กู่ฉินและการเรียนกู่ฉินของคนไทย
จากประสบการการสอนกู่ฉินของผม
ให้กับลูกศิษย์อย่างเป็นทางการที่เป็นคนไทย
พบทั้งข้อดีและข้อด้อยหลายประการ
ในวันนี้จะเน้นไปที่ปัญหาและการพัฒนา
เพื่อการพัฒนาการศึกษากู่ฉินในไทยต่อไป
ปัญหาที่พบพื้นฐานที่สุด
คือคนไทยใช้อักษรไทย
แต่โน๊ตกู่ฉินคืออักษรจีนลดรูป
ดังนั้นจริงต้องเน้นในเรื่องนี้พอสมควร
อย่างที่สอง
ไม่สามารถใช้แบบเรียน
ภาษาจีนกับคนไทยได้
หนึ่ง คนไทยอานจีนไม่ออก
หรืออาจจะมีคนที่อ่านออก
จะพบอีกปัญหา
นั่นคือแบบเรียนของเมืองจีนทุกเล่ม
ตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงปัจจุบัน
มีรูปแบบของการท่องเป็นหลัก
ซึ่งเป็นระบบของการศึกษาจีนในสมัยโบราณ
กู่ฉินก็ได้รับอิทธิพลนี้่เช่นกัน
ดังนั้นสำหรับคนไทยแล้ว
ผมจำเป็นต้องเขียนแบบเรียนขึ้นมาใหม่
ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการเก็บข้อมูล
และคิดว่าคงไม่ใช่เร็วๆนี้อย่างแน่นอน
เป้าหมายคือ ให้คนไทยที่เรียนกู่ฉิน
สามารถต่อยอดได้เอง อ่านโน๊ตโบราณได้
เพราะถ้าเรียนแบบเรียนของจีนแล้ว
โอกาศน้อยมากที่จะสามารถไปอ่านโน๊ตโบราณต่อได้
นักเรียนส่วนใหญ่จะหยุดที่ตำราสมัยใหม่
ซึ่งที่จริงขาดรายละเอียดที่สำคัญมาก
ดังนั้นปัจจุบันผมจึงได้ซื้อตำราโบราณ(พิมพ์ใหม่)
มาเป็นข้อมูลไว้ศึกษาและวิจัยในการพัฒนาตนเอง
และนำมาใช้เขียนแบบเรียนพื้นฐานสำหรับลูกศิษย์คนไทย
นั่นหมายความว่า ภาระของผมก็หนักขึ้น
เพราะต้องอ่านภาษาจีนโบราณออก ซึ่งได้ศึกษามาบ้าง
จึงไม่เป็นอุปสรรคที่น่ากลัว
แต่อย่างไรก็ตาม การเรียนกู่ฉินที่ดีอีกขั้น
ต้องอาศัยความร่วมมือของลูกศิษย์
นอกจากการมีวินัยในการซ้อมแล้ว
ยังต้องศึกษาภาษาจีนเพิ่มเติม
เพราะถ้าลองตั้งใจฟังดีๆ จะพบว่ากู่ฉิน
เพลงเหมือนคนพูด มีแบ่งประโยคชัดเจน
และการที่จะแบ่งประโยคได้ชัดเจน
ต้องอาศัยความเข้าใจในเพลง
โดยใช้ภาษาจีนเป็นกุญแจ
เพราะเนื้อหาเพลงส่วนใหญ่
เป็นบทกวี ซึ่งส่วนใหญ่บันทึกด้วยภาษาจีนยุคหลัง
(ไม่ใช่ภาษาจีนโบราณ และไม่ใช่ปัจจุบัน
ช่วงหลังราชวงศ์ถัง มีการนำเสนออีกรูปแบบ)
แต่ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถมีระดับภาษาจีนได้สูงขนาดนี้
แต่การเรียนภาษาจีนพื้นฐานก็ช่วยได้มาก
เพราะจะรู้ว่า คนจีนมีการสื่อสารอย่างไร
การบรรเลงออกมาในเพลง
ก็ย่อมมีความไกล้เคียงยิ่งขึ้น
ซึ่งตรงนี้ถือว่าคนไทยได้เปรียบ
เนื่องจากภาษาจีนมีโครงสร้างประโยค
คล้ายกับภาษาไทยเป็นอย่างมาก
และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับผู้ที่ศึกษากู่ฉิน
นั่นคือการศึกษาปรัชญาจีน
ทำไมกู่ฉินถึงบอกว่าเป็นเครื่องดนตรีของปัญญาชน
ก้เพราะว่ากู่ฉินเวลาที่เราเล่น จะเงียบสงบมาก
จนได้ยินกระทั่งลมหายใจของตนเอง
ดังนั้นเมื่อเราฟังฉินและจดจ่อกับลมหายใจที่สม่ำเสมอ
เราก็จะเข้าสู้ภาวะที่มีสติค่อนข้างมาก
เมื่อมีสติ ก็เกิดปัญญา
เมื่อเกิดปัญญาก็รู้ได้ว่าเรา ตรงไหนดี ตรงไหนต้องแก้
ดังนั้นผมจึงให้คำจำกัดความของกู่ฉินเป็นดังนี้
琴者镜也
(ฉินเจ่อะ จิ่งเหย่)
ภาษาจีนโบราณ
แปลว่า กู่ฉิน ก็คือกระจก
เพราะกู่ฉินทำให้เราได้ตริตรองตัวเอง
เปรียบเสมือนกระจก
แต่ลึกกว่าตรงที่กู่ฉินข้างใน
กระจกเห็นเปลือกนอก
แต่อย่างไรก็ตาม
กู่ฉินศึกษาในไทยยังคงเป็นเรื่องของอนาคต
แต่จากแบบแผนที่ผมวางไว้ คิดว่าคงเป็นตัวช่วย
ในวิชาการสายนี้ไม่มากก็น้อย
ชัชชล ไทยเขียว