สภาพัฒน์ห่วงแมลงเม่า ออกโรงติงแห่ซื้อทอง
เพราะราคาทองคำในปัจจุบันยังคงเคลื่อนไหวไม่หยุด แต่เพราะนักลงทุนมองว่าทองคำเคยมีราคาขึ้นไปถึงบาทละ 15,00015,500 บาท ดังนั้น เมื่อเห็นว่าราคาทองคำลงมาอยู่ระดับแถวๆ บาทละ 12,500 บาท จึงเกิดการเก็งกำไรกันอย่างหนัก จนถึงขั้นต้องรับใบจองซื้อเพราะทางร้านทองไม่สามารถส่งมอบทองคำได้ทันที รวมทั้งมีการกำหนดจำนวนในการซื้อต่อรายด้วย ดังที่ บางกอกบิสิเนส ได้เสนอข่าวไปแล้ว ปรากฏการณ์ตื่นเก็งกำไรทองคำ ได้ทำให้ นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นหน่วยงานที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตลาดธุรกิจหรือการเก็งกำไรต่างๆ ยังต้องออกโรงสะกิดเตือนบรรดาประชาชนโดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อยที่เข้าไปเก็งกำไร ในช่วงที่ราคาทองคำลดลงในขณะนี้ว่า ควรจะต้องมีสติและยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงให้มากที่สุด นายอำพนกล่าวว่า ผู้ที่คิดจะลงทุนในทองคำ ควรจะต้องใช้ความรู้ ศึกษาข้อมูลวิเคราะห์การลงทุนให้ถี่ถ้วน เพราะอาจทำให้เกิดความเดือดร้อนในภายหลัง ยกเว้นว่าเป็นผู้ที่มีฐานะดีมีเงินทุนมาก มีสายป่านยาว ซึ่งรวมถึงนักธุรกิจที่ทำธุรกิจด้านทองคำอยู่แล้ว ที่สามารถเข้าไปซื้อเพื่อการลงทุน หรือผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงจากเงินออม ทั้งนี้ เนื่องจากทาง สศช. มองว่า การเคลื่อนไหวของราคาทองคำเป็นไปตามการเก็งกำไรของราคาน้ำมัน เมื่อราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น จึงพลอยทำให้สินค้าในหมวด Community เช่น เหล็ก ทองคำ มีราคาพุ่งสูงตามไปด้วย ในขณะเดียวกัน การที่มีการคาดการณ์ว่า อัตราเงินเฟ้อจะสูงตามราคาน้ำมัน ทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจที่จะถือเงินสดไว้และหันไปเก็งกำไรในทองคำ จึงทำให้ทองคำมีราคาสูงขึ้นมาโดยอัตโนมัติ แต่เมื่อขณะนี้ราคาน้ำมันดิบในต่างประเทศได้มีการปรับลดลงต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ส่งผลให้ราคาทองคำลดลงตามไปด้วย แต่ต้องไม่ลืมว่า ไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าราคาน้ำมันจะปรับลดลงอยู่ในช่วงใด จึงขอเตือนประชาชนรายย่อยที่เข้าไปซื้อทองคำเพื่อเก็งกำไรให้ใช้สติกันมากๆ เพราะเป็นเรื่องที่เสี่ยง หากเป็นกลุ่มประชาชนที่ไม่มีความรู้เรื่องการลงทุนแล้วอาจทำให้เกิดความเดือดร้อนตามมาภายหลังได้ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องไปกู้ยืมเงินนอกระบบ เพื่อหวังกินส่วนต่างหรือกำไรจากการเข้ามาลงทุนในตลาดทองคำ หากไม่มีข้อมูลจะนำไปสู่หายนะได้ นายอำพน กล่าว ในขณะที่ นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ รองกรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สาเหตุที่ราคาทองคำในตลาดโลกปรับลดลง เนื่องมาจากความต้องการในตลาดลดลง โดยเฉพาะความต้องการจากอินเดียที่เป็นผู้ใช้ทองคำรายใหญ่ รวมถึงตุรกีและตะวันออกกลาง ยกเว้นจีนที่ยังมีความต้องการไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากเศรษฐกิจที่ซบเซา จึงทำให้บรรดากองทุนที่ลงทุนในทองคำเร่งเทขายทองคำออกมา เพราะประเมินว่าราคาทองคำน่าจะปรับตัวลงตามน้ำมัน ทำให้ความต้องการทองคำลดลงไปอีก รวมทั้งการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคาทองคำที่คิดเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ มีราคาลดลง แม้ว่าราคาทองคำจะเท่าเดิมก็ตาม สำหรับราคาทองคำได้ลดลงมาร้อยละ 20 จากจุดสูงสุดเมื่อเดือนมีนาคม 2551 ที่ขึ้นไปสูงสุดที่ 1,002.80 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ และราคาต่ำสุดอยู่ที่ 784.75 ดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม และปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 830 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ซึ่งไม่สามารถตอบได้ว่าราคาจะลดลงอีกหรือไม่ เพราะในอดีตราคาทองคำที่สูงจะอยู่ที่ประมาณราคาน้ำมัน 15 บาร์เรลต่อทองคำ 1 ออนซ์ หรือหากมองในช่วงธรรมดาราคาอยู่ที่น้ำมัน 10 บาร์เรลต่อทองคำ 1 ออนซ์ ดังนั้น ราคาน้ำมันที่ 120 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ราคาทองคำก็สามารถอยู่ที่ 1,200 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร ราคาทองคำไม่ได้สะท้อนอัตราเงินเฟ้อ และไม่มีข้อพิสูจน์ว่าเอาชนะอัตราเงินเฟ้อได้ ฉะนั้นการจะตื่นลงทุนจึงควรต้องศึกษาให้รอบคอบก่อน--จบ--
--บางกอกทูเดย์ วันที่ 18 ก.ย. 2551--
Create Date : 17 กันยายน 2551 |
|
0 comments |
Last Update : 23 กันยายน 2551 10:54:23 น. |
Counter : 390 Pageviews. |
|
|
|