Pretoria @South Africa
มีโอกาสได้ไปทำงานที่แอฟริกาใต้ นั่งเครื่องยาวนานมาก ๆ จากกรุงเทพไปสิงคโปร์ต่อไปโจฮันเนสเบิร์ก น่าจดจำจริง ๆ แต่เนื่องจากผ่านมายาวนานจึงจำรายละเอียดอะไรไม่ค่อยได้ แต่ก็อยากจะแปะรูปไว้เป็นที่ระลึกอยู่ดี



หลังจากออกจากสนามบินก็ต้องต่อรถไปยังอีกเมืองหนึ่ง ชื่อ Pretoria เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่เงียบสงบมาก ๆ ช่วงระหว่างเดินทางก็ตื่นตาตื่นใจกับอาคารบ้านช่องของผู้คนที่นี่ และสิ่งที่เห็นบ่อย ๆ คือคำว่า "Cradle of Life" ตอนนั้นยังโง่ ไม่เข้าใจทำไมถึงเรียกว่า Cradle of Life พอกลับมาเมืองไทย ได้ดูสารคดีของ National GeoGraphic เกี่ยวกับเรื่องการสืบหา DNA ของมนุษย์ชาติแล้วพบว่ามนุษย์ทุก ๆ คนในโลกนี้เกี่ยวเนื่องสืบสายพันธุ์กัน และสามารถ trace กลับไปได้ว่ามนุษย์คนแรกเดินทางออกมาจากแอฟริกาใต้ ตอนนั้นถึงบางอ้อและทึ่งมาก ๆ ที่ได้มีโอกาสไปเยือนประเทศนี้มาแล้ว





อากาศที่นี่ช่วงเดือนธันวาคมค่อนข้างร้อนในตอนกลางวันแต่แอบเย็นนิด ๆ ในตอนกลางคืน แสงแดดแผดเผามาก ๆ ควรเตรียมซันบล็อคมาเยอะ ๆ อีกอย่างพระอาทิตย์ก็ขึ้นเร็วมาก ๆ ไม่ทันจะหกโมงเช้าเลย แดดเปรี้ยงเหมือนสักแปดโมงของบ้านเรา



วันทั้งวันก็ไม่ได้ไปไหน ไปทำงานตอนเช้ากลับมาตอนเย็น ก็มักจะเดินไปกินข้าวที่ mall ข้าง ๆ โรงแรม แต่ก็ต้องระวังตัวเพราะได้รับการเตือนมาว่าอย่าเดินไปในมุมมืด ๆ หรือผ่านมุมตึก ต้องคอยระวังตัวตลอดเวลา การโจรกรรมที่นี่ชุกชุม รวมถึงคดีข่มขืน และสถิติโรคเอดส์ที่สูงมาก ๆ อ้อ.. ได้มีโอกาสไปดูหนังด้วย โห.. โรงหนังเหมือนโรงหนังชั้นสองบ้านเรา แย่มาก ๆ ที่แคบ เบาะเก้าอี้ก็เตี้ย นั่งดูแล้วเมื่อยคอชะมัด เสียงก็ไม่ surround เอาเป็นว่าโรงหนังบ้านเราเลิศที่สุดแล้วค่ะ

อาหารที่นี่จะจานใหญ่ ๆ สไตล์ฝรั่งกิน ไม่เคยที่จะกินหมดเลย ต้องเหลือแทบทุกครั้ง แต่รสชาติอาหารก็สู้แบบบ้านเราไม่ได้หรอก อาหารไทย เด็ดสุดแล้ว



วันเสาร์อาทิตย์ไม่มีอะไรทำ ก็ซื้อทัวร์ไปเที่ยวซาฟารี (จำชื่อไม่ได้ละ) แต่ไกด์ทัวร์กลับเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องนก แอบเซ็งนิด ๆ เพราะชอบชี้นกพันธุ์ต่าง ๆ ให้ดู จริง ๆ ทริปซาฟารีก็ตื่นเต้นมาก ๆ เพราะไม่เคยไปดูสัตว์แบบป่าเปิดมาก่อน ต้องนั่งรถจี๊ปเข้าไปในป่า ค่อยเลียบไปเรื่อย ๆ เพื่อตามหา Big 5 รู้สึกว่าจะเจอแค่สี่ แต่บิ๊กจริง ๆ ค่ะ แต่ประทับใจยีราฟมากที่สุด เพราะตัวใหญ่มาก ๆ ใหญ่กว่าเขาดินบ้านเรา และเดินอยู่กลางทุ่งสี่ห้าตัว เป็นครอบครัว เดินผ่านรถเราไป น่าทึ่งมาก ๆ ค่ะ

ที่นี่เค้าจัดที่ไว้ให้ครอบครัวปิ๊กนิ๊กกันด้วย มีเตาปิ้งบาบีคิวพร้อม ส่วนไกด์ก็เตรียมอาหารกลางวัน มีเนื้อ (ไว้ปิ้ง) ขนมปัง ไวน์และเครื่องดื่มต่าง ๆ ใส่ตะกร้า มีผ้าปูโต๊ะ จาน ชาม ช้อน ส้อม ครบถ้วน นับว่าเป็นไกด์ที่เยี่ยมมาก ๆ ค่ะ ระหว่างนั่งทานอาหารก็จะเล่าประวัติของประเทศให้ฟัง

จากที่อยู่ที่นี่ระยะสั้น ๆ นอกจากจะประทับใจในความศิวิไลซ์ทางด้านวัฒนธรรมแล้ว (อันนี้ไม่ได้หมายถึงความเจริญนะคะ แต่หมายถึงวัฒนธรรมของประเทศเค้าที่น่าทึ่ง) ก็ยังเห็นถึงความเหลื่อมล้ำทางด้านชนชั้น และสีผิว ส่วนตัวแล้วไม่ค่อยชอบเลยค่ะ อันนี้สามารถเห็นได้ตลอดทั้งในเมืองหรือแม้แต่ระหว่างนั่งรถ ว่าเมืองนี้จะแบ่งเป็นโซน ๆ โซนคนผิวขาว และโซนคนผิวดำ อย่าง Mall ที่ไปกินข้าวเนี่ย ก็ไม่ค่อยเห็นคนผิวดำเลย น้อยมาก ๆ บ้านช่องคนจนที่รัฐบาลจัดให้ก็ไม่ต่างจากสลัมบ้านเรา หลังคามุงสังกะสี อยู่กันแออัด การเดินทางของคนผิวดำที่ฐานะไม่ค่อยดี ก็เป็นการโบกรถเอา ตามถนนหนทาง สี่แยก จะเห็นคนผิวดำนั่งรอและโบกรถกันเต็มไปหมด ซึ่งอันนี้ก็ได้รับการเตือนมาว่าอย่าจอดรถรับคนพวกนี้เชียว อันตราย.. ส่วนไกด์เราก็เล่าประมาณว่าพวกผิวดำชอบเข้ามาปล้นบ้านคนผิวขาว (บังเอิญเค้าเป็นคนเชื้อสายอังกฤษ) อะไรประมาณนี้





หลังจากประทับใจในการบริการของไกด์ในวันแรกก็เลยว่าจ้างเค้าให้พาไปเที่ยวอีกในวันต่อไป ซึ่งคราวนี้ก็ไปดูวัฒนธรรมของชนเผ่าต่าง ๆ เหมือนเป็นหมู่บ้านวัฒนธรรมประมาณนี้ค่ะ แอฟริกาจะมีคนจากหลายเผ่ามาก ๆ ค่ะ จำชื่อไม่ได้หมด แต่ละเผ่าจะแตกต่างกันทั้งทางด้านการแต่งกาย ภาษา และที่อยู่อาศัย ที่นี่จะจำลองถึงบ้านของแต่ละเผ่า คน (ทั้งผู้หญิง ผู้ชายและเด็ก) การอยู่อาศัย และอาหาร จากที่เห็นสิ่ง ๆ หลักของแต่ละหมู่บ้านที่ต้องมีคือ ยุ้งเก็บอาหารแห้ง คอกสัตว์ และที่บูชาเทพเจ้า แต่ลักษณะ, ทิศทางและสิ่งที่ใช้ของสิ่งเหล่านี้ในแต่ละเผ่าก็ยังแตกต่างกัน เช่น บางเผ่าสร้างกระโจมสูงจากไม้ไว้เก็บอาหารแห้ง บางแห่งสร้างด้วยดินเหนียว ดู ๆ ไปก็ได้ความรู้ดีค่ะ อาหารที่เค้าให้ลองกินก็เป็นถั่วมาบด ๆ กันน่ะค่ะ ไม่มีรสชาติเลย









ในทริปนี้ได้ลองเนื้อจากสัตว์หลาย ๆ ประเภทด้วย ช่วงนั้นตัวเองกินมังสวิรัติ แต่ก็ต้องแตกเพราะไหน ๆ ก็มาถึงทั้งที ต้องลองกินให้หลากหลาย ก็ได้ลองเนื้อตั้งแต่หมู ไก่ ธรรมดา ไปจนถึงกวาง กระต่าย จรเข้ และอื่น ๆ ซึ่งจำไม่หมด หวังว่าคงไม่ต้องลองอีก





ทริปนี้นับว่าประทับใจใช้ได้เลยค่ะ ที่ได้เห็นวัฒนธรรมที่แตกต่างอย่างมากจากบ้านเรา และอาจเป็นวัฒนธรรมยุคแรก ๆ ของมนุษย์เรา เหลือเชื่อมากจริง ๆ ซักวันจะกลับไปอีกแน่ค่ะ



Create Date : 27 ตุลาคม 2549
Last Update : 27 ตุลาคม 2549 22:30:53 น.
Counter : 1595 Pageviews.

6 comments
  
ตามอ่านค่ะ ท้องฟ้ารูปยีราฟเหมือนจะหยิบได้เลยถ้าเราไปนั่งอยู่บนหัวเจ้ายีราฟ
โดย: YRFP วันที่: 30 ตุลาคม 2549 เวลา:21:00:09 น.
  
ไปเที่ยวที่เด็ดๆ ทั้งนั้นเลยนะ อยากไปบ้างจัง
โดย: Snoopy in BKK วันที่: 6 พฤศจิกายน 2549 เวลา:16:08:14 น.
  
ชอบภาพยีราฟจังอะ
โดย: นู๋ปรางฝันเฟื่องเรื่องเที่ยว วันที่: 23 กุมภาพันธ์ 2550 เวลา:8:26:05 น.
  
ชอบเหมือนกันเลยค่ะ
โดย: Gorgeous Girl วันที่: 26 ตุลาคม 2550 เวลา:23:53:21 น.
  
ขอบคุณนะค่ะที่กรุณาแบ่งปันประสบการณ์ให้ฟังเพื่อเป็นวิทยาทาน เพราะกำลังจะหาโอกาสไปเยือนที่นั้นพอดี สำหรับคนไทยไปไม่เกิน 30 เพื่อท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องขอวีซ่าใช่ไหมค่ะ ? ถามเพื่อความแน่ใจค่ะ หากจะมีใครกรุณาตอบให้ทีค่ะ thank you very much...
โดย: Nook IP: 124.120.124.148 วันที่: 11 พฤษภาคม 2552 เวลา:17:59:09 น.
  
Nook - ขอโทษทีค่ะ ไม่ได้เข้ามาเช็คเลย.. ไปไม่เกิน 30 วันไม่ต้องขอวีซ่าค่ะ
โดย: Gorgeous Girl วันที่: 6 สิงหาคม 2552 เวลา:11:24:01 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Gorgeous Girl
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



New Comments
ตุลาคม 2549

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
28
29
30
31
 
 
27 ตุลาคม 2549
  •  Bloggang.com