดเรท น หรือ ฉ ดีนะ คือไม่มีโป๊หรอกค่ะมีแต่ซาดิสม์ 5555




************************************************



หลังจากวันนั้น ก็ใช้ชีวิตกันเหมือนเดิม อย่างเดียวที่เปลี่ยนไปคือแมวมันไม่มาค้างบ้านเราอีก ช่วงแรกๆ ก็มีความสุขดีนะ ตอนเย็นทำกับข้าวกินกัน นั่งคุย ดูทีวี ทำการบ้าน อ่านหนังสือกัน แล้วดึกๆ มันถึงกลับบ้าน ชีวิตก็ดำเนินไปอย่างนั้นระยะนึง แต่คำว่า "แฟน" มันทำให้เราสองคนคิดมาก เกร็ง อึดอัด มากกว่าตอนเป็นเพื่อนเยอะเลย คือมันมีความคาดหวังมากขึ้นไง คือไม่ว่าจะทำอะไร ก็จะมีแต่เสมอตัว หรือติดลบ ไม่มีเป็นบวกแล้ว อย่างสมมติตอนเป็นเพื่อนเนี่ย ถ้ามันไปรับส่งเราเวลาไปทำงานเซเว่น ก็รู้สึกเป็นบวก คือเออ น่ารักจัง เป็นคนดีว่ะ แต่พอเป็นแฟนแล้ว ถ้าไปรับส่ง ก็รู้สึกว่าเสมอตัว คือก็เป็นแฟนอ่ะ ต้องทำอยู่แล้ว แต่ถ้าไม่ไปขึ้นมา ทีนี้ติดลบทันที ว่าทำไมไม่ไปอ่ะ??




ความรู้สึกคาดหวังและเรียกร้องแบบนี้แหละที่ทำให้โกรธกันบ่อย ทั้งที่ตอนเป็นเพื่อนไม่เคยโกรธกันเลยซักครั้ง แล้วความที่เป็นคนอารมณ์แรง ทำอะไรสุดขั้วกันทั้งคู่ คือถ้ารู้สึกอะไรแล้วจะทำตามความรู้สึกนั้นจนถึงที่สุด ไม่มีการประนีประนอม ซึ่งตอนเป็นเพื่อน ไม่เห็นลักษณะนิสัยนี้ของกันและกันนะ เพราะมันไม่เคยมีเรื่องต้องปะทะ หรือผิดใจกันไง เราเองอยู่กับเพื่อน แทบไม่เคยมีเรื่องขัดใจกับใคร เพราะเออๆ ออๆ ยังไงก็ได้ แล้วก็ไม่ค่อยเก็บอะไรมาคิดมาก แต่กับแฟนเนี่ย เป็นมากจริงๆ เหมือนเก็บกดมาจากการไม่แสดงความรู้สึกที่แท้จริงกับเพื่อนด้วย (โดยไม่ได้ตั้งใจนะ แต่คิดว่าคงไม่รู้ตัวอ่ะ) ก็เลยมาลงที่แมวหมด




ตอนนั้นไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นเพราะอะไร ทำไมอยู่ด้วยกันแล้วมันไม่มีความสุขเหมือนตอนเป็นเพื่อนกันแล้วนะ?? แต่ตอนนี้ย้อนกลับไปคิด เราว่าเป็นเพราะเราใช้เวลากับเรื่องนี้น้อยเกินไป คือระยะตั้งแต่เรารู้สึกตัว คือตอนวันเกิดนะ วันที่ 20 แล้ววันที่เกิดเรื่องคือวันที่ 31 มันสิบวันเอง น้อยมากสำหรับการเข้าใจและค้นหาความรู้สึกตัวเองอย่างลึกซึ้ง เราต่างก็คิดว่าเรารู้จักกันดี แต่มันเป็นการรู้จักกันแบบเพื่อนไง ไม่ใช่แบบคนรัก เพราะหลายๆ เดือนที่ผ่านมาที่สนิทกัน มันก็สนิทกันจริงๆ แหละ แต่ไม่เคยมีความรู้สึกเหล่านี้เข้ามาแผ้วพานในความคิดเลย พอปุบปับรู้สึกขึ้นมา ก็ไม่ยอมให้เวลาในการปรับตัวปรับใจกับมัน ไม่ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ค้นหาว่ามันคืออะไร ลึกซึ้งแค่ไหน แต่เลือกที่จะก้าวข้ามสเต็ป ไปใช้คำว่า "แฟน" ในชั่วข้ามคืน




ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เราจะกลับไปแก้ไขตรงนี้แหละ เราคงเลือกที่จะห่างจากแมวซักพัก ปรับปรุงการปฏิบัติตัวต่อกัน และควบคุมอารมณ์ที่รุนแรงของตัวเองให้ค่อยเป็นค่อยไปกว่านี้ เพราะเรื่องทั้งหมดเราถือว่าเกิดเพราะเรานะ ไม่ใช่แมว ถ้าเราไม่ร้องไห้ ไม่คิดมาก ไม่ประสาทไปเพราะคำพูดคนอื่นในตอนนั้น ก็คงไม่เป็นแบบนี้ เราคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันไปอีกนาน สุดท้ายอาจจะค้นพบว่าไม่อยากเป็นแฟนกันก็ได้ และคงมีความทรงจำ มีเวลาแห่งความสุข สดใส บริสุทธิ์ใจ แบบไม่มีอะไรเจือปนที่เคยมีร่วมกันมากกว่านี้




แต่เทอมนั้นก็ยังอยู่ด้วยกันได้นะ ถึงจะทะเลาะกันบ้าง แต่เวลาที่ดีๆ ต่อกัน ก็ยังเยอะกว่า เราห่างจากคนอื่นไปเลย แทบไม่ได้คุยกับใคร ปกติโทรศัพท์บ้านเราจะไม่ค่อยว่าง มีคนโทร.มาตลอด (ตอนนั้นยังไม่มีมือถือ) แต่ช่วงนั้นแทบไม่ได้คุยกับใครเลย อยู่กันสองคน มีโลกส่วนตัวสูงมาก จนไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่ง จะว่าไปแล้วมันน่าเป็นห่วงมากนะ วัยรุ่น อารมณ์แรง อยู่กันตามลำพังด้วย จริงๆ วัยนี้ก็มีแฟนกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ส่วนใหญ่เค้าก็ยังอยู่กับครอบครัว มีคนสอดส่องดูแล ชี้แนะเวลามีอะไรไม่เหมาะสม




แต่เราไม่มี และเป็นคนไม่ค่อยคุยเรื่องแบบนี้กับที่บ้านด้วย (ยกเว้นตอนคนที่คุณก็รู้ว่าใคร เพราะเครซี่จนแม่รู้ไปด้วยโดยไม่ต้องบอกเลย 55) ทุกความคิด การตัดสินใจ การกระทำ มันก็คือสมองและวุฒิภาวะของเด็กอายุ 18 กับ 15 ซึ่งตอนนี้มานั่งนึกแล้ว มันเด็กมากนะ และเป็นเด็กที่ไม่มีประสบการณ์ชีวิต รวมทั้งวุฒิภาวะทางอารมณ์ กับการเผชิญปัญหายังต่ำมากๆ ด้วย เพราะต่างก็มาจากครอบครัวที่อบอุ่น สิ่งแวดล้อมที่ดี ไม่เคยเจอปัญหาใหญ่โตอะไรที่จะทำให้จิตใจแข็งแกร่งได้มากขนาดนั้น มีปัญหานี้แหละที่เจอกันเป็นเรื่องแรก และเป็นปัญหาที่ทำให้แทบเอาตัวไม่รอดกันทั้งสองคน




ปิดเทอมหน้าร้อนปี 2000 เดือนสิงหา กลับไทยกันทั้งสองคน แต่ไม่ได้เจอกัน เพราะแมวลงใต้ ไปงานศพคุณยายมันที่สตูล พอกลับมาจากไทยก็เหงามาก จิตตก ก็เลยมาหมกตัวอยู่ด้วยกันระยะนึง แต่ได้พักเดียว ก็ทะเลาะกันอีก สาเหตุของการทะเลาะนี่ก็เหมือนๆ เดิมทุกครั้ง ขอเล่าไว้เป็นอุทธาหรณ์เลยแล้วกัน ว่ามันเกิดจากการที่เราเรียกร้องทุกอย่างมากเกินไป ทั้งที่เวลาอยู่กับคนอื่น เราจะเป็นคนยังไงก็ได้ ไม่คิดมาก ว่ายังไงว่าตามกัน แต่กับคนใกล้ตัวจริงๆ อย่างที่บ้าน หรือแฟนเนี่ย จะเอาแต่ใจตัวเองสุดๆ จะเอาอะไรต้องเอาให้ได้ และเสียนิสัยหนักขึ้นอีก เพราะที่บ้านก็ยอมเราเป็นส่วนมาก เพราะเราอาละวาดบ้านแตกจริงๆ เคยร้องไห้จะเอาตุ๊กตาหมีที่แม่สั่งเพื่อนซื้อ แม่ต้องขับมอเตอร์ไซค์ไปเอาที่บ้านเพื่อนให้ ไกลมาก ตอนนั้นแม่ตั้งท้องน้องเราอยู่ด้วย อาทิตย์ต่อมาแม่ก็เข้ารพ. คลอดก่อนกำหนด แล้วน้องก็ตาย ตอนนั้นยังเด็กเกินกว่าจะรู้ว่าเราทำอะไรลงไป แต่ตอนที่น้องตาย ร้องไห้บ้านแตกเลย เชื่อสุดๆ ว่ามันเป็นเพราะเรา ถ้าเราไม่อยากได้ไอ้ตุ๊กตานั่น แม่ก็ไม่แท้งน้องหรอก




แต่แม่กลัวเราเสียใจมั้ง ก็บอกว่ามันไม่เกี่ยว แต่เป็นเพราะมดลูกแม่ไม่แข็งแรงอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะกระเทือน แล้วก็ดูแม่จะตามใจเรามากขึ้นอีก หลังจากนั้นเลยกลายเป็นเด็กสปอยล์สมบูรณ์แบบ ยิ่งพ่อ ตามใจยิ่งกว่าแม่อีก จะเอาอะไรได้หมด อยากไปไหนพาไปหมด ทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่ (ก็ไอ้ที่ส่งของตามสั่งให้เราทุกเดือนนี่ก็นะ ทำไปได้ สปอยล์ลูกจริงๆ เลย) บางทีก็รู้สึกผิดเหมือนกัน แบบเรานี่เป็นลูกที่แย่จริงๆ แต่เวลาความวีน ความจะเอาให้ได้ มันจี๊ดขึ้นมาเนี่ย ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมทั้งนั้น เพียงแต่ไม่ค่อยเป็นกับคนอื่น นอกจากครอบครัว และไอ้แมวนี่แหละ





แต่แมวมันไม่เหมือนพ่อแม่เรา มันไม่ยอมน่ะสิ และตัวมันเองก็แรงไม่แพ้กัน คือถ้าเราวีนมา มันก็วีนตอบ เลยทะเลาะกันเป็นเรื่องใหญ่โตทุกที ทั้งที่ไม่มีอะไรเลย ไร้สาระมาก เคยมีครั้งนึงแย่งเกี๊ยวซ่ากัน คือเราซื้อมาใส่ตู้เย็นไว้ แล้วตอนเราอาบน้ำ มันก็ค้นออกมาทอด พอเราออกมาแต่งตัว มันก็ยั่วว่าเด๋วกินหมดเลยนะ ไม่ให้กิน เราก็บอก ไม่เอาอ่ะ เหลือไว้ให้ชิ้นนึงดิ มันก็ไม่อ่ะ ไม่เหลือ แล้วก็กินหมดจริงๆ ต่อหน้าต่อตาเลย โห เราโกรธมากอ่ะ รู้สึกแบบ อะไรวะ แค่นี้จะเหลือให้ก็ไม่ได้ ก็เลยวีนๆๆๆ มันก็เอ๊ะ แค่นี้ทำไมต้องวีน (เออ มันก็เรื่องแค่นี้เองจริงๆ แต่อารมณ์นั้นมันไม่ยอมอะ มันไม่ได้ดั่งใจ รับไม่ได้) เลยกลายเป็นทะเลาะ ขว้างปาข้าวของ ชกต่อยกันจนช้ำไปเลย ไม่พูดกันไปสองวัน บ้ามั้ยล่ะ





แรงกันไปแรงกันมาอย่างนี้แหละ ก็สามวันดีสี่วันทะเลาะกันมาเรื่อยๆ มาแตกหักตอนเดือนกันยา ที่น้องรุ่น 28 มา น้องรุ่นนี้เข้าหอกันทุกคน รุ่นแมวเลยไม่ต้องพาน้องไปหาบ้าน และไม่ต้องให้น้องมานอนบ้าน แต่มันก็ชอบไปดูแลรุ่นน้อง ทำให้เวลาที่มีให้เราน้อยลงไปอีก จากที่น้อยอยู่แล้วเพราะมันกำลังเตรียมสอบวัดระดับภาษายี่ปุ่น เราก็อาละวาดสิ เอ๊ะนี่เห็นน้องสำคัญกว่าเราหรอ เพราะตอนนั้นเจอกันน้อยอยู่แล้ว มันไม่ได้มาบ้านเราทุกวันอย่างเมื่อก่อนแล้ว ซึ่งเราก็น้อยใจแล้วละ มีช่วงนึงมันบอกว่าสอบที่รร.ภาษาอยู่ จะไม่มาระยะนึงนะ สอบเสร็จวันศุกร์จะแวะไป เราก็อืม รอไป ยังไม่กระโตกกระตาก แต่พอวันศุกร์จริงๆ ก็ไม่มา โทรไปที่บ้านก็ไม่อยู่ ตีสอง ตีสาม ตีสี่ วันเสาร์ก็ยังไม่กลับ หายไปเลยสองวันเต็มๆ ติดต่อไม่ได้ด้วย เพราะไม่มีมือถือ กว่าจะโทรกลับมาคือคืนวันอาทิตย์ บอกว่าไปอยู่กับน้องที่หอมา พากันไปเกะด้วย





เราก็กรี๊ดแตกสิ ทำไมทำอย่างนี้ บอกว่าจะมาแล้วหายไปเลย ไม่โทรบอกซักคำ ครั้งนี้ทะเลาะกันใหญ่โตมาก ร้องห่มร้องไห้ ตีโพยตีพาย อาละวาดกันเป็นวันๆ จนสุดท้ายก็ต้องบอก เลิกกันดีกว่า คือมันพูดนะ แล้วเราก็กรี๊ด แบบนี่เราไม่ผิดนะ ทำไมเราต้องโดนบอกเลิกล่ะ แกผิดนะ แกต้องทำให้เราหายโกรธสิ ไม่ใช่มาทำให้เราร้องไห้มากขึ้น นี่คือนิสัยแย่ๆ อีกอย่างของเรา คือจะไม่คิดว่าตัวเองผิด (อันนี้ไม่ว่ากับใคร ไม่ว่าเรื่องอะไร คงเพราะความเป็นคนกรุ๊ปบีด้วยละ 55) และถ้าเราไม่ผิด มันไม่สิทธิมาทำให้เราเสียใจ ไม่มีสิทธิมาบอกเลิก แต่มันเป็นคนผิด มันต้องทำให้เราดีขึ้นสิ



ทุกวันนี้นิสัยนี้ก็ยังไม่หายนะ ยังทะเลาะกันด้วยเรื่องแบบนี้อยู่เรื่อยๆ แต่อาจจะดีขึ้นบ้าง เพราะโดนมันดัดนิสัยมาเยอะแล้วไง 55





แล้วก็เข้าสู่ระยะเลวร้ายของชีวิต ดีๆ เลิกๆ นับครั้งไม่ถ้วน ดีกันสี่วัน เลิกกันอีกสาม ทะเลาะ ร้องไห้ กรี๊ด ด่ากัน ขาดโรงเรียน เสียการเรียนและเสียสุขภาพจิตมากๆ ช่วงนี้เพื่อนๆ หูชาไปตามๆ กัน จนเค้าแทบจะเปลี่ยนเบอร์โทรหนีกันหมดแล้วมั้ง ทั้งพี่เอซ ส้ม โสม ท็อป คงเอือมเรามากๆ เลย แต่ก็อยากขอบคุณทุกคน ถ้าไม่มีทุกคนคอยฟัง ทั้งปลอบ ขู่ ด่า ให้สติเราในตอนนั้น คงตายไปแล้วละ ตายนี่คือตายจริงๆ เพราะผอมลงอย่างรวดเร็ว น้ำหนักหายไปห้ากิโลภายในเดือนเดียว ไม่กิน ไม่นอน ไม่ทำอะไรเลย นั่งแค้น คิดวิธีแก้แค้น ช่วงนี้ไม่สบายบ่อย และโรคประจำตัว คือปวดท้องเมนส์ ก็รุนแรงขึ้นจนต้องเข้ารพ. หลายครั้ง คือทั้งร่างกายและจิตใจ เสียศูนย์ไปเลย





อันตรายจริงๆ นะ สาบานกับตัวเองว่า ถ้าเรามีลูก ไม่มีทางส่งมันไปเรียนต่างประเทศก่อนจบปริญญาตรีแน่ๆ คือเรื่องแบบนี้อาจจะไม่ได้เกิดกับทุกคน คนอีก 99 เปอร์เซนต์เค้าอาจจะผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีอะไรหนักหนาสาหัส แต่วุฒิภาวะทางอารมณ์ของคนเราไม่เหมือนกัน ตั้งแต่เจอเรื่องนี้ เราไม่เชื่อถือในการคัดเลือกนักเรียนของกพ.อีกเลย เพราะถ้าเค้ามองทะลุปรุโปร่งจริงๆ เราไม่ควรจะได้ทุนนี้ตั้งแต่ต้น ไม่ควรจะสอบสัมภาษณ์ผ่าน เพราะมีความเปราะบางทางอารมณ์สูง และวุฒิภาวะต่ำมากๆ ดูสภาพจิตใจตัวเองในวันนั้นแล้ว แทบไม่อยากเชื่อว่าเราจะผ่านมันมาได้ ตอนนั้นเหมือนมองไปทางไหนก็มีแต่ความมืด มองไม่เห็นอะไรเลย ไม่เคยนึกเลยว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง ทุกวันรู้สึกแค่ว่า ทำยังไงถึงจะผ่านวันนั้นไปได้ ก็พอแล้ว





มันไม่ใช่แค่เรื่องความรักหรอก ไม่ได้นางเอกขนาดนั้น (แต่ตอนนี้ไม่แน่ 55) แต่เหมือนเรื่องนี้เป็นฟางเส้นสุดท้ายมากกว่า เราเครียดและกดดันกับหลายๆ อย่าง โดยที่ก็คงไม่รู้ตัวเหมือนกัน และมันยากที่จะยอมรับว่าเราเครียดในเรื่องเรียน ว่าเราเรียนไม่เก่งแล้ว เพราะความที่เป็นคนไม่ขยันมาแต่ไหนแต่ไร คือเรียนตามปกติ ไม่ใช่คนขยัน อยู่เมืองไทยทำแค่นั้นมันก็อยู่มาได้สบายๆ แต่มาอยู่ที่นี่ ทำตัวเหมือนเดิม แถมไม่มีคนควบคุมดูแล ทำอะไรตามใจตัวเองมากขึ้น มันจะไปรอดได้ยังไง อุปสรรคทางภาษาก็ยังมีอยู่ แม้จะดีขึ้นกว่าปีหนึ่งมากแล้วก็ตาม แต่มันก็ยังกดดันเราอยู่นั่นแหละ เป็นอาการของคนจมไม่ลง ไม่ใช่เรื่องฐานะ แต่เรื่องผลการเรียน





แต่ก็ยังไม่ใช่เลิกกันไปถาวรนะ ดีๆ หายๆ จิกๆ ตีๆ กันอยู่อย่างนั้น เหมือนพวกเสพติดความทุกข์ มันเจ็บปวดดี ซาดิสม์ วันที่ดีๆ กันก็มาทำอะไรกินกัน ไปเที่ยว ไปเกะ ไปทำโน่นทำนี่กันตามปกติ แต่วันที่ร้ายๆ ใส่กัน ก็ตีกันบ้านแตกจริงๆ จนปิดเทอมหน้าหนาว ก่อนปีใหม่ เลิกกันนานสุดสองอาทิตย์ได้ ไม่ติดต่อ ไม่คุยกันเลย ช่วงนั้นเราไม่สบายด้วย นอนซม ไปไหนไม่ได้ จำได้ว่าส้มซื้อข้าวมาให้ ซึ้งมาก ถ้าไม่ได้ส้มนี่วันนั้นตายไปแล้วนะ เพราะไปไหนไม่ไหว น้อยใจไอ้แมวมาก (ทั้งที่เลิกกันแล้วนี่แหละ แต่ยังแค้นฝังหุ่น 55) จนปีใหม่ มีงานปีใหม่เด็กกพ. มีเล่นเกมคำถามกัน คือให้ทุกคนเขียนคำถามอะไรก็ได้ แล้วเอามาพับรวมกัน ให้ทุกคนจับฉลาก ใครจับได้คำถามไหนก็ต้องตอบให้ทุกคนฟัง ไอ้แมวจับได้ของพี่จ้าน ถามว่า รักใครที่สุดในกพ. มันตอบเสียงดังฟังชัดว่า พี่แนน





โอ้ สะดุ้ง เพิ่งหันไปมองมันเต็มตาครั้งแรก หลังจากหลบๆ หน้า พยายามไม่มองมาตลอดงาน มันก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ ก็ยังไม่ได้คุยกัน จนงานเลิก ไปเกะกันต่อ เรากดเพลง Sayonara Daisukinahito (Goodbye my dearest) มันก็บอก ร้องด้วยนะ คือเรากับมันชอบไปเกะด้วยกันสองคนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพลงที่รู้จัก และชอบร้อง ก็จะเหมือนๆ กันไง บางทีผลัดกันร้องด้วย อย่างเพลงนี้คนร้องมีสองคน เสียงสูงกับต่ำ ปกติเรากับมันก็แบ่งกันร้อง วันนั้นก็เลยร้องด้วยกันเหมือนที่เคยฝึกไว้ ก็มีคนแซว บอกให้เค้าร้องลากันหน่อย อย่าขัดคอ โห ตอนร้องนี่เกือบร้องไห้ แต่มันคงดูเป็นนางเอกและบ้าบอไปหน่อย เลยพยายามทำหน้าเริงร่า ทั้งที่จริงๆ วันนั้นใจหวิวๆ อย่างมาก เพราะมันทำให้นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ หลายๆ อย่างไง ปกติเวลาเด็กกพ.มารวมกัน มักจะมีคนล้อ แต่วันนั้น ไม่มีใครกล้าล้อแล้ว ทุกคนเงียบกันหมด





เศร้ามาก แต่วันรุ่งขึ้นกลับบ้าน ตอนเย็นมันก็มาที่บ้านเรา ไม่มีใครง้อใคร แต่ก็กลับมาคุยกันได้เฉยเลย คุยกันว่าเหนื่อยจัง มันจะมีทางออกที่ดีกว่านี้มั้ยนะ ในเมื่อต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมปรับเข้าหากันเลย ต่างคนต่างเชื่อว่าตัวเองไม่ผิด คือแต่ทัศนคติตรงนี้ มันก็เจอทางตันแล้วไง หาทางออกไม่เจอแล้ว เราเสียใจนะ เสียใจมาก แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงให้ตัวเองดีกว่านั้นได้ เพราะรู้สึกทุกอย่างมันกดดันเราพออยู่แล้ว นี่เรายังต้องกดดันตัวเองเพื่อคบกับคนๆ นึงด้วยหรอ ทั้งที่คนๆ นี้ คือคนเดียวกับคนที่เราเคยอยู่กับเค้าได้โดยไม่ต้องมีความกดดันอะไรเลย เคยมีความสุขด้วยกันทุกอย่าง ไม่ว่าจะทำอะไร ทำไมวันนี้เราต้องใช้ความพยายามที่จะคบเค้าด้วยล่ะ??





ก็ไม่ได้ข้อสรุปอะนะ ช่วงนั้นโทรคุยกันอย่างเศร้าๆ เรื่อยๆ แต่ไม่ค่อยได้เจอกัน คือพยายามปลงๆ กันมากกว่า ช่วงนี้น้ำหนักเราลงวูบ เหลือเกือบเท่าตอนมายี่ปุ่นใหม่ๆ เลย แค่ไม่กี่เดือนนะ ลงไปเป็นสิบกิโล ทำไปได้ และร่างกายก็ทรุดโทรมมาก เข้ารพ.หลายที ขาดเรียนจนเกรดเกือบไม่ออกไปวิชานึง รู้ถึงกพ. เค้าก็มาเตือนอย่างเป็นห่วง แต่ก็นะ ตอนนั้นไม่ค่อยได้ผลหรอก เราว่าเราเป็นบ้าอะ คือบ้าจริงๆ ประสาทไปเลยอ่ะ แต่ไม่ได้ถึงขั้นต้องเข้าโรงบาลบ้าเท่านั้นเอง แค่เกือบๆ




ปิดเทอมนั้นเพื่อนเรามาจากเมืองไทย เดียว(ซึ่งบ้าเที่ยว) มาพาไปเที่ยวเยอะแยะเลย เลยได้ออกไปสูดอากาศภายนอกบ้าง รู้สึกโลกสดใสขึ้นเยอะ ก็มันสปริงแล้วอะนะ เราจมอยู่กับความหนาว เหงา มืด ของออทั่มและหน้าหนาวมานาน จนได้เจอแสงแดด เลยดีขึ้น และหายบ้าเอาตอนนี้แหละ ขอบคุณบัวกับเดียวมากๆ ไม่งั้นแนนคงจมปลักกับความบ้าต่อไปอ่ะ กับแมวก็กลับมาคุยกันได้แล้ว แต่ไม่ค่อยสนิทใจเท่าไหร่ คือจะมีวันที่ดี กับวันที่บ้า คือถ้าดีก็คุยกันได้ปกติ ขำๆ เฮฮาเหมือนเดิม แต่วันที่บ้า ก็บ้าจริงๆ ร้องไห้จนตาบวม หมดสภาพ ตอนนี้ก็ยังใช้คำว่าแฟนนะ คงเพราะแมวมันคิดว่า ถ้าใช้คำว่าเลิกอีก แล้วเราจะหลุดโลกไปอีก




ผลกระทบเรื่องแย่ๆ พวกนี้ไม่ได้มีกับเราคนเดียว แต่มีกับแมวเยอะไม่แพ้กัน มันสอบวัดระดับภาษายี่ปุ่นได้คะแนนน้อยจนน่าตกใจ ยังดีที่ผ่าน แต่คนอย่างมันควรจะได้มากกว่านี้อะ มันก็ไม่ได้โทษเรา แต่เรารู้สึกว่าเราทำให้มันเป็นอย่างนี้นะ เหมือนไปตัดอนาคตน้องเลย แต่ก็ควบคุมตัวเองให้เลิกวีนมันไม่ได้ซะที จนมันเข้ารร.ม.ปลาย ก็กลับมาสนิทกันอีกรอบ เหมือนเมื่อก่อนเลย เหมือนเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่อะ คือตอนนั้นมันเข้ารร.ใหม่ๆ ยังไม่ค่อยมีเพื่อน แล้วการได้เข้าไปเจอสังคมใหม่ๆ สิ่งแวดล้อมใหม่ๆ คนเรามันก็อยากเล่า อยากแชร์ให้ใครฟังอะ นึกออกมะ และคนทีมันคุยได้ ก็มีแต่เรา คือแมวมันเป็นคนไม่สนิทกับใครเลย หรือถึงสนิทก็ไม่เปิดใจ นี่มันพูดถึงตัวเองนะ ทุกวันนี้ มันยังบอกว่า คนที่เป็นเพื่อนสนิท และเพื่อนที่มันเปิดใจด้วยมากที่สุด (โดยไม่เกี่ยวกับฐานะอื่นนะ คือในฐานะเพื่อนอย่างเดียว) ทั้งชีวิตมัน ก็มีเราคนเดียวนี่แหละ





ช่วงนี้มันก็เลยคุยกับเราเหมือนเดิม มาอยู่บ้านเราเหมือนเดิม ก็คุยกันได้เรื่อยๆ ไม่ถึงกับสุขมาก แต่ก็ไม่ค่อยทะเลาะกัน เป็นสุขแกมเศร้าน่ะ เราก็กลับเป็นคนปกติ ไปเรียนเป็นปกติดี เพราะเทอมนี้ได้เรียนอะไรที่อยากเรียนด้วย ไม่ต้องทนเรียนอะไรที่ไม่ชอบแล้ว กลางวันบางวันก็ทำกับข้าวไปนั่งกินกับมันที่โรงเรียน เป็นเป้าสายตาดีมาก เพราะเราอยู่ม.6 มันอยู่ม.4 เทอมนั้นเรามีชั่วโมงว่างเยอะ เพราะม.6 เลือกเรียนเอาไง ไม่ได้มีตลอดเหมือนม.4-5 ก็เลยมีเวลาทำกับข้าว ประดิดประดอยเบนโต วันที่ 1 มิถุนา ครบรอบวันที่คบกันหนึ่งปี เป็นวันหยุด ก็ไปดีสนีย์แลนด์ด้วยกัน เสาร์อาทิตย์ก็ไปไหนต่อไหนกัน สรุปว่าเทอมนี้มีความสุขมากอ่ะ เราว่ามันต้องเกี่ยวกับฤดูกาลและแสงแดดแน่ๆ เพราะฤดูร้อน หรือสปริง จะดีกันทุกทีเลย แล้วพอเข้าออทั่ม ก็ทะเลาะกันทุกที





แต่ตอนนั้นตกลงกันว่าจะไม่ใช้คำว่าแฟนแล้ว เพราะใช้แล้วมันไม่มีความสุข เป็นอะไรก็ไม่รู้กันไปอย่างนี้เรื่อยๆ ดีกว่า แบบที่เรียกว่า มากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟน ปีนั้นหน้าร้อนเรากลับไทย แต่มันไม่ได้กลับ จนกลับมายี่ปุ่น เดือนกันยา เป็นเดือนแห่งการทะเลาะจริงๆ เพราะเรากลับมาใหม่ๆ ก็เหงาไง อยากคุย อยากมีคนอยู่ด้วย (จริงๆ เราเป็นคนขี้เหงาโคตรๆ อ่ะ สาบานได้ แต่การแสดงออกอาจไม่เหมือนนัก 55) แต่มันอยู่ที่นี่คนเดียวตลอด มันก็ชินกับการไม่มีเรามากกว่า ทีนี้พอเราไปวุ่นวาย เรียกร้องให้มันมา มันก็เอ๊ะ ไม่ได้เป็นแฟนกันซะหน่อย มันยังต้องลำบากอีกหรอ ก็จะทะเลาะกันด้วยประเด็นนี้ คือเราน้อยใจที่มันไม่สนใจ และมันไม่พอใจ ที่เราน้อยใจ เพราะรู้สึกมันไม่ได้ทำอะไรผิด





แตกหักอีกครั้งเมื่อวันที่รุ่นน้องรุ่น 29 มา วันนั้นไม่คุยกันแล้ว คือเรารู้สึกว่า เรากำลังจะกลับไปบ้าอีกรอบ ฉะนั้นก่อนจะบ้า ต้องรีบตัดไฟแต่ต้นลม รีบถอยออกมาเลย ก็เลยไม่ติดต่อมันไป มันก็ไม่ติดต่อมา คงเพราะเอือมกับการอาละวาด ตัดพ้อต่อว่าของเราเต็มทีแล้วด้วยละ ผ่านมาได้อาทิตย์นึง เราก็ให้รางวัลตัวเอง ด้วยการซื้อมือถือ ทีนี้ก็หมกมุ่นอยู่กับมือถือ เล่นหาเพื่อนในมือถือด้วยนะ มีนัดเจอด้วย ประมาณว่าอยากเจอคนใหม่ๆ 55 แต่ก็เล่นเอาเข็ดไปเลย น่ากลัวมาก ไม่โดนปล้ำก็บุญแล้ว เหอๆ




หลังจากนั้นก็ลองอยู่มาเรื่อยๆ ก็พบว่าเอ๊ะ ก็อยู่ได้นี่หว่า เหงาหน่อย แต่ไม่บ้า ไม่ร้องไห้ ไม่ประสาทแล้ว ตอนนั้นเป็นช่วงอ่านหนังสือสอบเอนท์ กับสอบวัดระดับภาษายี่ปุ่นด้วย ก็เลยยับยั้งตัวเองเต็มที่ ว่าถ้ากลับไปเมื่อไหร่ เราเสียอนาคตแน่นอน นี่มันโค้งสุดท้ายแล้ว ตอนนั้นเลือกมหาลัย เลยเลือกแต่ที่ไกลๆ มีคิวชู ฮอกไกโดด้วย เพราะอยากไปให้ไกลจากโตเกียว (นางเอกเจงๆ อันที่จริงเป็นเพราะมหาลัยในโตเกียวมันหาที่ลงไม่ได้แล้วตะหาก ก็รุ่นเรามันเข้ามหาลัยพร้อมกัน 19 คนอะนะ 55) ก็ไม่ได้คุยกับมันเลย ตั้งแต่ต้นเดือนตุลา จนถึงเมษาปีต่อมา ไม่รู้จักกันไปเลยครึ่งปี เดินสวนกันที่โรงเรียนบ้าง แต่เราก็พยายามหลบ เพราะไม่ได้เข้มแข็งขนาดจะมองผ่านไปได้โดยไม่รู้สึกอะไร





มันเองก็มาบอกทีหลังว่า รู้สึกแปลกๆ เหมือนกันที่ต้องอยู่คนเดียว ไม่มีเราไปอาละวาดแล้ว แต่ก็สงบดี ก็เลยไม่ได้ไปง้อเรา เพราะอยากรู้เหมือนกันว่าจะอยู่ได้มั้ย เราว่าช่วงนี้แหละ เป็นช่วงที่ทำให้ทั้งเราและมันโตขึ้น คือเป็นครั้งแรกที่รู้จักยับยั้งชั่งใจ รู้จักห้ามตัวเอง ฝืนความรู้สึกตัวเอง ไม่ใช่พอคิดอะไร รู้สึกอะไร แล้วก็แสดงออกอย่างสุดขั้วอย่างที่ผ่านมา เป็นช่วงที่อยู่กับตัวเอง คุยกับตัวเอง พยายามด้วยตัวเอง โดยไม่มีความรู้สึกว่าต้องมีคนอื่นอยู่ด้วย อย่างที่เคยเป็น



เรียกว่าเป็นช่วง calm down หลังจากใช้ชีวิตและอารมณ์อย่างรุนแรงมายาวนาน บาดเจ็บและอ่อนล้า จนเกือบจะล้มฟาดลงไปแล้ว



พอสอบเอ็นท์เสร็จ เรียนจบม.ปลาย ได้มหาลัยแล้ว ก็เป็นช่วงว่าง เราก็ไปมีชีวิตอีกแบบ ไปเที่ยวกับโสม ช็อปปิ้งเสื้อผ้า แต่งตัว แต่งหน้า ออกกำลังกาย ฟิตหุ่น เตรียมเข้ามหาลัย ออกไปเจอเพื่อนใหม่ๆ เปิดรับคนใหม่ๆ (ไปแอบจีบหนุ่มคนใหม่ด้วยความหน้ามืดตามัวด้วย 55 เป็นมลทินกับชีวิตจริงๆ) ช่วงนี้มาสนิทกับคนในรุ่นเดียวกันอย่างที่ไม่เคยสนิทมาก่อน (เพราะว่างพร้อมกันไง) ทั้งเมย์ โสม เดียว ซ้ง ทำให้เสียดายเหมือนกันว่า นี่เราใช้ชีวิตช่วงปีกว่าๆ ที่ผ่านมา กับคนๆ นึงมากเกินไป จนทำให้ลืมใครอีกหลายคนไปเลย ความรู้สึกนี้เป็นที่มาของคำพูดที่เราเอามาใส่ในเรื่องสั้นว่า ในวันที่พระจันทร์ไม่อยู่เท่านั้นแหละ เราถึงจะมองเห็นดวงดาว ทั้งที่ดาวมีมากกว่าพระจันทร์ตั้งมากมาย และไม่เคยหนีหายไปอย่างพระจันทร์ในคืนแรมด้วย




จนหลังวาเลนไทน์สองวัน น้องรุ่น 26 ก็จัดงานเลี้ยงส่งรุ่นเรา ที่ต้องรีบจัดตั้งแต่ช่วงปิดนิวชิ(ปิดให้เด็กใหม่สอบเข้ารร.) เพราะกว่าน้องจะสอบเสร็จ รุ่นเราบางคนก็คงจะย้ายบ้านไปแล้ว เรานี่แหละคนนึง กำหนดย้ายตั้งแต่วันที่ 15 มีนา (ไม่ได้หนีอะไรหรอก แต่สัญญาบ้านมันเป็นอย่างนั้น)



วันงานเลี้ยง เราทำช็อกโกแล็ตไปแจกผู้ชายในงานด้วย ทำไปให้ไอ้แมวด้วยนะ รู้สึกว่าถึงจะไม่รู้จักกันแล้ว แต่ก็ควรจะจากกันด้วยดี เขียนจดหมายใส่ในถุงช็อกโกแล็ตไปด้วย จำไม่ค่อยได้แล้วว่าเขียนว่าอะไร (ไอ้แมวมันยังเก็บไว้ ทั้งถุงทั้งจดหมายเลย แต่ไม่เคยยอมให้เราอ่านซะที) แต่คิดว่าคงเขียนประมาณ ขอบคุณสำหรับทั้งหมดที่ผ่านมา ต่อไปนี้คงจะไม่ได้เจอกัน ไม่ได้มีอะไรเหมือนวันเก่าๆ แล้ว เราจะไม่ได้อยู่ดูแลแกอย่างที่ผ่านๆ มาแล้ว รักษาตัวด้วยนะ เท่าที่จำได้คงทำนองนี้แหละ ตอนให้ไม่ได้มองหน้า แต่สะกิดแล้วรีบให้ แล้วรีบหันหลังกลับ คือไม่อยากเห็นหน้า กลัวร้องไห้ แต่ทำไงได้ งานเลี้ยงกพ.นี่ ยังไงก็ต้องเจอกัน





หลังจากนั้นเราก็ยุ่งกับการมาหาบ้านที่โกเบ เก็บของย้ายบ้าน กับมีเพื่อนจากไทยมาเที่ยวด้วย แทบไม่ได้อยู่บ้านเลย จนวันที่เราย้ายบ้าน น้องๆ มาช่วยกันเกือบครบทุกคน ขาดไอ้แมวคนเดียว และรู้จากคนอื่นว่า พอสอบเสร็จ มันบินกลับไทยไปแล้ว โอ้.. ก็เศร้าๆ ใจหายๆ คิดว่าคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วแน่ๆ เลย วันนั้นตอนขนของออกจากบ้านหมด เหลือแต่บ้านว่างๆ เราเข้าไปนั่งร้องไห้อยู่คนเดียวเลยนะ มีคนเข้ามาแซวว่ารักโตเกียวขนาดนั้นเลยหรอ เราก็ขำๆ ไป บอกว่าอือ บิวด์อารมณ์นางเอกอยู่




ไม่ได้บอกว่า ที่จริง บ้านนี้มันมีอะไรมากกว่าใครจะรู้ ทุกความทรงจำมันอยู่ที่นี่ ทุกอย่างมันเกิดขึ้นที่นี่ และจบลงที่นี่ เคยมีวันที่เราเปิดเข้ามาแล้วเจอมันนั่งยิ้มรออยู่ ทำอะไรไว้ให้กิน หรือคอยดันประตูไม่ให้เราเปิดเข้ามาได้ เคยมีวันที่มันมากดกริ่ง แล้วเอานิ้วอุดช่องตาแมวไว้ ทำเสียงเลียนแบบคนโน้นคนนี้ ให้เราหัวเราะ เคยมีวันที่ซ้อนจักรยานไปแกล้งคนตามบ้านกันตอนดึกๆ มีวันที่นั่งดูหนังกันถึงเช้า กินอะไรทั้งคืน แล้วออกไปวิ่งลดพุง ก่อนจะกลับมากินอย่างหนักและหลับไป ฯลฯ



แล้วก็ได้แต่เศร้า ว่ามันไม่มีอีกแล้วละ ไม่มีวันที่อะไรเก่าๆ มันจะย้อนกลับมาได้ หรือถ้าหากมิติแห่งเวลามีจริง วันนึง ใครคนที่ยืนอยู่ตรงที่เราสองคนเคยยืน เค้าอาจจะได้เห็นภาพของเราสองคนในอดีตก็ได้ แต่ก็นั่นแหละ.. ถึงยังไง.. เราสองคนไม่มีทางได้กลับมายืนตรงนี้ด้วยกันอีกแล้วละ..




ทุกอย่างผ่านไปแล้ว และเราผ่านมันมาได้ยังไงก็ไม่รู้..

Wonder how i ever made it through..



เราจากโตเกียวมาด้วยความรู้สึกวับๆ ในใจ เหงาๆ ยังไงบอกไม่ถูก ทั้งที่ก็ย้ายพร้อมกันหลายคนนะ ขนาดมีเพื่อนเดินทาง ก็ยังเหงาอยู่นั่นเอง แต่ก็เหมือนตอนมายี่ปุ่นครั้งแรกนั่นแหละ คือสิ่งที่รออยู่มันมีอะไรให้คิด ให้กังวล ให้ตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็นมากมาย ก็อายุจะ 20 แล้วเพิ่งจะได้เข้ามหาลัย ขณะที่เพื่อนบางคนจะจบอยู่แล้ว ก็เลยปลอบใจตัวเองว่า ชีวิตยังอีกตั้งไกลแน่ะ นี่เราผ่านช่วงมรสุมมาได้แล้วไง เพลงลิเวอร์พูลก็บอกไว้ว่า At the end of the storm is a golden sky นี่เราผ่านพายุมาแล้ว ต่อไปฟ้าก็จะใสสว่างแล้วละ มีอะไรรออยู่อีกตั้งเยอะ นี่ก็กำลังจะเข้าสปริงแล้วด้วย แล้วพอถึงสปริง ทุกอย่างจะดีขึ้นเสมอแหละ




ตอนนั้นก็บอกตัวเองว่า แมวมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของอดีตไปแล้ว อดีตที่เราไม่อยากรื้อฟื้นด้วย อาจจะมีวันนึงที่อยากรื้อ แต่วันนี้ฝังไว้ก่อนแล้วกัน ตอนนั้นคิดแต่จะลืมอย่างเดียว ไม่ได้คิดเลยว่าจะได้กลับมาคุยกันอีก และยิ่งไม่คิดเลยว่าจะได้กลับมาเป็นเหมือนทุกวันนี้อีก..



แล้วกลับมาได้ไงน่ะหรอ..






ติดตามตอนต่อไปจ้ะ 555

(หักมุมจบ เอิ๊กกกกกก)



Create Date : 09 ตุลาคม 2551
Last Update : 9 ตุลาคม 2551 19:43:49 น. 6 comments
Counter : 1068 Pageviews.

 
เย้ๆๆๆๆๆ มาเจิมๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ดีใจที่เข้มแข็งและผ่านเรื่องราวต่างๆมาได้ด้วยดีน๊า สู้ๆต่อไปค่ะ


โดย: Life's for Rent วันที่: 9 ตุลาคม 2551 เวลา:23:29:46 น.  

 
มาคอยเกาะขอบติดตามค่ะ เรื่องนี้ยาวจริงๆ ค่ะ
การไปต่างแดนตั้งแต่เด็กๆ มันเป็นเรื่องยาก และต้องควบคุมตัวเองสูงจริงๆ เราเองก็มีประสบการณ์ที่คิดว่า ถ้าเรามีพ่อแม่อยู่ใกล้ๆ บางทีเราอาจจะทำตัวดีกว่านี้ แต่พอโตขึ้นมาอีกนิด แล้วมองกลับไป ประสบการณ์เหล่านี้ มันก็ทำให้เราโตขึ้นได้เหมือนกัน :)

เป็นกำลังใจให้น่ะค่ะ แล้วจะคอยอ่าน


โดย: Fai IP: 128.12.146.84 วันที่: 10 ตุลาคม 2551 เวลา:2:35:16 น.  

 
แง แง

อยากไปเที่ยวญี่ปุ่นเลยอ่ะ

มีช่วงชีวิตที่สนุกมาก



โดย: กช IP: 58.8.115.10 วันที่: 18 ตุลาคม 2551 เวลา:14:50:29 น.  

 
กะว่าจะเกลาตอนต่อให้จบแล้วค่อยมาลงและเม้ากะคนอ่านไปพร้อมกัน
แต่จนแล้วจนรอดตอนต่อก็ไม่จบซะทีค่ะ ไม่มีสมาธิเรยยยย

งั้นวันนี้มาเม้าก่อนนะคะ ^^


คุงไลฟ์คะ จริงๆ มรสุมชีวิตมากเลยค่ะช่วงนั้น แต่คิดอีกทีก้อดีค่ะ
ทำให้โตขึ้่นเยอะเลย


ฝ้าย ขอบคุณมากจ้า ^^ นั่นดิเนอะ หลายอย่างจริงๆ ที่รู้สึกว่าถ้ามีพ่อแม่
หรืออย่างน้อยก็ผู้ใหญ่กว่าที่พอจะพึ่งได้อยู่ใกล้ๆ คงดีกว่านี้
แต่มันก็ทำให้เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นจริงๆ เนอะ
ยังเหลืออีกนิดนึง(แต่เขียนซะยาว แหะๆๆๆ) เด๋วเกลาเสร็จจะรีบเอามาลงต่อจ้า



คุณกชหวัดดีค่ะ โหคิดถึงจัง เราก็ไม่ได้เอาเรื่องที่เขียนๆ มาลงบล็อกนาน
เหมือนกันค่ะ มัวไปหลงนักเทนนิส 555
เขียนอะไรไม่ค่อยสำเร็จเลย เรื่องนี้ขนาดแค่เกลายังนานเลยค่ะ
ช่วงชีวิตที่นี่ก็มีทั้งดีและไม่ดีค่ะ แต่มันเหงาน้า


ตอนต่อไปสงสัยจะยาวอีกแน่ๆ ค่ะ เกลายังไงมันก็ไม่ลดลงเลย



โดย: โยษิตา วันที่: 19 ตุลาคม 2551 เวลา:23:29:45 น.  

 
เมื่อกี้ไปลงชื่อที่นิยายแค่คนข้างใจ ดันลืมล็อคอินซะอย่างนั้น

อ่านเรื่องรักไป 5 ตอนรวด ตั้งแต่เมื่อคืน อ่านจบแล้วเม้นท์ไม่ไหวค่ะ ง่วง 55+
เลยกลับมาลงชื่อใหม่ตอนนี้

ชอบตอนที่ 1 มาก ๆ เลยค่ะ คุณพ่อคุณแม่น่ารักจังเลย

ส่วนตอนอื่น เหมือนได้รู้จักคุณโจมากขึ้นเลยแฮะ
รู้สึกเหมือนตัวเองคุ้นเคยไปด้วยซะอย่างนั้น เพราะเจอมาหลายเรื่อง อิ อิ

การไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองคนเดียวตั้งแต่เด็กมันน่ากลัวจริงๆ เลยค่ะ
ยังดีเนอะที่มีกลุ่มเพื่อนที่ดีอยู่

รออ่านเรื่องคุณแมวต่อนะคะ กำลังน่าติดตามเลย
เอาใจช่วยคุณแนนกับคุณแมวในตอนต่อไปด้วยค่ะ ^^



โดย: Noey :p วันที่: 25 ตุลาคม 2551 เวลา:21:53:38 น.  

 
สวัสดีค่ะคุณโยษิตา ตามอ่านมาตั้งแต่รักเรื่องแรกจนถึงตอนนี้เลย อ่านแล้วทำให้คิดว่าชีวิตของคนนึงนั้นจะได้เห็นได้เจอได้ประสบอะไรมามากมายจริงๆนะคะ แล้วก็ยินดีด้วยจริงๆที่คุณโยษิตาได้ผ่านวันเวลาที่ยากลำบากมาแล้ว และเห็นด้วยว่าทุกความทรงจำไม่ว่ามันจะดีหรือร้ายเพียงใจ ทุกสิ่งก็จะเป็นบทเรียนให้เราได้ทั้งสิ้น

และสิ่งที่สำคัญมากๆเลยก็คือ อยากจะขอบคุณที่คุณโยษิตาตัดสินใจนำเรื่องราวเหล่านี้มาให้พวกเราได้อ่านกัน สำหรับแฟงแล้วมันถือได้ว่าคุณโยษิตาได้เปิดใจกับพวกเรา ทำให้แฟงได้เรียนรู้นิสัยและรับรู้เรื่องราวที่คุณโยษิตาได้ประสบมาผ่านทางตัวอักษรมากมายเหล่านี้ มันทำให้แฟงอยากรู้จักคุณโยษิตาขึ้นมามากๆเลยล่ะค่ะ ^^ ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่เปิดใจให้มากขนาดนี้

จะติดตามตอนต่อไปแน่นอนค่ะ เพราะตอนอ่านจบแล้วก็รอลุ้นว่าในที่สุดแล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณแมวกลับมาอยู่ในวงจรชีวิตของคุณโยษิตาได้อีกครั้งนึง

เป็นกำลังใจให้ค่ะ ^^ ดูแลตัวเองด้วยนะค้า


โดย: fang IP: 202.28.180.202 วันที่: 18 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:0:16:01 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

โยษิตา
Location :
Kobe Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นคนไทย แต่ระหกระเหินมาใช้ชีวิตตัวคนเดียวที่ประเทศหมู่เกาะประเทศหนึ่ง กินเวลาสิบกว่าปีแล้ว ยังไม่รู้จะได้กลับเมื่อไหร่ (โถ่)

เป็นคนจับจดมาก อยากทำไปทุกอย่าง แต่ทำไม่ได้ดีซักอย่าง รู้น้อยกว่าเป็ด ควรจะเรียกว่ารู้อย่างลูกเป็ด หรือไข่เป็ด

ที่แน่ๆ ชอบอ่านกระทู้พันทิป มากถึงมากที่สุด



Longer - Dan Fogelberg
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2551
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
9 ตุลาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add โยษิตา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.