--but life goes on, and this old world will keep on turning--

Love Stroy #3 You can't lose what you never had



ไม่ได้ลงเรื่องรักต่อซักที เพราะสามตอนต่อจากนี้เป็นช่วงที่ยาวมาก ก็มันกินเวลาสิบกว่าปีเลยนะ ยากจังเลยที่จะสรุปทั้งหมดไว้ในเนื้อเรื่องไม่กี่หน้า ตอนเขียนต้องเปิดไดอารี่ไปเขียนไป เศร้าบ้างสุขบ้าง นึกถึงวันเวลาช่วงนั้นดีค่ะ ^^


จั่วหัวอีกทีว่าไม่ใช่เรื่องสั้นนะคะ เป็นไดอารี่รักเลอะๆ เทอะๆ ของคนเขียน ตอนเก่าลงไปตั้งเดือนกว่าแล้ว ไม่รู้จะยังมีคนอ่านจำได้อยู่ป่าวน้า ^^''

ตอนนี้ยาวมากๆๆๆๆ ด้วยอ่ะ ><''



************************************************



I've got no fear of losin' you
You can't lose what you never had


เพลงของ Westlife ใครเคยได้ยินบ้าง

จะกลัวไปทำไมกัน ในเมื่อฉันไม่เคยมีเธออยู่แล้ว..




ตุลาคม 1997 เรามาถึงยี่ปุ่นแล้ว



เดือนแรกไม่ได้ติดต่อกับโจเลย ไม่มีที่อยู่โจที่กรุงเทพ เพราะในเฟรนด์ชิปที่ให้เพื่อนๆ ที่เตรียมเซ็น ซึ่งคนอื่นร้อยละร้อยเค้าก็เขียนกันปกติดี มีชื่อที่อยู่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่มีโจคนเดียวไม่ได้เขียนที่อยู่มาให้ ไม่ได้เขียนอะไรเลย วาดแต่รูปเด็กผู้ชายหน้าตาเหมือนคนวาด นอนตะแคงเอามือเท้าแขน อีกมือชูให้เครื่องบินที่บินผ่านไป ทำเป็นสัญลักษณ์อะไรก็ไม่รู้ละ คือกำแล้วยกนิ้วชี้ นิ้วโป้ง นิ้วก้อย (ลองทำตามดิ) แล้วก็มีคำพูดสั้นๆ ว่า ไปซะละ จำไว้


แค่นี้แหละ งงดีมั้ย?? ต้องการสื่ออะไรวะเนี่ย



เดือนแรกเรายุ่งกับการหาบ้าน ปรับตัวเข้ากับโรงเรียนภาษา กับสังคมที่นี่ ตอนนั้นโทรศัพท์บ้านก็ยังไม่มี ไม่ใช่มาถึงก็ซื้อมือถือได้เลยอย่างสมัยนี้ (นี่เรากำลังพูดถึงเรื่องเมื่อปี 97 นะคะ อย่าแปลกใจ 555) กว่าจะเริ่มเขียนจดหมาย โทรศัพท์หาเพื่อนๆ (ซึ่งต้องไปโทรที่บ้านรุ่นพี่) ก็เกือบเข้าเดือนพฤศจิกาแล้ว โทรไปโจถามว่า ไปถึงแล้วหรอ โห นี่ ถามมาได้ไงเนี่ย บินมานะคะ ไม่ใช่นั่งเรือสำราญ ผ่านไปเดือนนึงจะได้เพิ่งถึง วันนั้นโจให้ที่อยู่มา บอกไม่ต้องโทรมาบ่อยๆ เขียนมาดีกว่า โจชอบอ่าน โทรมาได้ฟังรอบเดียว แต่ถ้าเขียนมาอ่านกี่รอบก็ได้ (คิดได้..) เราก็ถามว่า แล้วทำไมไม่เขียนที่อยู่มาในเฟรนด์ชิปเนี่ย โจบอกว่า ตอนที่เพื่อนๆ เอาเฟรนด์ชิปแนนมาเซ็นกัน โจก็ไปถามแนนแล้วไง ว่าจะไปป่าว แนนบอกยังไม่แน่ โจเลยเซ็นไปงั้นๆ อ่ะ เพราะคิดว่าแนนคงไม่ไป


อะช่าย ก็วันที่โจมาถามที่ตึกนั่นแหละ สรุปวันนั้นเราควรตอบว่า ไป ใช่มะ? เฮ้อ



หลังจากนั้นก็เป็นช่วงเหงาสุดๆ เขียนจดหมายหาเพื่อนเป็นตั้งๆ กับโทรไปเป็นครั้งคราว แต่โจไม่ตอบจดหมายแนนเลย เศร้ามั้ย คือพอเขียนไป นานๆ เข้าไม่มีจดหมายตอบ เราก็เลยโทรไป พอโทรไปโจก็ตอบสิ่งที่เราถามไปในจดหมายน่ะ แล้วก็ออกตัวว่า อ้าว โจคุยหมดอีกแล้ว ทีนี้จะเอาอะไรเขียนตอบแนนล่ะ เป็นอย่างนี้ทุกที แนนเศร้าจนเลิกเศร้าไปเอง ชิน ก็พยายามปลอบใจตัวเองว่า อย่างน้อยโจก็ยังอ่าน คงอ่านแบบตั้งใจและจดจำพอสมควรนั่นแหละ ไม่งั้นจะมาตอบเราได้ไง จริงมั้ย โจคงจะยุ่งมั้ง เลยไม่มีเวลาเขียนตอบ (ทำไมเราต้องมองเค้าในแง่ดีขนาดนั้นเนอะ ไม่เข้าใจ) พอหลายครั้งเข้า เสียงแนนหงอยๆ โจก็คงจะจับได้น่ะ เลยบอกว่า ขอโทษนะ โจมันนิสัยเสียอย่างนี้แหละ แนนเขียนมาเยอะๆ นะ โจน่ะชอบอ่าน แต่เขียนไม่ค่อยเป็น


โดนพูดอย่างนี้จะให้เราทำยังไงได้ล่ะ ก็ได้แต่เขียนต่อไปอย่างเศร้าๆ นานๆ โทรไปคุยทีก็สดใสที แล้วก็กลับมาเศร้าใหม่ แต่ก็คิดว่าเด๋วก็คงหาย อายุยังน้อยมากและยังต้องเจออะไรใหม่ๆ ที่ญี่ปุ่นอีกเพียบ ตอนนั้นเลยแบบ อืม แค่ได้คุยกับโจหนุกๆ บ้าง ได้แค่คุยกันเป็นเพื่อนแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็พอแล้ว


แต่ซักครึ่งปีก็มีเหตุให้คุยกันไม่ค่อยเหมือนเดิมขึ้นมา คือก็ไม่มีอะไรมากนอกจากโจมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอะนะ คือโจก็ไม่ได้บอกเราตรงๆ แต่ก็พอรู้จากท่าทีเหมือนกัน ก็เลยห่างออกมาเองอย่างหงอยๆ ก็เศร้าแต่จะให้ทำไงได้อ่ะ ก็รู้อยู่แล้วตั้งแต่ต้นว่าเป็นได้แค่เพื่อนนี่นา จะว่าผิดหวังก็ไม่ใช่เพราะไม่ได้หวังอยู่แล้ว แต่มันเศร้ามากมายจริงๆ..



หลังจากรู้ก็เลยไม่ได้เขียนจดหมายอีก แต่ก็ยังได้รู้ข่าวคราวโจจากเพื่อนๆ เหมือนเดิม (เห็นมะ เรามองการณ์ไกล ที่ไปลือไว้ทั่วเตรียมว่าชั้นบ้าคนนี้อยู่ ก็เพื่อสร้างเน็ตเวิร์คไง ทีนี้ไม่ว่าโจจะกระดิกตัวทำอะไร มีคนคาบข่าวมาบอกทุกทีเลยอ่ะ น่ากลัวมะ 55) รู้ว่าโจเลิกกับแฟนคนแรกอย่างรวดเร็ว แล้วไปจีบคนต่อๆๆๆ ไปอีก เรามีหนังสือรุ่นเตรียมเล่มปี 97 ด้วย (เพื่อนที่แสนดีส่งมาให้) ฉะนั้นเวลาใครมาลือว่าโจไปจีบใคร เราจะได้เห็นทันทีว่าหน้าตาเค้าเป็นยังไงกันบ้าง ก็เลยเข้าใจสเป็คโจและ.. อืม จีบเฟรชชี่ ดรัมเมเยอร์ หลีด แถมมีข่าวว่าไปจีบนุ้ย สุจิรา (ก็นุ้ย นางสาวไทยนั่นแหละ เรียนเตรียมรุ่นเดียวกัน) อีกด้วย!!! โห ถ้าสเป็คประมาณนี้นี่ ยอมเลย ยอม -*-



ก็ไม่ได้คุยกับโจอีก ขาดการติดต่อกันไปเลยหลายเดือน จนจะกลับไทยเดือนสิงหา ถึงได้โทรไปเพราะปกติเวลาจะกลับก็โทรหาเพื่อนทุกคนอยู่แล้วว่าอยากได้ไรป่าว งงมากเพราะโจทำเสียงแบบน้อยใจมาก ว่าแนนโกรธอะไรโจหรอถึงได้หายไป อ้าวเป็นงั้นไป โจบอกเสียงเป็นกังวลมากว่าเป็นห่วงนะนึกว่าเป็นอะไรไป อย่าหายไปนานๆ อีกนะ อ้าว ตกลงดิชั้นผิดหรอเนี่ยที่หายไปเพราะเห็นมันมีแฟน เอาใจยากจริงโว้ย



ไม่น่าโทรไปเล้ย ที่ว่าจะหายเลยไม่หายซะที ก็กลับไปเป็นแบบเดิมๆ อีกซะงั้น กลับไปที่เตรียม เจอโจกับแฟนพอดีด้วย เราไม่กล้าคุยกับโจเลย กลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกันยังไงไม่รู้ ทั้งที่ก็บอกตัวเองว่าเป็นเพื่อนๆๆๆ นี่เราเป็นเพื่อนเค้า ไม่ได้อกหัก เพราะเราไม่เคยเป็นอะไรกับเค้ามากกว่าเพื่อนเลย ถ้าไปทำท่าทีมึนตึง เฉยเมย เค้าคงไม่สบายใจนะ ทั้งที่เค้าไม่ได้ผิดอะไรเลย แต่มันก็ทำตัวปกติเหมือนเดิมไม่ได้น่ะ เลยเพิ่งยอมรับว่านี่เราอกหักจริงๆ แล้วละ..


พอกลับมาอยู่บ้าน คืนนั้นโจโทรมาเลย ไปเอาเบอร์บ้านเรามาจากไหนก็ไม่รู้ ตกใจมาก ร้องไห้เลย ไม่รู้จะร้องทำไม แต่อยากกรี๊ดใส่มากๆ ว่านี่แนนอุตส่าห์ไม่ทำให้โจลำบากใจแล้ว โจจะมาทำให้แนนลำบากใจทำไม มันเป็นไปไม่ได้ที่มันจะไม่รู้ว่าเรารู้สึกยังไงกับมัน แล้วทั้งๆ ที่รู้ จะมาทำอย่างนี้อีกทำไม


แต่ก็ไม่ได้ถาม ก็ยังคุยกับโจได้เหมือนเดิม แต่ก็ไม่ปกติเท่าไหร่หรอก ดูโจกังวลมากว่าแนนโกรธโจเรื่องอะไร ไม่รู้มันแกล้งโง่หรือโง่จริงๆ กันแน่นะ ก็ไม่รู้จะบอกยังไงว่าไม่ได้โกรธ แต่เสียใจอ่ะ เฮ้อ แต่ก็พูดออกไปไม่ได้ เลยคุยกันเนือยๆ จนท่าทางโจคงรำคาญๆ เหมือนกันแหละ เลยวางไป โดยไม่ได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราว


แล้วก็ไม่ได้คุยกันอีก เราไม่ได้เข้าไปที่เตรียม ไม่ได้โทรไป โจก็ไม่ได้โทรมา แต่วันก่อนกลับโจโทรมาลาสั้นๆ บอกว่าให้เดินทางปลอดภัย แล้วจะรออ่านจดหมายนะ ก็พูดอย่างนี้จะให้เราทำไง เฮ้อ เราก็กลับไปเขียนและโทรหาโจเหมือนเดิม แย่จังเลยนะ แต่คราวนี้โจตอบมาแล้ว ถึงจะไม่บ่อยเท่าที่เราเขียนไป แต่ก็ตอบเป็นเรื่องเป็นราวดี ดูเหมือนโจจะคิดว่าเราโกรธที่โจไม่ตอบจดหมายจริงๆ แล้วพอโจตอบเราเลยหายโกรธ ทำนองนั้น ซึ่งจริงๆ ไม่เกี่ยวเลย สรุปไม่รู้ว่าโง่จริงๆ หรือแกล้งโง่


แต่มานึกอีกทีตอนนี้ จริงๆ มันเป็นแค่แผนธรรมดาๆ ของผู้ชายกะล่อนคนนึงรึเปล่านะ ที่ไม่อยากเสียคนที่ชื่นชมบูชาตัวเองมากๆ ไป(เพราะคงหาใครบ้าขนาดนี้ไม่ได้อีกแล้ว) โจก็แค่เล่นเกม แล้วเกมนี้แนนก็แพ้ด้วย แพ้ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่ามันเป็นเกม



คุยๆ กันไปซักพักจดหมายก็หายไปอีก โทรไปก็ชักจะเนือยๆ อีก เลยรู้ทันละว่าคงมีแฟนอีกแล้ว ก็เลยถอยออกมาอีกโดยไม่คิดอะไรมาก ปีนั้นปิดเทอมหน้าหนาวกลับไทยด้วย ช่วงเดือนธันวา ไปเตรียมเจอโจพอดีโดยไม่ได้นัด เซ็งมากเลยอุตส่าห์จะลืมให้ได้ดันไปเจอซะงั้น เฮ้อ เจอแฟนโจด้วย สวยมากๆๆๆ กว่าคนเดิมอีก ช่วงนั้นโจดูดีมากด้วย ได้เป็นหลีดกีฬาสี เจิดมากๆ เลยอ่ะ เห็นแล้วถอนใจเฮือกเพราะเรานี่ดูไม่ได้เลย เป็นระยะอ้วนมากเหมือนที่เป็นกันหลายคนเวลามาอยู่ญี่ปุ่นใหม่ๆ อ่ะนะ 555



พอกลับมาแป๊บนึงเหงาซึมอยู่ได้ไม่นานก็ต้องเตรียมสอบเข้ารร.ม.ปลาย แล้วก็พิธีจบรร.ภาษา มีไปเที่ยวกับพี่ๆ กพ. เยอะแยะ ไปสกี เจอเพื่อนใหม่ๆ คือกิจกรรมเยอะอ่ะ เลยทำให้ดีขึ้นบ้าง ช่วงนี้เลยไม่ค่อยได้ติดต่อกับเพื่อนที่ไทยด้วย รู้แต่ว่าอ่านหนังสือสอบเอ็นท์กันอยู่ (สมัยนั้นมีสอบเทียบ) ก็เลยไม่อยากไปกวนเพื่อนๆ แล้วยิ่งพอเดือนเมษา เข้ารร.ม.ปลายไป ก็มีเรื่องแปลกๆ ใหม่ๆ ให้ตื่นเต้นได้ทุกวัน อีกอย่างตอนนั้นแม่มาอยู่ด้วยเป็นเดือนเลย ก็เลยต้องเป็นเด็กดี หายบ้าผู้ชายไประยะนึง 555



แต่พอแม่กลับไป ราวๆ ต้นพฤษภา ก็กลับมาซึมอย่างเดิมตามความคาดหมาย กำลังเศร้าสุดขีด พอถึงวันเกิดตัวเองก็จิตตกแบบควบคุมไม่อยู่ (เราจะอ่อนไหวมากเป็นพิเศษในวันเกิด) คือเป็นช่วงเครียดมากอ่ะ ยังปรับตัวไม่ค่อยได้ เรียนไม่ทันเพื่อน สลดมาก กดดันสุดๆ แล้วพอถึงวันเกิดมีการ์ดมาจากโจเป็นคนแรกเลย สติแตกเลยเรา โทรไปหาอย่างเร็ว ร้องไห้ใส่โยไปครึ่งชม.ได้ โจคงตกใจไปเลยอ่ะ และโจก็ยังน่ารักเหมือนเดิม คุยฮาๆ ชิวๆ และทำให้เราสบายใจได้มากมายเหมือนเดิม โจบอกว่าน้อยใจนะที่แนนหายไปนาน และดีใจที่เรายังอยากพูดอะไรให้มันฟังอยู่ (แล้แหลเนอะ 55)



หลังจากนั้นก็กลับมาคุยกันใหม่ ช่วงนี้แหละเป็นช่วงที่คุยกันลึกซึ้ง ยาวนาน และเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดเลยมั้ง เขียนจดหมายกับเมลกันเป็นกิจวัตรมากๆ โจเรียนมหาลัยแล้วเลยได้ใช้คอมบ่อย กับโทรคุยกันบ่อยด้วย


คุยกันมากๆ ช่วงปิดเทอมหน้าร้อน เดือนสิงหา ปีนั้นแนนไม่ได้กลับไทย เพราะชมรมและงานอะไรต่อมิอะไรที่โรงเรียน ทีนี้ตอนปิดเทอมว่าง เลยไปใช้ห้องคอมที่โรงเรียน เล่นไอซีคิวกันบ้าง เมลคุยกันบ้าง เพจไปบ้าง อีกอย่างช่วงนั้นตอนเย็นไปทำงานบริษัทโทรศัพท์ด้วย (พวก 0033 0061 อะไรพวกนี้น่ะ ที่โทรไปตามบ้านคน แนะนำบริการโทรศัพท์อ่ะ) เลยได้บัตรโทรศัพท์ต่างประเทศในราคาถูกๆ มาเยอะ ทีนี้เลยคุยกันเป็นบ้าเป็นหลังเลย



ตอนแรกโจไม่ได้พูดถึงแฟน แต่ก็เดาได้แหละว่าคงเลิกกันไปแล้ว คือแนนก็กล้าพอจะแซวแล้วด้วย พอแซวว่าผู้ชายเจ้าชู้ก็อย่างงี้อะน้า เปลี่ยนแฟนเป็นว่าเล่น โจกลับย้อนแบบเสียงจริงจังมากๆ ว่า แนนคิดว่ามันมีความสุขหรอ โจไม่ได้อยากเป็นอย่างนี้นะ แต่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเวลาคนเราเลิกกัน ทำไมทุกคนต้องโทษว่าเพราะผู้ชาย ทำไมไม่คิดบ้างว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ดียังไง ผู้ชายถึงได้เลิก แนนก็เหวอไป แบบนี่โจพูดถึงใครเนี่ย โจก็บอก ทั่วๆ ไปนั่นแหละ นี่มีใครไปเล่าให้แนนฟังละสิว่าโจทิ้งคนโน้นคนนี้



ขำมาก ร้อนท้องไปเองซะงั้นอ่ะ ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย 555 คือโจบอกโจหงุดหงิดมากที่พอเลิกกับใครก็โดนด่า ทั้งที่เลิกไปทุกทีน่ะมีเหตุผลทั้งนั้น เพราะแฟนโจทุกคนทนไม่ได้เลยที่เวลาเป็นแฟนกันแล้วโจไม่เอาอกเอาใจเหมือนตอนจีบกัน แล้วก็เอาแต่ตามจิก ตามงอนโจ เราก็อ้าว ก็ถ้าแกไม่เหมือนเดิมแล้วใครมันจะทนได้วะเนี่ย เค้าผิดยังไงฟะ แต่ไม่อยากเถียง เพราะโจยืนยันว่าต้องมีสิคนที่รักโจอย่างที่โจเป็นจริงๆ โดยไม่ต้องเอาใจอะไรมาก อยากบอกเหมือนกันว่าก็ชั้นเนี่ยไงยะ แต่ไม่กล้า หน้ายังไม่ด้านเหมือนตอนนี้ 555



ช่วงนั้นคุยกันจริงจังบ่อยๆ ถ้าจะให้เขียนต้องยกไดอารี่มาเขียนเลย และคงเขียนได้เป็นเล่มๆ เลยมั้ง มีใช้ให้เพื่อนที่เป็นผู้ชายเพจไปอำโจด้วย ใช้ชื่อว่าเจสสิก้า เพจหวานมากอ่ะ 555 แล้วมันก็เชื่อด้วยนะ พอความแตกเราเลยโดนบ่นอยู่หลายวัน นึกถึงช่วงนั้นแล้วยังฮาอยู่เลย โจน่ารักมากๆ คงเพราะว่างด้วยกันทั้งสองฝ่ายด้วยอ่ะ เลยเล่นกันสนุกไปเลย


ตอนนั้นโจอยู่แมนชั่น แล้วโทรศัพท์ที่แมนชั่นนี้มันจะตัดทุก 10 นาที เวลาคุยกันบางทีต้องโทรกลับไปกลับมากันหลายรอบ แล้วเวลาคุยกันรู้สึกพี่สาวโจชอบมานั่งฟังด้วยยังไงไม่รู้ น่ากลัวมากเลยอ่ะ คือบางทีเราโทรไป พี่โจรับ (เสียงแอบหวงน้องชายนะเนี่ย) พอโจมาคุย คุยๆ ไป จะ 10 นาที มันก็มีเสียง ตื๊ด เตือนไง ว่าจะตัดแล้ว โจก็อุทาน อ้าว สิบนาทีแล้วหรอเนี่ย เสียงพี่โจกระแทกตอบมาว่า ย่ะ!! โจก็หันไปขำ แล้วกระแทกเสียงกลับไปว่า ยุ่ง!! ฮามาก



มีครั้งนึงโจบอก พี่โจอยากได้รูปซากุระ เราก็หาส่งไปให้ ทีนี้รูปซากุระน่ะมันมีแมวอยู่ด้วย พอโจได้ก็กรี๊ดกร๊าดเลย แมวน่ารักมากอะ นี่โจไม่ให้พี่แล้ว ยึดไว้เอง คือโจชอบแมวมากอ่ะ เคยเล่าให้ฟังเรื่องแมวที่บ้าน มีชื่อ อเล็กซานเดอร์ ชื่อเล่นชื่อ ไอ้เล็ก 555 กับอีกตัวชื่อโจนาธาน ชื่อเล่นชื่อโจร คิดได้ไงเนี่ย โคตรครีเอทเลยอ่ะ 555 โจบอกถ้ามีแมวน่ารักๆ ส่งมาให้อีกนะ เราก็ว่าง่าย เจออะไรแมวๆ หาส่งไปให้โจหมดเลย บ้ามากอ่ะ 555



ช่วงนั้นเราอัดเพลงลงเทปให้ของขวัญวันเกิดเพื่อน โจบอกทำให้โจมั่งดิ จะเอาไว้ฟังเวลาอ่านหนังสือดึกๆ ตอนนั้นยังไม่มีเอ็มพีสามและวิทยุออนไลน์อะนะ เราก็น่ารักมากค่ะทำส่งไปให้มันด้วย วาดปกให้อย่างสวยเลย ทุ่มเทมาก แล้วโจก็บอกโจไปซื้อหนังสือภาษายี่ปุ่นมา ว่าจะมาเรียนเอง แนนสอนหน่อยสิ (ทำเสียงอ่อนๆ ชวนกรี๊ด) แนนก็ จะเรียนไปทำไม่เนี่ย โจบอก ตอนนี้โจยี่ปุ่นฟีเวอร์อยู่ ไม่รู้หรอ แล้วเลยสอนกันทางโทรศัพท์อยู่หลายวัน จนเบื่อกันไปทั้งคนเรียนคนสอน ไม่รู้ป่านนี้โจยังพูดได้อยู่มั้ย สอนไปตั้งเยอะนะ 555 วันนึงเราไปถามว่า ฟังเพลงยี่ปุ่นมั้ยล่ะ โจก็เออเนี่ย กำลังชอบเพลงของฮิคารุ อุทาดะ แนนรู้จักมั้ย


แนนก็เอ้า คนโปรดเลย งั้นเด๋วส่งไปให้ พอได้โจก็โทรมา เสียงตื่นเต้นมาก บอกเนี่ย ได้ยินป่าว แล้วเอาหูโทรศัพท์ไปใกล้ลำโพง ให้ฟังเพลง First Love แล้วร้องตามให้ฟังด้วยนะ 555 มั่นมาก คือฟังจนร้องได้ ตรงภาษาอังกริดอะ แล้วก็มาถามเราว่ามันแปลว่าอะไรบ้าง พอเราแปลไปจนจบ โจก็ถามว่า แนนชอบเพลงนี้ที่สุดใช่มั้ย เราก็ อืม รู้ได้ไง โจบอกว่า รู้ดิ โจก็ชอบเหมือนกัน


ทุกวันนี้แนนก็ยังชอบนะ ได้ยินเพลงนี้ทีไรก็นึกถึงโจทุกที แต่ไม่รู้โจจะยังจำได้มั้ย..


You will always be inside my heart
いつもあなただけの場所があるから
I hope that i have a place in your heart too
Now and forever you are still the one..





คุยกันอยู่ดีๆ พอถึงช่วงโจสอบปลายภาคที่ลาดกระบัง โจก็เครียดขึ้นมาอีก ไม่ยอมคุยกะเราเลย งงและเสียใจอีกแล้ว คือเราก็ทำเหมือนเดิมอ่ะคือเมลไป โทรไป บ่อยเท่าเดิมไม่ได้มากขึ้น แต่อยู่ดีๆ โจก็หายไปเลย ไม่บอกด้วยว่าเป็นอะไร แล้วจะให้ทำไงเนี่ย เสียใจนะ เลยชักรู้สึกแบบ หรือเราจะเป็นผู้หญิงน่าเบื่ออีกคนที่โจอยากจะหนีเพราะเอาแต่ตามจิก ตามงอนเหมือนคนอื่นๆ ที่ผ่านมาของโจนะ แต่เราไม่เคยโกรธ ไม่เคยงอนโจเลยนะ ยอมทุกอย่างเลยอ่ะจริงๆ >_<



ก็เลยอืม หายไปซักพักก็ดีเหมือนกัน จำได้ว่าส่งจดหมายไปครั้งสุดท้ายวันที่ 30 กันยา เย็นวันนั้นรุ่นน้องรุ่น 27 (หนึ่งในรุ่นนี้คือคนปัจจุบันของเราน่ะ ตอนเขียนเรื่องนี้เราเรียกว่าไอ้แมวนะคะ 555) มาพอดี ได้เจอไอ้แมววันแรกก็วันนี้แหละ แล้วคืนนั้นเป็นอันตกลงว่าน้องส้มมานอนบ้านเรา เลยมีเรื่องอะไรให้ต้องทำต่อมาอีกมาก อย่างพาน้องๆ ไปหาบ้าน กับยุ่งวุ่นวายอยู่กับรุ่น 27 ทั้ง 4 คน ที่มันเห็นบ้านเราเป็นที่พักตอนเย็น 555 มาแวะนั่งกินอะไรกันทุกเย็นเลย แต่ก็ดีอ่ะ เราเลยไม่เหงา ช่วงที่อยู่กับรุ่นน้องรุ่นนี้มีความสุขมาก โดยเฉพาะส้มกับไอ้แมว มาทำให้ชีวิตเรากลับเป็นคนปกติ รู้จักสนใจดูแลคนอื่น(ที่ไม่ใช่โจ) แล้วก็หัวเราะได้เต็มเสียงเหมือนเมื่อก่อนด้วย ก็เลยไม่ได้ยุ่งกะโจไปเป็นเดือน ชีวิตสดใสมากช่วงนี้



คือต้องเล่าก่อนว่าทุนกพ.แบบแปลกประหลาดของเรานี่ส่งเด็กจบม.สามมาเรียนต่อม.ปลายถึงโทที่ญี่ปุ่นทุกปีค่ะ โดยมาเริ่มเรียนภาษาก่อนปีครึ่งแล้วถึงเข้าม.ปลายที่นี่ ทุนนี้มีมาสามสิบกว่ารุ่นแล้ว เด๋วนี้น้องๆ ที่มาสบายกว่ารุ่นเมื่อก่อนเพราะได้เข้าหอของโรงเรียนภาษา แต่สมัยเราไม่มีค่ะ พอมาถึงก็ต้องไปนอนบ้านรุ่นพี่แบบตามมีตามเกิด รุ่นพี่ต้องพาไปหาบ้าน(คืออพาร์ทเมนท์) พาไปทำเอกสารต่างๆ เปิดบัญชีธนาคาร ไปจนถึงสอนทำกับข้าวด้วยซ้ำ คือทุกอย่างต้องพึ่งรุ่นพี่จริงๆ ค่ะเพราะไม่มีใครดูแลเลย และเราก็ได้ดูแลรุ่นน้องจนได้มาเป็นคนรู้ใจนี่แหละค่ะ 555



สิ้นเดือนตุลาได้โปรโมชั่นโทรฟรีจากบริษัทโทรข้ามชาติมาหลายชม.โทรหาเพื่อนหลายคนและตัดสินใจโทรหาโจด้วย งงอีกทีที่โจดูปกติมากๆ ผีเข้าหรือผีออกก็ไม่รู้ แต่น่ารักเฮฮาเหมือนเดิมมากๆ เราบอกปิดเทอมหน้าหนาวเราจะกลับไทย โจบอกว่าจะไปเที่ยวไหนป่าวเด๋วไปด้วย เพราะเอ็นท์เสร็จแล้ว เราบอกเพื่อนยี่ปุ่นจะตามเที่ยวไปเมืองไทยด้วย คงไปสวนสนอ่ะเพราะมีบ้านพักของทหาร พ่อหาไว้ให้แล้ว โจบอกไปด้วยคนนะ พ่อแนนจะว่ามั้ย แล้วเพื่อนๆ แนนที่เตรียมอ่ะใครจะไปบ้างป่าว โจจะไปทำความรู้จักไว้ก่อน บลาบลาบลา เรางงกับมันมาก แบบการสอบนี่มันทำให้คนเราบ้าและหายบ้าได้ภายในไม่กี่วันอย่างนี้เลยหรอ

โจชวนไปดูละครคณะนิเทศจุฬาด้วย บอกจะหาตั๋วไว้ให้ คุยให้ฟังด้วยว่าเคยไปดูปีที่แล้วสนุกมาก พูดไม่หยุดเลย เราก็ขำ ถามว่าเป็นไรเนี่ย โจบอกวันนี้เพิ่งได้พูดอ่ะ เก็บกด คิดถึงนะเมื่อไหร่จะได้คุยกันแบบเห็นหน้า


ไรว้า จับเราพลิกกลับไปกลับมาอยู่เรื่อยๆ งงและแอบเคืองแต่ก็มีความสุขมากมาย วันรุ่งขึ้นโจส่งอีการ์ดมา ตัวการ์ดน่ารักมาก ชอบคำพูดในนั้นด้วย ^^


Dear,NAN

When i'm smiling you are my smiling place
You are my 'up' when i'm 'down'
You tell me when i climb so high
And i catch you when you fall down
You let my frowns be flip-flups
And when we push each other..
It's so hard to find a friend like you
I LOVE YOU !



ก็อืม ยิ้มไปหลายวัน คือโจชอบทำอะไรน่ารักๆ อย่างนี้อยู่แล้ว ส่งพวกอีการ์ดฮาๆ มาเรื่อยๆ แต่ไม่เคยมีคำว่า I LOVE YOU เหมือนคราวนี้ ซึ่งมันก็ทำให้เราเหลิงทีเดียว ตอนนั้นอะไรๆ ก็สดใสไปหมด แต่เราคงไม่ดีเองอ่ะที่ไปทำตัวน่าเบื่อ คือเมลกับเพจไปบ่อยมากๆ แล้วเหมือนไปถามอะไรที่โจไม่อยากตอบด้วย อย่างผลเอ็นท์ ไม่รู้อะไรเข้าสิงให้แนนถามเหมือนกัน แต่ก็ถามอยู่นั่นแหละ เซ้าซี้มาก มาคิดได้ทีหลังว่าอืม คนที่รู้สึกว่าคะแนนตัวเองไม่ดี เค้าคงไม่ค่อยอยากพูดถึงมั้ง ยิ่งโดนถามบ่อยๆ แถมกดดันด้วยว่าต้องทำได้ดีอยู่แล้ว ชัวร์ๆ เค้าคงยิ่งรู้สึกแย่เนอะ คงหงุดหงิดน่าดูเลย



ตอนนั้นโจแทบไม่ยอมคุยกับแนนเลย แล้วแนนก็ไม่เข้าใจด้วยนะ ว่าตัวเองทำอะไรผิด รู้แต่ว่าเป็นห่วงโจมากๆ ก็เลยอยากรู้ไปทุกอย่างเลย แค่นั้น แต่โจคงจะเริ่มทนไม่ได้แล้วละ จนมีวันนึงเราไปทำเสียงแบบ งอนแล้วละ โกรธนะ ทำนองนี้ (ซึ่งก็น่าจะรู้นะว่าโจไม่ชอบผู้หญิงที่เป็นแบบนี้ แต่มันทนไม่ไหวจริงๆ นี่หว่า) โจก็เงียบไปเลย ไม่พูดอะไรอีก แล้วช่วงนั้นโทรศัพท์ที่แมนชั่นโจลี่ยนระบบพอดีด้วย พอโทรไปแล้วไม่ติด ทีนี้คลั่งไปเลย กำลังจะสอบปลายภาคด้วยอ่ะ น่ากลัวมาก



จนวันนึง วันที่ 5 ธันวา 99 โจก็เมลมา ยังจดเก็บไว้เลยอ่ะ ช็อกมากๆ


Dear,NAN, my best friend

Hey, i gotta tell you that i'm really SORRY to say this--
but i think that it would be better if we are friend forever

Will you regret?
If one day we are the guy of each other
But, as you know, i never have long-love to anyone
(And it won't be)

Will you be glad?
If today we are in love but tomorrow we are the stranger
I think you won't, right?
And i won't, too



ช็อกมั้ยล่ะ? คือเหมือนอยู่ดีๆ ฟ้าก็ผ่าลงมาทั้งๆ ที่ฟ้าใสๆ แดดจ้าๆ นี่แหละ


เกือบบ้าแน่ะ ดีนะยังมีเพื่อนๆ พี่ๆ แถวนี้คอยดึงๆ ไว้ ไม่งั้นสงสัยจะบ้าไปจริงๆ แล้ววันก่อนสอบ โจก็โทรกลับมา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น บอกว่าให้ตั้งใจสอบนะ อย่าคิดมาก อนาคตตัวเองสำคัญที่สุดนะ (โจชอบเรียกแนนว่า ตัวเอง และแทนตัวเองว่า เค้า บ้าง โจ บ้าง ซึ่งเราว่าน่ารักอ่ะ ถึงคนอื่นจะบอกว่ารับไม่ได้ก็ตาม 555) เราก็อืม ขอบคุณแบบผีดิบๆ ไม่ค่อยมีความรู้สึกแล้ว คือมันเครียดหลายๆ อย่างจนหัวแทบจะระเบิดอยู่แล้ว วันนั้นไอ้แมวอยู่ที่บ้านด้วย คือช่วงนั้นมันมานั่งคุยที่บ้านเราบ่อยๆ อยู่แล้ว สนิทกันก็ช่วงนี้ละ


พอเราคุยเสร็จเหมือนแมวมันเห็นอาการเราไม่ค่อยดีมั้ง มันเลยไม่กลับ แต่อยู่เป็นเพื่อนทั้งคืนเลย คือมันก็อ่านหนังสือสอบรร.ภาษาอยู่เหมือนกัน ก็เลยนั่งอ่านด้วยกัน เลยเพิ่งเริ่มรู้สึกว่า อ้าว แถวนี้ก็มีผู้ชายนี่หว่า เอ๊ย ไม่ใช่ เริ่มรู้สึกตัวว่า คนที่ดีๆ กับเราก็ยังมี ทำไมเราจะต้องไปสนใจคนที่ไม่ใส่ใจเราด้วยนะ?



สอบเสร็จปุ๊บเย็นวันนั้นก็บินกลับไทยเลย กลับพร้อมท็อป(เพื่อนกพ.รุ่นเดียวกัน) แล้วก็มีคิมุรินกับนัตจัง(เพื่อนสาวห้องเดียวกันที่รร.ม.ปลาย)ตามไปเที่ยวด้วย ถึงบ้านดึกๆ คืนนั้นท็อปตามไปค้างบ้านเราด้วย เพราะจะไปเที่ยวด้วยกันไง เช้าวันรุ่งขึ้นพ่อก็ให้อาทหารพาไปเที่ยวลพบุรี ไปทุ่งทานตะวัน เขื่อนป่าสัก กลับบ้านตอนค่ำๆ พ่อกับแม่ท็อปลงมาจากเชียงใหม่ มารับท็อปไป แล้วก็นัดกันว่าวันรุ่งขึ้นไปเจอกันที่ชะอำ คืนนั้นตอนอาบน้ำอยู่แม่มาเคาะเรียก ว่ามีคนชื่อโจโทรมา เกือบลื่นล้มในห้องน้ำแล้ว



พอโทรกลับไป ก็คุยกันได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยเนอะ โจถามว่าเพื่อนเป็นไงบ้าง ชอบเมืองไทยมั้ย ขอคุยด้วยหน่อยดิ อยากฝึกภาษาอังกริด เราเลยเออเด๋วไปเรียกให้ โจก็บอก ล้อเล่นๆ คุยกับแนนดีกว่า แนนก็บอก คุยได้ไม่นานอ่ะ ต้องรีบนอน พรุ่งนี้จะไปชะอำแต่เช้า โจก็ เอ้า จริงดิ อยากไปด้วยจัง เราก็แบบนะ ไม่เชื่อน้ำยามันแล้วอ่ะ แต่ก็บอกเออถ้าว่างก็ไปดิ เพราะคงไม่ได้ไปสวนสนแล้วละ เพื่อนเราอยู่ไม่กี่วัน โจก็บอก เสียดายอ่ะ พรุ่งนี้ต้องไปลำปางกับลุง เด๋วตีสองออกแล้วเนี่ย เราก็อืมๆ ไม่เป็นไร ไม่ได้คิดว่าจะชวนจริงๆ จังๆ อยู่แล้ว เพราะข้อความในเมลฉบับนั้นมันยังหลอกหลอนอยู่ ทำให้ขยาดๆ โจยังไงไม่รู้



แต่โจบอกอยากไปด้วยอ่ะ แต่ตอนนี้โจโทรม ไม่อยากเจอแนนเลย เราก็ อ้าว ตกลงเพราะลำปางหรือโทรมเนี่ย? โจก็ขำ บอกทั้งสองอย่างแหละ แต่แนนไปแล้วเพจบอกโจเป็นระยะด้วยนะ เอาทุก 3 ชม. ว่าถึงไหนแล้ว เราก็ หือ ทำไมอ่ะ โจบอกโจจะได้รู้ไงว่าแนนถึงไหนแล้ว เราก็อ้าวแล้วจะรู้ไปทำไม(วะ) โจก็บอกแล้วรู้ไม่ได้หรอ(เสียงงอนๆ) คือคุยกันได้วกวนมาก เราก็อืมๆ ไม่ได้คิดจริงจัง แต่โจก็ย้ำอีก อย่าลืมเพจมานะ แนนก็จ้ะๆ ไปก่อน แต่ตอนนั้นไม่มีมือถืออ่ะ จะเพจได้ตอนไหนก็ไม่รู้ดิ โจเน้นอีกว่าเริ่มจากออกจากบ้านเลย ก่อนออกจากบ้านเพจมาบอกด้วยนะ


งงมาก มันผีเข้าปะวะเนี่ย แต่ก็อะจ้ะๆ ไปนอนละ มันดึก (คือคุยกันนานมากอ่ะวันนั้น เกือบสามชม. จนเพื่อนหลับกันหมดแล้ว เราถึงย่องขึ้นไปนอน) เช้าตื่นมาก็ว่าจะเพจนะ แต่หาจังหวะไม่ได้ รู้สึกพ่อแม่เพ่งเล็งยังไงไม่รู้ วันนั้นพ่อให้อาทหารขับรถไปให้ ไปกันแค่สามคนคือเรากับเพื่อน จะไปค้างชะอำคืนนึง แล้ววันรุ่งขึ้นเข้ากรุงเทพ



สายๆ ไปถึงเพชรบุรี แวะเที่ยวเขาวัง พอลงมาเจอตู้โทรศัพท์พอดีเลย กะจะเข้าไปเพจ กับโทรบอกพ่อด้วยว่ามาถึงแล้ว แต่ตู้เสีย เออนะ ฟ้าฝนไม่เป็นใจ ไม่เพจก็ได้ จนเกือบเที่ยงไปถึงชะอำ เจอท็อป หาที่พักกันแล้วก็ไปกินข้าวที่สะพานปลา จนบ่ายสอง ถึงกลับมาที่เกสท์เฮาส์ริมทะเล พ่อแม่ท็อปกับอาทหารเค้าก็พักผ่อนกัน ส่วนนัตจัง คิมุริน ท็อป น้องสาวท็อป เปลี่ยนชุดลงทะเล แต่เราไม่ค่อยสบาย ไม่อยากลง เลยทิ้งเพื่อนไว้กับท็อป เดินไปตามถนนเลียบหาดไปเรื่อยๆ หาตู้โทรศัพท์ จนเจอ ก็เข้าไปโทรบอกพ่อก่อน เสร็จแล้วจะเพจ แต่ก็ อืม จับผิดคนเล่นดีกว่า โทรไปที่แมนชั่นโจละกัน ยังอยู่ชัวร์ ไม่ได้ไปลำปางอะไรหรอก



พอเริ่มกดเบอร์ ตู้โทรศัพท์ก็โดนเคาะ เราหันไป นึกว่าตัวเองคงใช้ตู้นานเกินไป


แล้วก็ต้องตกใจที่สุดในชีวิต เพราะคนเคาะคือโจ!! ใส่เสื้อบอลทีมชาติอังกริด กางเกงขาสั้นแค่เข่าตัวใหญ่ๆ ยืนคร่อมอยู่บนจักรยาน เอาเท้าข้างนึงยันพื้นไว้ หน้ายิ้มๆ แบบไม่รู้ไม่ชี้เหมือนเคย เราว่าเราหยุดหายใจไปนานเลยนะ กว่าจะเปิดตู้ออกมาได้ พอออกมาก็ละล่ำละลัก โจมาได้ไงเนี่ย มายังไงอ่ะ เฮ้ยอะไรเนี่ย ฯลฯ ระรัวมาก จนโจหัวเราะ บอกค่อยๆ พูดก็ได้ นี่หายใจทางเหงือกรึเปล่าเนี่ย คือดูชิวๆๆ มาก เหมือนเป็นเรื่องปกติทั่วไปที่คนสองคนจะมาเจอกันที่ชะอำได้โดยไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน



เราตอนนั้นเหมือนไม่มีสติแล้ว ก็เดินตามโจไปเรื่อยๆ โจพาไปนั่งที่ซุ้มใต้ต้นไม้ ก็ไปอย่างว่าง่าย นั่งคุยกันไป แต่จิตใจไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวเลย ถามว่าโจมาได้ไงเนี่ย โจบอกมารถไฟ (ตอบตรงคำถามดีเนอะ) แล้วไม่ไปลำปางแล้วหรอ? โจบอก ตื่นไม่ทันไปลำปาง เราก็ อ้าว เมื่อคืนคุยกันมันตีหนึ่งนะ แล้วโจบอกจะออกตีสอง โจก็ ช่ายไง แต่มัวกินมาม่า (ตอนคุยกันโจหนีไปต้มมาม่าด้วย แล้วมาบ่นว่ามัวแต่คุย มาม่าเย็นหมดเลย) เลยนอนตีสาม (งงปะ บอกจะออกตีสอง แต่นอนตีสาม คือแหลแบบไม่สนใจเลยเนอะ) ตื่นมาอีกทีมัน 9 โมงเช้าแล้ว ยังคิดอยู่เลยว่าจะมาไม่มาดี พอสิบโมงเลยตัดสินใจออกมา แล้วมาทำไมเนี่ย?? โจก็ยิ้มๆ บอกมาฝึกภาษาอังกริด ไหนเพื่อนแนนล่ะ แนนก็ โน่น ในทะเล ไปสปีคสิ โจก็ ไม่เอา กลัวแดด คุยกันตรงนี้ดีกว่า



เอ้า คุยก็คุย จำไม่ค่อยได้แล้วว่าคุยอะไรกันบ้าง ทั้งๆ ที่คืนนั้นก็เขียนไดอารี่ไว้นะ ยังจำได้เลย วันที่ 16 ธันวา 99 แต่วันนั้นไร้สติมากๆ ถามว่าโจหาแนนเจอได้ไงเนี่ย ชะอำมันไม่ใช่เล็กๆ นะ โจก็ไม่ตอบ ยิ้มๆ อยู่อย่างนั้นแหละ เราถามใหม่ มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ โจบอก ไม่นานหรอก แต่ก่อนแนนแหละ แล้วเอาจักรยานมาจากไหนเนี่ย? เช่ามา แถวนี้แหละ ขี่วนไปวนมาอยู่ตั้งนาน อ้าว ตกลงนานหรือไม่นาน? โจก็ อืม นั่นดิ แล้วก็หัวเราะ คือถามอะไรก็ไม่ตอบ ไม่ยอมตอบดีๆ เลยให้ตายสิ หน้าระรื่นจนน่าเข้าไปตบมากๆ แถมควักหนังสือออกมาจากเป้ เนี่ยชีวะ อ.หมาน แนนจำได้ป่าว โจเอามาอ่านเตรียมเอ็นท์ใหม่


พอแดดร่มๆ ลงมาหน่อย โจก็ชวนไปขี่จักรยาน เราก็อืม ด้าย อยู่ยี่ปุ่นขี่ทุกวันอยู่แล้ว โจบอก ซ้อนครับ ผมหมายถึงซ้อน ทำไมต้องอยากขี่เองด้วยอ่ะ เราก็เหวอ ฮ้า มันจะดีหรอ หนักนะ (เขินมากกกก แทบตายไปเลย ตอนนั้น) จริงๆ ตอนนั้นอ้วนจริงๆ อ้วนสุดในชีวิตเลย แต่โจก็ไม่แพ้กันหรอก เป็นช่วงที่โจไม่หล่อสุดแล้วเท่าที่เราเคยเจอ อวบระยะสุดท้าย ผมยาวๆ ดูแปลกตา (แต่สำหรับเรา ก็ยังดูดีนะ คือต่อให้โจเปลี่ยนไปแค่ไหน ในสายตาเรา เค้าก็ยังดูดีอ่ะ) ที่เหมือนเดิมคือตานี่แหละ ทนมองเกินห้าวินาทีไม่ได้ จะเป็นลม กระแสสายตาแรงกล้าจริงๆ


ก็เลยซ้อนจักรยานโจ ขี่ไปตามถนนเลียบริมหาดนั่นแหละ ขี่กันไปจนสุดหาด มีร่มเงาไม้ไปตลอดทาง แดดยามบ่ายไม่ร้อนแล้ว หรือร้อนแต่เราไม่รู้สึกก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าลมที่นั่นมันเย็น สดชื่น หอมหวานอย่างที่ไม่เคยรู้สึก ทะเลก็สวยเอามากๆ ในชีวิตทั้งก่อนหน้าและหลังจากนั้น เคยไปทะเลตั้งอีกมากมาย แต่ไม่มีที่ไหนสวยเท่าชะอำในวันนั้นเลยจริงๆ



พอเริ่มเย็น ก็กลับมานั่งที่ซุ้มที่เดิม มีคนที่เค้ารับถ่ายรูปตามชายหาด ผ่านมาพอดี เข้ามาถามว่าถ่ายรูปมั้ยครับ คือวันนั้นวันธรรมดา คนน้อยด้วยแหละ เลยเจาะจงเข้ามาถามเรา โจก็บอก ถ่ายครับ แล้วก็ดึงเราออกไปยืนตั้งท่าถ่ายทันที เราก็ เฮ้ย กล้องเราก็มี ถ่ายทำไม โจบอก นี่ถ่ายแล้วได้เลยนะ แนนไม่อยากดูรูปเร็วๆ หรอ อะ อึ้ง ก็เลยถ่าย ถ่ายเสร็จตอนนั่งรอเค้าไปล้างรูป เพื่อนเราขึ้นมาจากทะเลพอดี ก็เข้ามาแซวๆ แล้วก็จับถ่ายรูปคู่กันอีก วันนั้นเลยมีรูปเยอะมาก คือถ้าไม่มีรูปเป็นหลักฐานที่บอกว่า เรื่องนี้มันเกิดขึ้นจริง เราก็คงคิดว่าเราฝันไป เห็นภาพลวงตา อะไรอย่างนี้แน่ๆ อ่ะ ไม่อยากเชื่อเลยว่ามันเป็นเรื่องจริง



เพื่อนเราชวนไปเล่นเรือกล้วย โจก็ยิ้มๆ บอกไม่ได้เอาชุดมาเปลี่ยน เราถามว่า วันนี้จะกลับหรือค้างเนี่ย โจบอกต้องกลับ พรุ่งนี้ต้องไปเรียน เราก็อืมๆ บอกเพื่อนว่างั้นเราก็ไม่ลงละ เย็นแล้วด้วย เพื่อนเลยกลับไปเล่นกัน พอรูปที่รอได้แล้ว โจก็ชวนไปเดินเล่นบนหาด ถอดรองเท้า ม้วนขากางเกง เดินกันตรงคลื่นสาดๆ นั่นแหละ เดินกันไปไกลมากอ่ะ แล้วก็ไปนั่งคุยกันอยู่อีกนาน โจดูเหม่อๆ นะ เราก็เลยถาม เป็นไรเนี่ย โจก็บ่นประมาณว่า รู้สึกตัวเองไม่มีเพื่อนแท้เลย บางเรื่องไม่รู้จะพูดให้ใครฟัง พูดให้พ่อแม่ฟังก็เด๋วเค้าเป็นห่วง พี่โจก็เป็นผู้หญิง เพื่อนที่เป็นผู้ชายโจก็ไม่อยากพูดเรื่องกลุ้มๆ ด้วย เพราะคนที่มันฟังได้ มันก็ช่วยคิดไม่ได้ คนที่ควรจะช่วยคิดได้ ก็มัวแต่ขัดคอ ขัดคอ ขัดคอ (เน้นมาก) เราก็ทำหน้าแตกตื่น แบบหมายถึงใครอะ (เวลาคุยกันเราชอบจิกกัด ขัดคอโจอยู่แล้วอะ เป็นปกติ แก้เขิน)



โจก็บอก ใครล่ะที่ชอบขัดคอ พร้อมทำตาค้อนๆ เราก็ เฮ้อ ไม่ขัดก็ได้จ้ะๆ จริงๆ อยากบอกออกไปมาก ว่าไม่อยากขัดคอหรอก อยากฟังทุกอย่างเลย อยากพูดหวานๆ ให้โจหายเครียด แต่ทำไม่เป็น ไม่กล้า เขินด้วย กับกลัวโจจะเห็นมันเป็นเรื่องตลกด้วย จนถึงทุกวันนี้ แนนว่าโจยังไม่เคยได้ยินแนนพูดหวานๆ ด้วยเลยมั้ง มีแต่ห้าวๆ กัดๆ (ทั้งที่พฤติกรรมมันฟ้องว่าชอบเค้าจะแย่อยู่แล้ว แต่ปากไม่เคยยอมรับเลย) มีแต่โจแหละ ที่พูดหวานๆ กับแนนตลอด (โดยพฤติกรรมตรงกันข้าม)


สรุปวันนั้นเราก็ไม่รู้โจเป็นอะไร แต่ดูมีเรื่องในใจแน่ๆ ละ ไม่งั้นคงไม่มาถึงชะอำ แต่แนนคงเป็นเพื่อนที่แย่จริงๆ เพราะพอเจอกันก็ช่วยอะไรโจไม่ได้เลย ไม่รู้โจเจอแนนแล้วจะรู้สึกแย่กว่าเดิมรึเปล่า เพราะโจก็ไม่ได้เล่าอะไรเลย น้อยใจเหมือนกันนะ มีอะไรทำไมไม่บอกกันมั่งน้า..



จนมืด เพื่อนเราเดินมาตามไปกินข้าว โจเลยบอก ต้องกลับแล้วละ เราก็ถาม ไม่กินข้าวเย็นก่อนหรอ แล้วจะไปกินที่ไหน กว่าจะถึงกรุงเทพ โจบอกไดเอ็ทอยู่ แนนก็บอก โจไม่อ้วนนะ เหมือนเดิม ยังเท่อยู่ โจก็ยิ้ม บอกแนนก็ไม่อ้วนเหมือนกัน (แหลมาก ตอนนั้นหนักเกือบหกสิบ ไม่เรียกอ้วนเรียกอะไรยะ) ก็อืม ลากัน โจบอกไม่ต้องไปส่งที่สถานีหรอก เพราะเด๋วแนนต้องเดินกลับมาคนเดียว มืดแล้ว ก็เลยโบกมือลากันตรงนั้น พร้อมกับวิญญาณเราเพิ่งกลับเข้าร่าง เพิ่งพูดจารู้เรื่อง



คืนนั้นไปนอนดูดาวกับเพื่อน จนเพื่อนหลับกันหมดแล้ว เราทำยังไงก็ไม่หลับ ออกโทรไปหาเพื่อนที่เตรียมหลายคน นัดแนะว่าวันรุ่งขึ้นจะเจอกันยังไง เพราะเราจะเข้าไปที่เตรียม แต่ไม่กล้าโทรหาโจ ทำไมก็ไม่รู้




วันรุ่งขึ้นกินข้าวเช้าแล้วเข้ากรุงเทพ พาเพื่อนไปวัดพระแก้ว แล้วถึงเข้าไปที่เตรียมตอนบ่าย เจอเพื่อนเยอะเลย ไปนั่งคุยกันอยู่ที่โรงอาหารตึกใหญ่ มีเพื่อนบอกวันนี้ไอ้โจมาเตรียมนะ นั่งเล่นหมากล้อมอยู่กะเพื่อนที่ห้อง ไปบอกแล้วว่าแนนมาแต่มันยิ้มเฉยๆ เราก็อ้าว วันนี้โจมีเรียนที่ลาดกระบังไม่ใช่เหรอ เมื่อวานเพิ่งเจอกัน เพื่อนก็งงกันว่าตกลงนี่แกสองคนเป็นอะไรกัน เมื่อวานตามไปถึงชะอำแต่วันนี้เฉยใส่กันซะงั้น เราก็แบบไม่รู้โว้ย อึ้งและงง เลยบอกเด๋วชั้นจะเขียนนิยายเรื่องใหม่ พระเอกเป็นคนสองบุคลิกและสติไม่ค่อยเต็มด้วย เคืองมากอ่ะ -*-



แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้คุยกันอีกหลายวัน แนนพาเพื่อนเที่ยวตลอด แล้วโจก็ไม่โทรมา ไม่เพจมา เราก็ไม่กล้าโทรไป ถามตัวเองงงๆ ว่า ตกลงที่ชะอำวันนั้นเราฝันไปใช่มั้ยเนี่ย งงกับพฤติกรรมโจมาก มั่นใจนะว่าวันนั้นที่เจอกัน ไม่ได้ทำอะไรให้โจโกรธแน่ๆ แต่ทำไมอยู่ดีๆ โจถึงหายไปเลยก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่รู้จะถามใครด้วย จนทนไม่ไหว หลังปีใหม่ถึงโทรไป โจรับเอง บอกว่าเพื่อนมาติวหนังสืออยู่ แล้วก็ได้ยินเสียงผู้หญิงอะนะ ก็เลย อ้อ มันกลับไปเหมือนๆ เดิมอีกแล้ว รู้สึกเหมือนตัวเองโง่ยังไงไม่รู้ (ก็โง่มานานแล้วแต่เพิ่งรู้ตัวอ่ะ) เหมือนยอมเป็นของตายของเค้าน่ะ ที่พอเค้าไม่มีใคร เค้าก็มาหา พอมีคนอื่น เค้าก็ไป มันกี่ครั้งเข้าไปแล้วล่ะ?



ธุระของเราคือเราจะส่งจิ๊กซอว์รูปแมวที่โจอยากได้ไปให้ (คือเราซื้อไปฝากโจ แต่ตอนแรกหาไม่เจอ เลยไม่ได้เอาไปกรุงเทพด้วย กะว่าถ้าเจอจะส่งไป) เด๋วส่งไปให้ที่แมนชั่นละกันนะ โจถอนใจแบบ จงใจให้ได้ยินเลยอ่ะ แล้วถามว่า ยังไม่จบอีกหรอ เราก็ หือ อะไรจบ โจก็บอก Toy Story



ช็อกอีกแล้ว โจมีวิธีทำร้ายกันได้ไม่ซ้ำแบบดีนะ มาทำดีด้วย แล้ววันต่อมาก็เฉยเมยใส่ ให้เรางงเล่น แล้วก็มีประโยคเด็ดๆ ที่ทำให้เรากลายเป็นหินได้เรื่อยๆ ตอนนั้นรู้สึก ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวจริงๆ นะ ทนรับอะไรแบบนี้ไม่ได้แล้ว ให้เราเป็นเพื่อนกันเหมือนเมื่อก่อน คุยกันได้เฉยๆ เรื่อยๆ ยังดีกว่าให้โจมาทำเด๋วดีเด๋วร้ายแบบนี้



ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่ได้คุยโทรศัพท์กันอีก รู้สึกต้องตัดให้ขาดแล้วคราวนี้ ก็พยายามทำให้ดีที่สุดนั่นแหละ แต่วันก่อนกลับแนนก็เพจไปบอกโจ ว่าจะกลับแล้วนะ โจตั้งใจเอ็นท์นะ โจเก่งอยู่แล้ว และเรายังเป็นเพื่อนโจเสมอ ประมาณนี้แหละ แต่โจก็ไม่ตอบมา วันที่แนนบินกลับโจก็ไม่โทรมาส่ง ก็ขาดการติดต่อกันไปเลย โดยเรายังงงๆ อยู่เลยว่า มันอะไรกันละเนี่ย เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเรากันหว่า??



แต่ก็นั่นแหละ
How do you redefine something that never really had a name?

เคยฟังเพลง "I Don't Know You Anymore" ของ Savage Garden มั้ย
ฟังแล้วแอบคิดว่าโจเอาไอเดียมาจากเพลงนี้เลยละ เหมือนมากๆ จนแนนคิดว่า จุดประสงค์ของโจคงเหมือนในเพลงนี้น่ะแหละ แต่โจไม่กล้าพูดออกมา

I would like to visit you for a while
Get away and out of this city
Maybe I shouldn't have called
but someone had to be the first to break
We can go sit on your back porch
Relax, talk about anything
It don't matter
I'll be courageous if you can pretend that you've forgiven me

'Cause I don't know you anymore
I don't recognize this place
The picture frames have changed and so has your name
We don't talk much anymore
We keep running from the pain
But what I wouldn't give to see your face again

Springtime in the city
Always such relief from the winter freeze
The snow was more lonely than cold
If you know what I mean
Everyone's got an agenda, don't stop
Keep that chin up, you'll be all right
Can you believe what a year it's been
Are you still the same?
Has your opinion changed?

I know I let you down
Again and again
I know I never really treated you right
I've paid the price
I'm still paying for it every day

So maybe I shouldn't have called
Was it too soon to tell?
Oh what the hell
It doesn't really matter
How do you redefine something that never really had a name?
Has your opinion changed?



เรื่องนี้ดำเนินมายาวเต็มที (และเราก็เขียนมาหลายวันมากด้วย) จริงๆ หลังจากนั้นมันก็ยังไม่จบลงไปแบบสมบูรณ์หรอก เพราะถึงแม้จากนี้ไปเราจะเปลี่ยนไดอารี (เล่มที่เขียนถึงโจหมดเล่มลงตรงนี้พอดีเลย เป็นความบังเอิญที่แปลกไปมั้ย) เล่มต่อจากนี้ก็เป็นเรื่องคุณแมว ที่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตเรามากขึ้นเรื่อยๆ แต่นานๆ ที ก็มีเรื่องของโจโผล่มาบ้างแหละ แนนไม่ค่อยได้เขียนจดหมายแล้ว หรือเขียนก็ไม่ได้ส่ง เพราะช่วงนี้ใครๆ ก็หันมาใช้อีเมลกันหมด คุยกับโจจริงๆ จังๆ ส่วนใหญ่ก็เวลากลับไทยหน้าร้อนทุกปี เจอกันบ้างไม่เจอกันบ้าง แต่ก็โทรคุยกันเรื่อยๆ แต่แนนก็มีสติกว่าเมื่อก่อนเยอะ ยังพอระมัดระวังตัวเองไม่ให้ไปหลงใหลได้ปลื้มกับโจอีก



หน้าร้อนปี 2000 คบกับแมวแล้ว กลับไทยพร้อมกัน เดือนสิงหา โทรไปหาโจ(อีกละ) แปลกใจเหมือนกันที่คุยกันได้ปกติมากๆ เหมือนสมัยที่เป็นเพื่อนกันที่เตรียม คือคุยเรื่องเรียน เรื่องบอล เรื่องหนัง เรื่องเพื่อนๆ เหมือนเดิม ปีนั้นโจเอ็นท์ไม่ติด เลยเรียนพิเศษอีกปี แต่ไม่ได้ไปเรียนลาดกระบังแล้ว โจบอกว่าอยากเป็นหมอมากกว่า อยากไปช่วยคนในที่กันดารๆ ฟังดูดีเนอะ คืนนั้นคุยกันนานมาก โจบอกโจอยู่คนเดียว ฝนตกด้วย เหงามากเลย (เสียงอ้อนๆ เหมือนเดิม ฟังแล้วใจหวิวๆ) แต่ไม่สำเร็จหรอก แนนเก่งขึ้นแล้ว บอกโจว่าแนนมีแผนจะไปเชียงใหม่กับรุ่นพี่กพ.แล้วก็เพื่อนญี่ปุ่น โจบอกไปด้วยดิ(อีกแล้ว) แต่คราวนี้แนนขำๆ แล้วละ บอกโจอย่าไปเลย เด๋วผิดหวังว่าสาวยี่ปุ่นไม่น่ารักอีก



ปีนั้นไม่ได้เจอกัน แต่ก็โทรและเมลคุยกันบ้าง แนนปวดหัวกับไอ้แมวมากกว่า จนไม่ได้นึกถึงโจเท่าไหร่ ซึ่งก็ดีแล้วละ จนหน้าร้อนปี 2001 แนนกลับไทย โจเข้าปีหนึ่งที่พระมงกุฏแล้ว ก่อนหน้านั้นคุยกันแล้วละตอนรู้ผลเอ็นท์ แนนตื่นเต้นมากเลยที่รู้ว่าโจจะได้เป็นหมอทหาร แต่โจบอกโจไม่อยากเป็น โจอยากเข้าศิริราช แนนก็ ทำไมอ่ะ หมอทหารเท่จะตาย โจก็บอก ก็พ่อตัวเองเป็นทหารหนิ โจอยากเป็นหมออย่างเดียว ตอนนั้นโจเรียนปีหนึ่งที่เกษตร ก็นัดแนนไปเจอที่คณะวิดยาเกษตร แล้วก็นั่งคุยกันใต้ถุนตึกคณะนั่นแหละ นั่งคุยกันจนเย็น โจมานอนฟังซาวนด์อเบาท์ชิวๆ บนม้านั่งตรงข้ามเรา ทำให้นึกถึงตอนชะอำยังไงก็ไม่รู้..



หน้าร้อน 2002 แนนเข้ามหาลัยปีแรก กลับไทยได้นานมาก เกือบ 2 เดือน ปีนั้นไม่ได้คบกับแมวแล้ว (งงเนอะ เลิกๆ คบๆ) ก็ไปหาโจที่พระมงกุฏ จริงๆ ตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจไปหาโจ คือโจขึ้นปีสอง ต้องเข้าหอที่พระมงกุฏ โจบอกว่าใช้มือถือไม่ได้ คือถ้าจะติดต่อต้องโทรไปที่หอ ให้ประกาศตามตัวอ่ะ (ก็ทหารอะนะ) ดูมันจะเอิกเกริกไปกันใหญ่ เลยไม่ได้โทร ไม่ได้นัด โจก็ยังไม่รู้ว่าแนนกลับไทย คือปีนั้นไม่ค่อยได้คุยกันอ่ะ ช่วงนั้นมีชุนเข้ามาในชีวิตอีกคน และเราค่อนข้างจริงจังด้วย (ชุนก็คือโช พระเอกเรื่องฝนสีน้ำเงินอ่ะค่ะ คุ้นๆ มั้ย 555)


วันนั้นไปหาเพื่อนที่เรียนพยาบาลที่นั่น เพื่อนก็บอก เอ้า ไปเจอดิ อยู่แค่นี้เอง วันนั้นโสมไปด้วย พอมีโสมเราเลยกล้ามากขึ้นอ่ะนะ 555 โสมจัดการเข้าไปถามห้องธุรการให้ว่าเด็กปีสองทำอะไรอยู่ อยากเจอคนชื่อนี้ๆ เค้าก็ไปตามให้ ซักพักโจก็วิ่งกระหืดกระหอบมา ใส่ชุดพละ เหงื่อท่วมๆ หัวเกรียนๆ ประมาณทหารเกณฑ์


โหเฮ้ย หล่อมากอ่ะ เราก็อึ้งตะลึงไป คือดูดีผิดจากปีก่อนเป็นคนละคน คงเพราะฝึกหนักมั้ง หุ่นดีเลย วันนั้นแนนพูดไม่ค่อยออก ได้แต่นั่งเฉยๆ ฟังโสมคุยกับโจ (เพิ่งรู้จักกันครั้งแรกนะน่ะ แต่มีโชว์ซิกแพคกันด้วย 55) ซักพักโจก็หันมาทัก แนนเป็นอะไร ทำไมไม่ค่อยยิ้ม ไม่ค่อยพูดเลย แนนก็ ป่าว เหนื่อยๆ อ่ะ จริงๆ คือไม่รู้จะพูดอะไร แค่อยากเจอเฉยๆ อะ ไม่ได้อยากพูด ไม่มีอะไรจะพูด แค่ได้เห็น ได้ยินเสียง ก็มีความสุขแล้วอ่ะ


กลับถึงหอเพื่อน โจก็โทรเข้ามือถือเรา เอาเบอร์มาจากไหนเนี่ยงง ถามว่าหายเหนื่อยยัง เหนื่อยเพราะรอนานป่าว ขอโทษนะ เสียงอ่อนเสียงหวานมาก แนนก็เฮ้อเอาอีกแล้วสิเนี่ย เลยบอกป่าว ไม่มีไรๆ โจบอกเจอกันเย็นวันศุกร์หน้าได้มั้ยเพราะโจได้กลับบ้าน เราก็อยากเจอนะแต่ไม่เจอดีกว่า เด๋วบ้าอีก พอวางไปเพื่อนค่ายวิทย์อีกคนที่เคยอยู่ห้องเดียวกะโจที่เตรียมโทรมาบอกให้เปิดดูเว็บห้องมัน พอไปเปิดก็อืม รูปโจเยอะเลย เป็นรูปงานวันรับกระบี่สั้น โจใส่เครื่องแบบปกติขาว มีสาวน้อยใส่ชุดราตรี หน้าตาน่ารักเกาะแขนอยู่ข้างๆ เฮ้อ ดีแล้วละที่ไม่ไปเจอมัน ไม่งั้นก็จะเข้าวงจรเดิมอีกชัวร์ๆ


ก็นะ เศร้านิดนึง แต่จะเศร้าทำไมเนี่ย ปีนั้นนัตจังกับเพื่อนไปเมืองไทย (รอบสอง) เราก็พาไปเชียงใหม่ (อีกแล้ว) แล้วก็ไปเสม็ด ก่อนไปเสม็ดก็ถามโจแหละ หาดไหนเป็นยังไง คือโจโม้เองว่าตัวเองเชี่ยวเรื่องเสม็ดมาก แต่เอาเข้าจริงพ่อจัดการให้หมดเลย ข้อมูลโจไม่มีประโยชน์เลย 555 แต่วันนึงเดินๆ อยู่ที่หาดทรายแก้ว โจโทรเข้ามา ถามว่าเสม็ดเป็นไงมั่ง ตกใจหมดเลย แต่ก็ไม่กล้าคุยมาก คือเวลารู้ว่าโจมีแฟน แนนจะไม่ค่อยกล้าคุยอ่ะ ปีนั้นกลับมาก็มาเขียนนิยายเป็นบ้าเป็นหลัง เป็นระยะสุดท้ายที่เราบ้าโจมั้ง เพราะคนใกล้ๆ ตัวอย่างชุนกะแมวน่าสนใจและคาดเดาได้ง่ายกว่าโจเยอะ แนนเหนื่อยกะโจมามากพอแล้วจริงๆ ตอนนั้นคิดเรื่องชุนกะแมวมากกว่า



หน้าร้อนปี 2003 แนนอยู่มหาลัยปีสอง กลับไทยนานอีกแล้ว ปีนั้นคิมุรินกับนัตจังก็ไปไทยอีกแล้ว (รอบสาม) คราวนี้จะไปเกาะช้าง คุยกับโจ โจบอกเพิ่งไปมา ถามได้เลย (แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ค่อยมีประโยชน์อีกแหละ 55) ปีนั้นโทรคุยกันบ่อย มันแหละโทรมา ตอนนั้นไม่มีแฟนกันทั้งคู่ไง อีกอย่างเพื่อนเราที่เรียนพยาบาลที่เดียวกับโจ กำลังหาคนควงไปงานบายเนียร์ แต่ยังหาไม่ได้ เราเลยขอให้โจไปเป็นเพื่อน โจก็ดีนะ ไปให้ด้วย (มารู้ทีหลังว่าไปนั่งหลีพยาบาลอะดิ เหมือนปล่อยเสือเข้าป่าอะเนอะ) ซึ่งก็ทำให้โจเข้าไปอยู่ในสังคมพยาบาล และจีบพยาบาลต่อมาอีกหลายๆ คนได้อย่างไม่เคอะเขินเลย (และก็เลิกรากันอย่างเร็ว ด้วยสาเหตุเดิมๆ คือโจง้อใครได้ไม่นาน)



หน้าร้อนปี 2004 อยู่มหาลัยปีสาม ตอนนี้กลับมาคบกับแมวอย่างจริงจังแล้ว ปีนั้นกลับไทยพร้อมกัน ไปเกาะเต่า เกาะนางยวนกัน ชวนโจด้วย(ตามมารยาท 55) โจวีนกลับมาว่าจะเอาไปขนกระเป๋าหรอ เธอไปกะแฟนเธอนี่นา ปีนั้นคุยกันบ่อย เพราะคุณตาแนนต้องไปตรวจที่พระมงกุฏบ่อยมาก พ่อให้อาทหารขับรถไป แนนก็นั่งไปด้วย แต่ไม่ได้เจอโจซะที สอบอะไรไม่รู้ตลอดเลย ครั้งนึงโจโทรมาถามว่าอยู่ไหนแล้ว เด๋วตอนบ่ายโจจะเข้าไปนะ แนนอยู่รอเจอโจก่อนดิ แนนก็แบบ นี่ชั้นพาคนไข้มาหาหมอนะยะ จะให้คนไข้นั่งแกร่วรอถึงบ่ายหรือไงเนี่ย (ขณะนั้นเก้าโมงเช้า) โจก็ ว้า งั้นก็ไม่ได้เจอกันดิ แนนก็บอก เด๋วคงมาอีกแหละ ซึ่งก็ไปอีกสองครั้ง แต่โจปิดเทอมแล้ว ไปเสม็ด (วนๆ กันอยู่แถวอ่าวไทยเนี่ยแหละเนอะ) เลยไม่ได้เจอกันอีก


ปีนั้นมีโอลิมปิก ที่น้องออน สู้โว้ย ได้เหรียญทอง ช่วงนั้นแนนดูโอลิมปิกดึกๆ ทุกคืน แต่มีคืนนึงหลับเร็วมาก โจโทรมาตอนห้าทุ่ม ซึ่งก็เป็นเวลาปกติที่คุยกันประจำแหละ โจบอกเนี่ยอยู่เสม็ด แนนก็งัวเงียๆ ขึ้นมา หือ แล้วเสม็ดไม่ง่วงหรอ โจก็ฮา บอกทำไมนอนเร็วจัง คุยกันก่อนดิ แต่วันนั้นแนนพูดไม่รู้เรื่องจริงๆ แบบง่วงไม่ไหวแล้วอ่ะ ก็เออๆ ออๆ ไปเรื่อยจนโจวางไปตอนไหนก็ไม่รู้ ตั้งแต่วันนั้นก็เลยรู้สึกแบบ อืม นี่เราคงเห็นโจเป็นเพื่อนธรรมดาคนนึงไปแล้วละ เพราะปกติถ้าโจโทรมา ยังไงก็ต้องตาสว่าง ต่อให้กำลังจะตายคงรีบฟื้นขึ้นมาคุยอ่ะ นี่ยังสามารถนอนต่อได้ ถือว่า get over โจได้ค่อนข้างเด็ดขาดนะเนี่ย



ปีนั้นกลับมายี่ปุ่นแล้วยุ่งมาก เรียนหนักที่สุดในชีวิต กับทำงานสอนเป็นบ้าเป็นหลังด้วย เลยไม่มีเวลานึกถึงโจ ได้คุยกันอีกทีก็เดือนกุมภา 05 เราโทรไปแฮปปี้วาเลนไทน์ก่อนสองวัน (เป็นธรรมเนียมที่ทำกันมาตลอด ไม่รู้จะทำทำไมเหมือนกัน ตลกดี 55) เสียงโจเครียดๆ บอกว่าอ่านหนังสือสอบอยู่ ก็เลยคุยกันไม่นาน เรื่องเรียน กับความเป็นไปเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็ไม่ได้คุยกันอีก จนวันเกิดโจ เดือนมิถุนา 05 เราโทรไป ก็โทรไม่ติดแล้ว อีเมลที่เคยใช้ก็ใช้ไม่ได้ ลืมพาสเวิร์ดอีกมั้ง ลืมประจำอ่ะ เลยไม่ได้คุยกันมาสองปีเต็ม จนเดือนพฤษภา 07 เนี่ย มีเพื่อนไปรู้จักกับเพื่อนโจมา คุยไปคุยมา อ้าวเพื่อนของเพื่อนนี่หว่า เลยขอเบอร์มาให้เรา



ตอนแรกก็ลังเลอยู่หลายวัน จริงๆ คิดว่าโดนอำ เคยโดนมาแล้ว แต่ในที่สุดก็ลองโทรไป แล้วก็เป็นโจจริงๆ ด้วย พอได้ยินเสียงแล้วสั่นเลยนะเนี่ย ไม่นึกว่าจะได้ยินเสียงนี้อีก คิดว่าคงไม่ได้เจอกันแล้ว แต่ก็ดีใจมากนะ ที่ยังคุยกันได้เหมือนเดิม โจนึกว่าแนนกลับมาอยู่ไทยแล้วด้วย (ก็มันมานานแล้วจริงๆ อะนะ สิบปีแล้ว) โจเรียนจบแล้ว อยู่รพ.ค่ายทางใต้ เป็นร้อยตรีนายแพทย์แล้ว เท่เนอะ



วันที่โทรไปโจขับรถอยู่ เราก็แบบ งั้นค่อยคุยก็ได้ อันตราย โจบอก จอดคุยก็ได้ๆ (แต่ไม่รู้จอดจริงป่าวนะ) คุยกันอยู่นานเหมือนกัน จนโจบอกถูกรพ.ตามตัว (จริงๆ ไม่ใช่ม้าง) โจถามว่าพ่อตัวเองยังอยู่ลพบุรีป่าว ปีที่แล้วโจไปฝึกงานที่ลพบุรีด้วย ยังผ่านหน้าโรงเรียนตัวเองเลย จำได้เพราะเคยจ่าหน้าซองจดหมายตอนม.สามไง ขำมาก 555 เราก็ อืม ยังอยู่ค่ะ ปีที่แล้วแนนก็กลับไทย แต่ติดต่อโจไม่ได้อ่ะ โจบอกโจทำโทรศัพท์หาย เบอร์ใครต่อใครหายไปหมดเลย ซื้อใหม่ตอนออกสนามด้วย เลยไม่ค่อยมีใครรู้เบอร์นี้ (อะจ้ะ เชื่อๆ)




โจก็ยังเหมือนเดิมแหละ พูดหวานๆ ลงท้ายด้วย คร้าบ จ้า ครับผม แทนตัวเองว่า เค้า โจ เรียกแนนว่า ตัวเอง เหมือนๆ เดิม ฟังแล้วก็เคลิ้มๆ ดี แต่มันไม่มีอะไรแล้วละ คุยแล้วก็ได้แต่ยิ้มๆ ที่สั่นๆ คงเพราะตื่นเต้นอ่ะ ลองไม่ได้คุยกับเพื่อนคนไหนก็ได้มาสองปีกว่า อยู่ๆ มาได้คุย ก็คงสั่นเหมือนกันแหละ


คุยกันมาเรื่อยๆ ทางเมลและเอ็ม ปลายปีที่แล้วเราเครียดเรื่องเรียนหนัก จิตตกมาก โทรไปร้องไห้กับโจด้วย โจน่ารักมาก คือเป็นเวลานอนของโจนะหลังจากอยู่เวรติดต่อกันมาหลายวัน แต่ก็ยังอุตส่าห์ลุกขึ้นมานั่งฟังเราพล่าม เราบอกอยากตายแต่กลัวเจ็บ โจบอกเด๋วจะสอนวิธีฆ่าตัวตายแบบไม่เจ็บให้เอาป่าว เออขอบคุณมากค่ะ จริงๆ นะขอบคุณโจมากๆ ที่ทำให้หัวเราะได้วันนั้น เพราะตอนนั้นสุดๆ แล้วจริงๆ ใครก็ช่วยไม่ได้อ่ะ แล้วไอ้แมวก็ดีนะ แนะนำให้โทรไปหาโจ รู้ว่าโจจะเข้าใจเราที่สุดในเรื่องแบบนี้ เพราะเคยผ่านอะไรแย่ๆ มาแล้วเหมือนๆ กัน



ปีนี้โจไปอยู่ในสามจังหวัดชายแดน แต่เจ้าตัวก็ยังดูร่าเริงแหละ และว่างมากด้วยจนออนเอ็มคุยกันได้แทบทุกวัน เลยกลายเป็นเพื่อนธรรมดาไปเลย ไม่ตื่นเต้นแล้วละเวลาคุยกะโจ ขำๆ มากกว่า ตอนโอลิมปิคมีโทรมาบอกให้ดูผลมวยให้หน่อยเพราะตัวเองอยู่ในเกะ อย่างฮา เลยบอกชั้นไม่ดูย่ะมวย ไม่หล่อ ชั้นดูแต่ว่ายน้ำกะเทนนิส 555



แต่แนนก็ยังอยากเจอโจอยู่ดีนะ เหมือนที่อยากเจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนานมากๆ ทุกคน และถ้าวันนึงได้เจอกัน ตอนนี้แนนว่าแนนคงยิ้มให้โจได้อย่างเต็มหัวใจ โดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงว่า นี่เราแอบรักเค้าข้างเดียวนี่นา อย่างที่ผ่านๆ มา แล้วละ ทั้งที่ก็ยังรักโจอยู่นั่นแหละ เหมือนเดิม เท่าเดิม เพียงแต่ไม่ใช่แบบเดิม



ใครต่อใครถามเราตั้งหลายครั้งแล้วว่า โจมีดียังไงนะ เราถึงได้ไม่ยอมลืมซะที ก็..ไม่รู้สิ ตอบไม่ได้เหมือนกัน มีใครตอบได้มั้ยล่ะว่าทำไมตัวเองถึงชอบกินอาหารอะไรอย่างนึงซ้ำๆ อืม ก็มันอร่อยนี่เนอะ แต่ถามว่าอร่อยยังไง ก็ไม่รู้ละ ตอบไม่ได้ แต่ชอบกินก็แล้วกัน กินกี่ปีๆ ก็ไม่เบื่อ


สำหรับเราโจคืออาหารจานนี้แหละ..




ถามว่าแล้วเมื่อไหร่จะลืมโจได้ อืม สำหรับเรา คงลืมไม่ได้หรอก ทั้งหมดที่ผ่านมามันมากเกินไป ทั้งดีและเลวร้ายเกินไปจนลืมไม่ได้แน่ๆ และแนนก็ไม่ได้อยากลืมด้วย ไดอารี่ที่เขียนถึงโจ จดหมาย หรือการ์ดจากโจ บางทีว่างๆ แนนก็ยังเอามานั่งอ่าน แล้วก็ทำให้แนนยิ้มได้ทุกที มันมีทั้งขำ ทั้งสุข ทั้งเศร้า ผิดหวัง สมหวัง เป็นทุกความรู้สึกที่ไม่เคยมีใครมาทำให้แนนเป็นไปได้ขนาดนี้ (ยกเว้นไอ้แมวนะ) รักครั้งแรก หรือจะเรียกว่า ปั๊บปี้เลิฟ-ความรักแบบลูกหมา มันคงเป็นอย่างนี้แหละ สวยงามและน่ารักเสมอ ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน


ที่จริงจะว่าไปแนนก็ดีใจนะ ที่ไม่เคยเป็นคนที่โจเรียกว่า แฟน
You can't lose what you never had

ดีใจที่เราไม่เคยเป็นของกันละกัน และไม่เคยต้องสูญเสียกันและกันไปด้วย

และดีใจที่สุด ที่วันนี้ เรายังเป็นเพื่อนกัน..



(ตอนหน้าจะเป็นตอนของคุณแมวแล้วนะคะ ^^)




 

Create Date : 30 กันยายน 2551
6 comments
Last Update : 30 กันยายน 2551 21:23:08 น.
Counter : 890 Pageviews.

 

You can't lose what you never had.
เนอะ คงเป็นข้อดีอันดับหนึ่งของการรักเค้าข้างเดียวเลยมั้ง
ทำให้ทุกอย่างยังคงงดงามเสมอ และยังยิ้มได้เสมอในความทรงจำ ^^
อิอิ เมื่อคืนมาแอบดูทีแล้ว นึกว่าจะไม่ได้เจิมแล้วนะคะเนี่ย

อยากฟังเรื่องคุณแมวซะแล้วซิ อิอิ ชอบชื่อจังค่ะ

 

โดย: Life's for Rent 1 ตุลาคม 2551 23:32:19 น.  

 


แบบว่า..รออ่านมานานมาก ๆ .....คุ้มเลย ( หมดศึกลูกสักกะหลาดแล้วอ่ะเนอะ) .....ความรักมันก็เหมือนอะดรีนาลีนอะนะ ที่เวลามีฤทธิ์ก็กะปรี้กะเปร่า แต่พอหมดฤทธิ์ หัวใจแทบจะหยุดเต้นเลย....สรุปมันดีหรือเปล่าเนี่ยะ
จะตามอ่านเรื่องของคุณแมวนะคะ..... ใช่เจ้าของแผ่นหลังที่ยูกะตะหรือเปล่าเอ่ย........
นุ้ย.สุจิรา เคยเสริมอึ๋มมาหรือเปล่าคุณแนนรู้ไม้ มีหมอที่มาเป็นอินเทิร์น ที่ รพ . บอกมา( เด็กเตรียมฯ ) ถามว่าหมอรู้ได้ไง ? มันก็บอกว่า เชื่อผมเหอะ.....ผมเป็นหมอ( หมอชีกอป่าว?)
ถ้าไม่รู้ฝากถามโจมั่งดิ.........

 

โดย: mangot IP: 118.173.239.57 2 ตุลาคม 2551 2:38:20 น.  

 

หวายๆๆๆ ตกใจเลยค่ะนึกว่าจะไม่มีคนอ่านจำได้ซะแย้ว ><
ดีใจจังเลยค่ะที่ยังจำกันได้อยู่ และขอโทษด้วยค่ะที่ทำให้รอนาน ><


ว่าจะเอาตอนต่อไปมาแปะแระค่ะเพราะตอนนี้มันเขินๆ ยังไงไม่รุ
หน้าด้านขนาดนี้จะเขินทำไมเนี่ย 5555


งั้นเด๋วแปะตอนต่อเลยนะคะ ง่ายดีไม่ต้องแก้อะไรมาก
เพราะกองเซ็นเซ่อที่บ้านบอกได้หมดค่ะ เรื่องของตัวมันเองอ่ะ 555


คุงไลฟ์ขอบคุณที่มาเจิมค่า ตอนแปะเราก็ว่าจามีคนอ่านมั้ยน้า
ทั้งยาววววและหายไปนาน(มากกกก) แต่เวลาช่วงนี้พอดีกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ในตอนต่อไปนี้อะค่ะคือต้นเดือนตุลา (เมื่อเก้าปีที่แล้วนะ 555)
เลยแบบเอามาลงตอนนี้ดีกว่าได้อารมณ์ดี (แอบนึกถึงเองเหมือนกัน อินเรย 55)

เด๋วแปะเรื่องไอ้คุณแมวต่อเลยค่ะ มันยุด้วยว่าให้แปะเรยๆๆ ^^




คุณ mangot โอยๆๆ ขอโทษค่ะที่ทำให้รอนานมากกกก
ศึกลูกสักหลาดยังไม่จบดีค่ะแต่มีเวลาพักสองอาทิตย์ แหะๆๆ ^^''
อีกอย่างโดนคนที่บ้าน(ก้อแมวเนี่ยค่ะ)บ่นว่าบ้าออกนอกหน้าไปแล้ว
(เดือนนึงที่ผ่านมามันไม่อยู่ค่ะกลับไทย เราเลยบ้าสุดขีดไม่มีคนควบคุม
หลุดโลกไปเรย )

เมื่อวาน 30 กันยาเป็นวันครบรอบรู้จักกันมาเก้าปีพอดี (แก่เนอะ 55)
เลยเอามาแปะอย่างตั้งใจค่ะ

เรื่องนุ้ย โอวไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ถามโจคงไม่รู้อ่ะเพราะตอนนั้นรู้สึก
มันจะจีบเค้าไม่ติดนะคะ 555 ว่าแต่คุงหมอที่รพ.คุณ mangot อะอาไรเนี่ย
นินผู้หญิงอย่างงี้เลยหรอ ม่ายไหวๆๆ วู้ๆๆ แต่เด๋วจะลองถามโจให้นะคะ
ปล. คุณ mangot ก้อเด็กเตรียมเหมือนกันป่าวคะ ^^




แปะต่อเลยละกันค่ะแมวโดนกดดัน ><

และใช่แล้วค่ะมันคือเจ้าของแผ่นหลังในชุดยูกะตะ
และเจ้าของใบหน้าซีกนึงในบล็อกใบไม้ร่วงล่าสุดค่ะ
คงหนีมันไม่พ้นแล้วค่ะชาตินี้

 

โดย: โยษิตา 2 ตุลาคม 2551 6:15:48 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณแนน (ขออนุญาตเรียกว่าชื่อเล่นเลยล่ะกัน) ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ โดนใจ โดยเฉพาะประโยคนี้ "I've got no fear of losin' you. You can't lose what you never had." เดี๋ยวจะไปตามอ่านเรื่องของแมวต่อ :)

PS. i think I probably talked to you once. You're Ple's friend, right? (คิดว่าเปิ้ลเป็นเพื่อนกับแนนตอน ม ต้น). I am glad to get to read your stories again.

 

โดย: Fai IP: 128.12.146.84 2 ตุลาคม 2551 8:34:56 น.  

 

คุณฝ้ายคะ นั่นดิตอนแรกก็แอบคิดว่าฝ้ายเพื่อนเปิ้ลป่าวน้า ใช่แล้วค่ะเราเพื่อนเปิ้ลเอง ^^

งั้นอย่าเรียกคุณกันเลยเนอะ เป็นทางการไป เขิลลล 555

เคยคุยกันแล้วจริงๆ ด้วย เราไม่ได้เขียนอะไรๆ นานมากเลยอ่ะ
นานจริงๆ นะ ห้าหกปีเลยเนอะ ดีใจจังเลยที่ฝ้ายยังจำกันได้

ครั้งนี้พอกลับมาเขียนก็มีอะไรมาดึงไปเรื่อยๆ อีก ทั้งเทนนิสทั้งหนัง ละคร ฯลฯ
ชีวิตนี้คงเขียนนิยายเรื่องยาวกะเค้าไม่ได้ เพราะโดนชักจูงง่ายนี่แหละ
(จริงๆ ชักจูงตัวเองชัดๆ จะโทษใคร 555)

อยากมีสมาธิเขียนหนังสือได้ตลอดปีตลอดชาติจังเลย ทำไงจะทำได้น้า
ทุกวันนี้ปีนึงจะมีอยากเขียนอยู่ซักสามสี่เดือนอะ นอกนั้นบ้าอย่างอื่นไปหมด

ไม่มั่นคงทางอารมณ์อย่างแร๊งงงง

ขอบคุณมากเลยที่ฝ้ายยังติดตามอ่านและจำกันได้ ดีใจจริงๆ นะ ^^

เด๋วจะพยายามเขียนมาเรื่อยๆ น้า อย่าลืมติดตามกันน้า (กดดันล่วงหน้า 55)


 

โดย: โยษิตา 2 ตุลาคม 2551 19:20:21 น.  

 

ไม่ได้เข้ามาอ่านนาน

พอๆกันกับเรื่องนี้กว่าจะได้ลง


กลับมาอ่านเลยขออ่านให้หนำใจก่อนนะ

 

โดย: กช IP: 58.8.115.10 18 ตุลาคม 2551 12:16:14 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


โยษิตา
Location :
Kobe Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นคนไทย แต่ระหกระเหินมาใช้ชีวิตตัวคนเดียวที่ประเทศหมู่เกาะประเทศหนึ่ง กินเวลาสิบกว่าปีแล้ว ยังไม่รู้จะได้กลับเมื่อไหร่ (โถ่)

เป็นคนจับจดมาก อยากทำไปทุกอย่าง แต่ทำไม่ได้ดีซักอย่าง รู้น้อยกว่าเป็ด ควรจะเรียกว่ารู้อย่างลูกเป็ด หรือไข่เป็ด

ที่แน่ๆ ชอบอ่านกระทู้พันทิป มากถึงมากที่สุด



Longer - Dan Fogelberg
Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
30 กันยายน 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add โยษิตา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.