--but life goes on, and this old world will keep on turning--

The Jacket, The Fountain และ Kagehinata ni saku

งงมั้ยคะว่าหนังสามเรื่องนี้เกี่ยวข้องกันยังไง จริงๆ ก็คือไม่เกี่ยวเลยค่ะ(อ้าว)
แต่บังเอิญเป็นสามเรื่องที่ได้ดูในหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา

ประทับใจในแบบต่างๆ กัน แล้วก็รู้สึกว่าไม่ควรพลาดเหมือนๆ กัน ^^

(เขียนจบแล้วเพิ่งรู้ว่ามันยาวม้าก ก็ตั้งสามเรื่องนี่เนาะ -*- ใครที่กรุณามาอ่าน
ช่วยอ่านทีละเรื่องก็ได้ค่ะ ไม่งั้นอาจหลับเอาได้ มันยาววววเจงๆ เหะๆๆ ^^'')



The Jacket : เมื่อกำลังจะตาย คุณคิดอะไรอยู่?




หนังแนวแก้ไขห้วงเวลา อันเป็นแนวโปรดของเรา ได้ยินมานานว่าสนุก แต่
เพิ่งจะได้ดู รู้สึกว่ามันดีเกินคาดสำหรับหนังฟอร์มเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก

เปิดเรื่องมาด้วยประโยคเด็ดๆ ว่า

"I was 27 years old the first time I died"


ปี 1991 แจ๊ค สตาร์ค นายทหารหนุ่มถูกยิงเข้าที่หัวในสงครามอิรัก
"หัว" ของเขาตายทันที แต่ "ร่างกาย" กลับฟื้นขึ้นมาอย่างเหลือเชื่อ

เขาถูกส่งกลับบ้านเกิด บังเอิญได้พบสองแม่ลูกที่รถเสียอยู่ข้างทาง
ผู้เป็นแม่เมาไม่ได้สติ แจ๊คช่วยซ่อมรถ คุยกับลูกสาวตัวน้อยที่ชื่อแจ๊คกี้
และมอบป้ายชื่อประจำตัวทหารที่ใช้ห้อยคอให้เธอเป็นที่ระลึก

ชายแปลกหน้าคนหนึ่งรับแจ๊คขึ้นรถไปด้วย และโดนตำรวจเรียกระหว่างทาง
แจ๊คหมดสติไป ก่อนจะตื่นขึ้นมาพบว่า เขา "ตาย" อีกครั้งด้วยกระสุนจากมือ
ตำรวจ และตัวเองถูกกล่าวหาว่าเป็นคนฆ่าตำรวจคนนั้น

แจ๊คฟื้นขึ้นจากความตายเป็นครั้งที่สอง คราวนี้ถูกส่งไปโรงพยาบาลโรคจิต
ศาลเห็นว่าเขาวิกลจริต เนื่องจากเขาจำเหตุการณ์อะไรไม่ได้เลย
คล้ายกับเมื่อตายและเกิดใหม่ ความทรงจำทั้งหมดได้สูญสิ้นไปแล้ว

ที่โรงพยาบาลนี้ เขาได้รับการรักษาแบบพิสดาร โดยการจับยัดใส่ลิ้นชักเก็บศพ
เมื่อเข้าใกล้ความตาย สมองเขากลับรีเพลย์เทปเก่าๆ ที่เขาลืมไปแล้ว
ภาพตัวเองถูกยิงในอิรัก ภาพชายแปลกหน้าที่รับเขาขึ้นรถยิงตำรวจ
และสุดท้าย เมื่อกำลังจะ "ตาย" อีกครั้ง เขากลับพบว่าตัวเองไปยืนอยู่ ณ อีก
ที่หนึ่ง ในวันคริสต์มาสอีฟ ต่อหน้าสาวน้อยคนสวย ที่ดูเหงาและเดียวดาย

เหตุการณ์หลังจากนี้ไปเป็นการสปอยล์ ใครสนใจต้องไปหามาดูเองแล้วค่ะ ^^

(ตรงนี้สปอยล์ ถ้าอยากดูให้สนุกก็ข้ามๆ ไปนะคะ)
คำถามเดิมๆ สำหรับหนังแนวแก้ไขห้วงเวลาสำหรับเราคือ
"มันแก้ไขอะไรได้จริงๆ หรือ?" และคำตอบสำหรับเรื่องนี้ก็คือ "มันแก้ไม่ได้"
แจ๊คพยายามจะแก้ไขชะตากรรมตัวเอง แต่เมื่อพบว่าไม่สำเร็จ เขาก็เลือกที่
จะแก้ไขอย่างอื่น ซึ่งทำให้เขามีความสุขได้มากกว่าแก้ไขเรื่องตัวเองเสียอีก
(หมดเขตสปอยล์)


เรื่องนี้ ไอเดียพล็อต การเล่าเรื่อง บรรยากาศ และการแสดง เยี่ยมมากกกค่ะ
โดยเฉพาะพระเอก พี่เอเดรียน พระเอกเดอะเปียนิสต์ เล่นได้น่าหลงรักมากๆ
แค่คำพูดสั้นๆ สีหน้าแววตา ก็ทำเราน้ำตาท่วมบ้าน สะอึกสะอื้นกันเลยทีเดียว

โทนเรื่องสวยมากค่ะ ได้อารมณ์เหงา เศร้า หมดหวัง ไม่มีที่ไป เหมือนบุคลิก
พระเอกนั่นเอง ชอบมากที่ฉากหายตัวของพระเอก ไม่มีอภินิหารอันใด
(เช่นการสั่นพั่บๆ เลือดท่วมจมูก อย่าง The Butterfly Effect) แต่เรื่องนี้หาย
ไปเฉยๆ ตัดไปมา อ้าวหายไปแล้ว มันได้ความรู้สึกเศร้า เหงา และเดียวดาย
ของคนที่เหลืออยู่มากๆ

จุดที่ด้อยไปนิด(หรือมากนะ?)คือแก่นเรื่อง เพราะขนาดเราอินปานนี้ ก็ยังไม่
รู้เลยว่า มันต้องการจะบอกอะไรกันแน่ !!? แต่สรุปเอาจากคำพูดในจดหมาย
ตอนจบเรื่องว่า

อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการมีชีวิตอยู่ เพราะเมื่อคุณกำลังจะตาย
คุณจะคิดอยู่แค่อย่างเดียวว่า คุณอยากกลับมา


เมื่อยังมีชีวิต ก็ยังมีความหวังเสมอ

อาจจะไม่ใช่หนังขึ้นหิ้งมากมาย แต่รับรองได้ว่าเป็นหนังดูสนุก เป็น "หนังดี"
ที่ไม่ได้โหดเลือดสาดอย่างหน้าหนังเลยแม้แต่น้อย (ไม่เข้าใจว่าทำไมต้อง
โปรโมทเหมือนเป็นหนังโรคจิต ฆาตกรรมด้วย มันขายได้มากกว่าหรือไงนะ?)

มันเป็นหนังโรแมนติกดราม่า ผสมไซไฟ ที่ทำได้ละเมียดละไมทีเดียว


ใครชอบหนังแนวไปวุ่นวายกะห้วงเวลา อย่าง The Butterfly Effect, Il Mare,
Ditto, Sliding Doors, Frequency อย่างเรา ก็น่าจะชอบเรื่องนี้ได้ไม่ยากค่ะ
^^

Sometimes life can only really begin
with the knowledge of death.



************************************************


The Fountain : หรือจะต้องสูญเสียเธอเสมอไป?




อันนี้หนังเทพกลายๆ ค่ะ ทำให้กล้าๆ กลัวๆ ที่จะดูมานาน ทั้งที่ที่จริงชอบพล็อต
มาก ตั้งแต่อ่านรีวิวเมื่อเข้ามาฉายที่ญี่ปุ่นตอนซัมเมอร์ปีที่แล้ว


นายแพทย์ผู้หนึ่งพยายามทุกวิถีทาง ที่จะยื้อชีวิตภรรยาที่ป่วยเป็นโรคเนื้องอก
ในสมอง โดยการวิจัยยาจากเปลือกต้นไม้ที่เชื่อกันว่ามีสารอายุวัฒนะ
เขาไม่มีเวลาให้เธอเลย เอาแต่ค้นคว้าตัวยา ไม่กลับบ้าน ไม่สนใจเธอ
แม้ว่าเธอจะอยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต
เธอเหงา เขาก็รู้ แต่ก็เชื่อมั่นว่าการค้นหาวิธีรักษาเธอย่อมสำคัญกว่า
ทั้งที่เธอออกปากว่า "ฉันไม่กลัวความตาย เพียงแค่มีคุณอยู่ข้างกัน"

เธอเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง เล่าถึงอัศวินหนุ่ม ผู้เดินทางไปค้นหาต้นไม้แห่งอมตะ
เพื่อเจ้าหญิงอันเป็นที่รัก เธอเขียนไม่จบ แต่เหลือบทสุดท้ายไว้ให้เขาเขียนต่อ

ในอีกหนึ่งห้วงมิติ ชายคนหนึ่งกับต้นไม้ของเขา กำลังเดินทางสู่ดวงดาว
ภายในทรงกลมใส เขากินเปลือกไม้นี้เพื่อความอมตะ และเมื่อต้นไม้ตายลง
เขาก็โทมนัสสุดแสน เช่นเดียวกับที่นายแพทย์ไม่ยอมรับความตายของภรรยา


หนังรีวิวว่าเป็นชาติอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของชายคนเดียวกัน
แต่เราดูแล้วไม่รู้สึกอย่างนั้นแฮะ หรือโง่เข้าไม่ถึงเองเนี่ย - -''
(แอบผิดหวังนิดๆ อดดูหนังข้ามชาติแนวโปรด แต่ก็ได้แนวคิดอีกแบบ ชอบๆ)

เรารู้สึกว่า หนังสือที่เธอเขียน คือบทเตือนใจสามีของเธอ ว่าความพยายาม
ต่อสู้กับความตายนั้นไร้ผลอย่างไร และที่เธอเว้นบทสุดท้ายไว้ ก็คืออยากให้
เขาเขียนบทสิ้นสุด คือความปล่อยวางและหลุดพ้นนั้นด้วยตัวเอง
เพราะเธอช่วยเขาไม่ได้ เขาต้องยอมรับความสูญเสียให้ได้ด้วยตัวเอง

ต้นไม้และชายหนุ่มในทรงกลมใส ที่เขา(ใครฟะ?)ว่าเป็นชาติอนาคต
เราดูแล้วกลับรู้สึกว่า มันคือห้วงความคิดของนายแพทย์นั่นแหละ


จนเมื่อเขาปล่อยวางจากความยึดติด ยอมรับความไม่อมตะและจีรัง
จึงเกิดความหลุดพ้น ต้นไม้แห่งอมตะต้นนั้นออกผล เธอเก็บมันมาให้เขา
และเขาก็ปลูกมันลงกับผืนดิน เพื่อที่มันจะงอก ออกดอกผล เป็นอาหาร
ของนกกา จน "เธอ" ได้โบยบินไปในผืนฟ้า อย่างที่เธอบอกไว้ก่อนตาย


นั่นคือเขาหลุดพ้นจากอัตตา ที่ว่าเธอเป็นของเขา
เขายอมรับความจริงของความตาย และปล่อยเธอไปสู่อิสระในที่สุด



คล้ายกับจะบอกว่า ทุกอย่างในจักรวาลนี้เป็นอมตะ แต่มิใช่จีรังด้วยรูปเดียว
หากเปลี่ยนรูปเรื่อยไป จากอณูสู่อณู ซึ่งก็คือการเวียนว่ายตายเกิดนั่นเอง


หนังเรื่องนี้พุทธมากๆ ค่ะ ขนาดคนห่างวัดที่นั่งดูอยู่ด้วยกัน ยังอุทานว่า
โอ้ พุทธสุดๆ และเข้าใจไปในทางเดียวกับเราด้วยละ คือไม่นึกถึงชาติภพ
แต่รู้สึกว่าทุกอย่างเกิดขึ้นในใจนายแพทย์ผู้นั้นนั่นแหละ

เป็นหนังงาม ต้องใช้คำว่างาม เพราะมันงามจริงๆ ดูแล้วเหมือนหลุดเข้าไป
อีกโลกนึง มีการใช้สัญลักษณ์มากมายจนตีความไม่ไหว แต่เข้าใจไม่ยากค่ะ
เสียดายจังที่ไม่ได้ดูในโรง เนื้อเรื่องสอนเราถึงความยึดติดและปล่อยวาง
อย่างแนบเนียน และเหลืออะไรให้คิดอ้อยอิ่งในหัวอีกนาน

ชอบค่ะ ดูกันเถอะ มันไม่ได้ดูยากอย่างที่(เราเคย)คิดนะ อย่างน้อยชาวพุทธ
อย่างเราๆ ก็น่าจะเข้าถึงได้ไม่ยากค่ะ ย้ำอีกที มันเป็นหนังดีจริงๆ ค่ะ !!


No, no. Listen, listen.

He said that if they dug his father's body up, it would be gone.
They planted a seed over his grave.
The seed became a tree.
Moses said his father became a part of that tree.
He grew into the wood, into the bloom.
And when a sparrow ate the tree's fruit,
his father flew with the birds.



************************************************


Kagehinata ni saku : พรุ่งนี้คงมีแสงตะวัน




เรื่องนี้ดูเพราะผู้ชายค่ะ เอ๊ยม่ายช่าย แต่เพราะชอบหนังแนวหลายตัวละคร
แต่ละตัวก็มีเรื่องของตัวเองเป็นเอกเทศ แต่เกี่ยวข้องกันอย่างใดอย่างหนึ่ง
เช่นเดียวกับ Magnolia, Crash, Babel นั่นแหละค่ะ แต่เรื่องนี้เป็นแบบญี่ปุ่นๆ


ชื่อเรื่องแปลตรงๆ ตัวได้ว่า เบ่งบานในเงามืดและแสงตะวัน เรื่องกล่าวถึง
ชีวิตในเงามืดของคนหกคนในกรุงโตเกียว ที่เจอแต่ความเศร้า ท้อแท้ สิ้นหวัง

เริ่มจากชายหนุ่มที่ติดการพนันจนเป็นหนี้ท่วมตัว เมื่อแม่ตาย เขาก็ออกจาก
บ้าน ตัดขาดกับพ่อ ถูกตามทวงหนี้จนต้องใช้วิธีหลอกเอาเงินทางโทรศัพท์
ที่เรียกกันว่า โอเรซากิ คือ สุ่มเบอร์โทรไปแล้วบอกว่า โอเรๆ คือ นี่ผมเองนะ
ให้อีกฝ่ายคิดเองเออเองว่าเป็นใคร และเมื่อฝ่ายนั้นพูดชื่อมา ก็สวมรอยทันที

เขาโทรไปติดบ้านหญิงชราคนหนึ่ง ซึ่งกำลังรอโทรศัพท์จากลูกชาย ซึ่ง
จากกันไปตั้งแต่อายุสองขวบ และเมื่อนายคนนี้โทรไป เธอก็เชื่อทันทีว่าคือ
ลูกชายเธอจริงๆ และคุยกับเขาเรื่อยมา จนเกิดความผูกพันโดยไม่รู้ตัว


หญิงสาวคนหนึ่ง ตามหาคนรักเก่าของแม่ ซึ่งเคยเป็นดาราตลกด้วยกัน
เธอรู้ว่าแม่รักเขามาก แต่ไม่เคยบอกเขา เธอจึงมาตามหาเพื่อจะบอกเขา
ว่าเขามีค่ากับแม่ของเธอเพียงใด แม้ว่าเขาจะรักผู้หญิงอีกคน


ชายไร้บ้าน ขาพิการ ชอบเล่าเรื่องชกต่อยกับทหารอเมริกันให้ใครๆ ฟัง
จู่ๆ ก็มีนักเบสบอลชื่อดัง มาบอกว่าเป็นลูก และขอให้กลับไปอยู่ด้วยกัน


ชายวัยกลางคน สูญเสียครอบครัวและความหวังในการดำเนินชีวิต
จนเลือกจะหลีกหนีจากชีวิตสะดวกสบาย มาเป็นโฮมเลส


ไอดอลสาว ที่กำลังจะหมดยุคทอง เริ่มขายไม่ได้ มีแต่งานแย่ๆ เข้ามา
แฟนหดหาย แต่ก็ยังมีหนุ่มโอทะขุคนหนึ่งคอยให้กำลังใจเธอมาตลอด


หนุ่มโอทะขุคนนี้ รักสาวไอดอลเป็นดวงใจ เพราะเธอทำให้เขานึกถึง
รักครั้งแรกในชีวิต เมื่อยังอยู่ชั้นประถม ที่ไม่เคยมีโอกาสได้บอกออกไป



เรื่องนี้เป็นนิยายของดาราตลก ที่พอเขียนออกมาก็ดังเลย มีคนฟันธงมาก
มายว่าจะได้รางวัล แต่ก็ไม่ได้ ถึงกระนั้นก็เป็นที่พูดถึงกันเยอะทีเดียว

สตอรี่เรื่องนี้ดีมากๆๆๆๆ ดีจริงๆ นะ เราว่ามันสื่อความเป็นเงามืดของโตเกียว
ได้ดีเลยละ มีกดดัน มีตลกร้าย ซาบซึ้งกินใจ รันทดหดหู่ ครบทุกอารมณ์


เสียดายที่ฝีมือผู้กับกับใหม่คนนี้ยังไม่เข้าขั้น จึงถ่ายทอดออกมาได้ไม่ดี
เท่าไหร่นัก ครึ่งชั่วโมงแรก ขาดๆ เกินๆ เหมือนจับจุดไม่ถูก ครึ่งหลังดีขึ้น
แต่จังหวะก็ยังตะกุกตะกัก มันควรจะทำได้ดีกว่านี้มากๆๆๆๆๆ เลยน่ะ
ในเมื่อมีสตอรี่ที่ดีขนาดนี้แล้ว แถมดาราชั้นนำทั้งนั้นเลย

ชอบพายุและฝนที่นำมาแทรกในเรื่อง ฉากร่มสีเหลืองปลิวผ่านทุกคน
โห นึกภาพออกเลยว่าถ้าได้ผู้กำกับเจ๋งๆ มันต้องออกมาเทพมากๆๆๆ
แต่นี่ในเมื่อมือยังไม่ถึง มันจึงดูแบบ อะไรวะน่ะ???


แต่ก็ร้องไห้น้ำตาท่วมห้องอยู่ดีแหละเรา(อ้าว) เพราะถ้อยคำมันกินใจ
และเรื่องมันโดนมากจริงๆ เหมือนจะน้ำเน่า แต่มันดูเป็นจริงนะ แม้จะดู
พยายามไปหน่อย นี่ถ้าทำได้เนียนกว่านี้ คงมีสติหลุดกันบ้างละเรา

สรุปที่ประทับใจจากเรื่องนี้ก็คือเนื้อเรื่องมันดีมากๆ เด๋วคงไปหาหนังสืออ่าน
และชอบที่มันเล่าถึง "เงามืด" ของโตเกียวได้สมจริงเอาการ
แม้ผู้สร้างอาจเล่าเรื่องได้ไม่ดีนัก แต่ตัวเรื่องมันก็ยังดีจนคุ้มค่ากับการดูค่ะ


เมื่อพายุพัดผ่านไป ทุกคนก็ได้ยิ้มในแสงแดดอ่อน








 

Create Date : 19 กรกฎาคม 2551
6 comments
Last Update : 20 กรกฎาคม 2551 0:25:32 น.
Counter : 1367 Pageviews.

 

 

โดย: teansri 20 กรกฎาคม 2551 0:10:42 น.  

 

^
^ ดีใจจังค่ะที่ได้ยินว่าใกล้หายป่วยแล้ว อิอิ แอบเป็นห่วงนะคะ แต่ไม่ได้ไปเยี่ยมเยียน แหะๆ พอดีเป็นโรคกลัวคุณหมอเลย เกรงๆคุณพยาบาลไปด้วยอ่ะค่ะ ^^""


อ่าวเลยลืม คุณเจ้าของบ้านเจ๋ยเรย 55 ยังไม่เคยดูทั้ง 3 เรื่องเลยค่ะ อ่านแล้วอยากดูเรื่องสุดท้ายมากที่สุดเเฮะ แต่ที่นี่ไม่รู้จะมีให้ดูรึเปล่า
เรื่อง 1 นี่ใบปิดคนละเรื่องกะที่เล่าจริงด้วยค่ะ แนวๆแบบแก้ไขห้วงเวลาล่าสุดที่ดูละประทับใจ นี่เรื่อง secret ค่ะ ของ Jay Chou ไม่รู้เคยดูยัง แนะนำค่ะ แบบว่าชอบอ่ะ มีเล่นเปียโนด้วย เท่มาก อิอิ อีก 2 เรื่องไว้ดูละจะมาคุยด้วยค่ะ

ขอบคุณสำหรับกลอนที่ไม่ได้แต่งเองน๊า ชอบจังค่ะ ขอเอาความมาแต่งใหม่ละส่งให้ค่ะ
คืนฝนพรมพร่างพื้น.......โปรยปราย
ขอฝากละอองสาย........หล่นหล้า
มอบความส่งคนกาย ....ไกลห่าง
ว่าความห่วงใยท่วมฟ้า....อยู่ล้นอณูใจ

คืนนี้ฝนก็ตกอีก ตกมาตั้งนานละ ไม่หยุดซักทีค่ะ
ฝันดีนะคะ ^^

 

โดย: Life's for Rent 20 กรกฎาคม 2551 1:14:22 น.  

 

Free Image Hosting


การ์ตูนฮาๆมาฝากคลิกที่รูปได้เย้ย

 

โดย: พลังชีวิต 20 กรกฎาคม 2551 17:04:01 น.  

 

อรุโนทัยเยี่ยมฟ้า..................สีทอง
นภาผ่องเรืองรอง.................รุ่งเช้า
จรัสรุ่งแสงนวลยอง-.............ใยส่อง ฟ้าเอย
ประดับไปบ่เศร้า...................ผ่องแผ้วอำไพฯ



สวัสดีค่ะ ม่ความสุขมากนะคะ

 

โดย: สุนันยา 21 กรกฎาคม 2551 8:12:02 น.  

 

ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมกันค่า ^___^

ปล. คุณไลฟ์ฯ หนังเจโชม่ายมีอะค่ะ ร้านวีดีโอบ้านเรานี่บ้านน้อกกกใช้ได้เลย ฮือๆๆๆ
เด๋วสงสัยต้องกลับไปหาดูเวลากลับไป แงๆ

ขอบคุณสำหรับโคลงค่า โอ๊วทำไมแต่งเก่งจาง ปลื้มๆๆ

 

โดย: โยษิตา 23 กรกฎาคม 2551 15:24:31 น.  

 

แง เห็นว่าคุณโยฯหาหนังที่เราแนะนำไม่ได้ เลยแบบว่าวันนี้ไปข้างนอกพอดี ขากลับเลยจะลองไปหาหนังที่คุณโยฯ เม้นข้างบนมาดูแทน แต่ทว่า มันบ้านน๊อกกก ยิ่งกว่าคุณโยฯอีกง่ะ เพราะแถวนี้มันไม่มีร้านเช่าวีซีดีเรยยยยย ตอนแรกนึกว่ามีน๊า พอไปดูอ่าวร้านเช่าหนังสือ แง๊ ไม่รู้จาโกดใครดี - -* สงสัยเป็นเพราะเทปผีซีดีเถื่อนมานแยะแล้วก็ถูกมั้งคะ ร้านพวกนี้เลยเหลือน้อยลงทุกทีๆ

 

โดย: Life's for Rent 26 กรกฎาคม 2551 21:12:46 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


โยษิตา
Location :
Kobe Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นคนไทย แต่ระหกระเหินมาใช้ชีวิตตัวคนเดียวที่ประเทศหมู่เกาะประเทศหนึ่ง กินเวลาสิบกว่าปีแล้ว ยังไม่รู้จะได้กลับเมื่อไหร่ (โถ่)

เป็นคนจับจดมาก อยากทำไปทุกอย่าง แต่ทำไม่ได้ดีซักอย่าง รู้น้อยกว่าเป็ด ควรจะเรียกว่ารู้อย่างลูกเป็ด หรือไข่เป็ด

ที่แน่ๆ ชอบอ่านกระทู้พันทิป มากถึงมากที่สุด



Longer - Dan Fogelberg
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
19 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add โยษิตา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.