--but life goes on, and this old world will keep on turning--
Love Story #1 : ความเอ๋ยความรัก เริ่มประจักษ์ขั้นต้น ณ หนไหน



เปิดคอลัมน์ใหม่อีกแระ ขยันจริงๆ จังๆ เลยจขบ.เนี่ย

ฮี่ๆ จริงๆ ก็คือว่า นี่เป็นบันทึกเรื่องรักในชีวิต ที่เคยเขียนไว้ในมายสเปซเมื่อ
นานมาแล้ว เพราะถูกเรียกร้องแกมบังคับ ตอนแรกว่าจะเขียนเรื่องเดียว
แล้วก็เมามันมาก เขียนไปตั้งห้าตอน หมดไส้หมดพุง หมดรายละเอียดทั้งชีวิต
ถึงปัจจุบันนั่นเลย คือใครอ่านก็จะรู้หมดเลยว่าคนเขียนผ่านอะไร(??)มาบ้าง

ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องสั้นหรอกค่ะ แต่ในเมื่อเขียนเป็นตอนๆ ไปแระ ก็เอามา
ลงหมวดเรื่องสั้นละกัน


สำหรับตอนแรก เป็นไดอารี่รักของพ่อกับแม่ค่ะ

และตอนต่อๆ ไปก็เป็นเรื่องรักของเราเอง อะเฮ้อะเฮ้


ไปอ่านกันเล้ยยยย (ยาววววนะคะ ขอเตือนไว้ก่อน ตามประสาคนเขียนอะไรสั้นๆ
ไม่เป็นจริงๆ ไม่รู้เค้าเขียนกันยังไง )




.................................................................................................



มันเริ่มมาจากว่า วันนี้คุยกับแม่ แม่เล่าให้ฟังว่า เมื่อวาน มีเด็กแถวบ้าน
ที่สอบติดเตรียมทหาร เอาของมาขอบคุณพ่อ เพราะเค้าให้พ่อช่วยฝาก
สัมภาษณ์ให้ ซึ่งพ่อก็บอกว่า รับปากให้เด็กมันสบายใจน่ะ พ่อจะมีอำนาจ
ไปฝากใครได้ ไม่ใช่ตท.10 เหมือนอดีตนายกนี่ 55



แม่บอกว่าเด็กคนนี้ใฝ่ดีมากเชียว พ่อแม่ทิ้งไป น้าสาวเลี้ยงเอาไว้ ทางบ้าน
ไม่ได้มีฐานะอะไร แต่ก็มุ่งมั่นอยากเป็นทหารให้ได้ สอบมา 3 ปีแล้วถึงติด
ในปีนี้ เมื่อวานที่มาขอบคุณพ่อ ถึงกับกราบเท้าพ่อเลยทีเดียว (เอ้อ เว่อไป
นะน้องนะ) เล่นเอาพ่อเขินไปไม่ใช่น้อย แล้วน้องเค้า(ซึ่งแม่บอก หน้าตาดี
สูงขาว ล่ำสัน ว้ายๆๆๆ ฟังแล้วอยากกลับไปรับไหว้แทนพ่อจังเลย) ก็ถามว่า
พ่อกับแม่มาเจอกันได้ยังไง พ่อเป็นคนที่ไหน จีบแม่ยังไง (ถามไปทำไมเนี่ย
น้องขา พี่สงสัยยยย) ซึ่งพ่อก็ตอบหน้าตายว่า "ก็เพื่อนกัน เนี่ยเลยเสียเพื่อน
ไปคนนึงเลย"


โหพ่อ ทำไปด้ายยยย 555+



แล้วแม่ก็เลยเล่าเรื่องพ่อกับแม่ให้น้องเค้าฟัง



และแม่ก็เล่าให้เราฟังอีกรอบ เป็นเรื่องที่เราชอบฟังมาตั้งแต่เด็กจนโต กี่
รอบๆ ก็ไม่เคยเบื่อซะที ชอบฟังทั้งที่จำได้แม่นแล้วนั่นแหละ แต่ชอบเวลา
พ่อหรือแม่เล่า คือมันรู้สึกถึงความน่ารักของพ่อกับแม่เอาจริงๆ เลย ฟังแล้วก็
อยากเจออะไรอย่างนี้ในชีวิตบ้าง แต่ก็นั่นแหละ ยุคนี้สมัยนี้ คงไม่มีแล้วละ..




แม่เกิดที่ อ.มหาราช จ.อยุธยา ก็ที่ๆ เป็นบ้านเราตอนนี้นั่นแหละ
ตอนประถมแม่เรียนที่รร.วัดโบสถ์ ซึ่งก็เป็นโรงเรียนที่ใหญ่สุดใน
ละแวกนั้น มีตั้งแต่ชั้นป.1 ถึงป.7 ตอนนั้นคุณตาเป็นครูใหญ่ที่นั่น
พอดีด้วย แม่ก็เลยค่อนข้างจะดังในฐานะลูกสาวครูใหญ่ แต่ไม่ได้
ดังเรื่องก๋ากั่นอะไรแนวลูกสาวกำนันหรอกนะ แต่ดังเพราะฝีมือ
ทำขนมของคุณยาย คือคุณยายจะทำขนมไทยๆ พวกขนมต้ม
ขนมกง ขนมถั่วแปบ ขายในตลาด และให้แม่เอามาขายที่โรงเรียน
ทุกวัน เป็นการหารายได้อีกทาง เพราะลำพังเงินเดือนครูของคุณตา
ไม่พอเลี้ยงลูก 4 คนแน่ๆ




คุณยายทำอาหาร ทำขนมอร่อยมาก เรานี่แหละ ติดฝีมือคุณยายมาตั้งแต่
เด็ก ถึงทุกวันนี้ มาอยู่ที่นี่ ยังต้องให้คุณยายทำน้ำพริกอะไรต่างๆ พริกแกง
ส่งมาให้กินเรื่อยๆ เพราะกินอะไรพวกนี้นอกบ้านไม่ได้เลย พริกแกงซองๆ
นี่ ถ้าไม่อดปางตายจริงๆ เราไม่กินเด็ดๆ เพราะน้ำพริกแกงของคุณยายกล่ม
กล่อม และหอมเครื่องแกงกว่ามาก ขนาดคนแกงฝีมือเห่ยๆ อย่างเรายังแก
ได้อร่อยเลย คิดดู พ่อเรา แม่เรา กับน้าๆ ทุกคนในบ้าน ก็ติดฝีมือคุณยา
ด้วยกันทั้งนั้น พ่อเคยบอกว่า ฝีมือแม่เราน่ะ แค่ประถม แต่คุณยายน่ะ
ดุษฎบัณฑิตกิตติมศักดิ์เลยเชียว (ดีนะไม่แว้งมากัดลูก ว่ายังไม่เข้าอนุบาล
เทือกนั้น 55+)



ที่เกริ่นเรื่องขนมคุณยายมายาวไกลนี่ก็เพราะพ่อนั่นแหละ พ่อเป็นเด็กวัดอยู่
ที่วัดกุฎีทอง เป็นวัดที่อยู่ตรงข้ามคนละฝั่งแม่น้ำกับวัดโบสถ์ ที่แม่อยู่นั่นไง
จริงๆ บ้านพ่ออยู่ที่ลพบุรี แต่เดิมแล้วคุณย่าเป็นคนละแวกนั้นแหละ บ้านคุณ
ยายพ่อก็ยังอยู่แถวๆ นั้น และคุณย่าก็มักจะเอาลูกมาฝากคุณย่าทวดเลี้ยง
เพราะคุณย่าทำกิจการโรงสี ไม่มีเวลาเลี้ยงเอง อีกอย่างคือคุณพ่อของคุณ
ย่าทวด (งงมะ) คือคุณตาทวดของพ่อเราน่ะ เป็นผู้สร้างและเป็นเจ้าอาวาส
ของวัดกุฎีทองในตอนนั้นด้วย คุณย่าก็เลยเอาลูกผู้ชายมาฝาก นัยว่าจะให้
พระกล่อมเกลานิสัยแต่เล็กแต่น้อย




พ่อเรียนทีวัดนั้นจนจบป.4 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดของโรงเรียน แล้วก็เลยข้ามแม่น้ำ
ลพบุรีมาเรียนที่วัดโบสถ์ ที่เดียวกับแม่ และติดใจ.. ไม่ใช่ติดใจแม่ แต่ติดใจ
ขนมกงที่คุณยายทำให้แม่เอามาขาย พ่อบอกว่า ไม่เคยชอบกินขนมหวาน
เลย จนได้กินฝีมือยาย เลยทำให้ต้องไปขอกินที่บ้านบ่อยๆ จนสนิทกับคุณ
ตาคุณยายเฉยเลย (ตลกบริโภคหรือหลีลูกสาวเค้ากันแน่เนี่ยพ่อ) และพ่อ
บอกว่า จำแม่ได้ในภาพของ "ลูกสาวครูใหญ่ ผิวคล้ำ หน้าคม ตาดุ แต่ยิ้ม
สวย" น่านนน เด็กป.5-6 นะน่ะ (รู้แล้วยังว่าเราได้เชื้อแก่แดดมาจากใคร 555+)




พ่อกับแม่เรียนด้วยกันมาจนจบป.7 ก็แยกย้ายกันไปเข้ารร.มัธยม พ่อกลับ
ไปอยู่บ้านคุณย่าที่ลพบุรี เรียนต่อมศ.1 ที่รร.พิบูลวิทยาลัย ส่วนแม่ ไปเข้า
รร.จอมสุรางค์ ในตัวเมืองอยุธยา ชีวิตช่วงนี้ทั้งของแม่ของพ่อ ค่อนข้าง
ลำบาก ต้องต่อสู้ แต่ก็ดูมีความสุขดี เท่าที่เราได้ฟังนะ ถ้ามีเวลาและสติ
ปัญญาพอ ก็อยากเขียนเก็บไว้จัง เพราะแค่ฟังแล้วนึกภาพตาม เราก็อยาก
กลับไปอยู่ในยุคนั้นเอาจริงๆ




แม่เรียนที่นั่นจนจบมศ.5 ก็เข้าเรียนต่อวิทยาลัยครูพระนครศรีอยุธยา ส่วน
พ่อจบมศ.3 ก็เข้ารร.เตรียมทหาร แม่บอกว่า ระยะนี้ พ่อก็ไม่ได้ทำอะไร
กระโตกกระตากนะ แค่เคยเขียนจดหมายมาขอรูปแม่ ตอนอยู่มศ.2 พร้อม
กับส่งรูปตัวเองมาให้ด้วย (น่ารักจัง ลูกขอกรี๊ดนะคะพ่อ) แต่แม่แอบนินทา
ว่า ส่งมาได้ยังไงก็ไม่รู้ มั่นใจในตัวเองซะเหลือเกิน ผอมก็ผอม หัวเกรียนๆ
หาความหล่อไม่ได้ (ก็มันรูปติดบัตรอ่ะนะ แหมๆๆ ไม่ใช่สมัยนี้น้าจะได้ไป
ถ่ายหล่อๆ ตามสตูดิโอได้อ่ะแม่) ถามว่า แล้วแม่ส่งรูปกลับไปให้พ่อป่าว แม่
ยิ้มคล้ายๆ จะเขิน แล้วบอกว่า ก็ต้องส่งสิ (ขอกรี๊ดอีกที) แต่ยังไม่มีโอกาส
ถามพ่อเลยว่ารูปแม่ตอนนั้นเป็นยังไง แต่เราว่าแม่สวยนะ สวยตั้งแต่เด็กๆ
ไม่เหมือนพ่อที่มาหล่อตอนเป็นทหารแล้ว 555+



ส่วนเวลาปิดเทอม พ่อก็กลับมาบ้านคุณย่าทวด แล้วแวะเวียนมาตลกบริโภค
ที่บ้านคุณยายอีกเรื่อยๆ นัยว่าไม่ให้ลืมหน้า จนเข้าเตรียมทหาร ทีนี้เวลากลับ
บ้านก็ต้องใส่เครื่องแบบมา แม่บอกเท่มาเลย คนมองกันทั้งตลาด มาถึงบ้าน
ไม่พูดกับแม่ซักคำ เข้าไปหาคุณยายก่อน แล้วช่วยโม่แป้งทำขนม (จริงๆ มา
เพราะเห็นแก่กินใช่มะเนี่ย 555+) ตักน้ำใส่ตุ่มจนเต็มทุกตุ่มทั่วบ้าน ถูบ้านทั้ง
หลัง รดน้ำผักทุกแปลง ฯลฯ ถึงตอนนี้คุณยายทำขนมเสร็จพอดี พ่อก็ยิ้ม
หวานเข้าไปชิม แล้วกลับบ้านเลย !! เป็นไงวิธีจีบสาว ราวปี พศ.2517-18
หนุ่มๆ สมัยนี้สู้ได้ป่าวววว




ถามแม่ว่าแล้วพ่อจีบแม่ยังไงอ่ะ แม่บอก ไม่เห็นจีบอะไรเลย ก็มาถึงก็ตักน้ำ
ถูบ้าน ไม่เค้ยไม่เคยมีที่จะมาพูดจาเกี้ยวพา หยอกเอิน คงเพราะอยู่ในสาย
ตาผู้ใหญ่ด้วย จะว่าไปก็เป็นอะไรที่น่าชื่นชมนะ พ่อไม่เคยคิดจะชวนแม่ไป
ไหนกันสองต่อสอง อยากเจอ ก็ไปหาแม่ที่บ้าน ช่วยทำงานทุกอย่าง อย่างนี้
นอกจากจะได้หัวใจแม่แล้ว ก็ได้ใจคุณตาคุณยายไปด้วยเต็มๆ



พ่อชอบเขียนจดหมายหาแม่ด้วย อันนี้เราแอบได้อ่านบ้างบางส่วน ที่เหลือ
รอดมาได้ พ่อเขียนเท่มาก คือจะขึ้นต้นว่า "สวัสดี อี๊ด" แล้วก็เล่าไป เมื่อวาน
นะ เราไปฝึกนี่ๆๆๆ มา ไปทำนั่นๆๆๆ มา สนุกมาก แต่เหนื่อยมาก อ้อ วัน
อาทิตย์ต้นเดือนหน้าเราจะกลับบ้านนะ ไปงานบวชลูกลุง ฯลฯ คือเล่าแต่
เรื่องตัวเอง ไม่ถามด้วยนะว่าแม่เป็นยังไงบ้าง คงเขินนั่นแหละ แล้วก็ลงท้าย
เท่ๆ อีกว่า "สวัสดี อี๊ด" แนวมั้ย..



แม่บอกว่าอ่านจดหมายพ่ออยู่เจ็ดแปดปี ไม่เคยมีเลยประเภทที่ว่า อี๊ดที่รัก
คิดถึงนะ ผมรักคุณ มีแต่สวัสดีอี๊ด.. ---- แล้วก็.. สวัสดีอี๊ด..


ที่น่ารักน่าหยิกอีกอย่างก็คือ พ่อจะไม่ลงชื่อตัวเองเต็มๆ แต่จะเว้นมาให้แม่
เติมเอง เช่น จาก ป_ญญ_ (พ่อชื่อ ปริญญา) คือจะเว้นทำไมเนี่ยะ??? เด็ก
หมัยใหม่ไม่เข้าจายยยย เป็นอย่างนี้ประจำ ฮาแต่น่ารักไปอีกแบบ



จบจากเตรียมทหาร ต่อไปพ่อก็ขึ้นเหล่า ก็คือเข้ารร.นายร้อยจปร.นั่นแหละ
ตอนนั้นรร.นายร้อยยังอยู่ในกรุงเทพ ถึงตอนนี้แม่บอกว่า เคยไปดูพ่อมุดท่อ
ด้วย คือพอขึ้นเหล่า เค้าจะมีคล้ายๆ การรับน้อง คือฝึกความอดทนให้น้อง
นั่นเอง เช่นให้มุดท่อน้ำครำ ให้กินข้าวแบบแปลกๆ เช่นกินลอดช่อง ตาม
ด้วยน้ำปลา (เรื่องกินนี้สยดสยองทีเดียว พ่อเคยเล่าได้เห็นภาพจนเราสาบาน
ว่าถ้ามีลูกชายไม่ให้มันเข้าเด็ดๆ จปร.เนี่ย) แม่บอกเวลาโดนให้มุดท่อเนี่ย
พวกแฟนๆ ของนายร้อยพวกนี้ก็จะมายืนดู ยืนให้กำลังใจกันอยู่นอกรั้ว
(อ้าว ตอนนั้นแม่เป็นแฟนพ่อแล้วหรอ-ลูกถามอย่างอยากจะกรี๊ดเต็มที /
เปล่าาาา แม่ผ่านไปพอดี-แม่ตอบหน้าตาเฉย) เนี่ยพ่อเปื้อนโคลนมะล่อกมะ
แล่ก เหม็นน้ำครำเชียว ฯลฯ อะฮ้า.. เหม็นแล้วไปดูทำไมอะแม่ แฮ่ๆๆๆๆ



ตอนอยู่รร.นายร้อย เวลาปิดเทอมทุกปี จะมีงาน กู๊ดบายซัมเมอร์ ประมาณ
เป็นงานราตรี มีการเต้นรำ ให้หนุ่มๆ พาแฟนไปโชว์นั่นแหละ พ่อชวนแม่ไป
ทุกปี จนครบ 5 ปี ก็ชวนไปงานรับกระบี่ต่อซะเลย (ขอกรี๊ดอีกทีได้มั้ย สมัย
นี้ยังมีมั้ยนะงานกู๊ดบายนี่ แล้วยังมีนนร.คนไหนมั้ย ที่พาแฟนคนเดิมไป
ตลอด 5 ปี จนกระทั่งถึงวันรับกระบี่ สมัยนี้มันน่าจะแข่งกันควงสาวๆ หน้าไม่
ซ้ำมามากกว่าละมั้ง)



งานรับกระบี่นี้พ่อเท่มาก ประมาณว่ารัศมีนายร้อยเริ่มจับแล้ว พ่อใส่เครื่อง
แบบปกติขาว ถือกระบี่ แม่ใส่ชุดราตรีสีครีม มีแถบคาดสีแดง สวยจริงๆ ยืน
คู่กันแล้วเหมือนฉากในละครเลย รูปร่างหน้าตาไปคนละทางนะ แต่ดูหล่อ
สวยสมกันอย่างไม่น่าเชื่อ พ่อเป็นลูกหลานจีน (ปู่เป็นลูกครึ่งจีน) ขาว สูง
โปร่ง สีหน้าดูยิ้มๆ กริ่มๆ หรือเพราะเมาก็ไม่รู้ ส่วนแม่เป็นไทยแท้ๆ ดำขำ
เข้มคม ตัวเล็กๆ สูงแค่ไหล่พ่อเอง (ส่วนสูงห่างกัน 20 ซม.พอดี ใส่ส้นสูงยืน
คู่กันแล้วสวยมาก อยากได้อย่างงี้มั่งจังๆๆๆ) ยิ้มหวานๆ แต่มีแววดุๆ น่าเกรง
ขามยังไงไม่รู้



ภาพนี้เป็นภาพที่เราชอบที่สุดของพ่อกับแม่ ชอบมากกว่าภาพใน
งานแต่งงานอีก เพราะมันให้ความรู้สึก หนุ่ม-สาววัยรุ่น ที่กำลังจะ
กลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ยังไงบอกไม่ถูก เอาไว้กลับไทยเมื่อไหร่
จะไปค้นมาโชว์นะ



และจากการแอบอ่านหนังสือรุ่นและเฟรนด์ชิปของพ่อ ทำให้รู้ว่า สมัยนั้น
เค้ามีการล้อชื่อแฟนกันด้วย (สงสัยจะคล้ายๆ ล้อชื่อพ่อชื่อแม่ แต่น่าจะ
ซอฟท์กว่า) เพราะในเฟรนด์ชิปของพ่อ ที่เหล่าทหารหาญเซ็นกันมาอย่างสุด
จะแมนบ้าง น่ารักคิกขุบ้างนั้น ทุกคนพากันเรียกพ่อว่า "อี๊ด" หมดเลย
สาบานได้ว่านี่เป็นชื่อเล่นแม่เราแน่นอน ไม่ใช่พ่อ แต่ไม่มีใครเรียกชื่อเล่น
พ่อซักคน อย่างเวลาเขียนเค้าก็จะเขียนว่า "ถึงอี๊ดเพื่อนรัก" "อี๊ดเป็นเพื่อนที่
ดีที่สุดของเรา" "ขอให้อี๊ดโชคดี" คือมันขำน่ะ ที่เห็นเค้าเขียนกันแบบแมนๆ
เป็นกลอนเท่ๆ บ้าง คำพูดซึ้งๆ บ้าง ตัวหนังสือก็ตวัดหางสวย แต่ดันล้อชื่อ
แฟนกัน คิดได้ไงเนี่ย 555+



ตอนอายุครบ 20 พ่อบวช ที่บ้านยังมีอัลบั้มรูปตอนนั้นอยู่ มีรูปแม่ตัดผมให้
พ่อด้วย (เค้าเรียกปลงผมป่าว?) คุณตาคุณยาย น้าๆ เรา ก็ตัดให้พ่อทุกคน ดู
จากรูปแล้วเห็นได้ชัดเลยว่า ที่บ้านแม่ยอมรับพ่อแบบเต็มตัวเลย มากกว่า
ความเป็นเพื่อนลูกสาวธรรมดาๆ แน่นอน ทั้งที่พ่อกับแม่เพิ่งอายุ 20 เอง
(แล้วทำไมทีลูกเนี่ย จะยอมรับหนุ่มของลูกมั่งไม่ได้หรอพ่อ แม่ ลูกอะปีนี้ปา
เข้าไปจะ 25 แล้วนะ) และแน่นอนว่าแม่เป็นคนถือหมอน..




จนพ่อกับแม่เรียนจบ (แม่จบก่อนปีนึง บรรจุก่อนพ่อ พ่อชอบเย้ยแม่ว่าอายุ
ราชการพ่อน้อยกว่าแต่พ่อได้สองขั้นมากกว่า 55+) พ่อก็ไปออกสนาม
ประจำอยู่แถวอีสาน ตั้งแต่บุรีรัมย์ โคราช อุบล ถึงตอนนี้ก็ยังเขียนจดหมาย
ถึงแม่อยู่ ยังขึ้นต้นว่าสวัสดี ลงท้ายว่าสวัสดีอยู่เหมือนเดิม แนนถามแม่ว่า
แล้วพ่อเคยส่งอะไรสวยๆ งามๆ จากสนามมามั่งมั้ย เพราะอ่านจากนิยาย
โดยเฉพาะของทมยันตี พระเอกที่เป็นทหาร เวลาออกสนาม มักจะหาอะไร
สวยๆ เก๋ๆ แปลกๆ ส่งมาให้นางเอกเสมอ อย่างพี่รินของน้องดา ในคำมั่น
สัญญา ก็ส่งกล้วยไม้ป่ามาเยอะแยะ พระเอกเรื่องมงกุฏหนามก็ส่งเถา
กุหลาบป่าทับแห้งมาให้ปวลี แล้วพ่อล่ะ??


แม่บอก ตาคนนี้อะเหรอ ไม่เคยส่งอะไรมาหรอก แต่กลับมาทีขนมาแต่ไม้
ไม้จริงๆ แบบเป็นโต๊ะตู้เตียงตั่ง อลังการมาเลย คือพ่อเป็นโรคชอบไม้มาก
เห็นไม้ล้มในป่าไม่ได้เลย ต้องจ้างคนไปเลื่อย ไปประกอบมาเป็น
เฟอร์นิเจอร์อะไรต่อมิอะไร ตอนนี้ที่บ้านยังมีชุดโต๊ะรับแขก โต๊ะกินข้าว ตู้
โชว์ ตั่ง ฯลฯ ที่ทำจากไม้เต็ง รัง มะค่า โมง ประดู่ อะไรก็ไม่รู้ละ จำไม่ได้
แล้ว แต่พ่อจำได้แม่นทุกตัวเลยเชียว พ่อต่อแล้วก็ขนกลับมาบ้าน (ทั้งที่ตอน
นั้นยังไม่มีบ้านของตัวเอง แต่เอามาไว้บ้านคุณย่าบ้าง คุณยายบ้าง) บอกว่า
เอาไว้เป็นเครื่องเรือนเวลามีบ้าน (นี่คงเป็นวิธีจีบสาวอีกแบบหนึ่ง ที่ล้ำลึก
มากทีเดียว)



ส่วนแม่ก็บรรจุเป็นครูในเขตจ.อยุธยานี่แหละ วนไปหลายอำเภอ สุดท้ายก็
ได้มาอยู่ใกล้ๆ บ้าน จนปีที่พ่อกับแม่อายุครบ 25 พ่อก็ชวนแม่แต่งงาน (แม่
บอกว่า พ่อ"ชวน" ไม่ใช่ "ขอ" คือเหมือนชวนไปเดินเล่น ทำนองนั้น 555+)
ปีนั้นคุณตาคุณยายปลูกบ้านใหม่พอดี ย้ายจากบ้านเก่าในตลาดมาปลูกใน
สวน มีบริเวณรอบๆ กว้างขวางพอจะปลูกสวนผลไม้-ที่ดูเหมือนป่าในสายตา
เด็กๆ อย่างเราได้เยอะพอควร บ้านหลังนี้แหละที่เราเกิดและโตขึ้นมา อยู่มา
จนถึงป.3



ปลูกบ้านเสร็จปุ๊บ ก็จัดงานแต่งงานของแม่พร้อมๆ กับงานขึ้นบ้านใหม่ไปเลย
ทีเดียว งานแต่งงานของพ่อกับแม่น่ารักมาก เราเห็นในรูปตั้งแต่เด็กๆ ก็ยังติด
ใจ เพราะไม่ใช่งานแบบโต๊ะจีนแบบที่นิยมกัน แต่แม่จัดเป็นแบบบุฟเฟต์ กึ่ง
ค้อกเทล คือมีโต๊ะยาวตรงกลางตัวนึง วางอาหารฝีมือคุณยาย และที่เพื่อนๆ
ญาติๆ ของแม่มาช่วยกันทำ ประดับดอกไม้ที่จัดแบบเก๋ๆ ที่แม่จัดสุดฝีมือ
เพราะนี่แหละคืองานถนัดของแม่เลย แม่ชอบดอกไม้ ชอบจัด ชอบปลูก
และนี่คงเป็นยีนผู้หญิงอย่างเดียวที่ตกทอดมาถึงเรา ยีนชอบดอกไม้



แต่งงานแล้วพ่อก็ยังต้องประจำอยู่อีสาน ตอนเราจะเกิดพ่ออยู่อุบล แม่ไป
เยี่ยม แล้วไปล้มที่นั่นตอนท้อง8 เดือนแล้ว เราเกือบไปเกิดที่นั่นแล้วเชียว
แต่แม่กลับมาได้ 10 วันก็คลอด พอมีเราแล้ว พ่อก็ยังไม่ได้ย้ายกลับมาอยู่
ดี แม่ก็ใช้วิธีพาเราไปหาพ่อตอนปิดเทอม ช่วงนี้พ่อกับแม่ก็ยังเขียนจดหมาย
คุยกันอยู่ แต่สรรพนามเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้เค้าเรียกกันว่า "พ่อแนน" "แม่
แนน" แหละ จดหมายช่วงนี้ยังเหลืออยู่เยอะ เราเลยได้อ่านซะจุใจเลย
555+ ชอบคำที่พ่อกับแม่เรียกกันมากเลย ทำให้รู้สึกตัวเองสำคัญดี เอ๊ยม่าย
ช่ายยย รู้สึกมันน่ารักจัง ถ้าเรามีลูก เราจะเรียกพ่อของลูกเราอย่างนี้บ้าง
คอยดู อิอิ



จนเราอายุ 7 ขวบ แม่ถึงมีน้องอีกคน แต่คลอดก่อนกำหนด อยู่ได้ 11 วันก็
เสีย แม่ไม่ร้องไห้เลย เหมือนเตรียมใจไว้แล้วว่าน้องจะไม่อยู่กับเรา แต่พ่อ
ร้องไห้จนเราตกใจ ไม่เคยเห็นพ่อร้องไห้มาก่อนในชีวิต วันนั้นเราร้องตาม
พ่อจนเหนื่อย แล้วก็นึกรู้ขึ้นมาเฉยๆ ว่า เราคงต้องอยู่คนเดียวแล้วละชีวิตนี้
น้องคงไม่มาอยู่กับเราแล้ว และก็จริงซะด้วย..



ปีนั้นพ่อสอบติดรร.เสนาธิการทหารบก ก็เลยเข้ามาเรียนในกท. เราได้เจอ
พ่อบ่อยขึ้น และเมื่อเรียนจบ ได้เข็มเสธ. มาแล้ว ก็มีตำแหน่งว่างให้ลงที่
ลพบุรีพอดี พ่อก็เลยจัดการย้ายเราไปเรียนที่ลพบุรี ขึ้นป.4 ไปอยู่บ้านพักใน
ค่ายทหาร ส่วนแม่ก็สอนที่เดิม ขึ้นรถเมล์ไปกลับเอา วันละสามชม.ได้ แม่คง
เหนื่อยน่าดู จนเราอยู่ม.1 พ่อกับแม่ก็ปลูกบ้านหลังปัจจุบันนี้ โดยซื้อที่ดิน
แปลงที่ติดกับบ้านคุณยายนั่นแหละ เพราะพ่อมองว่าเวลาแก่ไปจะได้ช่วย
ดูแลกัน (ทั้งที่แม่อยากได้บ้านในเมืองที่สะดวกสบาย) แล้วก็ใกล้โรงเรียนที่
แม่สอนอยู่ด้วย



หลังจากนั้นก็เป็นคิวของพ่อกับเราบ้างที่ต้องไปกลับวันละ ชม. กว่า แต่ก็ถือ
ว่าสบายกว่าแม่ เพราะพ่อขับรถไปเอง ไปรับส่งเราด้วย ก็เลยได้ถึงบางอ้อ
อีกอย่างว่า พ่อมาปลูกบ้านที่นี่ ยอมลำบากไปทำงานไกล ทั้งที่พ่อมีสิทธิ์จะ
อยู่บ้านในค่ายทหาร ห่างจากที่ทำงานชั่วระยะเดินไม่ถึง 5 นาทีด้วยซ้ำ
เพราะพ่ออยากให้แม่สบาย ส่วนเรา พ่อบอกว่าพอจบม.3 ก็คงไปที่อื่นแน่ๆ
ไม่รู้ไปไหนละ แต่คงไม่อยู่ลพบุรีแล้ว และพ่อขับรถทุกวัน ก็ชินแล้ว ไม่
ลำบากอะไร


ทุกวันนี้ชีวิตแบบนี้ของพ่อกับแม่ก็ดำเนินมาเรื่อยๆ แม่ยังไปสอนที่รร.ใกล้ๆ
บ้าน ออกสายๆ กลับไม่เย็นมาก มีขนมนมเนยและผักผลไม้สดจากตลาดนัด
หน้ารร. มาฝากคุณยายทุกอาทิตย์ พ่อก็ยังขับรถไปกลับวันละเกือบสอง
ชม. ไปทำงานที่ลพบุรี เราชอบชีวิตแบบนี้ของพ่อกับแม่นะ ดูเรื่อยๆ สบายๆ
ไม่ต้องดิ้นรนและต่อสู้กับอะไรดี



เรามาอยู่ไกล เข้าปีที่สิบเอ็ดแล้ว มีแต่คนว่าแม่ ปล่อยลูกไปได้ยังไง ให้ไป
อยู่ต่างบ้านต่างเมืองตั้งแต่อายุสิบห้า แม่บอกก็นั่นน่ะสิ(อ้าว) คือตอนนั้นทั้ง
เรา ทั้งพ่อแม่ ก็งงๆ กันเหมือนกันน่ะว่าทำไมตัดสินใจรับทุน แต่ก็รับไปแล้ว
อ่ะ ก็นะ ก็ต้องเลยตามเลย ปลงได้มาหลายปีแล้วค่ะ ชีวิตนักเรียนทุนอัน
แสนรันทด ฮือๆ



อยู่ทางโน้น ไม่มีลูกให้จ้ำจี้จ้ำไช แม่เหงา แม่ก็หาอะไรทำ วันเสาร์อาทิตย์
แม่ก็รับสอนพิเศษ ก็เด็กแถวๆ นั้นแหละ มากันวันละสิบห้าสิบหกคนได้ มี
ทุกระดับชั้น คือพ่อแม่เค้าก็อยากให้ลูกมาเจอเพื่อนวัยเดียวกัน มีครู(ที่ดุได้
ที่)คุม ให้ทำการบ้านบ้าง สอนอะไรเล็กๆ น้อยๆ บ้าง ไม่ได้ต้องการให้กวด
วิชาอะไรหนักๆ เป็นพิเศษอะนะ


ส่วนพ่อ เสาร์อาทิตย์เช้าๆ ก็ไปกวาดลานวัด ก็วัดกุฏีทองที่พ่อเคยอยู่ตอน
เด็กๆ อะแหละ แนวมั้ย พ่อบอกเป็นการออกกำลังกายไปในตัว แล้วก็แสดง
ความกตัญญูต่อสถานที่ๆ พ่อเติบโตขึ้นมา และหลวงปู่ที่ดูแลกวดขันพ่อมา
ด้วย ส่วนเวลาว่างกว่านั้น พ่อก็ยุ่งกับสวนหลังบ้าน หน้าบ้าน หาต้นอะไร
แปลกๆ มาปลูก ให้แม่และเราบ่นจนเบื่อไปเอง อย่างปีที่แล้วนี่เคืองมาก พ่อ
เอาจำปา(ที่ทำท่าจะตายเพราะปลวกกิน)ออก เอาเกาลัดมาลงแทน เพื่อ
อะไรเนี่ยะ??? แถมเอาปีบหอมๆ ที่คู่กันสองต้นหน้าบ้านออกไปต้นนึง เอา
ประดู่ลงแทน อ้างว่าเป็นต้นไม้ของทหารเรือ แล้วมันทำไมเนี่ย??? งงค่ะงง




ฟังเรื่องนี้จบทีไร เราก็ถามแม่ทุกทีว่า แล้วพ่อจีบแม่ตอนไหน
แม่เป็นแฟนพ่อตอนไหน แม่บอกว่า ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เห็นพ่อจะ
จีบอะไรเลย แต่พ่อก็ทำให้แม่เข้าใจ และมั่นใจ โดยที่ไม่ได้มา
หวานอะไรเลยนี่แหละ สวัสดีๆๆ ทั้งปี แต่แม่ก็เข้าใจ อย่างที่พ่อ
อยากให้แม่เข้าใจ



ส่วนแฟน ก็ไม่ได้เป็นแฟนแบบเด็กสมัยนี้ที่ต้องคุยโทรศัพท์กันนานๆ ไปกิน
ข้าว ไปเที่ยวกัน พ่อกับแม่เป็นเพื่อนกัน พ่อกลับมาบ้านคุณย่าทวดเมื่อไหร่
ก็แวะมาหาแม่ แค่นั้นเอง ไม่ค่อยได้คุยด้วยซ้ำ ข้าวก็กินด้วยกันบ้าง แต่เป็น
การล้อมวงกินกันทั้งครอบครัวแม่นั่นแหละ ส่วนไปเที่ยวกันก็แทบไม่มี มีแต่
เวลาไปออกงานราตรี นานๆ ที แต่ความผูกพัน ความรู้สึกดีๆ ทั้งหมดก็ดำรง
อยู่มาได้ ถ้านับตั้งแต่ปีแรกที่พ่อกับแม่รู้จักกัน จนถึงวันแต่งงาน ก็ราวๆ 15-
16 ปี ทำไมพ่อกับแม่ถึงมั่นคงได้ขนาดนั้น? ถ้าเป็นเรา เราจะทำได้มั้ย..?
และใครต่อใครในยุคปัจจุบันนี่น่ะ ยังมีใครทำแบบนี้ได้อยู่มั้ยนะ?





ความรักแบบนี้ ยังสามารถเกิดและดำเนินไปได้มั้ย ในโลกใบเดิมที่ดูเหมือน
จะหมุนเร็วขึ้น และวุ่นวายมากขึ้นกว่าเมื่อวันวาน..



แต่สุดท้ายแล้วเราก็ยืนยันกับตัวเองได้เหมือนเดิม ว่าอยากมีชีวิต
อย่างนี้แหละ อย่างที่เห็นพ่อกับแม่มีมาตลอด เรียบๆ เรื่อยๆ สบายๆ ไม่
หวือหวา แต่ลึกซึ้งและมั่นคง คงเพราะพ่อกับแม่เป็นเพื่อนกันมาก่อน
ด้วยมั้ง เกิดปีเดียวกัน เรียนมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก รู้จักกันและกันดี
จนมีความผูกผันฉันเพื่อนอยู่ด้วย นอกเหนือจากความรักแบบหนุ่มสาว
ส่วนปัญหาของชีวิตคู่ มันก็ต้องมีบ้างตามปกตินั่นแหละ แต่เรารู้สึกว่า
ความผูกพัน ความมั่นคง ที่ดำรงอยู่ในความยาวนานของมิตรภาพ
ทำให้พ่อกับแม่เอาชนะปัญหาทุกอย่างมาได้ จนถึงวันนี้





ถึงชีวิตเราเริ่มต้นไม่เหมือนพ่อกับแม่ แต่อยากให้บทลงท้าย
เป็นอย่างนี้แหละ.. เผื่อที่วันนึง ถ้าลูกของเราจะเขียนบันทึก
อะไรอย่างนี้ขึ้นมาบ้าง ก็อยากให้เค้าลงท้ายเหมือนที่เราลงท้าย
ในวันนี้ คือรักวิถีชีวิตแบบพ่อแม่ที่สุดเลย..







Create Date : 28 กรกฎาคม 2551
Last Update : 28 กรกฎาคม 2551 22:46:12 น. 14 comments
Counter : 1367 Pageviews.

 
อ่านแล้วซาบซึ้งกับความรักของคุณพ่อคุณแม่จังเลยค่ะคุณแนน
(อิอิ แอบเห็นชื่อเล่น ขอเรียกด้วยคนนะคะ)


โดย: มัยดีนาห์ วันที่: 28 กรกฎาคม 2551 เวลา:22:49:32 น.  

 
ว้าว น่ารักมากมายค่ะ ^^
ความรักของคนสมัยก่อนนี่งดงามมากๆค่ะ วิธีจีบสาวนี่เนียนมากมาย
ฮาตรงนรเตรียมทหารเรียกชื่อคุณพ่อเป็นชื่อคุณแม่แทนอ่ะค่ะ น่ารักมากเลย
ขอบคุณนะคะ ที่แชร์เรื่องราวที่อบอุ่นแบบนี้

ฝันดีค่ะ ^^

ป.ล. อ่านแล้วซึ้งกว่าอ่านเรื่องที่คุณแนนแต่งแยะเรย 55
จริงๆติดเรียกคุณโยษิตามากกว่าแฮะ ^^



โดย: Life's for Rent วันที่: 29 กรกฎาคม 2551 เวลา:0:13:56 น.  

 
เรื่องของคุณพ่อกะคุณแม่ยังซึ้งขนาดนี้ ....แล้วเรื่องของตัวเองจะซึ้งขนาดไหน????? เอามาเล่าเร็วๆๆๆนะ คนสอดรู้เรื่องชาวบ้านรอฟังอยู่ คิคิ


โดย: พี่เทียนสี IP: 88.106.90.78 วันที่: 29 กรกฎาคม 2551 เวลา:1:04:25 น.  

 
อยากกินขนมฝีมือคุณยายแล้วสิ


อ่านแล้วชักอยากกินบ้าง





โดย: กช IP: 58.8.127.132 วันที่: 29 กรกฎาคม 2551 เวลา:10:06:42 น.  

 
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านค่า

คุณนาห์กะคุณไลฟ์ เอิกๆๆ เรียกแนนหรือโยก็ได้เลยค่ะ บุคคลเดียวกันตามกดหมาย
เอ๊ยม่ายช่ายยย


เนอะๆ คุณไลฟ์ ขำดีอ่ะทหารพวกเนี้ย เรียกว่าถึงเข้มก็ยังมีมุมคิกขุเนอะ เอิ๊กๆๆ


อยากกินขนมเหมือนกันเลยค่ะคุณกช ไม่ได้กินมาสองปีแล้วอ่า T T



พี่เทียนขา ตอนต่อไปสงสัยต้องแก้ก่อนเอามาลงอย่างรุนแรงเลยค่ะ เพราะมันติดเรท
เอ๊ยม่ายๆๆ มันเปิดเผยตัวละครโจ่งแจ้งมั่กมากค่ะ เหอๆ เพราะตอนเขียน
เขียนในมายสเปซ คนอ่านก้อเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ซึ่งรู้เห็นเช่นชาติกันอยู่แล้ว(??)

พูดง่ายๆ คือคนอ่านก็อยู่ในเรื่องนั่นแหละค่ะ มันจึงอ่านกันได้อย่างชิวๆ ไม่อายฟ้าดิน กร๊ากกก

แต่เอามาลงในนี้คนเขียนกลัวตัวละครบางคนจะมาเม้งเอา
แบบว่าชั้นไม่ได้อยากเปิดเผยกะแก๊ๆๆๆ

เด๋วต้องหาเวลาเซนเซ่อๆ กันนิดโหน่ยค่ะ แหะๆๆ


โดย: โยษิตา วันที่: 29 กรกฎาคม 2551 เวลา:18:53:00 น.  

 
เรื่องน่ารักมากเลยค่ะ อ่านไปยิ้มไป


โดย: Fai IP: 171.66.48.223 วันที่: 1 สิงหาคม 2551 เวลา:4:42:30 น.  

 
คุณ Fai ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่าาา แล้วแวะมาเยี่ยมกันบ่อยๆ น้าค้า


โดย: โยษิตา วันที่: 2 สิงหาคม 2551 เวลา:0:41:33 น.  

 
เรื่องของคุณพ่อคุณแม่คุณน่ารักมากเลย..... อย่างที่คุณว่าล่ะนะจะมี นนร.คนไหนพาแฟนคนเดียวไปงานจนครบ5ปีได้...... เราก็มีนนร.ที่คบกันมาปีกว่าแต่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ม.ต้น ....เค้าเคยชวนเราไปงานเต้นรำตอนเค้าอยู่ชั้นเตรียมฯแต่เราไม่ไป (ตอนนั้นยังเป็นเพื่อนกันน่ะ).... ตั้งแต่นั้นเท่าที่รู้เค้าก็ไปคนเดียวมาตลอด เราก็เลยสบายใจ แต่เมื่อ3อาทิตย์ก่อน........เราก็ทะเลาะกันเราจับได้ว่าเค้ากลับไปคุยกะแฟนเก่า(เก่าจริงป่าวก็ไม่รุ) จากที่เคยเชื่อใจมาตลอดมันเหมือน....เหมือนมีอะไรหนักๆตกไส่เลย.......ที่เจ็บที่สุดคือ........เค้าบอกว่าเค้ายังไม่คิดอะไรกะใคร...จุกจนวันนี้เลย...แต่เค้าก็แบบว่าเนียนอ่ะนะ...พอคุยกันก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น...เฮ้ออออออออออ.........เหนื่อยจริงๆกะพ่อนายร้อยมาลัยคนนี้


โดย: จอแจ IP: 58.8.231.18 วันที่: 3 สิงหาคม 2551 เวลา:19:46:03 น.  

 
อิจฉามากๆเลยละค่ะ
อยากมีความรักอย่างพ่อแม่ของคุณโยษิตาจังเลยค่ะ
สวีทจริงๆเลย หายากเนอะ ครอบครัวอบอุ่นเเบบนี้


โดย: fordear วันที่: 5 สิงหาคม 2551 เวลา:16:21:31 น.  

 
เรื่องน่ารักส์จิงๆเลยค่ะ อ่านไปแอบตาร้อนไป อยากมีความรักแบบนี้บ้างจัง ขอบคุณนะค่ะ ที่แบ่งปัน


โดย: Befar IP: 202.162.29.16 วันที่: 8 สิงหาคม 2551 เวลา:16:42:11 น.  

 
คุณจอแจ เฮ้อออ อ่านแล้วเหนื่อยแทนเลยค่ะ ทำไมเนียนอย่างงี้เนี่ยะ
ผู้ชายนี่น้า เฮ้อออ สมัยนี้ผู้ชายดีๆ อ่ะ ถ้าไม่เป็นแฟนคนอื่น ก็เป็นแฟนผู้ชายด้วยกัน
ไม่ก็เจ้าชู้โคดดดดดด ซะอีก แบบนี้จะเหลือผู้ชายดีๆ ตกมาถึงมือเรามั้ยคะเนี่ย เฮ้อออ



คุณฟอร์เดียร์ ขนาดเราเป็นลูกยังอิจฉาเลยค่ะ แบบอะไรมันจะนิยายขนาดนี้เนี่ยยยย
แล้วชอบเล่าให้ลูกฟังด้วยสิคะสองคนนี้อ่ะ แบบบางทีไม่ได้ถามนะ
แต่อยากเล่า ลูกเลยจำได้หมดเรย จดมงจดหมายได้อ่านหมด เจ๋งจิงๆ พ่อแม่เราเนี่ย



คุณ Befar คนเขียนเขียนไปก็ตาร้อนไปค่ะ แบบโอ๊ยมันมีจริงเรอะเนี่ย
สมัยนี้มันยังมีอยู่มั้ยน้อออ


โดย: โยษิตา วันที่: 10 สิงหาคม 2551 เวลา:0:38:23 น.  

 
เพิ่งมาโอกาสแวะเข้ามาอ่าน....
เรื่องจริงนี่อ่านแล้วมันซึ้ง... ได้อารมณ์กว่านิยายทุกเรื่องที่เคยอ่านมาจริงๆค่ะ


โดย: WoNaM วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:17:32:22 น.  

 
เพิ่งมีโอกาสแวะเข้ามาอ่าน....
เรื่องจริงนี่อ่านแล้วมันซึ้ง... ได้อารมณ์กว่านิยายทุกเรื่องที่เคยอ่านมาจริงๆค่ะ


โดย: WoNaM วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2552 เวลา:17:32:29 น.  

 
ซึ้งใจมากค่ะ พึ่งได้เข้ามาอ่าน
ชอบมาก ๆ เล่าได้เห็นภาพเลยละ
อยากเห็นรูปที่คุณพ่อกับคุณแม่ถ่ายกันตอนงานรับกระบี่จังค่ะ


โดย: สายธาร IP: 125.25.146.220 วันที่: 17 กรกฎาคม 2552 เวลา:4:16:07 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

โยษิตา
Location :
Kobe Japan

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เป็นคนไทย แต่ระหกระเหินมาใช้ชีวิตตัวคนเดียวที่ประเทศหมู่เกาะประเทศหนึ่ง กินเวลาสิบกว่าปีแล้ว ยังไม่รู้จะได้กลับเมื่อไหร่ (โถ่)

เป็นคนจับจดมาก อยากทำไปทุกอย่าง แต่ทำไม่ได้ดีซักอย่าง รู้น้อยกว่าเป็ด ควรจะเรียกว่ารู้อย่างลูกเป็ด หรือไข่เป็ด

ที่แน่ๆ ชอบอ่านกระทู้พันทิป มากถึงมากที่สุด



Longer - Dan Fogelberg
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
28 กรกฏาคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add โยษิตา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.