สัญญาณบ่งบอกปัญหา
สัญญาณบ่งบอกว่า.... เด็กอาจมีปัญหา สมาธิสั้น
การวินิจฉัยอาการสมาธิสั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากอาการของสมาธิสั้นคล้าย ๆ กับอาการของโรคอื่น ๆ อีกหลายโรค แต่โดยปกติแล้วเด็กจะแสดงพฤติกรรมออกมาตั้งแต่อายุก่อน 7 ขวบ และมีอาการอยู่อย่างน้อย 6 เดือน
เด็กที่มีสมาธิสั้นจะทำอะไรไม่ได้นาน ไม่สามารถจดจ่อกับงานหรือของตรงหน้าได้นานเพียงพอ หรือมีอาการใจลอย ถ้าเป็นเด็กเล็กก็จะเล่นของเล่นแต่ละชิ้นในช่วงสั้น ๆ แล้วเปลี่ยนของเล่นไปเรื่อย ๆ
ถ้าเป็นเด็กโตมักจะไม่สามารถตั้งใจทำการบ้านจนเสร็จมักจะวอกแวก เหลียวซ้ายแลขวา ชอบคุยกับคนอื่น ลุกขึ้นเล่น ทำโน่นทำนี่ตลอดเวลา หรือใจลอย ช่างฝัน เลขข้อหนึ่งอาจใช้เวลาถึงชั่วโมงก็เป็นได้
เด็กมักซุกซนไม่อยู่นิ่งตลอดเวลา ทำอะไรค่อนข้างรุนแรง ไม่อดทนต่อการรอคอยหรือกฎระเบียบวินัย อย่างไรก็ตามมีเด็กสมาธิสั้นบางคนอาจไม่มีปัญหาซุกซนร่วมอยู่ด้วยก็ได้
พึงระลึกว่าเด็กทุกคนอาจแสดงพฤติกรรมเช่นว่านี้ได้เป็นครั้งคราว แต่เด็กที่เป็นจะมีพฤติกรรมเช่นนี้จะเป็นเกือบตลอดเวลา
อาการของโรคแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท คือ
1. อาการสมาธิบกพร่อง
2. อาการซนมากผิดปกติ
3. อาการวู่วามหุนหันพลันแล่น รอคอยไม่เป็น หงุดหงิดง่าย
4. อาการของ ข้อ 1 และ ข้อ 2 และ ข้อ 3 รวมผสมกัน หรือ ผสมกัน 2 ประเภท
ดังนั้นเด็กมักมีอาการใจลอย ทำงานช้า อยู่ไม่สุข ทำอะไรโดยไม่ตรองให้ดีเสียก่อน ซุ่มซ่าม ทำข้าวของเสียหาย มีอุบัติเหตุบ่อย อารมณ์หงุดหงิดง่าย อดทนรอคอยไม่ค่อยได้ เด็กแต่ละรายจะมีอาการมากน้อยต่างกัน บางคนอาจมีอาการน้อย เช่น เพียงเหม่อลอย แต่บางคนอาจมีอาการครบทุกอย่างดังที่กล่าวมาแล้วและมักจะเป็นกับเด็กผู้ชาย
พฤติกรรมต่าง ๆ ที่จะแสดงต่อไปนี้ อาจช่วยให้ผู้ปกครองพิจารณาได้คร่าว ๆ ว่าเด็กอาจมีปัญหาหรือไม่ โดย ถ้าเด็กมีอาการเพียงบางข้อหรือหลาย ๆ ข้อ และเป็นมานานเกิน 6 เดือน แม้เด็กอายุเกิน 7 ขวบแล้ว อาการยังคงเกิดอยู่อย่างสม่ำเสมอ และมีพฤติกรรมดังกล่าวทั้งที่บ้าน ที่โรงเรียน และที่อื่น ๆ ผู้ปกครองควรปรึกษาแพทย์ การได้รับความช่วยเหลือแต่เนิ่น ๆ เมื่อเด็กอยู่ในชั้นอนุบาล 3 ถึงประถมจะเป็นการช่วยเหลือที่ดีที่สุด
ให้พ่อแม่และครูเข้าใจว่าเด็กนั้นมีความสามารถในการควบคุมตัวเองได้น้อยไม่ใช่เป็นเพราะเด็กนิสัยไม่ดีหรือพ่อแม่ปล่อยปละละเลย และพ่อแม่ต้องปรึกษาหารือและช่วยเหลือลูกในทิศทางเดียวกัน นั้นคือหาคำวินิจฉัยจากจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นว่าลูกเป็นอะไร และพ่อแม่จะต้องพยายามและอดทนที่จะปรับพฤติกรรมของตนเอง เพื่อไม่ให้หงุดหงิด เครียดและโกรธลูก ต้องช่วยเหลือลูกในทางบวกและฝึกวินัยอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง โดยไม่มีอาการโกรธและรุนแรง
ถ้าทำในทางลบเท่ากับเป็นการกดดันเด็กเพราะจะทำให้ปัญหาขยายตัวและพัฒนาให้เกิดอาการแทรกซ้อนเพิ่มขึ้น และครูควรจะได้รู้ถึงวิธีการช่วยเหลือที่เหมาะสมไม่เป็นการซ้ำเติมปัญหาให้แก่เด็ก
การช่วยเหลือด้วยยาก็เป็นความจำเป็นสำหรับบางรายเพราะช่วยเพิ่มความอดกลั้นให้เด็ก เป็นการช่วยให้เด็กได้มีโอกาสใช้ศักยภาพที่ตนมีอยู่อย่างเต็มที่ไม่ถูกบั่นทอน
Create Date : 22 กรกฎาคม 2551 |
Last Update : 22 กรกฎาคม 2551 11:43:34 น. |
|
7 comments
|
Counter : 424 Pageviews. |
|
|